ผ้าซิ่นกับอัตลักษณ์ใหม่ของสตรีไทย: แฟชั่นหลังสงครามครั้งที่ 1 และกระแสพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6
ผ้าซิ่นกับอัตลักษณ์ใหม่ของสตรีไทย: แฟชั่นหลังสงครามครั้งที่ 1 และกระแสพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6
ในช่วงกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6, พ.ศ. 2458–2463) (ค.ศ. 1915–1920) แฟชั่นของสตรีชั้นสูงในสยามมีการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับกระแสโลก สไตล์หลังสงครามค่อย ๆ ผสมผสานเข้ากับแฟชั่นปลายยุค Teens (1915–1919) ซึ่งถือเป็นช่วงปลายของศิลปะแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ซึ่งค าบเกี่ยวกับกระบวนการศิลปะแบบอาร์ตเดโค (Art Deco) ที่กำลังเป็นที่นิยมในต้นทศวรรษ 1920 สไตล์ดังกล่าวเน้นความเรียบง่าย เส้นสายที่เป็นทรงกระบอก เอวต่ำลง และกระโปรงที่มีความยาวสั้นขึ้นจากเดิม ไม่กรอมเท้าอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของแฟชั่นสากลที่ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความคล่องตัวและความสะดวกสบายของสตรีในชีวิตประจำวัน
ผ้าซิ่น - จากการถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมต่างถิ่นสู่สัญลักษณ์ของความเป็นไทย
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5, พ.ศ. 2411–2453) ผ้าซิ่นถูกมองว่าเป็นวัตถุจากต่างวัฒนธรรมซึ่งสวมใส่โดยผู้หญิงจากภูมิภาคที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ เช่น ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งยังถูกมองว่าเป็นพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์กลางความเจริญ สตรีในกรุงเทพฯ นิยมสวมโจงกระเบนและตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่ม ขณะที่ผู้หญิงที่สวมผ้าซิ่นมักจะไว้ผมยาวและเกล้ามวย
เจ้าดารารัศมี พระราชชายา ทรงเป็นเจ้าจอมจากเชียงใหม่ที่นำผ้าซิ่นเข้าสู่ราชสำนัก แม้จะทรงสวมใส่เฉพาะในเขตพระราชฐานส่วนพระองค์ แต่ก็เป็นที่รู้จักในฐานะหญิงล้านนาผู้รักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่นไว้ได้อย่างมั่นคง การสวมใส่ผ้าซิ่นของพระองค์จึงช่วยส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นล้านนาในราชสำนักกรุงเทพฯ และเป็นสัญลักษณ์ของการธำรงความหลากหลายทางวัฒนธรรมภายใต้สถาบันกษัตริย์
การเปลี่ยนผ่านของผ้าซิ่นสู่อัตลักษณ์ประจำชาติ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในอัตลักษณ์ของแต่ละประเทศ หลายจักรวรรดิใหญ่ เช่น ออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ล่มสลาย ส่งผลให้รัฐชาติใหม่ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความพยายามสร้างเอกภาพทางวัฒนธรรม กระแส ชาตินิยม (nationalism) จึงกลายเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความภาคภูมิใจและการรวมตัวของประชาชนในแต่ละประเทศ ผ่านภาษา ประวัติศาสตร์ เครื่องแต่งกาย และพิธีกรรม
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายประเทศในยุโรปพยายามสร้างความภาคภูมิใจในชาติผ่านการแต่งกายเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในออสเตรียและเยอรมนี ชุดพื้นเมืองอย่าง เดียร์นเดิล (Dirndl) และ เลเดอร์โฮเซน (Lederhosen) กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ประจำชาติ ขบวนการนี้เกิดขึ้นจากความพยายามฟื้นฟูจิตสำนึกทางวัฒนธรรม หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิและการเปลี่ยนแปลงพรมแดนในยุโรป โดยเฉพาะในออสเตรีย วิกเตอร์ ฟอน เกรามบ์ (Viktor von Geramb) ได้ส่งเสริมการนำชุดพื้นเมืองมาปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมร่วมสมัย เพื่อฟื้นฟูความเป็นออสเตรียหลังจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลาย
เช่นเดียวกัน ในเวลส์ ชุดพื้นเมืองเวลส์ ซึ่งเคยเป็นชุดพื้นบ้านของสตรีในชนบท เริ่มได้รับการยอมรับให้เป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติ ในช่วงทศวรรษ 1880 องค์ประกอบบางอย่างของชุดพื้นเมืองถูกนำมาปรับใช้ให้เป็นชุดประจำชาติ ซึ่งใช้สวมใส่ในโอกาสสำคัญ เช่น การเสด็จเยือนของราชวงศ์และงานประจำปีของเวลส์ (Eisteddfodau) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เด็กหญิงเริ่มนิยมใส่ชุดนี้ในวันนักบุญเดวิด (Saint David’s Day) และปัจจุบันชุดดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติของเวลส์
กระแสเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการการเคลื่อนไหวทั่วโลกที่ใช้เครื่องแต่งกายเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นเอกภาพและความภาคภูมิใจในชาติ โดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ในบริบทของสยาม แม้ไม่ได้เข้าร่วมรบโดยตรง แต่การเข้าร่วมสงครามในนามสัมพันธมิตรใน พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ภายใต้การนำของรัชกาลที่ 6 ก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง การส่งทหารอาสาไปร่วมรบในยุโรป และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ชนะสงคราม ทำให้สยามมีสถานะเทียบเท่าชาติอารยะในเวทีโลก แต่ในขณะเดียวกัน ภายในประเทศก็มีความพยายามสร้าง “ไทยสมัยใหม่” ขึ้นควบคู่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสยามมีอารยธรรมเป็นของตนเอง ไม่ใช่เพียงผู้รับวัฒนธรรมตะวันตกเท่านั้น
สำหรับบริบทนี้ กระแสชาตินิยมของรัชกาลที่ 6 จึงมีบทบาทสำคัญ ทั้งในด้านภาษา วรรณกรรม กีฬา (เช่น ฟุตบอลและลูกเสือ) ตลอดจนแฟชั่น พระองค์ทรงใช้เครื่องแต่งกายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเป็นไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมให้สตรีชั้นสูงหันกลับมานิยม ผ้าซิ่น ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นของผู้หญิงต่างภูมิภาค กลายเป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนอัตลักษณ์ร่วมของสตรีสยามทั้งชาติ
ในอดีต ผ้าซิ่นเป็นเครื่องแต่งกายที่แพร่หลายในหมู่สตรีชาวล้านนา อีสาน และลาว โดยถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นนอกกระแสหลักของกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ้าซิ่นเริ่มค่อย ๆ แทรกซึมเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงในพระนคร และได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับกระแสชาตินิยมที่แพร่หลายไปทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองผ่านเครื่องแต่งกายและวิถีชีวิต
สำหรับสยาม กระแสชาตินิยมดังกล่าวสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนผ่านความนิยมใหม่ใน “ผ้าซิ่น” ซึ่งเริ่มถูกมองว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชาติ จากที่เคยเป็นเพียงเอกลักษณ์ของหญิงจากภูมิภาคต่างจังหวัด ผ้าซิ่นค่อย ๆ แทนที่โจงกระเบนในหมู่สตรีชั้นสูงในกรุงเทพฯ การเปลี่ยนแปลงนี้มิใช่เพียงการรับเอาสิ่งเก่าให้กลับมานิยมใหม่ หากแต่เป็นการนิยามภาพลักษณ์ของ “สตรีสยามยุคใหม่” ให้สอดคล้องกับทั้งแนวคิดชาตินิยมและมาตรฐานความงามของโลกสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย ความสง่างาม และอัตลักษณ์ท้องถิ่น
ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของเครื่องแต่งกาย รูปแบบการไว้ผมของสตรีไทยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สตรีในยุครัชกาลที่ 6 เริ่มละทิ้งทรงผมสั้นแบบ “ดอกกระทุ่ม” ซึ่งนิยมอย่างแพร่หลายในยุครัชกาลที่ 5 แล้วหันมาไว้ผมยาวและจัดแต่งให้เข้ากับแฟชั่นตะวันตก การจับคู่ผมยาวดัดลอนกับเสื้อทรงหลังสงครามที่มีชายเสื้อยาวขึ้น ผ้าซิ่น ถุงน่องสีขาว และรองเท้าส้นสูง สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของหญิงไทยยุคเปลี่ยนผ่าน ลุคนี้ถือเป็นต้นแบบของแฟชั่นยุค 1920 ซึ่งเน้นความคล่องตัว ความสง่างาม และความกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมไทยกับสากล
จุดเปลี่ยนแปลงการสวมผ้าซิ่นแบบพระราชนิยม
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของ ผ้าซิ่น เกิดขึ้นเมื่อ หม่อมเจ้าวรรณวิมล วรวรรณ ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็น พระวรกัญญาปทาน ได้นำ ผ้าซิ่น มาใช้เป็นชุดประจำวันในขณะที่อาศัยอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดาในรัชกาลที่ 6 เมื่อพระองค์ได้รับการหมั้นหมายกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ ผ้าซิ่น เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น แม้การหมั้นจะไม่นานนัก และพระองค์ใช้ชีวิตที่เหลือในพระบรมมหาราชวัง แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทรงชื่นชมการแต่งกายของพระวรกัญญาปทาน ส่งผลให้ ผ้าซิ่น กลายเป็นแฟชั่นพระราชนิยมในหมู่สตรีชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ
แม้ว่า ผ้าซิ่น จะกลายเป็นที่นิยมในราชสำนัก แต่แนวคิดเรื่องแฟชั่นตะวันตกยังคงมีอิทธิพลอย่างมาก ใน วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2463 (1920) หนังสือพิมพ์ไทยได้เผยแพร่บทความที่สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแฟชั่นไทยและตะวันตก โดยชักชวนให้สตรีไทยนุ่ง ผ้าซิ่น แทนการสวมกระโปรงแบบตะวันตก พร้อมระบุว่า:
“หนังสือพิมพ์ไทย ฉบับวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2463 เขียนชักชวนให้สตรีนุ่งผ้าซิ่น อย่า ‘ดัดจริต’ นุ่งกระโปรงฝรั่ง เพราะพระราชินีในอนาคตคือ พระวรกัญญาปทาน ได้ทรงนำนุ่งผ้าซิ่นขึ้นแล้ว”
คำว่า “อย่าดัดจริต” สะท้อนถึงทัศนคติเชิงลบต่อการแต่งกายแบบตะวันตก และสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดชาตินิยมของรัชกาลที่ 6 ซึ่งเน้นเสริมสร้างอัตลักษณ์ไทย การที่พระวรกัญญาปทานเลือกนุ่งผ้าซิ่น จึงทำให้ผ้าซิ่นกลายเป็นเครื่องแต่งกายที่มีความหมายทางวัฒนธรรมและเป็นที่ยอมรับในระดับสูง
สไตล์ที่ปูทางสู่แฟชั่นยุค 1920
แม้ว่าช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่ยุคของ flapper fashion โดยตรง แต่รูปแบบเสื้อผ้าและการแต่งกายของสตรีสยามในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 นับเป็น ต้นแบบของแฟชั่นยุค 1920 การเปลี่ยนจาก ผ้าซิ่นยาวสู่ผ้าซิ่นสั้น และจาก ผมสั้นทรงดอกกระทุ่มไปสู่ผมยาวดัดลอน เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ flapper style ในช่วงกลางทศวรรษ 1920
ภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วย AI นี้ ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของแฟชั่นที่กำลังพัฒนา แสดงให้เห็นถึงสตรีไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่ โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนเองไว้ การผสมผสานระหว่างการไว้ผมยาว การสวมเสื้อเบลาส์สไตล์ตะวันตก และผ้าซิ่นที่ปรับเข้ากับยุคสมัย เป็นสไตล์ที่ปูทางไปสู่แฟชั่นในยุคถัดไป ขณะเดียวกันก็ยังคงแสดงถึงอิทธิพลของแฟชั่นตะวันตกที่ค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาในสังคมไทย
Pha-Sin and the New Identity of Thai Women: Post-WWI Fashion and Royal Influence in the Reign of King Rama VI
During the mid-reign of King Vajiravudh (Rama VI, 1915–1920), the fashion of elite women in Siam underwent significant transformation, influenced by global trends. Postwar styles gradually merged with the late Teens fashion (1915–1919), which marked the end of the Art Nouveau era and the transition toward Art Deco in the 1920s. This style emphasised simplicity, columnar silhouettes, lowered waistlines, and shorter hemlines that no longer brushed the floor. These changes reflected a global shift toward practicality and comfort in women’s everyday attire.
The Pha Sin – From Regional Garment to National Symbol
Under the reign of King Chulalongkorn (Rama V, 1868–1910), the pha sin was perceived as an ethnic or regional garment worn by women from provinces outside Bangkok, particularly the North and Northeast, which were considered peripheral. Women in Bangkok favoured the chong kraben and sported short hair in the dok krathum style, while women who wore the pha sin typically had long, coiled hair.
Princess Dara Rasmi, a royal consort from Chiang Mai, introduced the pha sin to the royal court. Although she wore it only within her private quarters, she became known for steadfastly preserving her Lanna identity. Her choice to wear the pha sin symbolised the cultural diversity within the Thai monarchy and promoted the visibility of Lanna heritage in Bangkok's courtly culture.
The Pha Sin's Transformation into a National Identity
After World War I, geopolitical shifts created a sense of identity insecurity among many nations. The fall of major empires such as Austro-Hungary and the Ottoman Empire led to the emergence of new nation-states, which sought to build unity through culture. Nationalism became a key tool in forging pride and cohesion, reinforced through language, history, traditional clothing, and rituals.
In Europe, many countries returned to regional dress to express national identity. In Austria and Germany, garments like the dirndl and lederhosen regained popularity. In Austria, Viktor von Geramb encouraged the modern adaptation of folk dress to revive national consciousness after the collapse of the Austro-Hungarian Empire.
Similarly, in Wales, rural women’s dress evolved into a recognised national costume by the 1880s, becoming widely worn at annual festivals such as the Eisteddfodau and on Saint David’s Day. Girls would wear this attire with pride, contributing to the formation of a distinctly Welsh cultural identity.
In Siam, although not initially a direct participant in the war, the kingdom’s entry into the conflict in 1917 as an Allied power under King Rama VI had significant implications. The deployment of Siamese volunteer troops to Europe and Siam’s position among the war’s victors elevated its status on the global stage. Domestically, however, Western cultural influence remained pervasive.
King Rama VI actively promoted the concept of "Thainess" alongside modernisation, using literature, sport, and fashion to foster national identity. Among his efforts was the encouragement of elite women to adopt the pha sin, once considered a regional garment, as a unifying national symbol for modern Siamese femininity.
Previously popular among women of Lanna, Isan, and Lao descent, the pha sin was regarded as peripheral to Bangkok's mainstream. But under Rama VI’s influence, it gradually entered the wardrobes of urban elite women and gained formal recognition. The pha sin began to replace the chong kraben among upper-class women, not as a nostalgic revival but as a redefinition of modern Siamese womanhood that combined cultural heritage with global elegance.
This transformation in clothing was mirrored by changes in women’s hairstyles. Women in King Rama VI’s time abandoned the short dok krathum haircut popular during King Rama V’s era and began growing their hair long and styling it in accordance with Western trends. Long curled hair paired with postwar blouses featuring longer hemlines, pha sin, white stockings, and high heels created a transitional look for Thai women. This look became a precursor to the 1920s fashion era, marked by mobility, grace, and a fusion of local and global aesthetics.
The Turning Point: The Royal Adoption of the Pha Sin
The pivotal moment in the pha sin’s rise came when Mom Chao Vanvimol Voravan, later titled Phra Vorakanyapatthan, adopted it as her daily dress while residing at Chitralada Villa during King Rama VI’s reign. Upon her engagement to King Rama VI, the pha sin began to receive broader acceptance. Though the engagement was brief and she later spent the rest of her life within the Grand Palace, the King’s admiration for her attire helped elevate the pha sin to a fashionable status among Bangkok’s noblewomen.
Despite the pha sin’s growing popularity at court, Western fashion remained influential. On 5 January 1920, a Thai newspaper published an article urging Thai women to wear the pha sin instead of Western skirts, reflecting the cultural tension of the time. The article declared:
"In its 5 January 1920 edition, the Thai newspaper urged women to wear the pha sin and not ‘pretentiously imitate’ foreign skirts, as the future queen, Phra Vorakanyapatthan, has already adopted the pha sin."
The phrase "do not pretentiously imitate" reflects a critical view of Western dress and underscores the nationalist tone of Rama VI’s reign. Phra Vorakanyapatthan’s choice to wear the pha sin imbued the garment with symbolic and cultural significance, elevating it to a mark of elite respectability.
A Style That Paved the Way to 1920s Fashion
Although this period did not yet witness the full emergence of flapper fashion, the clothing and style of Siamese women in the late Rama VI era laid the foundation for the 1920s aesthetic. The shift from long pha sin to shorter ones, and from cropped dok krathum hairstyles to curled long hair, were clear signs of the upcoming flapper trend that would take hold by the mid-1920s.
The AI-generated imagery accompanying this article captures the evolving image of Thai women entering the modern world while retaining their identity. The fusion of long hair, Western-style blouses, and the updated pha sin formed a transitional style that bridged traditional elegance and contemporary international trends, illustrating the gradual assimilation of Western fashion into Thai society.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI




















































