History of Fashion

Lupt Utama Lupt Utama

แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves) ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440)

แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves) ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) และการเข้ามาในราชสำนักสยาม (ตอนที่ 2)

พระรูปที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ สร้างสรรค์ด้วย หลักคู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

ต้นกำเนิดในปารีส: การเปลี่ยนผ่านจากแฟชั่นแขนเสื้อทรงแขนหมูแฮม

ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปลายทศวรรษ 1890 แฟชั่นสตรีในยุโรปถึงจุดสูงสุดของ แขนเสื้อทรงแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve / Gigot Sleeve) ซึ่งขยายใหญ่เป็นพิเศษในราว ค.ศ. 1895–1896 (พ.ศ. 2438–2439) แต่เมื่อถึง ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) รูปทรงดังกล่าวเริ่มลดขนาดลง ดีไซเนอร์ในปารีสจึงนำเสนอความละเอียดอ่อนแบบใหม่ คือ การออกแบบ แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves) โดยการนำลูกไม้หรือผ้าซ้อนเป็นชั้น ๆ เป็นระบาย แล้วไล่ระดับลงมาตามหัวไหล่และต้นแขน

สไตล์ใหม่นี้ปรากฏในนิตยสารแฟชั่นฝรั่งเศส เช่น La Mode Illustrée (ค.ศ. 1897 / พ.ศ. 2440) ซึ่งชี้ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากความอลังการของแขนเสื้อทรงแขนหมูแฮมไปสู่ความอ่อนหวานโรแมนติก อันจะปูทางสู่แฟชั่นยุคเอ็ดเวิร์ด (Edwardian Fashion) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือช่วงรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย

การเผยแพร่เข้าสู่ราชสำนักสยาม

ในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Chulalongkorn, Rama V, 1853–1910 / พ.ศ. 2396–2453) เสด็จฯ ประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ใน ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่แขนเสื้อแฟชั่นแบบใหม่กำลังเผยโฉมที่ปารีส สันนิษฐานได้ว่าพระองค์อาจทรงจัดหาชุดแฟชั่นหรือตัดเย็บเสื้อผ้าล่าสุดจากฝรั่งเศสเพื่อพระราชทานแก่เจ้านายฝ่ายในและพระราชธิดาในราชสำนัก

การนำแฟชั่นใหม่นี้เข้าสู่ราชสำนักไทยจึงมิใช่เพียงการติดตามสมัยนิยม หากแต่เป็น สัญลักษณ์แห่งความเป็นสมัยใหม่ (Modernity) และการเชื่อมโยงกับราชสำนักยุโรป การสวมใส่เสื้อผ้าลูกไม้วิคตอเรียทรงแขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น จึงกลายเป็นการแสดงสถานะและพระบารมีของพระราชสำนักสยาม และฝ่ายใน ในสายตานานาชาติ

ตัวอย่างเจ้านายฝ่ายใน ในราชสำนักสยาม ที่ทรงฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้ในแบบแฟชั่นวิคตอเรียตอนปลายด้วยแขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น พระรูปนี้ คาดว่าฉายในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) หรือหลังจากนั้น 

เราสามารถอ่านภาพได้จากการคำนวนอายุของ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร พระองค์ประสูต พ.ศ. ๒๔๒๐ ในพระรูปนี้พระองค์มีพระชันษา ประมาณ ๒๐ ปี และประวัติศาสตร์แฟชั่นของการสร้างสรรค์แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นมาและเป็นที่นิยมในปารีส ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ช่วยให้เราให้สามารถกำหนดอายุของพระรูปนี้ได้อย่างไรแม่นยำ

  1. เจ้านายฝ่ายในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ (จากซ้าย): พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงรัตนโกสินทร, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบันบัวผัน, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ และสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี

  2. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ (Princess Puangsoi Sa-ang, 1866–1950 / พ.ศ. 2409–2493)
    พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Mongkut, Rama IV, 1804–1868 / พ.ศ. 2347–2411) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเที่ยง (Chao Chom Manda Tieng Rojanadis) และเป็นพระเชษฐภคินีร่วมบิดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ลูกไม้พร้อม แขนเสื้อซ้อนชั้นระบาย (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves)ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีพาสเทล แสดงถึงการที่เจ้านายฝ่ายในระดับสูงรับอิทธิพลแฟชั่นปารีสอย่างรวดเร็ว

  3. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร (Princess Suddha Dibyaratana, 1877–1922 / พ.ศ. 2420–2465)
    พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี (Queen Sukhumala Marasri, 1861–1927 / พ.ศ. 2404–2470) เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ทรงฉลองพระองค์ที่ปรากฏมี แขนเสื้อลูกไม้ซ้อนชั้น คาดแพรสะพายแพร แสดงถึงการผสมผสานแฟชั่นปารีสกับสัญลักษณ์ชั้นสูงของสยาม

  4. เจ้าจอมมารดาชุ่ม ไกรฤกษ์ (Chao Chom Manda Chum Krairoek, 1869–1911 / พ.ศ. 2412–2454) ธิดาของพระมงคลรัตนราชมนตรี (Phraya Mongkolrat Rajamontri, ช่วง ไกรฤกษ์) สวมชุดลูกไม้พร้อม ชั้นระบายพริ้วบนหัวไหล่ ตอกย้ำภาพลักษณ์แห่งความสง่างาม และเป็นการสะท้อนว่าไม่เพียงแต่เจ้าฟ้า แต่แม้แต่เจ้าจอมก็ต่างมีโอกาสได้สวมใส่แฟชั่นใหม่เช่นกัน

  5. เจ้าจอมมารดาโหมด บุนนาค (Chao Chom Manda Mod Bunnag, 1863–1932 / พ.ศ. 2406–2475) ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (Chao Phraya Surawongwaiwat, Worn Bunnag, 1829–1882 / พ.ศ. 2372–2425) สวมเสื้อแบบ แขนเสื้อแบบซ้อนชั้น ประกอบกับการห่มแพรปัก (Phrae Pak) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (Order of Chula Chom Klao, 1873 / พ.ศ. 2416) การแต่งกายนี้เป็นการหลอมรวมแฟชั่นตะวันตกเข้ากับเอกลักษณ์ไทย

ความหมายทางวัฒนธรรม

การรับเอาแขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้นเข้าสู่ราชสำนักสยามใน ค.ศ. 1897–1898 (พ.ศ. 2440–2441) มีความสำคัญดังนี้:

1. เป็นสัญลักษณ์แห่งความทันสมัย (Modernity): ราชสำนักสยามแสดงความเทียบเท่าราชสำนักยุโรป

2. เป็นเครื่องหมายแห่งพระบารมีและพระราชไมตรี: อนุมานว่าเสื้อเหล่านี้อาจเข้ามาพร้อมกับการพระราชทานเสื้อผ้าตามแฟชั่นยุโรป

3. การดัดแปลงอย่างไทย: แม้แบบแผนจะมาจากปารีส แต่การสวมใส่ควบคู่กับแพรปัก เครื่องราชฯ ผ้านุ่งโจงกระเบน และเครื่องประดับไทย ทำให้เกิด “แฟชั่นราชสำนักสยาม” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ

กล่าวโดยสรุป แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น Manches à volants superposés (Tiered Flaunce Sleeves) จากปารีสในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นในราชสำนักสยามอย่างรวดเร็ว และเป็นหลักฐานสำคัญของการผสมผสานระหว่าง แฟชั่นยุโรป และ อัตลักษณ์ไทย ภายใต้พระบารมีแห่งรัชกาลที่ 5

Fashion History: Tiered Sleeves of 1897 and Their Entry into Siamese Court Dress

European Origins: The Decline of the Gigot

By the mid-1890s, women’s fashion in Europe had reached the height of the leg-of-mutton sleeve (or gigot sleeve), which swelled to exaggerated proportions in 1895–1896. By autumn 1897, however, the sleeve silhouette began to soften. Designers in Paris introduced a new refinement: tiered flounces or graduated volant sleeves, where layers of lace, ribbon, or fabric were stacked to create a decorative cascade over the upper arm. This style, often described in French fashion journals such as La Mode Illustrée, was called “manches à volants superposés” and offered a lighter, more ornate alternative to the collapsing gigot.

The effect was feminine and romantic, perfectly suited to evening and formal dress. Paired with high lace collars and lavish use of Valenciennes lace, silk foulard, or batiste, these sleeves heralded the transition from the monumental 1890s to the softer Edwardian aesthetic.

Transmission to Siam: The Royal Court of Bangkok

The same year this sleeve fashion took hold, King Chulalongkorn (Rama V) undertook his second European tour (1897). His visit coincided precisely with the Paris autumn season when these new sleeves were introduced. It is highly plausible that the King, well aware of the prestige of French couture and keen to modernise Siamese court life, acquired gowns or textiles reflecting this latest European taste as gifts for his consorts and daughters. Such gestures had precedent: European fashion houses, including Worth, Paquin, and Doucet, regularly supplied garments for Asian royalty.

By late 1897 and early 1898, photographic evidence suggests that Siamese court ladies began adopting this tiered sleeve style, reinterpreted through local tastes, court etiquette, and the integration of royal insignia such as the Chula Chom Klao order and phrae pak (embroidered silk shawls).

An example of a royal lady of the Inner Court of Siam wearing late Victorian lace fashion with tiered flounce sleeves. This portrait is estimated to have been taken in 1897 (B.E. 2440) or shortly thereafter.

The dating of the image can be determined by calculating the age of Princess Suddha Dibyaratana, Krom Luang Sri Ratanakosin (born 1877 / B.E. 2420). In this portrait, she appears to be about twenty years old. Together with the history of fashion—specifically the creation and popularisation of tiered flounce sleeves (manches à volants superposés) in Paris in 1897—this allows us to date the photograph with considerable accuracy.

Identified Figures in the Portrait

  1. Royal ladies of the Inner Court during the reign of King Chulalongkorn (Rama V), from left to right:

    • Princess Napapornprapha, Krom Luang Thip Rattanakiritkulini

    • Princess Pradit Sari

    • Princess Suddha Dibyaratana, Krom Luang Ratanakosin

    • Princess Busaban Bua Phan

    • Princess Puangsoi Sa-ang

    • Queen Sukhumala Marasri, the Queen Consort

  2. Princess Puangsoi Sa-ang (1866–1950 / B.E. 2409–2493)
    Daughter of King Mongkut (Rama IV, 1804–1868 / B.E. 2347–2411) by Chao Chom Manda Tieng Rojanadis. She was the elder half-sister of King Chulalongkorn. In this portrait, she wears lace with tiered flounce sleeves (manches à volants superposés) trimmed with pastel ribbons, reflecting how quickly the highest-ranking Inner Court ladies absorbed Parisian fashions.

  3. Princess Suddha Dibyaratana, Krom Luang Sri Ratanakosin (1877–1922 / B.E. 2420–2465)
    Daughter of King Chulalongkorn (Rama V) and Queen Sukhumala Marasri (1861–1927 / B.E. 2404–2470). She is dressed in lace with layered sleeves, wearing a sash across her shoulder, symbolising the fusion of Parisian fashion with Siamese markers of noble rank.

  4. Chao Chom Manda Chum Krairoek (1869–1911 / B.E. 2412–2454)
    Daughter of Phraya Mongkolrat Rajamontri (Chueng Krairoek). She wears a lace gown with flounced sleeves cascading at the shoulders, emphasising grace and refinement, showing that not only princesses but also royal consorts could partake in new fashion trends.

  5. Chao Chom Manda Mod Bunnag (1863–1932 / B.E. 2406–2475)
    Daughter of Chao Phraya Surawongwaiwat (Worn Bunnag, 1829–1882 / B.E. 2372–2425). She is depicted in a gown with tiered sleeves, combined with a Phrae Pak (royal embroidered sash) and the Order of Chula Chom Klao (founded 1873 / B.E. 2416). Her attire demonstrates the blending of Western fashion with uniquely Siamese court traditions.

Cultural Significance

The adoption of tiered sleeves in Siam in 1897–1898 underscores how quickly fashion innovations in Paris resonated across the globe. For Siam, these sleeves symbolised:

  • Modernity: aligning Siamese court culture with European royal courts.

  • Royal prestige: gifts from King Chulalongkorn’s European tour would have signalled his care for his consorts and daughters, while placing them in the forefront of cosmopolitan fashion.

  • Adaptation: while the forms were European, the integration of Thai jewellery, orders, and textiles created a distinct Siamese version of the style.

Thus, the “manches à volants superposés” of Paris became, within months, part of the visual language of Siamese monarchy, captured in portraits of the kingdom’s most illustrious women.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand 

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

ภาพถ่ายประชุมเจ้าประเทศราช พ.ศ. ๒๔๔๐

ภาพถ่ายประชุมเจ้าประเทศราช พ.ศ. ๒๔๔๐

การค้นพบ บูรณะ และความหมายทางประวัติศาสตร์

ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเลกชันนี้ บันทึกเหตุการณ์ประชุมเจ้าประเทศราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ เนื่องในโอกาสรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากเสด็จนิวัติกลับจากการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ภาพดังกล่าวถือเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า เนื่องจากเป็นภาพเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในประเทศไทย

การค้นพบและการเก็บรักษา

ภาพถ่ายนี้ถูกค้นพบโดยคุณพีระพงศ์ มณีรัตน์ จากราชสกุล ณ น่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และได้มอบต้นฉบับให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ เพื่อเก็บรักษาเป็นสมบัติของชาติและเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการศึกษาในอนาคต

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

คู่สีสวัสดิรักษา “วันศุกร์ – นุ่งเมฆคราม ห่มจันทร์” และวัน “วันพิพิธภัณฑ์ไทย”

คู่สีสวัสดิรักษา “วันศุกร์ – นุ่งเมฆคราม ห่มจันทร์” และวัน วันพิพิธภัณฑ์ไทย

ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นของสตรีฝ่ายในราชสำนักสยาม สมัยรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐–๒๔๔๐ / ค.ศ. 1890s) โดยออกแบบให้สอดคล้องกับ คู่สีสวัสดิรักษา ของวันศุกร์ คือ วันศุกร์ นุ่งเมฆคราม ห่มจันทร์ (นุ่งผ้าสีน้ำเงิน ห่มผ้าสีเหลือง)

ในทศวรรษ 1890 (พ.ศ. 2433–2442) แฟชั่นแขนเสื้อพองทรงหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำยุค โดยเฉพาะราว พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) แขนเสื้อขยายพองโตถึงที่สุด มักจับคู่กับคอร์เซ็ตรัดแน่นและกระโปรงทรงเอไลน์ที่เน้นสัดส่วนเว้าส่วนโค้งตามอุดมคติความงามแบบวิกตอเรีย

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพฤหัสบดี คือ “วันพฤหัสบดี นุ่งเสม ห่มตองอ่อน” (นุ่งผ้าสีแสด ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพฤหัสบดี คือ “วันพฤหัสบดี นุ่งเสม ห่มตองอ่อน” (นุ่งผ้าสีแสด ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพฤหัสบดี นุ่งเสม ห่มตองอ่อน” (นุ่งผ้าสีแสด ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพุธ นุ่งเขียวดิน ห่มจำปา” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีเหลือง)

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพุธ นุ่งเขียวดิน ห่มจำปา” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีเหลือง)

ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพุธ นุ่งเขียวดิน ห่มจำปา” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีเหลือง)

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอังคาร คือ “นุ่งโศก ห่มพวงอังกาบ” (นุ่งผ้าสีเขียวอ่อน ห่มผ้าสีม่วงอ่อน)

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอังคาร คือ “นุ่งโศก ห่มพวงอังกาบ” (นุ่งผ้าสีเขียวอ่อน ห่มผ้าสีม่วงอ่อน)

ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอังคาร คือ “นุ่งโศก ห่มพวงอังกาบ” (นุ่งผ้าสีเขียวอ่อน ห่มผ้าสีม่วงอ่อน)

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันจันทร์ คือ “นุ่งนกพิราบ ห่มจำปาแดง” (นุ่งผ้าสีนกพิราบนำ้เงินหม่น ห่มผ้าสีบานเย็น)

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันจันทร์ คือ “นุ่งนกพิราบ ห่มจำปาแดง” (นุ่งผ้าสีนกพิราบนำ้เงินหม่น ห่มผ้าสีบานเย็น)

ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา  วันจันทร์ คือ “นุ่งนกพิราบ ห่มจำปาแดง” (นุ่งผ้าสีนกพิราบนำ้เงินหม่น ห่มผ้าสีบานเย็น)

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี

ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี (Corrado Feroci) | มหาวิทยาลัยศิลปากร | กรุงเทพ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ภาพต้นฉบับถ่ายโดย อาจารย์อวบ สาณะเสน

วันที่ 15 กันยายน ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวัน ศิลป์ พีระศรี คือวันเกิดของศาสตราจารย์ชาวอิตาลี ผู้สร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร

ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย เขาคือผู้ที่เดินทางข้ามนํ้าข้ามทะเลมาไกลเพื่ออุทิศชีวิตให้กับศิลปะในชาติเล็กๆ ของเอเชีย ซึ่งท่านเป็นเจ้าของวลีดังอย่าง พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว และ ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิส พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๕

เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิส พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๕

ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ขณะทรงฉายร่วมกับพระมารดา เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิศ โดยภาพดังกล่าวถ่ายขึ้นในราวเดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. ๒๔๔๑ เวลานั้นพระองค์มีพระชันษา ๒๒ ปี ส่วนเจ้าจอมมารดาทับทิมมีอายุ ๔๑ ปี

กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พ.ศ. ๒๔๑๙–๒๔๕๗ / ค.ศ. 1876–1914) สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ ๓๗ ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล “จิรประวัติ” พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) จึงทรงเป็นพระเชษฐาร่วมเจ้าจอมมารดากับ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ต้นราชสกุลวุฒิชัย อีกทั้งยังมีเครือญาติฝ่ายพระมารดาเชื่อมโยงกับราชสกุลกมลาศน์ ชยางกูร และดิศกุล ซึ่งล้วนสืบสายพระโลหิตในรัชกาลที่ ๔

เจ้าจอมมารดาทับทิม (๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ – ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑) ทรงเป็นหนึ่งในพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ ท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) ผู้เป็นตาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และขรัวยายอิ่ม ซึ่งสืบตระกูลบุญเรือง ต้นวงศ์ขุนนางฝ่ายในผู้ดำรงตำแหน่งหลวงวังตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอาทิตย์ คือ “นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีแดง)

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอาทิตย์ คือ “นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีแดง)

ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอาทิตย์ คือ “นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีแดง) และจินตนาการถึงการแต่งตัวของฝ่ายใน ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทย

คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ สีสวัสดิรักษา ของวันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)

เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทย

เสื้อทรงแขนหมูแฮม: สัญลักษณ์แห่งแฟชั่นวิกตอเรีย


แขนหมูแฮมถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของแฟชั่นปลายศตวรรษที่ 19 ลักษณะเด่นคือความพองโตบริเวณต้นแขนที่ค่อย ๆ แคบลงจนแนบชิดข้อมือ ช่วยสร้างภาพเงา (silhouette) ที่สง่างามและโดดเด่น ดีไซน์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นยุคโรแมนติกทศวรรษ 1830 ก่อนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงปลายยุควิกตอเรีย

ในทศวรรษ 1890 (พ.ศ. 2433–2442) แขนหมูแฮมกลายเป็นสัญลักษณ์แฟชั่นเฉพาะยุค โดยเฉพาะราว ค.ศ. 1895 (พ.ศ. 2438) ที่แขนเสื้อพองโตมากที่สุด เสื้อแขนหมูแฮมมักจับคู่กับคอร์เซ็ตรัดแน่นและกระโปรงทรงเอไลน์ ซึ่งเน้นสัดส่วนเว้าส่วนโค้งตามอุดมคติความงามในยุคนั้น

การผสมผสานแฟชั่นตะวันตกกับราชสำนักสยาม

ในรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) สยามอยู่ระหว่างการปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย โดยรับทั้งวัฒนธรรมและแฟชั่นตะวันตกเข้ามาอิทธิพลเหล่านี้แผ่ถึง ราชสำนักฝ่ายใน ซึ่งสตรีในราชสำนักได้ปรับใช้แฟชั่นวิกตอเรียร่วมกับการแต่งกายไทยดั้งเดิม จนเกิดเป็นสไตล์เฉพาะตัว

เสื้อแขนหมูแฮมถูกนำมาสวมคู่กับโจงกระเบน กลายเป็นรูปแบบการแต่งกายที่สง่างามและแตกต่าง แขนเสื้อพองโตช่วยขับความสง่า ในขณะที่โจงกระเบนยังสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย การตัดเย็บมักใช้ผ้าไหมชั้นดี พร้อมงานปักละเอียดที่ผสมผสานลวดลายตะวันตกกับศิลปะไทยได้อย่างกลมกลืน

มรดกแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม

แม้แขนหมูแฮมจะเป็นแฟชั่นที่อยู่ในกระแสเพียงช่วงสั้น ๆ ของประวัติศาสตร์ยุควิกตอเรีย แต่กลับมีอิทธิพลต่อการแต่งกายในราชสำนักไทยอย่างน่าจดจำในทศวรรษ 1890 แฟชั่นจึงมิใช่เพียงเรื่องความงาม หากยังเป็นสื่อกลางแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการสะท้อนยุคสมัย

การนำเทคโนโลยี AI มาช่วยฟื้นฟูและจินตนาการแฟชั่นแขนหมูแฮมในบริบทของราชสำนักไทย ช่วยอนุรักษ์และถ่ายทอดมรดกแฟชั่นนี้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และชื่นชมต่อไป

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี

กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี

ภาพที่สร้างสรรค์และบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้เป็นพระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี   (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) ชายาพระองค์แรก ซึ่งผมได้สร้างสรรค์ให้สวยสมจริงจากพระรูปต้นฉบับขาวดำ พร้อมกับฉากหลังในวังมหานาค

จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช มีพระนามเดิมว่าพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช กรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช (๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๙ – ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ สิริพระชันษา ๓๘ ปี) (ค.ศ. ๑๘๗๖–๑๙๑๔)

พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๑๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม (ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)) ทรงมีพระกนิษฐาและพระกนิษฐภาดาร่วมพระมารดาเดียวกัน ๓ พระองค์ ได้แก่

๑. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช)

๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย

๓. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร (พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ)

หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศเดนมาร์ก ได้เข้ารับราชการในกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ, ปลัดกองทัพบก, เสนาธิการทหารบก และเสนาบดีกระทรวงกลาโหม พระองค์ทรงเป็น จอมพลพระองค์ที่สองของกองทัพบกสยาม

เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕) ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษเสือป่า กองมณฑลนครไชยศรี อีกทั้งยังทรงเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งกองบินทหารบก หลังจากทรงหารือกับ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ถึงความจำเป็นที่สยามควรมีเครื่องบินไว้ใช้ป้องกันประเทศเช่นเดียวกับอารยประเทศ กองบินทหารบกดังกล่าวต่อมาได้พัฒนาเป็น กองทัพอากาศไทย

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ทรงแต่งเครื่องยศขุนตำรวจเอกในกรมพระตำรวจเป็นกรณีพิเศษ

พระองค์ทรงได้รับพระราชทาน วังมหานาค เป็นที่ประทับร่วมกับเจ้าจอมมารดาทับทิม และทรงเป็นต้นราชสกุล “จิรประวัติ”

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) (25 ธันวาคม พ.ศ. 2426 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2445) เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2441 มีพระโอรสและพระธิดาธิดา คือ

1. หม่อมเจ้าหญิงวิมลปัทมราช จิรประวัติ (17 พฤษภาคม พ.ศ. 2442 - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508)

2. หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดี จิรประวัติ (16 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 - 28 มีนาคม พ.ศ. 2519)

3. หม่อมเจ้าประสบศรีจิรประวัติ จิรประวัติ (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 - 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483)

4. หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม

และหลังจากที่ชายาพระองค์แรกได้สิ้นชีพตักษัยลง จึงทรงเสกสมรสใหม่กับหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ จิรประวัติ (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2447 ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ (14 เมษายน พ.ศ. 2431 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482) เป็นพระขนิษฐาร่วมพระบิดามารดาเดียวกันกับหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี โดยเสด็จในกรมหลวงนครไชยศรีและหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ทรงมีพระโอรสด้วยกัน 2 องค์ คือ

1. หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ (9 มกราคม พ.ศ. 2449 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2506)

2. หม่อมเจ้าขจรจิรพันธ์ จิรประวัติ (16 ตุลาคม พ.ศ. 2455 - 15 สิงหาคม พ.ศ. 2514) (เนื่องจากประสูติที่เมืองนอกจึงทรงมีพระนามลำลองว่าท่านชายนอก)

ฉลองพระองค์ของกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช คือเครื่องแบบขาว สังกัดกรมปลัดทัพบกในกรมเสนาธิการทหารบก และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี  นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ สีสวัสดิรักษาประจำวันอาทิตย์

ธรรมเนียม “การทรงกรม” ตามยุคสมัย

“อิสริยยศ” คือพระยศที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว แบ่งออกเป็น ๒ รูปแบบคือการเลื่อนพระยศ เช่น เลื่อนพระยศจากชั้นพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า และการ “ทรงกรม” ซึ่งการทรงกรมนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา การทรงกรมเป็นพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แก่เชื้อพระวงศ์เพื่อเป็นพระเกียรติยศเนื่องจากได้ช่วยเหลืองานราชการแผ่นดิน

“การทรงกรม” ของเจ้านายปรากฏครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา คือ การตั้งกรมขึ้นใหม่ต่างพระเนตรพระกรรณตามพระนามทรงกรมของเจ้านายพระองค์นั้น มีขุนนางเป็นเจ้ากรมตามอิสริยยศนั้น เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฉัตร กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ เจ้ากรมของท่านคือ หมื่นสุรินทรรักษ์ เป็นต้น มีปลัดกรม สมุห์บัญชี และไพร่พลในสังกัดกรม การทรงกรมเป็นพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แก่เชื้อพระวงศ์เพื่อเป็นพระเกียรติยศเนื่องจากได้ช่วยเหลืองานราชการแผ่นดิน

“การทรงกรม” แบ่งเป็น ๕ ชั้น ดังนี้

๑. ”กรมพระยา”(อ่านว่า กฺรม-พระ-ยา) หรือ “กรมสมเด็จพระ” (อ่านว่า กฺรม-สม-เด็ด-พระ) สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง

๒. “กรมพระ”(อ่านว่า กฺรม-มะ-พระ) สำหรับพระราชทานวังหน้า วังหลัง สมเด็จพระเจ้าพี่ยา/น้องยา/พี่นาง/น้องนางเธอ

๓. “กรมหลวง”(อ่านว่า กฺรม-มะ-หลวง) สำหรับพระราชทานเจ้าฟ้าชั้นใหญ่

๔. “กรมขุน”(อ่านว่า กฺรม-มะ-ขุน) สำหรับพระราชทานเจ้าฟ้าชั้นเล็ก

๕. “กรมหมื่น”(อ่านว่า กฺรม-มะ-หมื่น) สำหรับพระราชทานพระองค์เจ้า

ภายหลังจากที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาส ทำให้การทรงกรมของเจ้านายเป็นเพียงการเฉลิมพระเกียรติยศเจ้านายพระองค์นั้นให้สูงขึ้น ไม่มีการตั้งกรมขึ้นใหม่แต่อย่างใด

และพระองค์มีพระราชนิยมจากการเฉลิมพระยศในต่างประเทศ โดยการนำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม เช่น Prince of Wales ของสหราชอาณาจักร จึงมีพระบรมราชวินิจฉัยนำชื่อเมืองในสยามมาทรงกรมให้เจ้านาย เช่น กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นต้น

“การทรงกรม” โดยใช้ธรรมเนียมนำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม แบบนี้เรื่อยมาจนถึงจนถึงล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๙

พอมาถึงแผ่นดินรัชกาลปัจจุบัน การสถาปนา “การทรงกรม” แก่พระบรมวงศ์ เป็นการหวนคืนไปใช้พระราชธรรมเนียมแบบเดิม คือ พระเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ใช้การเฉลิมพระยศ “การทรงกรม” แบบเดิมแทนที่นำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม แบบรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระองค์สุดท้ายที่มีการทรงกรมแบบหลังนี้ คือ “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์”

เจ้านายที่ได้รับการสถาปนาพระยศ “การทรงกรม” ในรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้

๑. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี “กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี”

๒. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี “กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ”

๓. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี “กรมหมื่นสุทธนารีนาถ”

รวมทั้งการกลับมาใช้ “กรมสมเด็จพระ” ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดเหนือพระบรมวงศ์ทั้งปวง ที่มีการเริ่มใช้ครั้งแรกในช่วงรัชกาลที่ ๓ จนกระทั่งเลิกใช้ไปในช่วงรัชกาลที่ ๖ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า” โดยยังทรงพระอิสริยยศ “กรมสมเด็จพระ” และ “สยามบรมราชกุมารี” ตามที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ

“ฝ่ายหน้า” หมายถึง เจ้านายพระองค์นั้นเป็นผู้ชาย

“ฝ่ายใน” หมายถึง เจ้านายพระองค์นั้นเป็นผู้หญิง

ขอบคุณข้อมูลธรรมเนียม “การทรงกรม” จากเพจโบราณนานมา

____________________________________________

Prince of Nakhon Chaisi Suradet and Mom Chao Pravassawasdi

This restored and AI-enhanced portrait depicts H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช] and Mom Chao Pravassawasdi Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ] (née Sonakul [โสณกุล]), his first consort. The portrait has been recreated in colour from the original black-and-white image, with the background of Wang Mahanak Palace [วังมหานาค].

Field Marshal H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi was born Prince Chirapravati Voradej [พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช] on 7 November 1876 (B.E. 2419) and passed away on 4 February 1913 (B.E. 2456), aged 37. He was the 18th son of King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว], by Chao Chom Manda Thapthim [เจ้าจอมมารดาทับทิม], daughter of Phraya Upphanttrikamart (Dit Rojanadis) [พระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)].

His full siblings were:

  1. H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช]

  2. H.R.H. Princess Prawetsaworasamai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย]

  3. H.R.H. Prince Vudhijaya Chalermlabh, Prince of Singha Vikrom Kriangkrai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร, พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ]

After completing his education in Denmark, Prince Chirapravati Voradej entered the service of the Siamese Army and the Ministry of Defence, holding key posts such as Director of the Department of Military Operations, Deputy Commander-in-Chief of the Army, Chief of the General Staff, and finally Minister of Defence. He became the second Field Marshal of the Siamese Army.

On 10 April R.S. 131 (A.D. 1912), he was appointed Commander of the Special Division of the Wild Tiger Corps (Sua Pa) for Nakhon Chaisi. He was also instrumental in establishing the Army Aviation Corps, after consultations with his younger half-brother H.R.H. Prince Purachatra Jayakara, Prince of Kamphaeng Phet [สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ], then Chief of the General Staff, on the necessity for Siam to acquire military aircraft like other modern nations. This corps later developed into the Royal Thai Air Force.

On 11 November 1911 (B.E. 2454), he was elevated to the rank of H.R.H. Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช] with a noble title rank of 15,000 rai and was exceptionally authorised to wear the uniform of a Grand Commissioner of the Royal Police Department.

He resided at Wang Mahanak Palace [วังมหานาค], together with his mother Chao Chom Manda Thapthim, and became the founder of the Chirapravati Family [ราชสกุลจิรประวัติ].

Prince Chirapravati Voradej married Mom Chao Pravassawasdi Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ](née Sonakul [โสณกุล], 25 December 1883 – 11 December 1902) on 12 August 1898 (B.E. 2441). They had the following children:

  1. M.C. Vimala Badamaraj Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงวิมลปัทมราช จิรประวัติ] (17 May 1899 – 3 February 1965)

  2. M.C. Nivas Svasti Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดี จิรประวัติ] (16 July 1900 – 28 March 1976)

  3. M.C. Prasobsri Chirapravati [หม่อมเจ้าประสบศรี จิรประวัติ] (8 November 1901 – 19 November 1940)

  4. Unnamed daughter [หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม], who died in infancy.

After the death of his first consort, Prince Chirapravati Voradej remarried on 28 April 1904 (B.E. 2447) to Mom Chao Sumornmalya Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ จิรประวัติ] (née Sonakul [โสณกุล], 14 April 1888 – 21 February 1939), the younger sister of his first consort. They had two sons together:

  1. M.C. Nidasanadhorn Chirapravati [หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ] (9 January 1906 – 3 March 1963)

  2. M.C. Khachorn Chirabandha Chirapravati [หม่อมเจ้าขจรจิรพันธ์ จิรประวัติ] (16 October 1912 – 15 August 1971), who was nicknamed Than Chai Nok [ท่านชายนอก] as he was born abroad.

In this portrait, Prince Chirapravati Voradej is depicted wearing his white uniform as Deputy Commander of the Army General Staff. Mom Chao Pravassawasdi is dressed in a khamphu skirt (ก้ามปู) with a din daeng thet (ดินแดงเทศ) shawl, the auspicious colour combination for Sunday according to Siamese tradition.

The Custom of Krom Titles in Siam

In Siamese tradition, a royal title known as “Krom” (กรม) was a form of isriyayot (อิสริยยศ) — a noble dignity conferred by the King. This was distinct from ordinary promotion in rank. The practice of granting Krom titles dates back to the reign of King Narai the Great of Ayutthaya [สมเด็จพระนารายณ์มหาราช] in the 17th century, and was bestowed upon princes and princesses as an honour for their service to the realm.

Originally, the King would establish a new “Krom” — effectively a household or office under the prince’s name — with courtiers, officials, accountants, and retainers under his command. For example, Prince Chat [พระองค์เจ้าฉัตร] was styled Krom Muen Surinrak [กรมหมื่นสุรินทรรักษ์], with officials of that “Krom” holding corresponding titles.

Levels of Krom Titles

The hierarchy of Krom titles had five principal levels, in ascending order of prestige:

  1. Krom Muen (กรมหมื่น) – usually granted to a Phra Ong Chao (พระองค์เจ้า, prince or princess of lower rank).

  2. Krom Khun (กรมขุน) – typically granted to junior Chao Fa (เจ้าฟ้า, princes of higher birth).

  3. Krom Luang (กรมหลวง) – granted to senior Chao Fa of importance, often entrusted with major state or military responsibilities.

  4. Krom Phra (กรมพระ) – a higher dignity, often for princes or princesses close to the throne, such as the Front Palace (วังหน้า) or Rear Palace (วังหลัง).

  5. Krom Phraya (กรมพระยา) or Krom Somdet Phra (กรมสมเด็จพระ) – the highest rank of Krom, reserved for the most senior royals, equivalent in dignity to a Grand Duke or Archduke in Europe.

Evolution of the Custom

During the reign of King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว], after the abolition of slavery, Krom titles became largely honorific. The King adopted the European practice of adding the name of a city or province to princely titles (as in “Prince of Wales”). Thus Siamese princes became styled, for example:

  • Krom Luang Ratchaburi Direkrit [กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์]

  • Krom Phra Kamphaengphet Akkarayothin [กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน]

  • Krom Luang Phitsanulok Prachanat [กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ]

This system of appending a city name to a Krom title continued up to King Bhumibol Adulyadej (Rama IX). The last to receive such a title was H.R.H. Princess Galyani Vadhana [สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา], styled Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra [กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์].

In the present reign, the King has revived the older custom of granting Krom as a direct elevation of dignity, without using the name of a city. Recent examples include:

  • H.R.H. Princess Chulabhorn Walailak [สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์], titled Krom Phra Srisavangavadhana Vorakhattiya Rajanari [กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี]

  • H.R.H. Princess Bajrakitiyabha Narendira Debyavati [สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี], titled Krom Luang Rajasarinisiri Pachara Maha Vajra Rajadhita [กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา]

  • H.H. Princess Soamsawali [พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี], titled Krom Muen Suddhanarinatha [กรมหมื่นสุทธนารีนาถ]

Furthermore, the highest form, “Krom Somdet Phra” (กรมสมเด็จพระ), once discontinued after the reign of King Vajiravudh (Rama VI), has been revived. This was bestowed upon H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn [สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า], styled Somdet Phra Kanitthathirat Chao, Krom Somdet Phra Theprat Ratchasuda, Siam Borommarajakumari [สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี].

Notes

  • Phai Nai (ฝ่ายใน) = female member of the royal family

  • Phai Na (ฝ่ายหน้า) = male member of the royal family

Thus, “Krom” titles were Siam’s closest equivalent to European dukedoms or archdukedoms, combining honour, symbolic administrative identity, and social prestige.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารและพระเจ้าลูกยาเธอ

ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร (ประทับพระเก้าอี้) ฉายที่สถานทูตไทย กรุงลอนดอน พร้อมด้วยพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนมไหยสุริยสงขลา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าอินทยงยศโชติ เจ้าหลวงเมืองลำพูน องค์ที่ ๙ แม่เจ้าหม่อมราชวงศ์รถแก้วราชเทวี และหลานเจ้าดรุณดารา ณ ลำพูน

เจ้าอินทยงยศโชติ เจ้าหลวงเมืองลำพูน องค์ที่ ๙ แม่เจ้าหม่อมราชวงศ์รถแก้วราชเทวี และหลานเจ้าดรุณดารา ณ ลำพูน

พระรูปที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ เจ้าอินทยงยศโชติ เจ้าหลวงเมืองลำพูน องค์ที่ ๙ แม่เจ้าหม่อมราชวงศ์รถแก้วราชเทวี และหลานเจ้าดรุณดารา ณ ลำพูน ผมได้สร้างสรรค์เหิ่มต่อให้ผ้าที่อยู่หลักฉากเป็นผ้าลายอย่างลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งเป็นลายที่นิยมกันในราชสำนักสยาม เพื่อให้เข้ากับบริบทของยุคสมัยในสมัยรัชกาลที่ ๕

“เจ้าอินทยงยศโชติ" เจ้าหลวงลำพูน องค์ที่ ๙ ผู้มีบทบาทในการสร้างถนน เจ้าอินทยงยศโชติ หรือ เจ้าน้อยหมวก ณ ลำพูน เป็นราชบุตรของเจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์กับแม่เจ้าปิมปา เจ้าหลวงเมืองลำพูนองค์ที่ ๗ ในวัยหนุ่มเจ้าน้อยหมวกรับราชการช่วยพระบิดาอย่างใกล้ชิด ทรงปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความขยันขันแข็ง รวมทั้งมีความมานะพยายาม

เจ้าน้อยหมวกได้รับพระราชทานเลื่อนตำแหน่งหน้าที่ตามลำดับ จนกระทั่งได้เป็นเจ้าราชวงศ์ในสมัยเจ้าหลวงเหมพินธ์ไพจิตร ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ ๘ ต่อจากพระราชบิดา หากจะนับตามศักดิ์แล้วเจ้าหลวงเหมพินธุ์ไพจิตร มีศักดิ์เป็นเจ้าอาคือ เป็นอนุชาต่างมารดาของเจ้าพ่อดาราดิเรกรัตน์ ภายหลังเมื่อเจ้าพ่อถึงแก่พิราลัยแล้ว เจ้าน้อยหมวก ก็ได้เข้ารับราชการร่วมกับเจ้าเหมพินธ์ไพจิตร ต่อมาอีก ๗ ปี (พ.ศ.๒๔๓๑-๒๔๓๘) เจ้าหลวงเหมพินธ์ไพจิตรก็ถึงแก่พิราลัย เจ้าน้อยหมวกจึงได้เลื่อนฐานันดรศักดิ์จากเจ้าราชวงศ์ขึ้นเป็น เจ้าอินทยงยศโชติ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ ๙ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๘ ซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าอินทวิชชายานนท์ (เจ้าอินทนนท์) เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่

เจ้าอินทยงยศโชติ แต่เดิมเป็นพระไชยสงครามแล้วเลื่อนตำแหน่งมาเป็นเจ้าราชวงศ์ และครั้งสุดท้ายได้รับพระสุพรรณบัตร เป็นเจ้าอินทยงยศโชติ และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ให้เป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ ๙ ใน พ.ศ.๒๔๓๘

เจ้าอินทยงยศโชติ เป็นเจ้าหลวงลำพูนที่นับได้ว่ามีบุญญาธิการมากพระองค์หนึ่ง เนื่องจากท่านทรงมีราชบุตรที่มีความสามารถในการพัฒนาบ้านเมืองแทนพระองค์ท่าน คือ เจ้าน้อยจักรคำ ซึ่งต่อมาได้เลื่อนเป็นพระยาวังขวา เป็นเจ้าบุรีรัตน์และเลื่อนเป็นพลตรีเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ ๑๐ ในเวลาต่อมา

เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏเงี้ยวปล้นเมืองลำปาง เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ก็ได้เป็นหัวแรงสำคัญในการป้องกันเมืองลำพูน โดยท่านพร้อมกับเจ้าราชวงศ์ไชยเทพ (บุญเป็ง) ต่อมาเป็นต้นตระกูล ธนันชยานนท์ ได้ช่วยกันปราบปรามพวกกบฏเงี้ยวโดยได้อาสารับรองต่อเจ้าอินทยงยศโชติ ไม่ให้มีความตระหนกตกใจต่อข่าวการจลาจลของเงี้ยว

นอกจากนั้นแล้วในสมัยที่เจ้าอินทยงยศโชติ เป็นเจ้าหลวงลำพูน นับได้ว่าเป็นยุคของการพัฒนาชุมชนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการตัดถนนจากเมืองลำพูนไปเชียงใหม่ และจากเมืองลำพูนไปเวียงป่าซาง รวมทั้งการทำเหมืองฝายขึ้นอีกมากมาย จากหลักฐานแผนที่ซึ่งเขียนโดยกระทรวงมหาดไทย ระหว่าง ปี พ.ศ.๒๔๔๐-๒๔๕๐ ในสมัยของเจ้าหลวงอินทยงยศโชตินั้น แสดงให้เห็นถึงการตัดถนนสายสำคัญ ๆ ในเมืองลำพูน

เจ้าอินทยงยศโชติ ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ.๒๔๕๔ จากนั้นราชบุตรของท่านคือ พลตรีเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ (ในขณะนั้นเป็นเจ้าบุรีรัตน์นครลำพูน) ได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนแทน นับเป็นเจ้าหลวงลำพูน องค์ที่ ๑๐ ในปี พ.ศ.๒๔๖๙ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้ดำเนินนโยบายยกเลิกตำแหน่งเจ้าหลวง หากเจ้าหลวงเมืองใดว่างลงจะไม่โปรดเกล้าฯแต่งตั้งขึ้นอีก ดังนั้นเจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูนก็คือ พลตรีมหาอำมาตย์โทเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ปัจจุบันแม้ว่าจะมีการยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครไปแล้ว หากแต่ผู้สืบสกุล “ณ เชียงใหม่, ณ ลำพูน, ณ ลำปาง” ทุกคนก็ยังคงดำรงสถานะความเป็น “เจ้า” โดยกำเนิดต่อไป

ภาพ เจ้าหลวงอินทยงยศโชติ กับ แม่เจ้าหม่อมราชวงศ์รถแก้วราชเทวี ฉายพระรูป ร่วมกับหลานเจ้าดรุณดารา ณ ลำพูน ซึ่งเป็นโอรสในเจ้าหญิงมุกดา ณ ลำพูน - สมรสกับ เจ้าราชภาคินัย น้อยเมืองไทย 
นามท่านได้ย่อมาเป็นชื่อที่ระลึกของ ถนนอินทยงยศ (ไม่มีโชติ) ผ่ากลางเวียง จากประตูลี้ พิพิธภัณฑ์ลำพูน หลังวัดพระธาตุ ไปจนศาลากลาง และ ประตูช้างสี

ขอขอบพระคุณภาพ / ข้อมูล
Cr. Chiang Mai News.
Cr. จักรพงษ์ คำบุญเรือง

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

ม.ร.ว.เพ็ญศรี กฤดากร

ม.ร.ว.เพ็ญศรี กฤดากร


ธิดาใน ม.จ.สิทธิพร กฤดากร – หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ภาพถ่ายขาวดำต้นฉบับถ่ายราว พ.ศ. 2500 ม.ร.ว.เพ็ญศรีดำรงตำแหน่งผู้จัดการร้านโขมพัสตร์ ซึ่งเป็นร้านของท่านลุง พระองค์เจ้าบวรเดช

ในภาพ ม.ร.ว.เพ็ญศรีสวมกระโปรงที่ตัดเย็บด้วยผ้าโขมพัสตร์ลายหนุมาน โดยแฟชั่นที่เห็นเป็นสมัยนิยมแบบ Dior New Look กระโปรงบานทรงสุ่ม (Balloon/Hoop Skirt Style) อันเป็นเอกลักษณ์ของแฟชั่นยุค 1950s (พ.ศ. 2493–2502)

ผมได้สร้างสรรค์ให้มีการใช้คู่สีตัดกัน และลายหนุมานนี้เป็นลายลงทอง ได้แรงบันดาลใจจากงานจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง รามเกียรติ์ ที่ระเบียงคด วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ชีวิตการทำงานกับผ้าโขมพัสตร์


ม.ร.ว.เพ็ญศรี ได้ทำงานสนองพระเดชพระคุณพระองค์เจ้าบวรเดช ซึ่งมีศักดิ์เป็นท่านลุง และ ม.จ.หญิงผจงรจิตร กฤดากร ซึ่งมีศักดิ์เป็นท่านอา ทั้งสองท่านเป็นผู้ก่อตั้งโรงพิมพ์ผ้าโขมพัสตร์ ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ม.ร.ว.เพ็ญศรีเป็นผู้จัดการโรงงานคนแรกของโรงงานพิมพ์ผ้าโขมพัสตร์ และได้นำวิชาความรู้ด้านเคมีที่ศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นมาใช้ในการทำสีและย้อมผ้า ท่านทำงานที่โรงงานพิมพ์ผ้าโขมพัสตร์เป็นเวลากว่า 15 ปี ก่อนที่จะย้ายไปรับราชการที่จังหวัดนนทบุรี

คราวหนึ่ง เมื่อแฟชั่นกระโปรงบานกำลังเป็นที่นิยมในสังคม ซึ่งเป็นแฟชั่น New Look ในยุค 1950s (พ.ศ. 2493–2502) ม.ร.ว.เพ็ญศรีนำผ้าโขมพัสตร์มาตัดเป็นกระโปรงบานทรง New Look และหนึ่งในลายผ้าที่ออกแบบก็คือกระโปรงที่อยู่ในรูป ทซึ่งมีความงดงาม สะท้อนรสนิยมและสุนทรียะของยุคสมัยนั้นได้อย่างลงตัว

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

การแต่งกายสตรีสยามในสมัยรัชกาลที่ ๑–๓

การแต่งกายสตรีสยามในสมัยรัชกาลที่ ๑–๓ (พ.ศ. ๒๓๒๕–๒๓๙๔ / ค.ศ. 1782–1851)

เมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เริ่มต้นขึ้นในรัชกาลที่ ๑ การแต่งกายของสตรีสยามยังคงรับอิทธิพลต่อเนื่องมาจากสมัยอยุธยา บันทึกของชาวตะวันตก เช่น ลาลูแบร์ ได้กล่าวไว้ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่าคนสยามแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นกว่าชาติอื่น นิยมเดินเท้าเปล่า ไม่สวมหมวก ใช้ผ้าชิ้นเดียวพันร่างกาย โดยเฉพาะผ้าที่มีลวดลายดอกหรือผ้าไหมเนื้อเรียบที่ทอขอบเป็นดิ้นทองดิ้นเงิน เมื่อเข้าสู่กรุงเทพฯ ยุคต้น รูปแบบนี้ยังคงดำรงอยู่และพัฒนาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสตรีไทยในรัชกาลที่ ๑–๓

การแต่งกายของสตรีทั่วไปประกอบด้วย ผ้านุ่งแบบโจงกระเบน (โจงกระเบน) ควบคู่กับการห่ม สไบเฉียง ทับลำตัว ในชีวิตประจำวันมักใช้ ผ้าแถบหรือผ้าตะเบงมาน พันอกเพื่อความสะดวก ส่วนในโอกาสเป็นทางการหรือยามออกงานสำคัญจะนิยมคลุมสไบเพื่อแสดงถึงความสุภาพเรียบร้อย การสวมเสื้อแขนกระบอกเริ่มปรากฏในช่วงนี้ โดยตัดแบบรัดรูป เรียบง่าย และสวมทับใต้สไบสำหรับสตรีชั้นสูง

ความแตกต่างระหว่างชาวบ้านกับสตรีชาววังอยู่ที่คุณภาพของเนื้อผ้า ชาวบ้านนิยมผ้าพื้นเมืองที่ทออย่างเรียบง่าย ในขณะที่สตรีชั้นสูงและเจ้านายใช้ผ้าไหมชั้นดี สอดดิ้นเงินดิ้นทอง หรือผ้านำเข้าจากต่างประเทศ ตลอดจนประดับเครื่องทองและอัญมณีเพิ่มเติมเพื่อบ่งบอกฐานะ

ทรงผม ของสตรีในช่วงนี้สะท้อนพัฒนาการที่ต่อเนื่องจากธรรมเนียมการตัดจุกเมื่อพ้นวัยเด็ก หญิงสาวมักตัดผมสั้น ทรงปีก คือไว้จอนยาวสองข้างหู โกนท้ายทอยให้เรียบ ลักษณะทรงผมดังกล่าวปรากฏชัดในจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสตรีชนชั้นสูงและสามัญชนมีแบบแผนไม่ต่างกันมากนัก

รองเท้า ยังไม่ใช่สิ่งที่นิยม แม้แต่สตรีในราชสำนักก็มักเดินเท้าเปล่า จะมีบ้างในบางโอกาสที่สวมรองเท้าส้นตื้นปักดิ้นหรือปักไหมสำหรับพิธีการ ส่วนรองเท้าแบบตะวันตกยังไม่แพร่หลายในช่วงนี้ หากจะเริ่มเห็นชัดเจนก็ในรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นไป

ภาพรวมแล้ว การแต่งกายสตรีสยามตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ จนถึงรัชกาลที่ ๓ ถือเป็นยุคต่อเนื่องเดียวกัน มีเอกลักษณ์ร่วมคือการนุ่งโจงกระเบน การห่มสไบ ทรงผมสั้นแบบปีก และการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายด้วยเท้าเปล่า แม้สตรีชนชั้นสูงจะมีเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับที่หรูหรากว่า แต่โครงสร้างหลักของการแต่งกายยังคงเป็นแบบเดียวกัน สะท้อนความงามที่เรียบง่าย ทะมัดทะแมง และสืบทอดเป็นรากฐานสำคัญของแฟชั่นไทยในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย ในกรุงเทพ

เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย ในกรุงเทพ (ตอนที่ ๒)

ภาพที่บูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเล็คชั่นที่ ๒ นี้ เป็นพระรูปของ นายพลตรี เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย

พระรูปในคอลเลกชันนี้ถูกสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจและจินตนาการ โดยอ้างอิงจากพระรูปต้นฉบับที่ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งท่านเสด็จลงกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ซึ่งอาจจะเป็นพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในรัชกาลที่ ๖ 

ต้นฉบับภาพมาจากสำเนาฟิล์มกระจกซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เป็นภาพที่ถ่ายที่หน้าตึกแห่งหนึ่งซึ่งสันนิฐานว่าเป็นในบริเวณพระบรมมหาราชวัง

ผมได้จินตนาการว่าพระรูปนี้ถูกฉายไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ขณะท่านเสด็จไปนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรืออาจจะเป็นงานพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในรัชกาลที่ ๖  สีสันที่ปรากฏจึงถูกถ่ายทอดให้สดใส สมจริง และสะท้อนบรรยากาศของยุคนั้น

Chao Boonwat Wongmanit [เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ], the Last Ruler of Lampang [เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย] in Bangkok (Part II)

This second AI-restored and creatively reimagined collection presents the portrait of Major General Chao Boonwat Wongmanit [นายพลตรี เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ], the last ruler of Lampang [เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย].

The portraits in this collection were inspired and imagined from an original photograph taken during the reign of King Vajiravudh [พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, รัชกาลที่ ๖], when Chao Boonwat travelled to Bangkok [กรุงเทพฯ] to pay homage to His Majesty. It may have been on the occasion of the Royal Oath of Allegiance Ceremony [พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา] during Rama VI’s reign.

The original image comes from a glass-plate negative [ฟิล์มกระจก] preserved at the National Library of Thailand [หอสมุดแห่งชาติ] in Bangkok. It was taken in front of a building believed to be within the grounds of the Grand Palace [พระบรมมหาราชวัง].

I have imagined that this portrait was taken at Wat Phra Si Rattana Satsadaram [วัดพระศรีรัตนศาสดาราม, วัดพระแก้ว], during his visit to pay homage to the Emerald Buddha [พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร], or perhaps on the occasion of the Royal Oath of Allegiance Ceremony [พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา] in the reign of King Vajiravudh. The colours have therefore been rendered in a vibrant, lifelike manner, reflecting the atmosphere of that era.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO#digitalfashion 

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

งานสังสรรค์ในสวนยามบ่าย – ศิลปะการแต่งกายสไตล์อาร์ตเดโคในรัชสมัยต้นรัชกาลที่ ๗

งานสังสรรค์ในสวนยามบ่าย – ศิลปะการแต่งกายสไตล์อาร์ตเดโคในรัชสมัยต้นรัชกาลที่ ๗

คอลเลกชันนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อถ่ายทอดการออกแบบเครื่องแต่งกายในสไตล์อาร์ตเดโค (Art Deco) ช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗, พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๗) โดยจินตนาการถึงบรรยากาศงานสังสรรค์ในสวนยามบ่าย ที่ผสมผสานความหรูหราของแฟชั่นตะวันตกยุคอาร์ตเดโคเข้ากับความละเมียดละไมของวัฒนธรรมไทย

อาร์ตเดโคและซิลูเอตแบบฟลัปเปอร์

แฟชั่นอาร์ตเดโคแห่งทศวรรษ 1920 หรือที่มักเรียกกันว่า “แฟชั่นฟลัปเปอร์ (Flapper Fashion)” มีซิลูเอตอันโดดเด่นและแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากยุคก่อน — เน้นเส้นสายตรง ดูยาวโปร่ง และปลดเปลื้องพันธนาการของคอร์เซ็ตที่ใช้กันมายาวนาน เสื้อผ้าสตรีเป็นแบบแขนกุดหรือแขนสั้น เอวตกต่ำ ตกแต่งด้วยลวดลายเรขาคณิต ผ้าปักดิ้นเลื่อมและลูกปัดแวววาว ทรงผมสั้นประดับด้วยคลื่น “มาร์เซลเวฟ (Marcel Wave)” พร้อมคาดศีรษะด้วยแถบประดับเพชรพลอยหรือขนนกยาวอันสง่างาม

เมื่อนำมาปรับใช้ในสยาม แฟชั่นดังกล่าวได้หลอมรวมเข้ากับเครื่องแต่งกายไทยสมัยใหม่ สตรีสวมเสื้อแขนกุดปักดิ้นเงินดิ้นทองหรือตกแต่งเลื่อม แทนด้วย ผ้าซิ่น ที่เป็นผ้านุ่งทรงกระบอกยาวระดับกลางน่อง จับคู่กับถุงน่องและรองเท้าส้นสูง แสดงออกถึงความร่วมสมัยและความโก้หรู ขณะที่เครื่องประดับอย่างสร้อยไข่มุกหรือชายระบายลูกปัดสะท้อนทั้งความงดงามของอาร์ตเดโคและความอ่อนช้อยแบบไทย

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ และกางเกงขี่ม้าแบบ จอดห์ปูร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๖

เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ และกางเกงขี่ม้าแบบ จอดห์ปูร์

ภาพที่บูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ นายพลตรี เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ฯ เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย

คอลเลกชันภาพชุดนี้มีที่มาจากภาพถ่ายเก่าที่เหลืออยู่เพียงสองภาพ ได้แก่ พระรูปขาวดำซึ่งเผยให้เห็นเพียงพระพักตร์ ปกคอเสื้อ และชายเสื้อเล็กน้อย อีกภาพคือภาพถ่ายขาวดำของ คุ้มหลวงลำปาง ซึ่งปัจจุบันได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว สิ่งนี้ก่อให้เกิดจินตนาการและคำถามว่า แท้จริงแล้วพระองค์ทรงสวมเสื้อเช่นไร

แม้ผมจะเป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกาย แต่กลับไม่เคยพบเสื้อลักษณะนี้มาก่อน ด้วยคอเสื้อที่สูงปกอ่อน ซ้อนเป็นสองชั้น และรูปแบบที่โดดเด่น สิ่งที่ผมนึกขึ้นทันทีคือ เสื้อนักจ็อกกี้ ในศตวรรษที่ 19 เมื่อค้นคว้าเพิ่มเติมก็ยังไม่พบข้อมูลที่ชัดเจน จึงทดลองตีความใหม่ในรูปแบบของ riding habit ซึ่งสมเหตุสมผล เพราะบุรุษในศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่ล้วนขี่ม้าได้ และเสื้อลักษณะนี้น่าจะใช้สวมใส่เมื่อขี่ม้ารอบคุ้มหลวง หรือแม้แต่ในนครลำปางเอง ช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 6

กางเกงขี่ม้าแบบจอดห์ปูร์ (Jodhpur Breeches)

ในพระรูป พระองค์ทรงสวมกางเกงขี่ม้าแบบ จอดห์ปูร์(Jodhpur breeches) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเมืองจ็อดปูร์ (Jodhpur) หรือในภาษาไทยเราเรียกว่าเมือง โชธปุระ ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย กางเกงชนิดนี้ดั้งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของชุดขี่ม้าพื้นเมืองอินเดีย โดยมีลักษณะ หลวมตรงสะโพกและต้นขา เพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก และ รัดแน่นที่น่องและข้อเท้า เพื่อสวมเข้ากับรองเท้าบู๊ทสูงได้พอดี

กางเกงจ็อดเปอร์เริ่มแพร่หลายขึ้นเมื่อ อังกฤษขยายอิทธิพลในอินเดียตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผ่านบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) และยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายใต้การปกครองโดยตรงของอังกฤษหรือ British Raj หลัง ค.ศ. 1858 (พ.ศ. 2401) นายทหารและข้าราชการอาณานิคมอังกฤษได้เรียนรู้การขี่ม้าแบบอินเดียและนำกางเกงจอดห์ปูร์กลับไปยุโรป จนกลายเป็นแฟชั่นของสุภาพบุรุษในวงการทหาร ม้าแข่ง และกีฬาโปโล ก่อนจะเผยแพร่สู่สังคมยุโรปในวงกว้าง

การพัฒนาสู่กางเกงขี่ม้าแบบยางยืด (Elasticated Breeches)

กางเกงจอดห์ปูร์แบบดั้งเดิมมักตัดเย็บจากผ้าฝ้ายหรือผ้าวูลหนา และปล่อยหลวมบริเวณต้นขาเพื่อเพิ่มความคล่องตัว แต่เมื่อเข้าสู่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีสิ่งทอเปลี่ยนแปลงไป การพัฒนาผ้ายืด (elastic fabrics) ที่ผสมเส้นใยยางหรือใยสังเคราะห์ ทำให้สามารถตัดกางเกงที่ รัดรูปตลอดทั้งขา ได้โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยหลวมช่วงต้นขาอีกต่อไป

กางเกงขี่ม้าแบบยางยืด (elasticated riding breeches) เริ่มแพร่หลายในทศวรรษ 1920–1930 และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของนักกีฬาขี่ม้าในยุโรป โดยเฉพาะการกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางและการแข่งม้า เพราะให้ความกระชับ ลดแรงเสียดทาน และเคลื่อนไหวได้สะดวกกว่า

การสร้างสรรค์ด้วย AI

ดังนั้น พระรูปของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตที่ถ่ายทอดผ่าน AI ในครั้งนี้ จึงสะท้อนภาพ “การเปลี่ยนผ่านทางแฟชั่น” ระหว่าง กางเกงขี้ม้าจอดห์ปูร์ดั้งเดิมจากอินเดีย กับ กางเกงขี่ม้าแบบยางยืดสมัยใหม่ โดยผมเลือกจัดองค์ประกอบใหม่ให้พระองค์ทรงยืนคู่กับม้า และตั้งฉากหลังเป็นถนนเก่าและคุ้มหลวงลำปาง เพื่อเชื่อมโยงความทรงจำในประวัติศาสตร์เข้ากับการตีความเชิงสร้างสรรค์ผ่านเทคโนโลยีร่วมสมัย

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พระองค์เจ้าหญิงประภาวสิทธิ์นฤมล และ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร

พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร  และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงประภาวสิทธิ์นฤมล

คอลเลกชันพระรูปที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ ถ่ายทอดสายสัมพันธ์แห่งความรักระหว่างพระมารดาและพระธิดา ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงประภาวสิทธิ์นฤมล และ พระวรวงศ์เธ อ พระองค์เจ้ามยุรฉัตร โดยได้เพิ่มเติมองค์ประกอบให้เป็นภาพเต็มพระองค์ เพื่อให้สามารถศึกษารายละเอียดเครื่องแต่งกายได้อย่างสมบูรณ์ ในพระรูปเหล่านี้ แฟชั่นเป็นแบบ ยุคทีน (Teens Fashion, 1911–1919) หรือที่เรียกได้ว่า ปลายยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน (Late Edwardian) ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงด้านสไตล์อย่างชัดเจน

จากการสันนิษฐาน ภาพน่าจะถ่ายในสมัยรัชกาลที่ ๖ ราว ค.ศ. 1917–1919 (พ.ศ. 2460–2462) เนื่องจากพระองค์เจ้ามยุรฉัตรน่าจะมีพระชันษา 12–14 ปี ลักษณะแฟชั่นที่เห็นได้ชัด คือ เสื้อคอเปิดต่ำ แขนสามส่วน และทรงผมที่จัดอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น แตกต่างจากยุคเอ็ดเวิร์ดเดียนตอนปลาย (รัชกาลที่ ๕) ที่นิยมเกล้าผมสูงและฟูเป็นปริมาตรใหญ่

พระรูปในคอลเลกชันนี้ ผมได้จินตนาการให้อยู่ภายใน วังบ้านดอกไม้ โดยออกแบบห้องและบรรยากาศจากแรงบันดาลใจของภาพวังที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน

Read More