History of Fashion

Lupt Utama Lupt Utama

ศิราภรณ์ขนนกกระเต็นของสตรีสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ชิง

มงกุฎเปลวเพลิงสีฟ้า: ศิราภรณ์ขนนกกระเต็นของสตรีสูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ชิง

ในพระราชสำนักแห่งราชวงศ์ชิงของจีน อันเต็มไปด้วยระเบียบแบบแผนแห่งความงาม เครื่องประดับของเครื่องแต่งกายที่โดดเด่นและเปี่ยมด้วยสัญลักษณ์อันสูงส่ง คือ เครื่องประดับศีรษะหรือศิราภรณ์ที่เรียกว่า ไต้จื่อ (钿子, dianzi) ที่สตรีชั้นสูงในราชสำนักสวมใส่ ด้วยโครงสร้างที่ประณีต ประดับและตกแต่งด้วยขนนกกระเต็นน้อย สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ที่ระยิบระยับเมื่อต้องแสง สวมใส่พร้อมกับเครื่องประดับล้ำค่าอื่น ๆ ทำให้เครื่องศีรษะชิ้นนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอันสง่างามแห่งจักรพรรดินีหรือฮองเฮา 皇后 - huánghòu

ภาพในบทความนี้คือส่วนหนึ่งของคอลเลกชันที่ผมสร้างขึ้นผ่าน โมเดล AI แบบ LoRA (Low-Rank Adaptation) ที่ได้รับการฝึกจากชุดข้อมูลภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูงของศิราภรณ์ที่เรียกว่า ไต้จื่อ จากพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก เป็นการผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยีแฟชั่น, การอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ในเชิงดิจิทัล, และ การออกแบบร่วมสมัยผ่านมุมมองสร้างสรรค์

รากเหง้ามาจากแมนจู: เครื่องศีรษะแห่งอัตลักษณ์และชนชั้น

ชาวแมนจูผู้สถาปนาราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1644 นำวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากชาวฮั่นมาสู่ราชสำนัก หนึ่งในความแตกต่างที่เด่นชัด คือ สตรีแมนจู ไม่รัดเท้า แบบสตรีฮั่น และเลือกแสดงสถานะผ่านเครื่องแต่งกายศีรษะแทน

ศิราภรณ์ไต้จื่อไม่ได้มีสีทองตามที่หลายแหล่งเข้าใจผิด แต่กลับเปล่งประกายด้วย สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ของขนนกกระเต็น ซึ่งเป็นการตกแต่งด้วยเทคนิคโบราณที่เรียกว่า tian-tsui (点翠) หรือ "แต้มขนนก" ซึ่งสื่อถึงศักดิ์ศรีและชาติกำเนิดอันสูงส่งของผู้สวมใส่

ศิลปะ “แต้มขนนก” (Tian-tsui 点翠)

ความงามของศิราภรณ์ไต้จื่อไม่ได้มาจากการทาสีลงไปบนโลหะที่เป็นโครงของเครื่องประดับ แต่เป็นการประดับด้วย ประดับและตกแต่งด้วยขนนกกระเต็น ซึ่งสะท้อนแสงด้วยโครงสร้างของนกแต่ละเส้น ศิลปะ “แต้มขนนก” นี้ต้องใช้ความประณีตสูง และสงวนไว้เฉพาะสตรีระดับสูงในราชสำนักเท่านั้น

ขั้นตอนการสร้าง:

  • ขึ้นโครงโลหะ ด้วยทอง เงิน หรือทองแดง เป็นลวดลายดอกโบตั๋น นกฟีนิกซ์ หรือเถาวัลย์มงคล

  • เลือกขนและติดด้วยกาวธรรมชาติ เช่น กาวปลาหรือยางไม้ เพื่อไม่ให้ขนเสียความเงางาม

  • ประดับเพิ่มเติม ด้วยไข่มุก หยก ปะการัง และเครื่องเคลือบลาย ทำให้เครื่องศีรษะมีมิติและอ่อนช้อยมากยิ่งขึ้น

เฉดสีฟ้าที่ได้จากขนนกกินปลามีลักษณะพิเศษที่ยากจะเลียนแบบ เป็นเครื่องหมายของอำนาจ ความมั่งคั่ง และความงามอันสูงส่งในราชสำนัก

ความงามที่แลกมาด้วยชีวิต: การค้าขายขนนกกับการสูญพันธุ์

ความนิยมในงานแต้มขนนกทำให้เกิดการล่า นกกระเต็นน้อย ในจีน เวียดนาม ลาว และไทย เพื่อนำขนมาผลิตเครื่องประดับให้กับชนชั้นสูงในราชสำนักชิง การล่านี้ส่งผลให้ประชากรนกกระเต็นน้อยในบางพื้นที่ ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว หรือจนเกือบสูญพันธุ์ การค้าขายนกกระเต็นน้อยกลายเป็นธุรกิจที่สร้างความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม สมัยปัจจุบันจึงยกเลิกการใช้ขนจริงแทบทั้งหมด และใช้วัสดุเทียมหรือวิธีจำลองทางดิจิทัลแทน

แฟชั่นสตรีในราชสำนักแห่งราชวงศ์ชิง: ภาษาแห่งอำนาจจากเครื่องแต่งกาย

การแต่งกายของสตรีในราชสำนักแห่งราชวงศ์ชิง เป็นระบบการแต่งกายที่ละเอียดอ่อน และแต่งต่างกันตามยศของเจ้านายฝ่ายใน สตรีชั้นสูงจะสวมชุด เฉาเฝา (朝服) หรือ เฉาเผ่า (朝袍) ที่มีลวดลายมังกร กลีบเมฆ และสัญลักษณ์มงคลต่างๆ

  • สีสัน บ่งบอกชนชั้น สีเหลืองจักรพรรดิสงวนไว้ให้ฮองเฮาเท่านั้น ส่วนสีม่วง แดง น้ำเงิน สงวนไว้สำหรับสนมชั้นรอง

  • เครื่องประดับ เช่น สร้อยลูกปัดยาว (chaozhu), ตุ้มหูหยก, รองเท้าผ้าไหม และแน่นอนว่า เครื่องประดับศีรษะ แบบศิราภรณ์ไต้จื่อ คือจุดเด่นที่สุด

  • ทรงผม มักถักแน่นและยกสูง เพื่อรองรับน้ำหนักของเครื่องประดับศีรษะ

ภาพในบทความนี้ เป็นผลลัพธ์ของการ ฝึกโมเดล AI ด้วย Flux LoRA โดยใช้ภาพของเครื่องประดับศรีษะจากพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในโลก เพื่อฝึกให้ AI เข้าใจโครงร่างของศิราภรณ์ไต้จื่อแห่งราชวงศ์ชิง

  • แหล่งข้อมูล: พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม (ปักกิ่ง), British Museum, Victoria & Albert Museum, Metropolitan Museum of Art และพิพิธภัณฑ์เอกชน

  • เป้าหมาย: สร้างภาพแฟชั่นของศิราภรณ์ไต้จื่อ ของสตรีสูงศักด์แห่งราชวงศ์ชิงในรูปแบบที่ใกล้เคียงประวัติศาสตร์ที่สุด ทั้งในแง่โครงสร้าง สัดส่วน ลายปัก สี และเครื่องประดับ

จากวังหลวงสู่หน้าจอ: แรงบันดาลใจจากซีรีส์ “Ruyi’s Royal Love in the Palace”

ซีรีส์เรื่อง Ruyi’s Royal Love in the Palace (如懿传) ซึ่งออกอากาศในปี ค.ศ. 2018 ได้ฟื้นคืนความสง่างามของเครื่องแต่งกายของราชวงศ์ชิงอีกครั้ง ชุดของตัวละคร โดยเฉพาะศิราภรณ์ไต้จื่อ ถูกออกแบบอย่างประณีตเพื่อสื่อถึงสถานะ อำนาจ และอารมณ์ในแต่ละฉาก

ในคอลเลกชัน AI ของผม ผมพยายามนำจิตวิญญาณของความงามเชิงประวัติศาสตร์นั้นกลับมาอีกครั้ง ด้วยการผสมผสาน ข้อมูลเชิงพิพิธภัณฑ์, เทคโนโลยี AI, และ การออกแบบภาพด้วยเทคโนโลยีร่วมสมัย เพื่อเป็นสะพานเชื่อมโลกอดีตกับปัจจุบัน

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นแบบตะวันตกยุคแรกแห่งสยาม: แฟชั่นสตรีไทยในต้นรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2413–2433) 1870s-1880s

แฟชั่นแบบตะวันตกยุคแรกแห่งสยาม: แฟชั่นสตรีไทยในต้นรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2413–2433) 1870s-1880s

ในช่วงทศวรรษแรกแห่งรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) สยามกำลังยืนอยู่ ณ ห้วงเวลาของ ประเพณีกับความทันสมัย พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชบิดาในปี พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา ท่ามกลางแรงกดดันจากลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก พระองค์ทรงดำเนินนโยบายปรับตัวอย่างระมัดระวัง ทั้งในด้านการทูต การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อธำรงเอกราชของสยามให้มั่นคง

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ได้นำไปสู่พัฒนาการที่น่าสนใจในแวดวงเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะในราชสำนักฝ่ายใน ซึ่งเกิดเป็นการผสมผสานกันอย่างประณีตระหว่าง โครงเสื้อแบบตะวันตกกับรสนิยมไทย นำมาสู่รูปแบบแฟชั่นที่สะท้อนตัวตนแห่งยุคสมัย และนั่นคือหัวใจของ คอลเลกชันภาพที่สร้างโดย AI ชุดนี้

อัตลักษณ์ใหม่ผ่านเครื่องแต่งกาย: เมื่อแฟชั่นราชสำนักกลายเป็นศิลปะถ้อยแถลงทางวัฒนธรรม

ในช่วงทศวรรษ 2410 (ค.ศ. 1870s) ขณะที่อังกฤษกำลังขยายอำนาจในพม่า และฝรั่งเศสเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลในเขมรและเวียดนาม สยามเลือกแนวทางการปรับตัวอย่างมียุทธศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประพาสต่างประเทศ ทั้งที่สิงคโปร์ ชวา และบริติชอินเดีย ขณะนั้น บริติชอินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) ซึ่งในปี พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1877) ได้ทรงรับพระราชสมัญญาว่า จักรพรรดินีแห่งอินเดีย (Empress of India) อย่างเป็นทางการ ส่วนในภูมิภาคอินโดจีน จักรวรรดิฝรั่งเศสภายใต้รัชสมัยของ พระเจ้าหลุยส์ ฟิลิปป์ (สิ้นสุดในปี 1848) และต่อมาโดย นโปเลียนที่ 3 (Napoleon III)(ค.ศ. 1852–1870) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สาม ได้ขยายอำนาจเข้าครอบครองเวียดนาม เขมร และลาว จนกลายเป็น อินโดจีนฝรั่งเศส (French Indochina) ในเวลาต่อมา การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสด็จเยือนบริติชอินเดีย จึงไม่เพียงเพื่อการเรียนรู้ แต่ยังสะท้อนการสร้างสมดุลทางอำนาจกับจักรวรรดิยุโรปทั้งสอง

ท่ามกลางฉากหลังทางการเมืองนี้ ภาพลักษณ์ของพระราชสำนักกลายเป็นเครื่องมือเชิงอำนาจละมุน (soft power) การแต่งกายของฝ่ายในโดยเฉพาะ บรรดาเจ้าจอมและพระมเหสี ได้เปลี่ยนแปลงไปเพื่อสะท้อนทั้งความเปิดรับโลกตะวันตกและความเป็นไทยที่ยังหยั่งรากลึก ซึ่งเห็นได้ชัดจากการประยุกต์ใช้ เสื้อลูกไม้แบบตะวันตก (bodice) ควบคู่กับ โจงกระเบน และ สไบ

AI กับการสืบค้นแฟชั่นในอดีต: ฟื้นคืนความงามที่เลือนหาย

คอลเลกชันนี้ถูกสร้างขึ้นจาก โมเดล AI แบบ LoRA (Low-Rank Adaptation) โดยใช้ชุดข้อมูลหลักจากสองแหล่งสำคัญ ได้แก่:

  • ภาพถ่ายขาวดำจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งบันทึกภาพของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี และ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ในรัชกาลที่ 5

  • แฟชั่นสตรีจากยุโรปในช่วง ค.ศ. 1870–1880 โดยเฉพาะชุดยุค Second Bustle ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ เสื้อรัดรูป การสวมกระโปรงแบบโครงหางกระรอก

การเริ่มต้นคอลเล็คชั่นนี้เริ่มด้วยการลงสีภาพโบราณด้วย AI แล้วจึงพัฒนาแบบจำลองทางภาพที่สะท้อนสไตล์ ลูกผสมระหว่างความหรูหราแบบตะวันตกและอัตลักษณ์แบบสยาม

องค์ประกอบแฟชั่นสำคัญในคอลเลกชัน

  1. เสื้อบอดีซ์ (bodice)/เสื้อลูกไม้แบบตะวันตก
    เสื้อบอดีซ์แบบตะวันตกถูกปรับให้เหมาะกับอากาศร้อน โดยใช้ผ้าสีอ่อน เช่น ผ้าไหมไทย ผ้าฝ้าย ลูกไม้ปักมือ และคาดว่ามีการสวมคอร์เซ็ตแบบตะวันตก

  2. สไบและโจงกระเบน
    สไบ ยังคงสวมแบบดั้งเดิม คือพันรอบตัวแล้วพาดไหล่ซ้าย ส่วน โจงกระเบน ใช้แทนกระโปรงสุ่มแบบยุโรป โดยยังคงความสง่างามของซิลูเอตไว้

  3. ถุงเท้าและรองเท้า
    สตรีราชสำนักสวม ถุงเท้าลูกไม้ปักลวดลาย คู่กับ รองเท้าหนังปิดส้นหรือรองเท้าส้นเตี้ย ซึ่งสะท้อนความหรูหราและความคล่องตัวอย่างไทย

  4. ทรงผม “ดอกกระทุ่ม”
    ผมตัดสั้น เรียบง่าย ไม่แต่งเติมมาก เรียกว่า “ทรงดอกกระทุ่ม” เป็นทรงผมหลักของสตรีฝ่ายในในช่วงนี้ สะท้อนความเรียบง่าย ทว่าเปี่ยมด้วยกิริยางามตามแบบไทย

บริบททางวัฒนธรรม: แฟชั่นในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน

แฟชั่นในยุคนี้มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับบริบททางสังคมและการเมือง:

  • การปฏิรูปการปกครอง: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงริเริ่มการปฏิรูปด้านภาษีและการบริหาร ทำให้บทบาทของชนชั้นขุนนางเปลี่ยนแปลง

  • การเผยแพร่วิทยาการตะวันตก: การศึกษาภาษาต่างประเทศ วิชาการตะวันตก และวิทยาศาสตร์เริ่มถูกสถาปนาในหมู่ราชสำนัก

  • บทบาทสตรีในสังคมไทย: เจ้านายฝ่ายในทรงมีบทบาทในด้านการแพทย์ การศึกษา และการอนามัย ดังเช่น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีทรงดำรงตำแหน่งองค์สภาชนนีสภาอุณาโลมแดง อันเป็นชื่อแรกของสภากาชาดไทยเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งในต้นรัชกาลที่ 5 

  • การทูตกับชาติตะวันตก: เครื่องแต่งกายกลายเป็น “ภาษา” ที่สยามใช้แสดงอารยธรรมและความก้าวหน้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศส

คอลเลกชัน AI นี้มีความหมายอย่างไร?

คอลเลกชันนี้มิใช่เพียงจินตนาการหรือแฟชั่นย้อนยุค แต่คือผลงานที่เกิดจากการ ศึกษา สังเคราะห์ และตีความทางประวัติศาสตร์ด้วยเครื่องมือ AI อย่างมีจริยธรรม โดยผสมผสานข้อมูลจริงจากภาพถ่ายและเครื่องแต่งกายตามแฟชั่นในอดีต แฟชั่นสามารถช่วยในการตีความและการศึกษา และยังเป็นเสมือน ภาษาของทั้งด้านการเมือง และวัฒนธรรม ได้อย่างงดงาม

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทยในช่วงทศวรรษ 1890

เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทยในช่วงทศวรรษ 1890

เสื้อทรงแขนหมูแฮม: สัญลักษณ์แห่งแฟชั่นวิกตอเรีย

แขนหมูแฮมถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของแฟชั่นยุคปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งสะท้อนถึงความงดงามและความประณีตของยุควิกตอเรีย ลักษณะเด่นของแขนหมูแฮมคือความพองโตบริเวณต้นแขนที่ค่อย ๆ แคบลงจนแนบชิดที่ข้อมือ ซึ่งช่วยสร้างภาพเงา (silhouette) ที่ดูโดดเด่นและสง่างาม แขนหมูแฮมได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นยุคโรแมนติกในทศวรรษ 1830 ก่อนกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในยุควิกตอเรีย

ช่วงทศวรรษ 1890 (พ.ศ. 2433–2442) แขนหมูแฮมถือเป็นแฟชั่นที่โดดเด่นเพียงทศวรรษเดียว โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1895 (พ.ศ. 2438) แขนเสื้อได้พัฒนาให้มีความพองโตที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงความงดงามและความหรูหราของแฟชั่นในยุคนั้น โดยแขนหมูแฮมมักจับคู่กับเสื้อคอร์เซ็ตที่รัดแน่นและกระโปรงทรงเอไลน์ สร้างภาพลักษณ์ที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งตามอุดมคติของความงามในยุควิกตอเรีย

การผสมผสานแฟชั่นตะวันตกเข้าสู่ราชสำนักไทย

ในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประเทศสยามอยู่ในช่วงของการปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย รวมถึงการรับวัฒนธรรมและแฟชั่นตะวันตกเข้ามา อิทธิพลเหล่านี้ขยายไปถึงการแต่งกายในราชสำนักฝ่ายใน ซึ่งสมาชิกในฝ่ายในได้ปรับใช้แฟชั่นจากตะวันตกเข้ากับเครื่องแต่งกายไทยแบบดั้งเดิมจนเกิดเป็นสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ แขนหมูแฮมกลายเป็นจุดเด่นของแฟชั่นในราชสำนัก ซึ่งแสดงถึงการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและมรดกทางวัฒนธรรม

มีความเป็นไปได้ว่าการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกของรัชกาลที่ 5 ในปี ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) มีส่วนสำคัญต่อการนำแฟชั่นแขนหมูแฮมเข้าสู่ราชสำนักไทย พระองค์อาจทรงนำแรงบันดาลใจจากแฟชั่นยุโรปกลับมาหรือสั่งตัดเสื้อผ้าสำหรับพระราชทานแก่ฝ่ายใน พร้อมทั้งแฟชั่นของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในสยามในช่วงเวลานั้น ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของแฟชั่นในยุคนั้น

สตรีในราชสำนักฝ่ายในได้ผสมผสานเสื้อสไตล์วิกตอเรียที่มีแขนหมูแฮมเข้ากับโจงกระเบน จนเกิดเป็นการแต่งกายที่งดงามและมีเอกลักษณ์ แขนเสื้อที่พองโตช่วยเพิ่มความสง่างาม ในขณะที่โจงกระเบนยังคงสะท้อนถึงความเป็นไทย ชุดเหล่านี้มักตัดเย็บจากผ้าไหมชั้นดี พร้อมด้วยการปักลวดลายที่ละเอียดอ่อนซึ่งผสมผสานระหว่างความงดงามแบบตะวันตกและศิลปะไทย

การฟื้นฟูประวัติศาสตร์ด้วย AI

เพื่อรักษาและเฉลิมฉลองการผสมผสานแฟชั่นที่น่าสนใจนี้ ผมได้เริ่มโครงการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสร้างภาพที่สะท้อนถึงความงดงามของราชสำนักไทยในช่วงทศวรรษ 1890 โดยใช้ภาพถ่ายเก่าของสตรีในราชสำนักเป็นฐานข้อมูล ผมได้ทำการปรับแต่งสีภาพเหล่านี้เพื่อเผยให้เห็นถึงความงดงามของผ้าไหมและรายละเอียดของแขนหมูแฮม

ภาพที่ปรับแต่งเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในโมเดล AI เพื่อจำลองภาพโครงร่างเงาของแฟชั่นยุควิกตอเรียในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์แบบไทย ผลลัพธ์ที่ได้เผยให้เห็นถึงความงดงามของเนื้อผ้า สีสันที่สดใส และรูปทรงของแขนหมูแฮมที่เข้ากันได้อย่างลงตัวกับองค์ประกอบไทยดั้งเดิม

มรดกแห่งการผสมผสานทางวัฒนธรรม

แขนหมูแฮมถือเป็นแฟชั่นในช่วงเวลาที่สั้นๆในประวัติศาสตร์แฟชั่นยุควิกตอเรีย ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมและนวัตกรรมในยุคนั้น อิทธิพลของแฟชั่นแขนหมูแฮมต่อราชสำนักไทยในทศวรรษ 1890 แสดงถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ซึ่งแฟชั่นกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความงามจากสองวัฒนธรรม การใช้เทคโนโลยี AI ในการฟื้นฟูแฟชั่นเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถอนุรักษ์ความงดงามและเผยแพร่มรดกนี้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมต่อไป

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เพราะรัฐธรรมนูญเปิดทางให้สตรีสยามเฉิดฉาย

เพราะรัฐธรรมนูญเปิดทางให้สตรีเฉิดฉาย

รู้จัก “กันยา เทียนสว่าง” นางสาวสยามคนแรกของไทย
ในวันที่ “ผู้หญิง” กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย

“กันยา เทียนสว่าง” คือหญิงสาวผู้ได้รับตำแหน่ง นางสาวสยามคนแรกของประเทศ ในปี พ.ศ. 2477 ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดงานฉลองครบรอบ 2 ปีรัฐธรรมนูญ และได้ริเริ่มการประกวด “นางสาวสยาม” เป็นครั้งแรก ณ สวนสราญรมย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสโมสรคณะราษฎรในเวลานั้น

กันยา เทียนสว่าง ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 21 ปี เข้าร่วมประกวดในนามของจังหวัดพระนคร และเป็นหนึ่งใน 50 สาวงามที่ขึ้นเวทีประชันความงามในค่ำคืนวันที่ 10 ธันวาคม โดยการประกวดตัดสินผลในคืนวันที่ 12 ธันวาคม เธอทำงานเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนประชาบาลทารกานุเคราะห์ และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดสังเวช โรงเรียนราชินี และโรงเรียนสตรีวิทยา

กันยาเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2457 ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เดิมชื่อ “เจียเป็งเซ็ง” ชื่อเล่นว่า “ลูซิล” เพราะมีใบหน้าคม จมูกโด่งดูคล้ายชาวตะวันตก เธอเป็นธิดาคนโตของนายสละ เทียนสว่าง นายท่าเรือที่ท่าเขียวไข่กา บางกระบือ และนางสนอม เทียนสว่าง ซึ่งเป็นสตรีเชื้อสายมอญ

การประกวดในครั้งนั้นได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากประชาชนทั่วประเทศ เพราะเป็นกิจกรรมใหม่ที่เปิดโอกาสให้สตรีไทยได้แสดงตัวตนต่อสาธารณชนในสังคมประชาธิปไตย โดยมีหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการประกอบด้วยบุคคลสำคัญ เช่น พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เจ้าพระยารามราฆพ และได้รับการดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายโดยหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา

รางวัลที่เธอได้รับประกอบด้วย มงกุฎเงินประดับเพชร หุ้มผ้ากำมะหยี่ปักดิ้นเงิน ล็อกเก็ตทองคำ ขันเงินสลักคำว่า "นางสาวสยาม ๗๗" เข็มกลัดทองคำลงยาอักษร “รัฐธรรมนูญ ๗๗” และเงินสด 1,000 บาท (ซึ่งต่อมาทางรัฐบาลขอรับคืนเพื่อบริจาคสมทบทุนการทหาร) มงกุฎของเธอภายหลังได้สูญหายเนื่องจากถูกขโมยในช่วงก่อนที่เธอจะเข้าพิธีสมรส

แม้จะได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ แต่การประกวดของกันยาในครั้งนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ญาติผู้ใหญ่ เนื่องจากเธอไปประกวดโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และด้วยคติความเชื่อของชาวมอญในสมัยนั้น การขึ้นเวทีแสดงตนในที่สาธารณะยังถือว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม

หลังพ้นจากตำแหน่ง กันยาได้เข้าทำงานที่หอสมุดแห่งชาติ และได้พบกับ ดร. สุจิต หิรัญพฤกษ์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งคู่สมรสกันเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2486 โดยมีนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในพิธี

ชีวิตสมรสของกันยาเปี่ยมด้วยความรักและความเข้าใจ เธอมีบุตรธิดาทั้งหมด 5 คน ได้แก่ สุกันยา (นิมมานเหมินท์), ทินกร, สุจิตรา, สุวิชา และสุชาติ ดร. สุจิต ต่อมาได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี และเป็นตัวแทนไทยในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งแรก โดยดำรงตำแหน่งโฆษกฝ่ายไทยประจำสำนักงานใหญ่ UN ที่นิวยอร์ก

ครอบครัวของเธอยังได้ดำเนินกิจการเพาะเลี้ยงไข่มุก “นาคาไข่มุก” บนเกาะนาคา จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม งานประกวดนางสาวสยามในบริบทของงานฉลองรัฐธรรมนูญต้องยุติลงในปี พ.ศ. 2497 เนื่องจากสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมต่อเนื่องได้ จึงปิดฉากงานเฉลิมฉลองที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพและบทบาทสตรีในสังคมประชาธิปไตยไทยไปในที่สุด

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ (ตอนที่ ๓)

พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ (ตอนที่ ๓)

จินตนาการถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว — โลกคู่ขนานที่สังคมไทยรับเอาแฟชั่นตะวันตกมาประยุกต์ใช้ในบริบทไทยได้อย่างวิจิตรบรรจง คอลเลกชันนี้ถ่ายทอดจินตนาการนั้น ด้วยการผสานความงามของศิลปะแบบอาร์ตเดโคในยุค 1920 เข้ากับโครงร่างเสื้อผ้าแบบไทย และงานหัตถศิลป์อันประณีตงดงาม

คอลเลกชันนี้มี สองโครงร่างสำคัญ ที่โดดเด่น: โครงร่างแรกได้แรงบันดาลใจจากการแต่งกายแบบไทยดั้งเดิม คือ โครงร่างเส้นตรงคล้ายการนุ่งผ้าซิ่น ซึ่งมีรูปทรงตรง เรียบง่าย สง่างาม โดยชุดในสไตล์นี้ประดับด้วยลวดลายปักละเอียด และการปักลูกปัดวิจิตร พร้อมสายสะพายผ้าไหมที่พาดไหล่ สะท้อนความงามของการแต่งกายชั้นสูงในสังคมไทย
โครงร่างที่สองเป็นการนำเสนอ แฟชั่นตะวันตกยุค 1920 ซึ่งมีลักษณะ ชายกระโปรงบานเป็นชั้น ผ้าชีฟอง และความเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ แบบแฟลปเปอร์ ชุดเดรสประดับด้วยงานลูกปัดและผ้าหรูหรา ตัดเย็บอย่างวิจิตรบรรจง ถ่ายทอดบรรยากาศของความสนุกสดใสในแบบตะวันตก แต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามแบบไทย

สองโครงร่างนี้ — รูปทรงผ้าซิ่นแบบเส้นตรงของไทย และเดรสแฟลปเปอร์ที่มีชีวิตชีวาของตะวันตก — ผสานกันอย่างกลมกลืน ถ่ายทอดเรื่องราวของยุคสมัยที่ไทยเปิดรับโลกสมัยใหม่โดยยังรักษารากเหง้าของตนเอง

บรรยากาศของกรุงเทพฯ ในยุค 1920 — เมืองที่กำลังตื่นตัวกับความทันสมัย แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ — ถูกถ่ายทอดผ่านงานออกแบบในคอลเลกชันนี้อย่างชัดเจน ชุดเดรสประดับด้วยงานปักและงานประดับลูกปัดอันวิจิตร ผสมผสานลวดลายเรขาคณิตและสีเมทาลิคแบบศิลปะแบบอาร์ตเดโคอย่างลงตัว

สำหรับเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ คอลเลกชันนี้นำเสนอแฟชั่นสากลแบบ evening dress ยุค 1920 ด้วยชุดสูทแบบ white tie ประกอบด้วยเสื้อโค้ตหางยาว เสื้อกั๊กสีงาช้าง โบว์ไทสีขาว และเสื้อเชิ้ตแบบเป็นทางการ สะท้อนถึงความสง่างามของสุภาพบุรุษสยามที่เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖

อิทธิพลของศิลปะแบบอาร์ตเดโคในแฟชั่นสยาม

ศิลปะแบบอาร์ตเดโค ถือเป็นหนึ่งในขบวนการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในต้นศตวรรษที่ 20 กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงทศวรรษ 1910 และรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1920–1930 มีลักษณะเด่นคือรูปทรงเรขาคณิต ความสมมาตร และการเลือกใช้วัสดุหรูหรา อาร์ตเดโคเน้นเส้นตรง มุมแหลม และสีเมทาลิค เช่น สีทอง สีเงิน และสีคอปเปอร์ เป็นการสื่อถึงความก้าวหน้าและความงามแบบโฉบเฉี่ยวในยุคสมัยใหม่

แฟชั่นยุค 1920: ยุคใหม่แห่งความสง่างาม

แฟชั่นในทศวรรษ 1920 เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเสื้อผ้ารัดรึงแบบเดิม หันมาใช้เสื้อผ้าที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ สไตล์แฟลปเปอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้ มีลักษณะเด่นคือ ช่วงเอวต่ำ เดรสยาวระดับเข่า และการตกแต่งหรูหรา ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง เช่น Jeanne Lanvin, Coco Chanel และ Paul Poiret

ในคอลเลกชันนี้ เดรสถ่ายทอดความงามของแฟชั่นอาร์ตเดโค ด้วยงานปัก งานลูกปัด และแอปพลิเคอย่างวิจิตร เครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุกเส้นยาว ที่คาดผมลูกปัดประดับขนนก ถุงมือผ้าซาติน และรองเท้าส้นสูง ล้วนเสริมให้ลุคโดยรวมสง่างามอย่างถึงขีดสุด

ไฮไลต์ของคอลเลกชัน

หนึ่งในชุดที่โดดเด่นที่สุด คือการนุ่งผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง ต่อด้วยชายผ้าตุ้งติ้งลูกปัดทอง ใส่คู่กับเสื้อบ่าห้อยผ้าแพรยกดิ้นทอง และสร้อยไข่มุกธรรมชาติเม็ดเล็กไม่เท่ากัน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ยกระดับความงดงามของเครื่องแต่งกายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

คอลเลกชันนี้จึงเป็นการรังสรรค์ภาพแห่งความสง่างามและจิตวิญญาณสมัยใหม่ของกรุงเทพฯ ในทศวรรษ 1920 ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ศิลปะแฟชั่นตะวันตกและแฟชั่นไทยโบราณผสานกันได้อย่างงดงามไร้รอยต่อ

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #BurmeseFashionHistory #BurmeseFashionAI #flux #fluxlora

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

งานราตรีสโมสรและเครื่องแต่งกายแบบพิธีการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ความรุ่งเรืองแห่งราชสำนักสยาม: งานราตรีสโมสรและเครื่องแต่งกายแบบพิธีการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

คอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานราตรีสโมสรของสตรีฝ่ายใน และเครื่องแต่งกายเต็มยศของข้าราชการและขุนนางฝ่ายหน้า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นช่วงที่ราชสำนักสยามเริ่มมีการปรับเปลี่ยนไปสู่ความเป็นตะวันตกอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในด้านเครื่องแต่งกายในราชสำนัก เครื่องแบบทหาร และเครื่องแต่งกายแบบพิธีการ ทั้งนี้ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากจากการปรับปรุงประเทศสยามให้ทันสมัย โดยมีแบบอย่างจากราชสำนักอังกฤษและยุโรปอย่างชัดเจน

แฟชั่นของสตรีฝ่ายในแห่งราชสำนักสยามในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ราว พ.ศ. 2443–2453) เป็นการหลอมรวมอย่างงดงามระหว่างองค์ประกอบไทยดั้งเดิมกับความสง่างามแบบตะวันตกในยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม เช่น โจงกระเบน แพรสะพาย และเสื้อลูกไม้ ยังคงได้รับการรักษาไว้ แต่โครงสร้างเสื้อผ้า เทคนิคการตัดเย็บ และการเลือกใช้เนื้อผ้าเริ่มสะท้อนรสนิยมตะวันตกมากยิ่งขึ้น เสื้อราชสำนักมีการพัฒนาเป็นเสื้อลูกไม้หรือเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบางเบา เปิดคอกว้างขึ้น แขนเสื้อสามส่วน ได้แรงบันดาลใจจากรูปทรง “อกพอง” (Pigeon-Breast Silhouette) ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน โทนสีที่ใช้เน้นความอ่อนหวาน เช่น สีงาช้าง ขณะเดียวกัน แพรสะพายก็ได้รับการพัฒนาให้เล็กลง และเบาบางมากขึ้น โดยนำเทคนิคการจับเดรปแบบชุดราตรียุโรปมาใช้ ทรงผมก็มีการปรับเปลี่ยน ทรงดอกกระทุ่มแบบดั้งเดิมได้รับการจัดแต่งให้พองและประณีตมากขึ้น คล้ายกับทรง Gibson Girl ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสตรีทันสมัยในยุคนั้น สตรีฝ่ายในยังตกแต่งด้วยเครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุกหลายชั้น เข็มกลัดประดับอัญมณี และแถบคาดศีรษะ (bandeaux) ผสานเสน่ห์ของราชสำนักไทยกับความวิจิตรแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว

สำหรับข้าราชการและขุนนางฝ่ายหน้า เครื่องแบบราชสำนักและเครื่องแบบทหารแบบตะวันตกกลายเป็นมาตรฐาน เครื่องแต่งกายเต็มยศของอังกฤษถือเป็นต้นแบบหลัก ประกอบด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสูทแบบมีหางปักดิ้นทอง อินทรธนูทอง สายสะพาย และเหรียญตราแบบยุโรป สำหรับกางเกงกาง สามารถสวมเกงขายาวสีขาวหรือกางเกงขาสั้นเหนือเข่า พร้อมทั้งถุงนองยาวสีขาว  เครื่องแต่งกายเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงยศศักดิ์และความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ของสยามในฐานะประเทศสมัยใหม่ที่ศิวิไลซ์ ภายใต้รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เครื่องแบบทหารยังคงพัฒนาต่อเนื่องตามต้นแบบอังกฤษและฝรั่งเศส โดยมีการใช้ชุด Mess Dress อินทรธนูทอง และหมวก bicorne อย่างแพร่หลาย

เครื่องแต่งกายราชสำนักในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีบทบาทเกินกว่าความงามเชิงพิธีการ หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย การทูต และความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ แม้ว่าจะเปิดรับอิทธิพลตะวันตก แต่ราชสำนักสยามยังคงรักษาความเป็นไทยผ่านงานปักทองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายศิลปะไทย การเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงนับเป็นหลักฐานอันโดดเด่นที่สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินยุทธศาสตร์แห่งความทันสมัยควบคู่ไปกับการธำรงเอกลักษณ์ของชาติ ท่ามกลางกระแสจักรวรรดินิยมที่แผ่ขยายไปทั่วโลก

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๒)

พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๒)

จินตนาการถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโลกคู่ขนานที่สังคมไทยรับเอาแฟชั่นตะวันตกเข้ามาปรับใช้ในบริบทแฟชั่นไทย คอลเลกชันนี้นำเสนอความงามแบบอาร์ตเดโคยุค 1920 ผ่านชุดเดรสแบบผสมผสานที่ประดับด้วยงานปักอันประณีต และโครงร่างเงาแบบไทยๆ เช่นการนุ่งผ้าซิ่น สไตล์นี้สะท้อนถึงความหรูหราและสง่างามของยุคสมัยในบริบทแบบไทยผสมตะวันตก เข้ากับบรรยากาศของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี

คอลเลกชันนี้ ผมได้เพิ่มเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ แฟชั่นชุดสูทแบบ evening dress แบบสากล ในทศวรรษ 1920 สูทแบบ white tie พร้อมเสื้อโค้ตหางยาวแบบราตรีสโมสร พร้อมกับโบว์ไทสีขาว และเสื้อกั๊กสีงาช้าง การแต่งตัวที่ถูกธรรมเนียมสากลแบบนี้ สื่อถึงความสง่างามแบบชายสยามในยุคที่เปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกในสมัย ร ๖

ศิลปะแบบอาร์ตเดโค หรือศิลปะแบบอลังการศิลป์ เป็นหนึ่งในขบวนการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดของต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีลักษณะเด่นคือรูปทรงเรขาคณิต ความสมมาตรอันโดดเด่น และวัสดุที่หรูหรา กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงทศวรรษ 1910 ก่อนจะถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1920 และ 1930 ศิลปะแนวนี้ตอบรับความทันสมัย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความหลงใหลในความงามที่โฉบเฉี่ยว ซึ่งเป็นการแยกกระบวนการศิลปะแบบลายเส้นโค้งอันอ่อนช้อยของศิลปะแบบอาร์ตนูโว ด้วยการแทนที่ด้วยศิลปะที่ใช้เส้นตรง มุมแหลม และลวดลายแบบเรขาคณิต ซึ่งมีอิทกับแฟชั่นและการแต่งกายที่มีความหรูหรา และโครงร่างเงา แบบทรงเลขาคณิต และองค์ประกอบที่เต็มไปด้วยสีเมทาลิค เช่น สีทอง สีเงิน และคอปเปอร์

แฟชั่นยุค 1920: ยุคใหม่แห่งความสง่างาม ทศวรรษ 1920 เป็นช่วงเวลาปฏิวัติวงการแฟชั่น ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเครื่องแต่งกายที่รัดรึงจากยุคก่อนหน้า และหันมาใช้เสื้อผ้าที่มีเส้นสายอิสระมากขึ้น สไตล์แฟลปเปอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้ โดยมีลักษณะเด่นคือช่วงเอวที่ลดต่ำลง เดรสยาวระดับเข่า และการตกแต่งที่หรูหราออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง เช่น Jeanne Lanvin, Coco Chanel และ Paul Poiret ชุดเดรสในคอลเลกชันนี้สะท้อนถึงความสวยงามของแฟชั่นอาร์ตเดโค พร้อมการปักลวดลายอย่างประณีต และเพิ่มเติมด้วยลูกปัดและงานปักแบบแอปพลิเค รวมไปถึงเครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุก ที่คาดผมประดับลูกปัดและขนนก ถุงมือซาติน และรองเท้าส้นสูง ทำให้ลุคโดยรวมมีความหรูหราและสง่างามมากยิ่งขึ้น

มีหลายภาพที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ คือภาพผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง ต่อด้วยตุ้งติ้งลูกปัดทอง ใส่กับเสื้อบ่าห้อยผ้าแพรยกดิ้นทอง และสร้อยมุกเม็ดเล็กขนาดไม่เท่ากันแบบมุกธรรมชาติ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่าทำให้ชุดสวยขึ้นมาก คอลเลกชันนี้จึงนำเสนอภาพความสง่างามและความทันสมัยของกรุงเทพฯ ในทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นการรังสรรค์ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ผสานความเป็นสมัยใหม่ ความหรูหรา และศิลปะแห่งแฟชั่นตะวันตกที่ผสมผสานกับแฟชั่นไทยได้อย่างลงตัว

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๑)

พัสตราภรณ์สยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย (ตอนที่ ๑)

จินตนาการถึงกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโลกคู่ขนานที่สังคมไทยรับเอาแฟชั่นตะวันตกเข้ามาปรับใช้ในบริบทแฟชั่นไทย คอลเลกชันนี้นำเสนอความงามแบบอาร์ตเดโคยุค 1920 ผ่านชุดเดรสแบบผสมผสานที่ประดับด้วยงานปักอันประณีต และโครงร่างเงาแบบไทยๆ เช่นการนุ่งผ้าซิ่น สไตล์นี้สะท้อนถึงความหรูหราและสง่างามของยุคสมัยในบริบทแบบไทยผสมตะวันตก เข้ากับบรรยากาศของกรุงเทพฯ ได้อย่างลงตัว

ศิลปะแบบอาร์ตเดโค  หรือศิลปะแบบอลังการศิลป์ เป็นหนึ่งในขบวนการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดของต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีลักษณะเด่นคือรูปทรงเรขาคณิต ความสมมาตรอันโดดเด่น และวัสดุที่หรูหรา กำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงทศวรรษ 1910 ก่อนจะถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1920 และ 1930 ศิลปะแนวนี้ตอบรับความทันสมัย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความหลงใหลในความงามที่โฉบเฉี่ยว ซึ่งเป็นการแยกกระบวนการศิลปะแบบลายเส้นโค้งอันอ่อนช้อยของศิลปะแบบอาร์ตนูโว ด้วยการแทนที่ด้วยศิลปะที่ใช้เส้นตรง มุมแหลม และลวดลายแบบเรขาคณิต ซึ่งมีอิทกับแฟชั่นและการแต่งกายที่มีความหรูหรา และโครงร่างเงา แบบทรงเลขาคณิต และองค์ประกอบที่เต็มไปด้วยสีเมทาลิค เช่น สีทอง สีเงิน และคอปเปอร์

แฟชั่นยุค 1920: ยุคใหม่แห่งความสง่างาม ทศวรรษ 1920 เป็นช่วงเวลาปฏิวัติวงการแฟชั่น ผู้หญิงเริ่มละทิ้งเครื่องแต่งกายที่รัดรึงจากยุคก่อนหน้า และหันมาใช้เสื้อผ้าที่มีเส้นสายอิสระมากขึ้น สไตล์แฟลปเปอร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้ โดยมีลักษณะเด่นคือช่วงเอวที่ลดต่ำลง เดรสยาวระดับเข่า และการตกแต่งที่หรูหราออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง เช่น Jeanne Lanvin, Coco Chanel และ Paul Poiret ชุดเดรสในคอลเลกชันนี้สะท้อนถึงความสวยงามของแฟชั่นอาร์ตเดโค พร้อมการปักลวดลายอย่างประณีต และเพิ่มเติมด้วยลูกปัดและงานปักแบบแอปพลิเค รวมไปถึงเครื่องประดับ เช่น สร้อยไข่มุก ที่คาดผมประดับลูกปัดและขนนก ถุงมือซาติน และรองเท้าส้นสูง ทำให้ลุคโดยรวมมีความหรูหราและสง่างามมากยิ่งขึ้น มีหลายภาพที่ชอบมากเป็นพิเศษ คือภาพผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง ต่อด้วยตุ้งติ้งลูกปัดทอง ใส่กับเสื้อบ่าห้อยผ้าแพรยกดิ้นทอง และสร้อยมุกเม็ดเล็กขนาดไม่เท่ากันแบบมุกธรรมชาติ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่าทำให้ชุดสวยขึ้นมาก

คอลเลกชันนี้จึงนำเสนอภาพความสง่างามและความทันสมัยของกรุงเทพฯ ในทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นการรังสรรค์ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ผสานความเป็นสมัยใหม่ ความหรูหรา และศิลปะแห่งแฟชั่นตะวันตกที่ผสมผสานกับแฟชั่นไทยได้อย่างลงตัว

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

จินตนาการแฟชั่นกีฬาเทนนิสในประเทศไทย สมัยรัชกาลที่ ๗

จินตนาการแฟชั่นกีฬาเทนนิสในประเทศไทย สมัยรัชกาลที่ ๗

ในยุคที่ประเพณีและนวัตกรรมมาบรรจบกัน คอลเลกชันภาพจากการเทรน AI ด้วย Flux LoRA นี้ ได้จินตนาการถึงแฟชั่นของหญิงไทยที่เล่นกีฬาเทนนิสในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ระหว่าง พ.ศ. 2468–2475 โดยสะท้อนสไตล์การแต่งกายที่ผสมผสานระหว่าง แฟชั่นยุคแฟลปเปอร์ของตะวันตก กับ แฟชั่นไทยแบบผสมผสาน ด้วยผ้าซิ่น คู่กับเสื้อแขนกุดที่เคลื่อนไหวได้คล่องตัว เหมาะกับการวิ่งตีลูกเทนนิสในสนามลอนเทนนิสที่มักเป็นพื้นดินในยุคนั้น

แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอลเล็คชั่นนี้ มาจากจากภาพถ่ายของสุภาพสตรีไทยที่เล่น แบดมินตัน โดยสวมผ้าซิ่นกับเสื้อแบบตะวันตก เป็นการแต่งกายที่ทั้งสวยงามและสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก ภาพถ่ายขาวดำดังกล่าวเป็นจุดตั้งต้นของคอลเลกชันนี้ ส่วนภาพสีทั้งหมด เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ด้วย AI เพื่อนำเสนอแนวคิดด้านแฟชั่นในรูปแบบภาพจำลอง ทางประวัติศาสตร์ด้วย AI ที่แสดงให้เห็นถึงจินตนาการของการเล่นเทนนิสในสมัยนั้น ก่อนที่การแต่งตัวด้วยชุดกีฬาสีขาวตามตะวันตกจะเป็นที่นิยม

อิทธิพลของแฟชั่นสไตล์แฟลปเปอร์ผสมกับกลิ่นอายแบบสยาม สไตล์ของแฟชั่นที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้สะท้อนอิทธิพลของ แฟชั่นแฟลปเปอร์ยุค 1920s ไม่ว่าจะเป็นเสื้อทรงหลวม คอเสื้อเปิด หมวกคลอช (cloche hats) หรือแถบคาดผม ทว่าองค์ประกอบทั้งหมดกลับมีรากฐานอยู่ในอัตลักษณ์ไทยอย่างชัดเจน ผ่านการเลือกใช้ ผ้าซิ่นลายทาง และการแมตช์กับเครื่องประดับยุคเก่า เช่น ไม้แร็กเกต ลูกไม้ ถุงเท้า และรองเท้า ซึ่งล้วนสะท้อนถึงแฟชั่นนักกีฬาในยุคนั้น

ฉากหลัง: สนามเทนนิสยุคแรก สนามเทนนิสในจินตนาการของคอลเลกชันนี้มิใช่สนามหญ้าหรือพื้นสังเคราะห์แบบปัจจุบัน แต่เป็น สนามดิน ตามรูปแบบสนามลอนเทนนิสในสยามช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมักพบในบ้านของนักการทูตชาวต่างชาติ หรือสถานทูต หรือสมาคมกีฬา สะท้อนถึงช่วงเริ่มต้นของวัฒนธรรมกีฬาเทนนิสในหมู่ชนชั้นนำ

ประวัติกีฬาเทนนิสในประเทศไทย

ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้นำเทนนิสเข้าสู่ประเทศไทย แต่สันนิษฐานกันว่ากีฬานี้เริ่มขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยชาวอังกฤษและอเมริกันที่เดินทางเข้ามาทำงานในไทย ในช่วงแรก เทนนิสเป็นที่นิยมในกลุ่มชาวต่างชาติเท่านั้น ต่อมาจึงเริ่มมีเจ้านายและข้าราชการไทยเล่นบ้าง ในยุคแรกนั้น บางท่านยังคงสวม ผ้าม่วง และบางคนยัง อมหมาก ขณะเล่น ต่อมาได้มีการรับแบบแผนฝรั่ง โดยเปลี่ยนมาสวม กางเกงขายาวสีขาว ซึ่งถือว่าสุภาพกว่า

จุดเริ่มต้นของสโมสรเทนนิส

ราว ปี พ.ศ. 2460 ประชาชนเริ่มให้ความสนใจกีฬานี้มากขึ้น จึงมีการตั้ง สโมสรเทนนิสแห่งแรก ที่สวนสราญรมย์ โดยมีสมาชิกเพียง 10 คน ต่อมาย้ายไปที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ แต่ก็ยุบตัวไปในที่สุด ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็มีสโมสรอื่นๆ เช่น บางกอกยูไนเต็ดคลับ และสนามเทนนิสส่วนตัวของชาวต่างชาติ เช่น ที่บ้าน มิสเตอร์ลอฟตัส (ใกล้โรงเรียนนายเรือ), บ้าน หมอแม็คฟาแลนด์ (โรงพยาบาลศิริราช), และ บ้านมิสเตอร์บัสโฟร์ หลังฐานทัพเรือ

การก่อตั้งลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2469 พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทรงจัดตั้ง ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย โดยเชิญตัวแทนจาก 12 สโมสร อาทิ ราชกรีฑาสโมสร สโมสรสีลม สโมสรเชียงใหม่ยิมคานา และสโมสรสงขลา มาประชุมที่วังของพระองค์ และได้รับการแต่งตั้งเป็น นายกสมาคมคนแรก พร้อมออกกฎข้อบังคับซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2470 จึงถือเป็น วันสถาปนาลอนเทนนิสสมาคมฯ อย่างเป็นทางการ และในปลายปีเดียวกัน สมาคมได้จัดการแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งแรกที่ สโมสรสีลม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับสมาคมไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และทรงโปรดกีฬาเทนนิสอย่างมาก โดยทรงตีเทนนิสเป็นประจำที่ วังสุโขทัย

พัฒนาการในยุคต่อมา

  • ปี พ.ศ. 2494 มีการออก ตราสัญลักษณ์ เป็นพระมหามงกุฎและเลข 7 เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ ร.7

  • ปี พ.ศ. 2495 มีการแปลกติกาลอนเทนนิสนานาชาติเป็นภาษาไทย

  • ปี พ.ศ. 2509 ไทยเป็นเจ้าภาพ กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 5 โดยจัดแข่งเทนนิสที่สนามศุภชลาศัย

  • ปี พ.ศ. 2520 การกีฬาแห่งประเทศไทยสร้างสนามเทนนิส 6 คอร์ตที่หัวหมากและมอบให้ลอนเทนนิสสมาคมฯ ใช้เป็นสำนักงานใหญ่

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

ปี พ.ศ. 2521 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ กีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 8 นักเทนนิสไทยประเภทคู่ผสมคือ จารึก เฮงรัศมี และ สุทธาสินี ศิริกายะ คว้าเหรียญทอง ปัจจุบันไทยมีนักเทนนิสระดับโลกหลายคน และมีแผนพัฒนาระยะยาวเพื่อยกระดับมาตรฐานให้ทัดเทียมกับชาติในยุโรปและอเมริกา

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เมื่อกรุงเทพฯ แต่งกายตามแฟชั่นโลก: จินตนาการสตรีไทยยุคอาร์ตเดโค ค.ศ. 1920

เมื่อกรุงเทพฯ แต่งกายตามแฟชั่นโลก: จินตนาการสตรีไทยยุคอาร์ตเดโค ค.ศ. 1920

แฟชั่น AI คอลเลกชันนี้ คือการจินตนาการและการเฉลิมฉลองความเป็น “สมัยใหม่” ที่แฟชั่นกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม — ตะวันตกและตะวันออก — อย่างงดงาม หากในประวัติศาสตร์คู่ขนาน กรุงเทพมหานครได้เปิดรับกระแสแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มตัวในช่วงปลายทศวรรษ 1920 — ณ ช่วงรอยต่อปลายรัชกาลที่ ๖ และต้นรัชกาลที่ ๗ ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัย — เราอาจได้เห็นภาพของสตรีไทยในราชสำนักฝ่ายในและสังคมชั้นสูง ปรากฏกายในชุดราตรียุคอาร์ตเดโคอันหรูหรา แทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายแบบราชนิยม

คอลเลกชันภาพชุดนี้สร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการถึงโลกที่สยามโอบรับแฟชั่นอาร์ตเดโคอย่างเต็มที่ ท่ามกลางฉากหลังของสถาปัตยกรรมไทย — สตรีไทยปรากฏกายในชุดเดรสผ้าไหมออร์แกนซาราคาแพงที่ประดับด้วยลูกปัดและพู่ดิ้นเงินดิ้นทอง การผสมผสานระหว่างโครงร่างแฟชั่นสมัยใหม่กับพื้นหลังของความเป็นไทยก่อให้เกิดภาพลักษณ์อันวิจิตรที่ทั้งร่วมสมัยและเหนือจริง

แฟชั่นสตรีในยุค 1920 เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติรูปแบบแฟชั่นของสตรีทั่วโลก โครงร่างของเสื้อผ้าสตรีแบบรัดรูปของยุคเอ็ดเวิร์ดเดียนได้ถูกแทนที่ด้วยซิลูเอตทรงตรงและเรียบง่ายขึ้นซึ่งให้ความรู้สึกสมัยใหม่และมีเสรีภาพ จุดเด่นของชุดเดรสในยุคนี้คือเอวต่ำที่เลื่อนลงมาอยู่ในระดับสะโพก กระโปรงยาวแค่เข่าหรือเลยลงมาเล็กน้อย เสื้อผ้าไม่เน้นทรงที่รัดรูปหรือโชว์สัดส่วนของผู้หญิง หากแต่สะท้อนบทบาทใหม่ของผู้หญิงในสังคมที่กล้าแสดงออก เป็นมีอิสระภาพ และมีพื้นที่ในสังคมมากขึ้น

ในจินตนาการนี้ สตรีไทยปรากฏในลุค "แฟลปเปอร์" แห่งโลกตะวันตก สวมสร้อยไข่มุกเส้นยาว พร้อมทั้งศิราภรณ์ เช่น Bandeau หรือที่คาดผมประดับอัญมณี และสวมรองเท้าส้นสูงแบบ T-strap หรือ Mary Jane รวมถึงการไว้ผมทรงบ๊อบดัดลอนคลื่น ซึ่งช่วยเพิ่มกลิ่นอายของความหรูหราและร่วมสมัย ดังนั้นสตรีสยามในภาพจึงปรากฏกายในมิติใหม่ที่กลมกลืนระหว่างความเป็นตะวันออกและตะวันตกอย่างลงตัว

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เสียงสะท้อนจากผนังวัด: Art Deco, “เสื้อบ่าห้อย” และภาพจำลองจิตรกรรมฝาผนังแห่งนครลำปาง

เสียงสะท้อนจากผนังวัด: Art Deco, “เสื้อบ่าห้อย” และภาพจำลองแห่งนครลำปาง

คอลเลกชันภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของ นายปวน สุวรรณสิงห์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ช่างปวน” ซึ่งปรากฏอยู่ใน พระอุโบสถวัดบุญวาทย์วิหาร จังหวัดลำปาง หนึ่งในวัดสำคัญของหัวเมืองล้านนาตอนปลายที่ผสมผสานอิทธิพลศิลปะจากราชสำนักกรุงเทพฯ เข้ากับจิตวิญญาณพื้นบ้านได้อย่างงดงาม

จิตรกรรมของช่างปวนในพระอุโบสถแห่งนี้มีลักษณะเฉพาะ คือการนำเสนอวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองลำปางช่วงรัชกาลที่ 6 โดยเฉพาะ หญิงสาวสวมเสื้อบ่าห้อยและผ้าซิ่นลายพื้นเมือง ซึ่งแทรกตัวอยู่ในฉากชีวิตประจำวันภายในวัด แม้มิใช่ตัวละครหลักในจิตรกรรมเชิงศาสนา แต่กลับดึงดูดสายตาผู้ชมด้วยความละเมียดละไม มีชีวิตชีวา และแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายความร่วมสมัยที่สะท้อนโลกยุคใหม่

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงถูกนำมาใช้ในคอลเลกชันนี้เพื่อสร้างภาพถ่ายกึ่งสมจริง (semi-realistic photography) ที่ผสมผสานองค์ประกอบของงานจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิมเข้ากับมิติของแสงและเงาในแบบภาพถ่าย เสมือนหญิงสาวเหล่านี้ก้าวออกจากผนังจิตรกรรมโบราณมายืนอยู่ต่อหน้าเราจริง ๆ

ช่างปวน: ศิลปินท้องถิ่นผู้เชื่อมโยงโลกศิลป์กรุงเทพฯ กับล้านนา

นายปวน สุวรรณสิงห์ (พ.ศ. 2440–2508) เป็นช่างเขียนภาพชาวลำปางเชื้อสายพม่า เติบโตในชุมชนศิลปะพื้นบ้าน และเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นช่างจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่าง ๆ ในลำปางและพื้นที่ใกล้เคียง จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่อได้เป็นศิษย์ของ พระยาอนุศาสน์จิตรกร จิตรกรหลวงจากกรุงเทพฯ ผู้มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดเทคนิคจิตรกรรมแบบราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 5–6

พระยาอนุศาสน์จิตรกรได้รับมอบหมายจาก เจ้าหลวงบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าเมืองลำปางในขณะนั้น ให้นำแนวทางศิลปะรัตนโกสินทร์มาจัดองค์ประกอบจิตรกรรมในวัดบุญวาทย์ พร้อมทั้งฝึกสอนช่างท้องถิ่น โดยช่างปวนคือหนึ่งในศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่น เขาได้เรียนรู้เทคนิคเช่น การใช้สีฝุ่นผสมน้ำปูน, การลงทองคำเปลวบนเครื่องทรง, และการวาดภาพด้วยมุมมองแบบ bird’s-eye view ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของจิตรกรรมไทยยุคนั้น

ระหว่างศิลปะราชสำนักกับศิลปะชาวบ้าน

งานของช่างปวนถือเป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกของจิตรกรรมราชสำนักอันเคร่งครัด กับโลกของชาวบ้านล้านนาอันอบอุ่นและเปี่ยมชีวิต ภาพของชายในโจงกระเบนและเสื้อราชปะแตน หญิงในสไบเฉียงและมวยผมสูง ถูกนำเสนอร่วมกับภาพหญิงสามัญชนในเสื้อบ่าห้อย ผ้าซิ่น และทรงผมสั้นลอนคลื่น ซึ่งสะท้อนแฟชั่นสมัยใหม่อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีภาพของ คนเดินตลาด, หญิงสาวนั่งเรียงแถว, หรือ แม่บ้านในวัด ซึ่งอาจมิใช่ตัวเอกของเรื่องราวในจิตรกรรม แต่นำเสนออารมณ์ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง และเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามัญชนได้ “ปรากฏตัว” อย่างมีเกียรติในงานศิลปะยุคต้นศตวรรษที่ 20

จากจิตรกรรมสู่ AI: การตีความใหม่ในศตวรรษที่ 21

ภาพ AI ในคอลเลกชันนี้จึงมิได้เป็นเพียงการสร้างงานศิลปะใหม่ แต่เป็นการ รำลึกถึงบทบาทของผู้หญิงล้านนาในอดีต ผ่านภาษาของแฟชั่น ทรงผม และอิริยาบถ เสมือนการตั้งคำถามว่า “ถ้าหญิงสาวในจิตรกรรมของช่างปวนมีชีวิตขึ้นมาในวันนี้ พวกเธอจะเป็นอย่างไร?”

การใช้เสื้อบ่าห้อยแทนเสื้อชั้นในแบบตะวันตก (corset-cover) การจับคู่กับผ้าซิ่น และการทำผมบ็อบลอนคลื่นแบบ flapper ล้วนสะท้อนอิทธิพลของแฟชั่นยุค Art Deco ที่หลอมรวมกับบริบทเมืองร้อนของลำปาง จึงเกิดเป็นความร่วมสมัยของแฟชั่นล้านนาในช่วงรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตน

คอลเลกชันนี้จึงเป็นมากกว่าภาพถ่ายจาก AI หากแต่เป็นการตีความอดีตผ่านสายตาใหม่ โดยอาศัยศิลปะและเทคโนโลยีร่วมกันรังสรรค์บทสนทนาระหว่างภาพจิตรกรรมบนผนังวัด กับโลกแฟชั่นของหญิงสาวในประวัติศาสตร์ ที่อาจเคยถูกมองข้าม…แต่บัดนี้กลับเฉิดฉายอย่างสง่างาม

การตีความทางศิลปะ

ใน Echoes from the Temple Walls เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นทั้งพู่กัน เลนส์ และไทม์แมชชีน ที่ใช้สร้างคอลเลกชันภาพถ่ายกึ่งสมจริง (semi-realistic photography) ซึ่งเบลอเส้นแบ่งระหว่างการถ่ายภาพพอร์ตเทรตและจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิม ภาพแต่ละภาพเชื้อเชิญให้เราตั้งคำถามว่า: หญิงสาวที่เรากำลังมองอยู่นี้ คือบุคคลจริงที่ถูกถ่ายในแสงสตูดิโอนุ่มนวล หรือคือภาพจิตรกรรมโบราณที่กลับมามีชีวิตผ่านความทรงจำดิจิทัล?

คอลเลกชันนี้ไม่ได้มุ่งหมายจะลอกเลียนประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นการ ตีความประวัติศาสตร์ใหม่ผ่านเลนส์ของจิตรกร ได้รับแรงบันดาลใจจากความสง่างามเหนือกาลเวลาของจิตรกรรมฝาผนังล้านนา และความเสมือนจริงของภาพถ่ายแฟชั่นพอร์ตเทรต หญิงสาวในภาพเหล่านี้จึงปรากฏราวกับว่าเธอ ก้าวออกมาจากผนังวัด เสื้อผ้าที่สวมใส่ถูกจินตนาการขึ้นใหม่และงดงาม ราวกับห้วงเวลาหยอกล้อกันเอง ทำให้โลกดั้งเดิมและโลกสมัยใหม่อยู่ร่วมกันได้ในภาพเดียว

ผลงานชุดนี้มีความสอดคล้องทางแนวคิดกับเทคนิคของศิลปินดูโอชื่อดังชาวฝรั่งเศส Pierre et Gilles ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านภาพถ่ายพอร์ตเทรตที่ประณีต ตกแต่งด้วยการเพนต์มืออย่างวิจิตร เต็มไปด้วยสไตล์ที่โดดเด่นและเหนือจริง เช่นเดียวกับ Pierre et Gilles

Pierre Commoy และ Gilles Blanchard หรือที่รู้จักกันในนาม Pierre et Gilles ร่วมสร้างผลงานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 ด้วยการออกแบบฉากอย่างวิจิตรบรรจง ผสานเทคนิคการถ่ายภาพเข้ากับการตกแต่งภาพด้วยการเพนต์มืออย่างพิถีพิถัน ผลงานของพวกเขามักสะท้อนโลกแห่งจินตนาการ และความงามเหนือจริง ซึ่งเราสามารถสัมผัสได้จากมิติของแสงและพื้นผิวในผลงานชุดนี้เช่นกัน

ในโลกที่จินตนาการขึ้นนี้ หญิงสาวเหล่านี้สวมใส่ “เสื้อบ่าห้อย” เสื้อพื้นเมืองของหญิงชาวล้านนา ซึ่งไม่ได้ถูกนำเสนอเพื่อความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แต่เป็น สัญลักษณ์ของความทรงจำทางวัฒนธรรม ที่หลอมรวมความสง่างามแบบ Art Deco เข้ากับภาษาทัศนศิลป์ของจิตรกรรมฝาผนัง ผลลัพธ์คือ ภาพที่เบลอเส้นแบ่งระหว่างภาพถ่ายกับจิตรกรรม

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

กรุงเทพฯในจินตนาการ ยุคอาร์ตเดโค 1920

กรุงเทพฯในจินตนาการ ยุคอาร์ตเดโค 1920: เมื่อสังคมไทยสวมแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มรูปแบบ

หาก กรุงเทพฯมีโลกคู่ขนาน ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ภายใต้รัชสมัยต้นของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) จินตนาการว่ากรุงเทพได้เข้าสู่กระแสแฟชั่นตะวันตกอย่างเต็มที่ ภาพชุดนี้จะสะท้อนสตรีไทยในชุดค๊อกเทลในยุคอาร์ตเดโคที่งดงาม เฉิดฉายอยู่ในฉากหลังของสถาปัตยกรรมไทย แทนที่จะเป็นเครื่องแต่งกายแบบราชนิยม ในฉากหลังของคอลเล็คชั่่นภาพชุดนี้ เราจะเห็นหญิงสาวในเดรสผ้าชีฟองปักเลื่อม พร้อมไข่มุก และรองเท้าส้นสูงแบบตะวันตก กับสถาปัตยกรรมไทยอย่างกลมกลืน

หัวใจของการสร้างสรรค์ผลงานคอลเล็คชั่นนี้อยู่ที่ ซิลูเอตแฟชั่นยุค 1920s ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกแฟชั่น จากเดิมที่ผู้หญิงตะวันตกนิยมโครงร่างเงาแบบทรงนาฬิกาทรายแบบยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน ได้เปลี่ยนมาเป็นลุคที่เน้นความเรียบง่าย และเสื้อผ้าแบบทรงแบบสมมารต และปราศจากโครงเสื้อที่รัดรูป โครงร่างเงาของเครื่องแต่งกายสตรีในยุคนี้ นิยมเสื้อผ้าทรงหลวมๆ และช่วงเอวต่ำ ซึ่งให้ความรู้สึกความเป็นอิสระและทันสมัย ชายกระโปรงยาวแค่เข่าหรือใต้เข่า และตกแต่งด้วยพู่ และปักเลื่อมทั้งชุด หรือประดับไข่มุก ชุดเหล่านี้สะท้อนแสงระยิบระยับเมื่อเคลื่อนไหว ผ้าที่เป็นที่นิผมในสมัยนี้คือ ผ้าชีฟอง ผ้าไหม และผ้าทูล ซึ่งให้ความรู้สึกพลิ้วไหวและเบาบาง เครื่องประดับที่ขาดไม่ได้คือ สร้อยไข่มุกเส้นยาว รองเท้าแบบ T-strap และหมวกคล็อชประดับขนนกหรืออัญมณี และ bandeau หรือที่คาดผมประดับอัญมณีและขนนก

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักไทย: แฟชั่นสตรีสยามยุครัชกาลที่ 6

แฟชั่นงานราตรีของสตรีไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว: คอลเลกชัน AI ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสง่างามในยุค 1920s

คอลเลกชันแฟชั่นที่สร้างขึ้นด้วย AI ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ประทับร่วมกับข้าราชบริพาร ถ่ายในปี พ.ศ. 2467 (1924) ในภาพนั้นผมรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับชุดราตรีที่สวมใส่โดย เจ้าจอมสุวัทนา (เครือแก้ว อภัยวงศ์) และ พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) ซึ่งทั้งสองท่านสวมใส่ชุดราตรีสไตล์ตะวันตกตามแบบฉบับของยุค 1920s ทั้งในเรื่องของโครงชุดแบบ flapper dress ที่มีเอวต่ำ กระโปรงพลีตผ้าเบา การปักประดับด้วยลูกปัดและเลื่อม รวมถึงเครื่องประดับศีรษะแบบ bandeau ซึ่งเป็นแฟชั่นยอดนิยมในแวดวงสตรีชนชั้นสูงของยุโรปในขณะนั้น

ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453–2468) ถือเป็นยุคแห่งการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นนำของสยาม การแต่งกายแบบตะวันตกจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความมีรสนิยม ชุดราตรีสตรีแบบตะวันตกซึ่งเคยเป็นของแปลกตาในสยาม กลับกลายเป็นเครื่องแต่งกายปกติในงานเลี้ยงสังสรรค์ งานพระราชพิธี และงานสังคมต่าง ๆ ของราชสำนัก โดยสตรีไทยเหล่านี้สามารถนำเสนอรูปแบบการแต่งกายตะวันตกได้อย่างงดงามสง่างามและกลมกลืนกับบุคลิกแบบไทย

ภาพในคอลเลกชันนี้สร้างขึ้นโดยเทคโนโลยี AI เพื่อจำลองความงามตามแบบฉบับของสตรีไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 20 โดยถ่ายทอดผ่านเดรสยาวปักเลื่อมโทนสีพาสเทล ถุงมือยาวเหนือศอก (opera gloves) และเครื่องประดับสไตล์ art deco พร้อมทรงผมบ๊อบดัดลอนประดับด้วยที่คาดผมไข่มุกหรือขนนก ซึ่งเป็นลุคที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่สตรีสังคมยุโรป และได้รับการปรับใช้โดยสุภาพสตรีชั้นสูงของไทยอย่างประณีตงดงาม

คอลเลกชันนี้คือการเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในประวัติศาสตร์แฟชั่นของไทย ซึ่งแฟชั่นไม่เพียงแต่เป็นการตกแต่งภายนอก หากยังเป็นภาพสะท้อนของอัตลักษณ์ ความเป็นสมัยใหม่ และวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นของชนชั้นนำไทยในยุคที่โลกเริ่มเชื่อมโยงกันมากขึ้น ความงามที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างแฟชั่นตะวันตกกับจิตวิญญาณแบบไทยในยุคนี้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปิน นักออกแบบ และผู้ที่หลงใหลในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นสตรีพม่ากับบทบาทการต่อต้านอังกฤษในยุคอาณานิคมในทศวรรษ 1930

แฟชั่นสตรีพม่ากับบทบาทการต่อต้านอังกฤษในยุคอาณานิคมในทศวรรษ 1930

ทศวรรษ 1930 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับพม่า ซึ่งแฟชั่นของสตรีสะท้อนถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและความเข้มแข็งของชาติท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเอกราช ศูนย์กลางของแฟชั่นนี้คือ ทะเมง (Htamein - ထမင်) ซึ่งเป็นเวอร์ชันสำหรับผู้หญิงของ ลงจี (Longyi - လုံချည်) ผ้านุ่งทรงกระบอกที่เป็นเครื่องแต่งกายส่วนล่าง โดยคำว่า ลงจี มีรากศัพท์มาจากภาษาทมิฬหรืออินเดียใต้ที่หมายถึง ผ้าซิ่น หรือ ผ้านุ่ง เครื่องแต่งกายชนิดนี้เป็นที่นิยมในพม่าตั้งแต่สมัยอาณานิคม โดยเวอร์ชันสำหรับผู้ชายที่เรียกว่า ปะโซ (Pasu - ပုဆိုး) มีลวดลายเรียบง่ายและผูกที่ด้านหน้า ส่วน ทะเมง (ထမင်) ของผู้หญิงโดดเด่นด้วยลวดลายที่ละเอียดอ่อน การจับจีบ และสีสันสดใส ซึ่งแสดงถึงความงดงามและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม

ในยุคอาณานิคมอังกฤษ เครื่องแต่งกายได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงออกถึงความรู้สึกต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม โดยชุดพื้นเมืองแบบดั้งเดิม เช่น ยาวลงจี (Yaw Longyi - ယောလုံချည်) และ ปินนีไต๊กโพ่ง (Pinni Taikpon - ပင်နီတိုင်ပုံ) เสื้อแจ็คเก็ตแบบไม่มีปก ถูกนำมาเชื่อมโยงกับขบวนการชาตินิยมและต่อต้านอาณานิคม ชุดเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจในความเป็นพม่าและการต่อต้านการครอบงำของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สวมใส่ชุดดังกล่าวมักถูกตำรวจอังกฤษจับกุมเพราะถือว่าเป็นการต่อต้านแบบแฝง การแต่งกายด้วยเสื้อผ้า ดั้งเดิม ในยุคนั้นจึงกลายเป็นวิธีการแสดงการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมอย่างสันติ นอกจากนี้ ชาตินิยมพม่ายังได้รับแรงบันดาลใจจากขบวนการสวาเทศี (Swadeshi) ของมหาตมะคานธี โดยรณรงค์คว่ำบาตรสินค้านำเข้า รวมถึงเสื้อผ้า เพื่อสนับสนุนการบริโภคสินค้าที่ผลิตในประเทศ ซึ่งรวมถึงเสื้อผ้าแบบพื้นเมือง

ทะเมง (ထမင်) มักทอจากผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย และตกแต่งด้วยลวดลายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกวัฒนธรรม เช่น ลายคลื่น ลายดอกไม้ และลายเรขาคณิต สำหรับผู้หญิงที่มีฐานะดี ทะเมง มักประดับด้วยด้ายทองหรือประกายเมทัลลิกเพื่อเสริมความงามและแสดงถึงสถานะ กระโปรงที่จับจีบด้านหน้าอย่างประณีตนี้กลายเป็นจุดเด่นของแฟชั่นพม่า ซึ่งรวมเอาความสะดวกสบายและความงามแบบดั้งเดิมไว้ด้วยกัน

สตรีพม่าสวมเสื้อที่เรียกว่า อินจี (Eingyi - အင်္ကျီ) ซึ่งมีสองแบบที่พบได้บ่อย ได้แก่ ยินซี (Yinzi - ရင်စီ) ซึ่งติดกระดุมด้านหน้า และ ยินโบง (Yinbon - ရင်ဘုံ) ที่ติดกระดุมด้านข้าง เสื้อกำมะหยี่สำหรับโอกาสพิเศษมักออกแบบอย่างหรูหราด้วยคอจีนหรือคอกลม และตกแต่งด้วยกระดุมและเชือกถักที่เรียกว่า frogging ซึ่งช่วยเพิ่มความประณีตและความโดดเด่นให้กับชุด สำหรับงานพิธีทางศาสนาหรือโอกาสพิเศษ สตรีพม่ามักสวมผ้าคลุมไหล่เพื่อเพิ่มความสง่างามและความเหมาะสมตามประเพณี ส่วนเสื้อในชีวิตประจำวัน เช่น ผ้ามัสลินหรือผ้าฝ้าย มีการออกแบบที่เรียบง่าย เช่น ทรงหลวมและปักลายละเอียดอ่อน เพื่อความสะดวกสบายและความงามในทุกวัน

ทรงผมยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของแฟชั่นพม่า โดยเฉพาะทรง BA Sanhtone (ဘီအေဆံထုံး) หรือที่รู้จักกันว่า ทรงผมมวยกระบอก ซึ่งเป็นทรงผมที่โดดเด่นของหญิงสาวในยุคอาณานิคม ลักษณะเด่นคือการเกล้าผมขึ้นเป็นมวยทรงกระบอกที่จัดแต่งอย่างเรียบตึง มีหน้าม้าเสยลอนขึ้นด้านบนอย่างประณีต และประดับด้วยดอกไม้ เช่น ดอกลีลาวดี ดอกมะลิ หรือเครื่องประดับทองแบบดั้งเดิม ทรงผม BA Sanhtone ปรากฏครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1920 และได้รับความนิยมต่อเนื่องถึงทศวรรษ 1950 สะท้อนถึงความสง่างาม ความเป็นผู้หญิง และการผสมผสานระหว่างความงามแบบดั้งเดิมกับอิทธิพลสมัยใหม่ในยุคที่วัฒนธรรมพม่ากำลังตื่นตัว

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชัน AI ซึ่งผมได้ฝึกโมเดล AI ด้วยข้อมูลแฟชั่นสตรีพม่าในทศวรรษ 1930 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงสไตล์ในอดีต การออกแบบเหล่านี้นำเสนอความงดงามของ ทะเมง (ထမင်), อินจี (အင်္ကျီ), frogging, และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนและรักษามรดกทางวัฒนธรรมของพม่าไว้

แฟชั่นสตรีพม่าในทศวรรษ 1930 เป็นบทพิสูจน์ถึงความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรม พร้อมทั้งสะท้อนถึงความยืดหยุ่นและความงามที่ปรับตัวเข้ากับอิทธิพลสมัยใหม่ มรดกอันงดงามนี้ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังและเป็นความงามที่สมควรได้รับการจดจำต่อไป

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นสตรีล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕

แฟชั่นสตรีล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕

คอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้เป็นการสร้างสรรค์วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีล้านนา โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ภาพถ่ายในประวัติศาสตร์ทั้งหมดสามภาพ ซึ่งบันทึกไว้ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 คอลเลกชันนี้ผสมผสาน ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล เพื่อให้เห็นถึง ควสามงดงามของสตรีและผ้าทอแบบล้านนา

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ สตรีล้านนานิยมสวม ผ้าแถบ สำหรับพันรอบอก หรือพาดเฉียงไหล่ในแบบสะหว้ายแหล้ง ผ้าซิ่นที่นิยม เป็นซิ่นทอที่มีลวดลายทางขวาง เรียกว่าซิ่นต๋า โดยอาจมี ตีนจก (คือผ้าที่บริเวณส่วนปลายของผ้าซิ่นประกอบด้วยผ้าที่มีลวดลายที่ทอด้วยวิธีจก หรือควักเส้นด้ายพิเศษสีต่างๆมาผูกมัดขัดกับเส้นอื่นเป็นลวดลายแบบต่างๆ) หรือ ตีนลวด (ลวดลายที่ทอขึ้นมาพร้อมกับผืนผ้าโดยไม่มีการเย็บต่อ) ในช่วงฤดูหนาว ผ้าตุ๊ม หรือ ผ้าคลุมไหล่ มักถูกนำมาใช้เพื่อให้ความอบอุ่น โดยยังคงไว้ซึ่งความงดงามและความสะดวกสบายในแบบล้านนา

วิวัฒนาการของการทอผ้าซิ่นล้านนา: จากซิ่นต่อตีนต่อเอวสู่ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน

ซิ่นต่อตีนต่อเอวโบราณ: ซิ่นล้านนาแบบดั้งเดิม ทอแยกเป็นสามส่วน แล้วจึงนำมาเย็บประกอบเป็นผืนเดียวกัน ได้แก่

* หัวซิ่น: ส่วนบนติดกับเอว มักเป็นผ้าสีพื้นหรือมีลวดลายเล็กน้อย

* ตัวซิ่น: ส่วนหลักของซิ่น มักเป็นลายขวางหรือลวดลายที่แตกต่างจากหัวซิ่น

* ตีนซิ่น: ส่วนล่างของซิ่น อาจเป็น ตีนจก หรือเป็น ตีนซิ่นที่ทำจากผ้าสีพื้น เช่น สีดำ เพื่อเสริมความทนทาน

ก่อนมีการพัฒนากี่กระตุก ผ้าซิ่นต้องทอเป็นชิ้นเล็กๆ และเย็บต่อกัน เนื่องจากขนาดหน้ากว้างของกี่ทอยังมีข้อจำกัด

ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน: ในสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 การพัฒนากี่กระตุกทำให้สามารถทอผ้าซิ่นได้ เต็มผืนโดยไม่ต้องเย็บต่อ ซิ่นลักษณะนี้เรียกว่า ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน ซึ่งมีข้อดีคือ:

* ไม่มีรอยต่อ ระหว่างหัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น

* ลวดลายสามารถทอเป็นผืนเดียวกันได้ โดยไม่ต้องเย็บประกอบ

* ผ้าซิ่นมีความทนทานมากขึ้น เนื่องจากทอเป็นชิ้นเดียว

* กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดระยะเวลาและแรงงานในการเย็บตัด

AI กับการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย – ศักยภาพและข้อจำกัด

คอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง ศักยภาพของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในการช่วยสร้างภาพจำลองสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย โดยเฉพาะ แฟชั่นล้านนาในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้รับการถ่ายทอดผ่านการผสมผสาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล

AI สามารถ รังสรรค์ภาพอดีตขึ้นใหม่ได้อย่างแม่นยำในแง่ของรูปทรง เสื้อผ้า และสไตล์การแต่งกาย ทำให้เราเห็นโครงสร้างโดยรวมของ ซิ่นต๋า ผ้าแถบ และการห่มผ้าแบบสะหว้ายแหล้ง อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า AI จะสามารถถ่ายทอดภาพรวมของแฟชั่นล้านนาออกมาได้ดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการ จับรายละเอียดที่ซับซ้อนของงานสิ่งทอไทย โดยเฉพาะ ลวดลายตีนจก ซึ่งมักมีลวดลายเล็กละเอียดและซับซ้อนเกินไปสำหรับแบบจำลอง AI ในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าในกระบวนการพัฒนา เราจะใช้การ ฝึก LoRA (Low-Rank Adaptation) เพื่อปรับแต่งโมเดลให้เข้าใจองค์ประกอบของแฟชั่นไทยมากขึ้น แต่ ฐานข้อมูลที่ AI ใช้ในการฝึกฝนยังคงมีพื้นฐาน (base model) จากชุดข้อมูลตะวันตกเป็นหลัก ทำให้บางครั้ง AI ยังไม่สามารถ ถ่ายทอดรายละเอียดเชิงวัฒนธรรมแบบเฉพาะของไทยได้อย่างครบถ้วน เช่น ลายตีนจกที่มีความละเอียดสูง หรือเทคนิคการทอแบบพื้นเมือง ความท้าทายนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยฟื้นฟูและศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการแปลความหมายของรายละเอียดที่ซับซ้อนและลึกซึ้งในเชิงวัฒนธรรม

แต่วิธีที่ช่วยแก้ปัญหาคือการนำภาพผ้าซิ่นไปแก้และขายใน Magnific แล้วตีนจกจะออกมาเหมือนทอด้วยดิ้นเงินดิ้นทองได้ครับ

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้ลดทอนคุณค่าของ AI ในการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่น แต่กลับเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับองค์ความรู้จากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอไทย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด AI อาจเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องอาศัย องค์ความรู้ดั้งเดิมและการตีความของมนุษย์ เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และถูกนำเสนออย่างแม่นยำในยุคดิจิทัล

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

ศักยภาพของ AI ในการออกแบบเครื่องแต่งกายภาพยนตร์

ศักยภาพของ AI ในการออกแบบเครื่องแต่งกายภาพยนตร์: การผสมผสานเทคโนโลยีกับความคิดสร้างสรรค์

ในฐานะนักออกแบบเครื่องแต่งกายที่ทำงานในวงการภาพยนตร์ที่ลอนดอน การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการทำงานของผม โดยเฉพาะในโปรเจกต์ล่าสุดที่ต้องออกแบบชุดสำหรับภาพยนตร์ซึ่งมีฉากหลังเป็นกรุงลอนดอนในช่วงทศวรรษ 1930 หนึ่งในตัวละครหลักของเรื่องสวมเครื่องแต่งกายชายสไตล์ "morning suit" แบบดั้งเดิมของยุค 1930 ซึ่งต้องการความแม่นยำทั้งด้านรูปแบบ โครงสร้าง และอารมณ์ของยุคสมัย

การทำงานครั้งนี้ ผมใช้เครื่องมือ AI ทั้งหมดห้าแอปพลิเคชันร่วมกัน เริ่มต้นจาก Midjourney ในการสร้างภาพเบื้องต้นของเครื่องแต่งกาย โดยอ้างอิงจาก image prompt ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำและตรงกับสไตล์มากกว่าการใช้ข้อความเพียงอย่างเดียว (text-to-image prompting) การใช้ image prompt เหมาะอย่างยิ่งในการสร้าง mood board และออกแบบองค์ประกอบภาพอย่างมีทิศทาง เนื่องจากสามารถควบคุมอารมณ์ แสง สี และลักษณะของยุคสมัยได้ดีกว่า ช่วยลดความเสี่ยงที่ AI จะจินตนาการเกินไปจากสิ่งที่เราต้องการ

จากนั้น ผมนำภาพไปต่อยอดใน Editor Suite เพื่อปรับบริบทของฉากหลังให้เข้ากับลอนดอนในยุค 1930 แล้วใช้ Magneticเพื่อปรับความคมชัดของภาพให้สมจริง ตามด้วย FaceSwap เพื่อแทนที่ใบหน้าให้ตรงกับนักแสดงจริง ผมยังใช้ Flux Redux ในการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงรายละเอียดของการออกแบบบางส่วนในภาพเดิมได้อย่างยืดหยุ่น และสุดท้ายใช้ Kling เพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหวให้เห็นลักษณะของชุดเมื่ออยู่บนร่างกายของนักแสดงจริง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการนำเสนอในขั้นตอนพรีเซนต์แนวคิด

การใช้ AI ยังช่วยให้ผมประหยัดเวลาอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิมที่นักออกแบบเครื่องแต่งกายหลายคนยังใช้กันอยู่ นั่นคือการให้ costume illustrator วาดภาพประกอบอย่างละเอียด ซึ่งใช้เวลานานในแต่ละชุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแนวคิดยังไม่ชัดเจนหรือมีการเปลี่ยนบ่อยๆ

แม้ในบางสตูดิโอจะยังไม่อนุญาตให้ใช้ AI ในขั้นตอนออกแบบด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์ แต่ผมพบว่า หากเราเป็นผู้ฝึกโมเดลเอง เช่น การฝึก LoRA (Low-Rank Adaptation) โดยใช้ชุดภาพที่เราสร้างขึ้นเองทั้งหมด ก็เท่ากับว่าเราควบคุมชุดข้อมูลต้นทางได้ทั้งหมด และภาพที่ได้จากการสร้างด้วย AI เหล่านี้ก็คือผลลัพธ์จาก “ข้อมูลป้อนเข้าของเราเอง” ซึ่งผมถือว่าเป็นผลงานการออกแบบของเราจริงๆ เพียงแค่ได้ AI มาช่วยแสดงผลให้เห็นอย่างรวดเร็ว แทนที่จะต้องให้ช่างวาดลงมือร่างทุกแบบด้วยมือ

ในกระบวนการออกแบบเครื่องแต่งกายย้อนยุคของผมในหลายโปรเจกต์ที่ผ่านมา ผมจึงใช้ LoRA ที่ผมฝึกเองเพื่อทดลองแนวคิดต่างๆ และสร้างทางเลือกในการออกแบบเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็ว ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโปรดักชัน

หัวใจของการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือ “การเข้าใจโครงร่างเงาของแฟชั่นในแต่ละยุคสมัยและความชัดเจนของวิสัยทัศน์” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงร่าง รายละเอียดการตกแต่ง หรือสไตล์โดยรวมของเครื่องแต่งกาย รวมถึงการกำหนดแสง สี และองค์ประกอบของฉากให้สอดคล้องกับบรรยากาศของภาพยนตร์

AI ไม่ได้มาแทนที่นักออกแบบ แต่มันคือ “พันธมิตรทางความคิดสร้างสรรค์” ที่ช่วยเราขยายขอบเขตของสิ่งที่เราสามารถทำได้ในเวลาอันสั้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ต้องอาศัยการสื่อสารด้วยภาพอย่างรวดเร็วและแม่นยำ AI ช่วยให้เรานำเสนอแนวคิดได้ทันที ตอบโจทย์การทำงานร่วมกับผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และทีมศิลป์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นแม่ญิงลาวตามแบบราชสำนักหลวงพระบาง: ในช่วงทศวรรษที่ 1920

แฟชั่นแม่ญิงลาวตามแบบราชสำนักหลวงพระบาง: ในช่วงทศวรรษที่ 1920 (สมัยปลายรัชกาลที่ ๖ ถึงต้นรัชกาลที่ ๗)

การแต่งกายตามแบบฉบับราชสำนักหลวงพระบาง ด้วยการแต่งกายอันวิจิตรบรรจง สะท้อนถึงวัฒนธรรมและสถานะของราชวงศ์ล้านช้าง แฟชั่นของแม่ญิงลาวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งตัวของราชสำนักฝ่านในของราชสำนักหลวงพระบาง ในยุคนี้ได้รับอิทธิพลจาก ผ้าทอพื้นเมือง ผ้าไหมและผ้ายกจากจีน และอินเดีย โดยมีลวดลายที่ประณีตและเปี่ยมไปด้วยความหมายทางสังคม

"สะละบับ" และความงดงามของเสื้อสาบเสื้อซ้อนทับ

เอกลักษณ์ของการแต่งกายของเจ้านางในราชสำนักคือ "สะละบับ" เสื้อแขนยาวกระชับลำตัวที่มีสาบเสื้อมาซ้อนทับกัน โดยทำจาก ผ้าไหมเนื้อดี และปักลวดลายอย่างวิจิตรด้วย ดิ้นทองและดิ้นเงิน ลวดลายปักมักได้รับแรงบันดาลใจจาก ศิลปะจีนและอินเดีย สื่อถึงความมั่งคั่งและความสูงศักดิ์ สะละบับมักสวมคู่กับ ผ้านุ่ง หรือ ผ้าซิ่น ซึ่งทอจาก ไหมเนื้อดีและเสริมด้วยดิ้นทองหรือเงิน ลวดลายบนผ้าซิ่นเหล่านี้สะท้อนถึงฐานะของผู้สวมใส่ โดยสีที่ได้รับความนิยมในราชสำนักคือ สีน้ำเงินเข้ม สีม่วง สีเขียวมรกต และสีแดงเข้ม ซึ่งล้วนแต่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น ปัญญา ความเจริญรุ่งเรือง และความศักดิ์สิทธิ์

ผ้าเบี่ยง – สไบเฉียง: เครื่องแต่งกายที่สะท้อนสถานะ

ผ้าเบี่ยง เป็นผ้าไหมยาวที่พาดบนไหล่ และถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของเครื่องแต่งกายของแม่ญิงลาว ผ้าไหมปักลายจากอินเดียและจีน ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมักจะปักดิ้นทองเป็นลวดลายอันงดงาม และปลายผ้ามักมี ชายครุยหรือพู่เพื่อเพิ่มความวิจิตร สไบที่ใช้ในชีวิตประจำวันอาจมีความเรียบง่ายกว่า แต่สำหรับงานพระราชพิธีหรือโอกาสพิเศษ จะใช้ผ้าที่ปักลายอย่างแน่นหนาด้วยดิ้นทองหรือเงิน เพื่อเน้นย้ำถึงความสูงศักดิ์ของผู้สวมใส่ เครื่องประดับและอาภรณ์เสริม ต่างจากบางวัฒนธรรมในภูมิภาคเดียวกัน

แม่ญิงลาวหลวงพระบางไม่ได้สวม "เลิ้งเคิ้ง" (เครื่องประดับศีรษะ) ในชีวิตประจำวันแต่จะใช้เฉพาะในงานพิธีสำคัญหรืองานแต่งงาน ดังนั้นความงามของแม่ญิงลาวจึงเน้นไปที่ ทรงผมและเครื่องประดับทองคำ แม่ญิงลาวนิยมเกล้าผมแบบมวยเบี่ยง โดยตกแต่งด้วยปิ่นทองคำหรือเครื่องประดับลวดลายประณีต ส่วนเครื่องประดับที่ใช้ ได้แก่ กำไลและสร้อยข้อมือทองคำ ที่สลักลวดลายอ่อนช้อย ตุ้มหูแบบ “เสียบหู” ซึ่งเป็น เครื่องประดับขนาดใหญ่ที่สอดเข้ากับใบหูที่เจาะรูขนาดใหญ่ ลักษณะตุ้มหูจะเป็น ทองคำหัวหมุดและด้ามเหมือนปิ่นปักผม หรือฝังอัญมณี เช่น ไพลิน ทับทิม สร้อยคอ ทองคำ สำหรับเครื่องแต่งกายส่วนล่าง มักเป็นถุงเท้าไหมคู่กับรองเท้าหนังสีดำหัวแหลม ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก แฟชั่นยุโรปในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งบ่งบอกถึงความสมดุลระหว่างขนบโบราณและอิทธิพลจากภายนอก

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

จาก “นางสาวสยาม” สู่ “นางสงกรานต์พระประแดง” ทศวรรษ ๒๔๗๐

จาก “นางสาวสยาม” สู่ “นางสงกรานต์พระประแดง” ทศวรรษ ๒๔๗๐

คอลเลกชันแฟชั่นที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ เป็นการเฉลิมฉลองมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของ ประเพณีสงกรานต์พระประแดง เทศกาลสำคัญของชาวไทยเชื้อสายมอญ (รามัญ) ซึ่งสืบทอดมาอย่างยาวนานและมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความละเมียดละไมและสง่างามของ การประกวดนางสาวสยาม ในยุค 2470s (1930s) ซึ่งถือเป็นยุคทองแห่งความงามแบบหญิงไทยร่วมสมัย

รูปแบบการคัดเลือกนางสงกรานต์ของชาวมอญพระประแดงในอดีต ถือเป็นต้นแบบสำคัญที่ต่อมาได้ถูกนำไปใช้ในการจัดประกวดนางสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย โดยเปลี่ยนจากการ “คัดเลือกสาวงามประจำปี” ให้กลายเป็นเวทีประกวดที่คล้ายคลึงกับการประกวด “นางสาวสยาม” ซึ่งเน้นความงดงาม ความสงบเสงี่ยม และกิริยามารยาทอันอ่อนช้อยของหญิงไทย

เทศกาลสงกรานต์พระประแดง จัดขึ้นในวันอาทิตย์ถัดจากวันสงกรานต์ทั่วไป ซึ่งตรงกับช่วงปลายเดือนเมษายน อันเป็นเวลาสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจึงถือโอกาสนี้รวมญาติ ทำบุญ บูชาบรรพบุรุษ และร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างรื่นเริง ภายใต้บรรยากาศแห่งความผ่อนคลาย

หัวใจของประเพณีนี้คือ ขบวนแห่นางสงกรานต์ ซึ่งสะท้อนความงดงามตามขนบธรรมเนียมโบราณ โดยสาวงามจากแต่ละชุมชนจะได้รับเชิญเข้าร่วมขบวนผ่านวิธีการที่สืบทอดกันมายาวนาน คือ การมอบพานหมากพลูจีบ โดยผู้ใหญ่ที่ได้รับความเคารพนับถือจะเป็นผู้นำพานไปเชิญสาว ๆ ตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งผู้ใดได้รับพานหมากพลู ก็ถือเป็นการตอบรับเข้าร่วมขบวนแห่ในฐานะตัวแทนแห่งความงามของชุมชน

การแต่งกายของผู้เข้าร่วมขบวนในอดีตนั้นเรียบง่ายและเป็นไปตามความสะดวก โดยทั่วไปนิยมสวม โจงกระเบน ห่ม ผ้าสไบหรือ ผ้าถุง ตามที่หาได้ เมื่อสาว ๆ มารวมตัวกันครบ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะพิจารณาคัดเลือกผู้ที่งามพร้อมที่สุดให้ดำรงตำแหน่ง นางสงกรานต์ประจำปี ส่วนผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ จะได้รับเกียรติเป็น นางฟ้า หรือ นางประจำปี ร่วมเดินขบวนด้วยกันอย่างสง่างาม

ต่อมาได้มีการปรับรูปแบบการคัดเลือกให้เป็นทางการมากยิ่งขึ้น โดยคณะผู้จัดจะพิจารณาสาวงามชาวพระประแดงแท้ล่วงหน้าก่อนถึงวันงาน เพื่อเชิญมาดำรงตำแหน่งนางสงกรานต์ประจำปีอย่างเหมาะสม

ผมได้นำภาพถ่ายต้นฉบับจากช่วงปี พ.ศ. 2480–2500 ซึ่งบันทึกเหตุการณ์การประกวดนางสงกรานต์และขบวนแห่ในอดีตมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นครั้งนี้ ภาพเหล่านี้ไม่เพียงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า หากยังช่วยจุดประกายการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายย้อนยุคผ่านมุมมองร่วมสมัยด้วย AI

คอลเลกชันนี้จึงนำเสนอการแต่งกายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทั้ง การประกวดนางสาวสยาม และ การประกวดนางสงกรานต์พระประแดง โดยอิงจากแฟชั่นหญิงไทยในช่วง พ.ศ. 2470 เช่น สไบ โจงกระเบน ผ้านุ่ง และผ้าซิ่น เพื่อร้อยเรียงภาพแห่งความงามในจินตนาการของนางสงกรานต์แห่งพระประแดงในอดีต

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

สงกรานต์ เสื้อบ่าห้อย และจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ 6: แฟชั่นสไตล์ Art Deco แห่งนครลำปาง

งกรานต์ เสื้อบ่าห้อย และจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ 6: แฟชั่นสไตล์ Art Deco แห่งนครลำปาง

คอลเลกชันภาพจาก AI ชุดนี้สร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคโนโลยี Flux LoRA โดยผ่านการฝึกฝนด้วยโมเดล 2 ตัว และใช้การปรับน้ำหนักเพื่อให้ได้ภาพที่กลมกลืนและมีองค์ประกอบที่สวยงามสมบูรณ์แบบ และคอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นสตรีในสไตล์ Art Deco แห่งทศวรรษ 1920 ผสานกับบรรยากาศของ เทศกาลปี๋ใหม่เมือง หรือ สงกรานต์ล้านนา ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองตามขนบธรรมเนียมของชาวเหนือที่เปี่ยมด้วยรากเหง้าทางวัฒนธรรมและความงามแบบพื้นถิ่น

หัวใจสำคัญของคอลเลกชันนี้คือ ซิลลูเอ็ตต์ ของแฟชั่นยุค 1920 ที่เน้นความหลวม สบายตัว และปลอดจากโครงสร้างคอร์เซ็ตแบบยุควิกตอเรียน ซึ่งถูกนำมาจินตนาการใหม่ผ่านภาพของหญิงสาวชาวลำปางในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 ถึงต้นรัชกาลที่ 7 ผู้ซึ่งแต่งกายด้วย เสื้อบ่าห้อย หรือ เสื้อคอกระเช้า จับคู่กับ ผ้าซิ่นต๋า พร้อมทรงผมบ๊อบสั้นลอนคลื่น เพื่อร่วมงานบุญในเทศกาลปี๋ใหม่เมือง เช่น การทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ และพิธีดำหัวผู้ใหญ่

แม้จะมีการเล่นสาดน้ำเพื่อคลายร้อน แต่แก่นแท้ของปี๋ใหม่เมืองยังคงเน้นการชำระล้างจิตใจ (ไล่สังขาร), การตานขันข้าวเพื่ออุทิศส่วนกุศล และพิธีขอขมาผู้ใหญ่เพื่อสืบสานคุณธรรมและความกตัญญูภายในครอบครัวล้านนา

พัฒนาการของ “เสื้อบ่าห้อย” จากโลกตะวันตกสู่แฟชั่นไทย

เสื้อบ่าห้อย ที่กลายเป็นเสื้อประจำบ้านของหญิงไทยในเวลาต่อมา แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดจาก เสื้อทับคอร์เซ็ต (corset cover) ของสตรีชั้นกลางและชั้นสูงในยุควิกตอเรียน โดยเดิมเป็นเสื้อชั้นในที่สวมทับคอร์เซ็ตเพื่อให้ดูเรียบร้อย และเพิ่มชั้นปกป้องระหว่างร่างกายกับเครื่องแต่งกายภายนอก

ในขณะที่โลกตะวันตกมองว่าเสื้อทับคอร์เซ็ตเป็นเสื้อชั้นในที่ไม่ควรเผยให้เห็นในที่สาธารณะ หญิงสาวชาวกรุงเทพฯ ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 และต้นรัชกาลที่ 6 กลับเริ่มสวมเสื้อประเภทนี้เป็นเสื้อนอกในชีวิตประจำวัน สะท้อนกระบวนการ ผสมผสานทางวัฒนธรรม หรือ cultural hybridity ตามแนวคิดของ Homi Bhabha ที่ชี้ว่าการเลียนแบบวัฒนธรรมของผู้มีอำนาจในบริบทอาณานิคมมิได้หมายถึงการยอมจำนน หากแต่เปิดพื้นที่ให้การตีความใหม่และสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตน

แม้สยามจะไม่เคยตกเป็นอาณานิคมโดยตรง แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกในเชิงเศรษฐกิจ การทูต และวัฒนธรรม นักมานุษยวิทยา Michael Herzfeld เรียกสถานการณ์นี้ว่า อาณานิคมอำพราง (crypto-colonialism) ซึ่งทำให้ชนชั้นนำไทยปรับรูปแบบการแต่งกายและรสนิยมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

เสื้อบ่าห้อย ในบริบทนี้ จึงเป็นผลจากการปรับใช้เสื้อชั้นในแบบตะวันตกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศแบบเมืองร้อน โครงสร้างที่เรียบง่าย ไม่รัดแน่น และการสวมใส่สบาย ทำให้เสื้อนี้กลายเป็นทั้งเครื่องแต่งกายประจำบ้าน และเสื้อออกงานในบางโอกาส โดยยังสะท้อนถึงความสมัยใหม่ในแบบสยามอย่างชัดเจน

ลำปางกับการปรับใช้เสื้อบ่าห้อยอย่างมีเอกลักษณ์

ในลำปางช่วงปลายรัชกาลที่ 6 เสื้อบ่าห้อย ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นท้องถิ่น โดยหญิงสาวมักสวมคู่กับผ้าซิ่นลายพื้นเมือง ทรงผมสั้นลอนคลื่น และเครื่องประดับแบบล้านนา เพื่อร่วมในเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์ แฟชั่นในสไตล์นี้ถูกถ่ายทอดอย่างงดงามใน จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ วัดบุญวาทย์วิหาร จังหวัดลำปาง

แม้หญิงสาวเหล่านี้จะไม่ใช่ตัวละครหลักในจิตรกรรม (ซึ่งมักเน้นภาพพระภิกษุหรือเจ้านายชั้นสูง) แต่รายละเอียดเล็ก ๆ เช่น เสื้อผ้า ผม และเครื่องประดับ กลับเผยให้เห็นวิถีชีวิตและรสนิยมของหญิงล้านนาในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นสมัยใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม

ผู้เขียนจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้คือ ช่างปวน สุวรรณสิงห์ (พ.ศ. 2440–2508) หรือ ป. สุวรรณสิงห์ ชาวลำปางเชื้อสายพม่า ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของ พระยาอนุศาสน์จิตรกร จิตรกรชั้นสูงจากกรุงเทพฯ ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าหลวงบุญวาทย์วงษ์มานิต ให้มาช่วยวางองค์ประกอบศิลป์ของวัดบุญวาทย์ ผลงานของช่างปวนพบได้ในวัดหลายแห่งทั่วลำปาง โดยมีลายเส้นที่ผสานระหว่างศิลปะแบบหลวงกับวิถีชาวบ้านอย่างกลมกลืน

ภาพแฟชั่นจาก AI คอลเลกชันนี้จึงมิใช่การจำลองอดีตอย่างตรงไปตรงมา หากแต่เป็นการ ฟื้นภาพความทรงจำ ผ่านสายตาของเทคโนโลยี เพื่อจินตนาการถึงหญิงสาวลำปางในช่วงเทศกาลสงกรานต์สมัยปลายรัชกาลที่ 6 ที่แต่งกายผสมผสานระหว่างความสมัยใหม่แบบ Art Deco กับรากเหง้าแห่งล้านนาอย่างสวยงาม

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

ปี๋ใหม่เมืองในเชียงใหม่ เข้าวัดทำบุญ ทศวรรษ ๒๕๐๐

ปี๋ใหม่เมืองในเชียงใหม่ เข้าวัดทำบุญ ทศวรรษ ๒๕๐๐ (1950s)

คอลเลกชันภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก เทศกาลปี๋ใหม่เมือง หรือ สงกรานต์ล้านนา ในช่วง ทศวรรษ 1950s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวชาวเชียงใหม่ยังคงรักษาการแต่งกายแบบดั้งเดิม ด้วย เสื้อแขนกระบอก ผ้าซิ่นพื้นเมือง เช่นซิ่นต๋าซิ่นตีนจก หรือซิ่นผ้ายกดอกลำพูน และประดับผมด้วยดอกเอื้องหรือปิ่นดอกไม้ไหว เพื่อร่วมพิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ และรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำ แต่กิจกรรมหลักของชาวเหนือยังคงยึดตามขนบธรรมเนียมอันที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แม้จะมีการเล่นน้ำคลายร้อน แต่หัวใจของปี๋ใหม่เมืองอยู่ที่ การชำระล้างจิตใจ (ไล่สังขาร), การทำบุญอุทิศส่วนกุศล (ตานขันข้าว), และการขอขมาผู้ใหญ่ (พิธีดำหัว) ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมแห่งความกตัญญูและความกลมเกลียวในครอบครัว

🌕 วันสังขานต์ล่อง – 13 เมษายน

เป็นวันที่เริ่มต้นเทศกาลปีใหม่ล้านนา ชาวบ้านจะ “ไล่สังขาร” โดยจุดประทัดหรือยิงปืนตามเวลาที่กำหนดใน ปักกะตืนปี๋ใหม่เมือง เพื่อส่งเคราะห์เก่าออกไป บ้านเรือนจะถูกทำความสะอาดทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณ บางบ้านจัด “ต้นสังขานต์” (คานหามประดับดอกไม้ ธูปเทียน) เพื่อลอยน้ำสะเดาะเคราะห์ ในพิธีส่วนตัว สมาชิกในครอบครัวจะนำเสื้อผ้าตัวแทนใส่สลุงหรือสะตวงไปวัด เพื่อสะบัดเคราะห์ริมแม่น้ำ บางพื้นที่เผาเชือกสายสิญจน์ชุบน้ำมัน และบางคนสระเกล้าโดยหันทิศมงคลในปีนั้น พิธีทั้งหมดเน้นความสงบ ความศรัทธา และการเตรียมใจสู่ปีใหม่

🌤️ วันเน่า – 14 เมษายน

แม้ชื่อจะฟังดูไม่น่ารื่นรมย์ แต่ “วันเน่า” มาจากคำบาลีว่า ปูติ แปลว่าเน่าเสีย หมายถึงการชำระล้างสิ่งหมักหมมในใจจากตลอดปี เป็นวันที่เน้น ความสงบ ความสำรวม และการเตรียมของทำบุญ

ชาวบ้านจะขนทรายเข้าวัด ก่อเจดีย์ทรายเพื่อตอบแทนผืนแผ่นดิน งดพูดคำหยาบหรือทำร้ายกัน เพราะเชื่อว่าพฤติกรรมวันนี้จะส่งผลทั้งปี ครอบครัวเตรียมน้ำขมิ้นส้มป่อย ของดำหัว และบางบ้านเริ่มจัด “ต้าวตังสี่” เพื่อบูชาท้าวจตุโลกบาล

🌞 วันพญาวัน – 15 เมษายน

วันพญาวันคือหัวใจของปี๋ใหม่เมือง เป็นวันที่เริ่มต้นศักราชใหม่อย่างแท้จริง ตอนเช้าชาวบ้านจะ ตานขันข้าว อุทิศบุญให้บรรพบุรุษ พร้อมปักตุงบนเจดีย์ทรายที่สร้างไว้ก่อนหน้า

ช่วงบ่ายจะมี พิธีดำหัว ลูกหลานน้อมนำขันน้ำขมิ้นส้มป่อยไปกราบขอขมาผู้ใหญ่ เมื่อได้รับคำอวยพรกลับ จึงถือว่าได้รับพรปีใหม่อย่างสมบูรณ์ แม่ญิงมักแต่งกายด้วยผ้าทอมือสวยงาม ทัดดอกไม้นามปี ในหลายหมู่บ้านยังจัดพิธี “ไม้ค้ำสะหรี” คือเสาไม้ประดับของมงคลค้ำต้นโพธิ์ในวัด แทนความตั้งใจอุปถัมภ์พระธรรมและค้ำจุนชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง

🌸 วันปากปี – 16 เมษายน

วันสุดท้ายของเทศกาล ถือเป็นการ “เปิดปี” อย่างแท้จริง ชาวบ้านจะทำบุญ เสาใจบ้าน และร่วมพิธี “สืบชะตา” หมู่บ้าน เสริมอายุให้ครอบครัวและชุมชน ช่วงบ่ายยังคงมีการดำหัวพระเถระ ผู้อาวุโส และครูบาอาจารย์ ครัวเรือนจะเตรียมทำ แกงขนุน (แก๋งบ่าหนุน) เชื่อว่าจะ “หนุนชีวิต” ให้รุ่งเรืองตลอดปี เย็นวันนั้นมีพิธี “ต๋ามเตียนปู่จาพระเจ้า” จุดเทียน 3 เล่ม คือ เทียนลดเคราะห์ เทียนสืบชะตา และเทียนโชคลาภ บางบ้านเผา “ขี้สายเท่าอายุ” เพื่อเผาเคราะห์เก่าออกไป พร้อมเพิ่มเส้นหนึ่งเพื่อสืบชะตาใหม่ให้รุ่งเรือง บางพื้นที่ยังตั้ง “ต้าวตังสี่” บูชาท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศ พร้อม “ขวั๊ก” ใส่ของบูชาธรรมดาอย่างกล้วย ข้าวเทียน และน้ำตาล และอีกถาดถวาย พระแม่ธรณี เป็นการเชื่อมโยงระหว่างโลกวิญญาณกับผืนดิน เมื่อเทียนดวงสุดท้ายดับลง ควันธูปลอยขึ้นฟ้า บ้านเรือนเงียบสงบ — และในความสงบนั้นเอง ปีใหม่ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว

Read More