History of Fashion
ผ้าซิ่นในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖: จากเครื่องแต่งกายสตรีท้องถิ่นสู่สัญลักษณ์แห่งความเป็นสมัยใหม่ของสตรีไทย
ผ้าซิ่นในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖: จากเครื่องแต่งกายสตรีท้องถิ่นสู่สัญลักษณ์แห่งความเป็นสมัยใหม่ของสตรีไทย
คอลเลกชันภาพที่สร้างสรรค์ด้วย AI ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าแบบพิธีการของสตรีในราชสำนักอังกฤษ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและแฟชั่น แต่ในขณะเดียวกัน ราชสำนักยังคงยึดมั่นในจารีตประเพณีอย่างเคร่งครัด เครื่องแต่งกายของสตรีผู้มีฐานันดรศักดิ์ในการเข้าเฝ้าฯ ไม่ใช่เพียงเพื่อความงดงาม หากแต่เป็นการแสดงออกซึ่งเกียรติยศ บทบาท และความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ในเชิงรูปธรรมอย่างแท้จริง
ผลงานชุดนี้มุ่งถ่ายทอดความงามอันประณีตของเครื่องแต่งกายพิธีการดังกล่าว ผ่านการตีความใหม่ในบริบทของราชสำนักสยามช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีสายพระเนตรกว้างไกลและทรงกำหนดทิศทางใหม่แห่งภาพลักษณ์ของสตรีไทยในยุคสมัยใหม่อย่างสง่างาม โดยเฉพาะการยกระดับผ้าซิ่นให้เป็นหัวใจของการแต่งกายราชนิยมในหมู่สตรีชั้นสูง
คอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปถ่ายของ พระนางเธอลักษมีลาวัณ อดีตพระคู่หมั้นในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเครื่องแต่งกายพิธีการแบบอังกฤษผสานกับความอ่อนช้อยของผ้าไทย ทั้งเทียร่า ผ้าคลุมไหลปักดิ้นลวดลายไทย และผ้าซิ่นที่ได้รับการจัดวางอย่างสวยงาม สะท้อนถึงความพยายามของสตรีในราชสำนักไทยยุคนั้น ในการปรับตัวเข้ากับความเป็นสมัยใหม่ผ่านการแต่งกายที่สง่างามและทรงคุณค่า
กระโปรงในแต่ละชุดของคอลเล็คชั่นนี้ถูกออกแบบโดยยึดโครงสร้างของ “ผ้าซิ่น” เป็นหัวใจสำคัญ พร้อมกับการตีความลวดลายและโครงสร้างในเชิงศิลปะ โดยไม่ยึดติดกับสีสันหรือลายผ้าแบบดั้งเดิม เพื่อเปิดพื้นที่ให้จินตนาการร่วมสมัยได้ถักทออดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
ผลงานภาพชุดนี้เกิดจากการฝึกโมเดล AI ด้วยเทคนิค Flux LoRA โดยใช้ภาพถ่ายขาวดำจากกรุงลอนดอนในช่วงทศวรรษ 1920 ซึ่งผ่านการลงสีและบูรณะอย่างประณีต เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการสร้างโมเดลต้นแบบของชุดพิธีราชสำนักอังกฤษ จากนั้นจึงนำมาผสานกับโมเดลอีกชุดหนึ่งซึ่งแสดงแฟชั่นสตรีไทยในยุคเดียวกัน โดยเฉพาะรูปแบบของ ผ้าซิ่นในราชสำนักการปรับค่าน้ำหนักและพารามิเตอร์ของแต่ละโมเดลในกระบวนการ model blending ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์งานชุดนี้ เพราะเป็นจุดที่จารีตตะวันตกและอัตลักษณ์ไทยได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างกลมกลืน
หากจะกล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือ เป็นการนำ “ชุดฝรั่ง” และ “ชุดไทย” มาผสมเข้าด้วยกันด้วยการปรับสมดุลของโมเดล AI ทั้งสองชุด ผ่านการตั้งค่าน้ำหนักและพารามิเตอร์ เพื่อให้เกิดสไตล์ใหม่ที่เชื่อมโยงทั้งสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกันในบริบทของแฟชั่นยุค 1920
เครื่องแต่งกายสตรีแบบราชสำนัก: มุมมองใหม่ของแฟชั่นในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖
เครื่องแต่งกายสตรีแบบราชสำนัก: มุมมองใหม่ของแฟชั่นในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖
ระหว่างการศึกษาวิจัยเรื่องเครื่องแต่งกายราชสำนักอังกฤษในสยามช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผมได้ศึกษาภาพถ่ายขาวดำสามภาพของพระมเหสีและพระสนมในรัชกาลที่ 6 ซึ่งล้วนแต่งกายแบบราชสำนักสะท้อนอิทธิพลของโลกตะวันตกผสมผสานกับเอกลักษณ์ของราชสำนักไทยอย่างชัดเจน
สองพระองค์แรก ได้แก่ สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ทรงฉลองพระองค์แบบตะวันตกที่คล้ายคลึงกับชุดราตรีราชสำนักอังกฤษ พร้อมด้วยศิราภรณ์แบบเทียร่า โดยเฉพาะสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงสวมฉลองพระองค์สไตล์อาร์ตเดโคที่มีความวิจิตรตระการตา คู่กับชายผ้าที่ยาวลากพื้น พร้อมกับเทียร่าและพระเกศาประดับขนนกกระจอกเทศขนาดใหญ่ตามแฟชั่นยุค art deco ที่สง่างาม
ส่วนพระรูปที่สามคือ พระนางเธอลักษมีลาวัณ อดีตคู่หมั้นของพระมหากษัตริย์ ทรงปรากฏในเครื่องแต่งกายแบบผสมผสานระหว่างเสื้อตะวันตก ผ้าซิ่นไทย เทียร่า และผ้าคลุมไหลแบบปักดิ้นแบบไทย ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของสตรีชั้นสูงในราชสำนักไทยยุคนั้นในการปรับตัวและถ่ายทอดอัตลักษณ์ใหม่ของ “ความทันสมัย” ผ่านการแต่งกายที่สง่างามและทรงคุณค่า
แม้ว่าจะมีภาพเพียงสามภาพที่แสดงให้เห็นถึงการแต่งกายแบบราชสำนักสยามที่ผมได้ค้นคว้ามา แต่ภาพทั้งสามได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของงานสร้างสรรค์ในครั้งนี้ ผมได้นำภาพถ่ายขาวดำเหล่านั้นมาลงสีและปรับคุณภาพด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อสร้างเป็นชุดข้อมูลจำนวน 50 ภาพ ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดลปัญญาประดิษฐ์ Flux LoRA ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับการอนุรักษ์ภาพแฟชั่นและเครื่องแต่งกายไทยในประวัติศาสตร์
คอลเลกชันนี้เน้นย้ำถึงความงามที่ละเอียดอ่อนและการประนีประนอมทางวัฒนธรรมในเครื่องแต่งกายของสตรีชั้นสูงในราชสำนักสยาม การดัดแปลงเครื่องแบบราชสำนักจากตะวันตกจึงมิใช่การลอกเลียน แต่เป็นกระบวนการคัดสรรและปรับใช้ที่สะท้อนจิตวิญญาณของราชสำนักไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน
สำหรับส่วนตัวผม ผมก็ยังคงสำรวจการพัฒนาการของแฟชั่นราชสำนักไทยภายใต้อิทธิพลของโลกตะวันตกผ่านภาพที่ผมสร้างสรรค์ด้วย AI อย่างต่อเนื่อง — ทีละภาพ อย่างตั้งใจครับ
แฟชั่นข้ามราชสำนัก: จากชุดเข้าเฝ้าแบบพิธีการของสตรีในราชสำนักอังกฤษ สู่การปรับใช้ในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖ (ตอนที่ 2/2)
แฟชั่นข้ามราชสำนัก: จากชุดเข้าเฝ้าแบบพิธีการของสตรีในราชสำนักอังกฤษ สู่การปรับใช้ในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖ (ตอนที่ 2)
คอลเลกชันนี้เป็นการสร้างสรรค์ด้วยการฝึกฝนโมเดล AI Flux LoRA เพื่อสำรวจและตีความการแต่งกายสไตล์ชุดเข้าเฝ้าแบบพิธีการ (Court dress) ของสตรีในราชสำนักอังกฤษ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1920 ได้ส่งอิทธิพลต่อเครื่องแต่งกายของสตรีในราชสำนักสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) อย่างไรบ้าง และได้ถูกนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทและรสนิยมของราชสำนักไทยในขณะนั้นอย่างไร
เครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าในราชสำนักอังกฤษนั้นอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่เข้มงวดและละเอียดมาก ตั้งแต่สีของชุดจนถึงความยาวของผ้าคลุมไหล่ ซึ่งปรากฏอยู่ในเอกสารจาก สำนักงานลอร์ดแชมเบอร์เลน (Lord Chamberlain’s Office) ที่แนบมาด้วยในคอลเลกชันนี้
สตรีที่เข้าเฝ้าฯ จะต้องแต่งตัวเต็มยศด้วยชุดแบบพิธีการที่มีผ้าคลุมไหล่แบบลากชายยาว (วัดจากบ่าลงมาสามหลา) สวมถุงมือยาวสีขาว และประดับขนนกกระจอกเทศสามเส้นในรูปแบบ “ขนนกเจ้าชายแห่งเวลส์” (Prince of Wales’s plume) โดยชายฉลองพระองค์ด้านหลังต้องลากพื้นไม่น้อยกว่าสิบห้านิ้ว และรายละเอียดอื่น ๆ เช่น มงกุฎ ผ้าคลุม และขนนก ล้วนมีระเบียบชัดเจนในการจัดวาง ขนาด และวัสดุ
แม้ว่าแฟชั่นสตรีในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1920 ซึ่งนิยมเส้นเอวต่ำ (Dropped Waist) และกระโปรงที่สั้นขึ้นเผยให้เห็นข้อเท้าหรือถึงระดับกลางแข้ง แต่เครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าก็ยังคงรักษาความสง่างามและความยาวตามจารีตของราชสำนักไว้ โดยเส้นเอวอาจปรับต่ำลงได้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับแฟชั่นร่วมสมัย ขณะที่ความยาวของกระโปรงยังต้องคลุมข้อเท้าและคงชายลากด้านหลังไว้ การรักษาสมดุลระหว่างแฟชั่นสมัยใหม่และพิธีการอันเป็นทางการนี้เอง ที่สะท้อนให้เห็นว่าเครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าไม่เพียงเป็นเรื่องของความงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติ ศักดิ์ศรี และบทบาททางสังคมในราชสำนักอังกฤษ
แรงบันดาลใจของคอลเลกชันนี้เริ่มต้นจากการศึกษาภาพถ่ายของพระมเหสีในรัชกาลที่ 6 สองพระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงฉลองพระองค์แบบชุดราตรีสไตล์ตะวันตกอันมีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าในราชสำนักอังกฤษ โดยเฉพาะรูปถ่ายของ สมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ที่ทรงฉลองพระองค์แบบ art deco ละมีชายผ้าลากยาวติดกับชุด และทรงประดับพระเกศาด้วยขนนกกระจอกเทศขนาดใหญ่ ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของเครื่องแต่งกายราชสำนักอังกฤษได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ พระองค์มิได้ทรงประดับขนนกสามเส้นหรือผ้าคลุมพระพักตร์ตามแบบอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงการปรับใช้แบบแผนตะวันตกให้สอดคล้องกับรสนิยมของราชสำนักไทย
สีสันที่ปรากฏในรูปถ่ายของทั้งสองพระองค์ รวมถึงสายสะพายและลวดลายปักบนฉลองพระองค์ ล้วนเป็นการตีความเชิงศิลป์ที่เกิดจากการลงสีภาพถ่ายขาวดำด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งผมได้รังสรรค์โทนสีแชมเปญและทองอ่อนให้สะท้อนถึงความสง่างามตามแบบราชสำนักไทย ควบคู่กับความหรูหราของแฟชั่นยุคเอ็ดเวิร์ดในอังกฤษ
คอลเลกชันนี้ยังได้รับแรงบันดาลใจจากรูปถ่ายของ พระนางเธอลักษมีลาวัณ ซึ่งทรงฉลองพระองค์ในแบบผสมผสานระหว่างเสื้อตะวันตก โจงกระเบนไทย ผ้าคลุมไหล่ และเทียร่า ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงการแต่งกายแบบ “ผสมผสาน” ที่ได้รับความนิยมในราชสำนักสยามในยุคนั้น ซึ่งจะเป็นแนวทางในการสร้างคอลเลกชันถัดไป เพื่อต่อยอดการสำรวจว่ารูปแบบแฟชั่นและพิธีการของราชสำนักสยามได้เปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างไรภายใต้อิทธิพลของโลกตะวันตก
แฟชั่นข้ามราชสำนัก: จากชุดเข้าเฝ้าแบบพิธีการของสตรีในราชสำนักอังกฤษ สู่การปรับใช้ในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖ (ตอนที่ 1/2)
แฟชั่นข้ามราชสำนัก: จากชุดเข้าเฝ้าแบบพิธีการของสตรีในราชสำนักอังกฤษ สู่การปรับใช้ในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๖
คอลเลกชันนี้เป็นการสร้างสรรค์ด้วยการฝึกฝนโมเดล AI Flux LoRA เพื่อสำรวจและตีความการแต่งกายสไตล์ชุดเข้าเฝ้าแบบพิธีการ (Court dress) ของสตรีในราชสำนักอังกฤษ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1920 ได้ส่งอิทธิพลต่อเครื่องแต่งกายของสตรีในราชสำนักสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) อย่างไรบ้าง และได้ถูกนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทและรสนิยมของราชสำนักไทยในขณะนั้นอย่างไร
เครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าในราชสำนักอังกฤษนั้นอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่เข้มงวดและละเอียดมาก ตั้งแต่สีของชุดจนถึงความยาวของผ้าคลุมไหล่ ซึ่งปรากฏอยู่ในเอกสารจาก สำนักงานลอร์ดแชมเบอร์เลน (Lord Chamberlain’s Office) ที่แนบมาด้วยในคอลเลกชันนี้
สตรีที่เข้าเฝ้าฯ จะต้องแต่งตัวเต็มยศด้วยชุดแบบพิธีการที่มีผ้าคลุมไหล่แบบลากชายยาว (วัดจากบ่าลงมาสามหลา) สวมถุงมือยาวสีขาว และประดับขนนกกระจอกเทศสามเส้นในรูปแบบ “ขนนกเจ้าชายแห่งเวลส์” (Prince of Wales’s plume) โดยชายฉลองพระองค์ด้านหลังต้องลากพื้นไม่น้อยกว่าสิบห้านิ้ว และรายละเอียดอื่น ๆ เช่น มงกุฎ ผ้าคลุม และขนนก ล้วนมีระเบียบชัดเจนในการจัดวาง ขนาด และวัสดุ
แม้ว่าแฟชั่นสตรีในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1920 ซึ่งนิยมเส้นเอวต่ำ (Dropped Waist) และกระโปรงที่สั้นขึ้นเผยให้เห็นข้อเท้าหรือถึงระดับกลางแข้ง แต่เครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าก็ยังคงรักษาความสง่างามและความยาวตามจารีตของราชสำนักไว้ โดยเส้นเอวอาจปรับต่ำลงได้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับแฟชั่นร่วมสมัย ขณะที่ความยาวของกระโปรงยังต้องคลุมข้อเท้าและคงชายลากด้านหลังไว้ การรักษาสมดุลระหว่างแฟชั่นสมัยใหม่และพิธีการอันเป็นทางการนี้เอง ที่สะท้อนให้เห็นว่าเครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าไม่เพียงเป็นเรื่องของความงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติ ศักดิ์ศรี และบทบาททางสังคมในราชสำนักอังกฤษ
เสียงสะท้อนจากราชสำนักอังกฤษ: จากเครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าของสตรีสู่การปรับใช้ในราชสำนักสยามในสมัยรัชกาลที่ 6
ภาพสะท้อนจากราชสำนักอังกฤษ: จากเครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าของสตรีสู่การปรับใช้ในราชสำนักสยามในสมัยรัชกาลที่ 6
ผมกำลังฝึกโมเดล Flux LoRA ชุดใหม่ ซึ่งสำรวจว่าเครื่องแต่งกายสำหรับพิธีการเข้าเฝ้าของสตรี (Court dress)ในราชสำนักอังกฤษ โดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1920 ได้รับการนำมาใช้และปรับรูปแบบในราชสำนักสยามอย่างไรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) คอลเลกชันนี้ที่กำลังฝึกฝนนี้เป็นการผสมผสานความสง่างามอันเป็นแบบแผนของแฟชั่นราชสำนักอังกฤษเข้ากับความละเมียดละไมของศิลปะการแต่งกายแบบไทย เพื่อสร้างบทสนทนาทางวัฒนธรรมผ่านภาพและพิธีกรรม
จุดเริ่มต้นของผลงานนี้มาจากการศึกษาภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 6 อย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 6 และพระภรรยาในรัชกาลที่ 6 หลังจากที่ผมเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับแฟชั่นของราชสำนักอังกฤษในยุค 1920 สำหรับงานถ่ายภาพยนตร์มาก่อน ผมก็เริ่มสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างเสื้อผ้าของราชสำนักไทยและเครื่องแต่งกายเข้าเฝ้าของอังกฤษ ความเข้าใจนี้ชี้ให้เห็นว่า รัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงได้รับการศึกษาในประเทศอังกฤษ ทรงมีพระราชประสงค์จะยกระดับราชสำนักไทยให้มีแบบแผนตามแนวตะวันตก โดยเฉพาะในเรื่องระเบียบ พิธีการ และการแต่งกาย
การเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ในราชสำนักอังกฤษ ถือเป็นพิธีกรรมสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของหญิงสาวชนชั้นสูงสู่การเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวในสังคมชั้นสูง โดยมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เรียกว่า “ฤดูการเข้าสังคมของผู้ดีอังกฤษ” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักและชนชั้นสูงจัดงานเลี้ยง งานเต้นรำ และกิจกรรมทางสังคมมากมาย เพื่อให้เหล่าเดบูแตนต์ได้เปิดตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ
จินตนาการแฟชั่นสไตล์เอ็ดเวิร์เดียนในสยาม: แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (ค.ศ. 1900–1910) (ตอนที่ 2)
จินตนาการแฟชั่นสไตล์เอ็ดเวิร์เดียนในสยาม: แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (ค.ศ. 1900–1910) (ตอนที่ 2)
คอลเลกชันภาพพอร์ตเทรตชุดนี้ที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยโมเดล AI Flux LoRA ซึ่งผมฝึกฝนขึ้นเองโดยเฉพาะ คือการจินตนาการเชิงประวัติศาสตร์ในรูปแบบ “สมมุติว่า…”: หากสตรีชั้นสูงในราชสำนักฝ่ายในของสยาม ได้รับเอาแฟชั่นตะวันตกยุคเอ็ดเวิร์เดียนมาใช้เต็มรูปแบบในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ต้นศตวรรษที่ 20 ภาพชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากซิลูเอตอันสง่างามของแฟชั่นอังกฤษในรัชสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 (ประมาณ ค.ศ. 1900–1910) โดยจินตนาการถึงสตรีชั้นสูงของสยาม ครอบครัวของทูตไทยที่เพิ่งกลับจากยุโรป หรือชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน คอลเลกชันนี้คือการสำรวจความเป็นไปได้ทางวัฒนธรรมและความงาม ที่ผสมผสานความหรูหราสไตล์ตะวันตกเข้ากับอัตลักษณ์แบบสยามอย่างกลมกลืนและเปี่ยมด้วยจินตนาการ
แฟชั่นในยุคเอ็ดเวิร์เดียนถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากความโอ่อ่าเกินจริงของยุคปลายวิกตอเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แขนเสื้อหมูแฮม (Leg of Mutton Sleeve) ที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงทศวรรษ 1890 สู่ซิลูเอตที่อ่อนช้อย ละมุน และสง่างามมากขึ้น จุดเด่นคือ “อกทรงหน้าอกนกพิราบ” (Pigeon Breast หรือ Monobosom) ที่สร้างเส้นโค้งแบบตัว S ผ่านการใส่คอเซ็ตที่ออกแบบเป็นพิเศษที่เรียกว่า s-bend corset เมื่อใส่แล้วจะผลักอกให้ยื่นไปข้างหน้า และบันท้ายยื่นไปข้างหลัง โดยมักจะสวมใส่กับเสื้อคอตั้ง แขนยาวสามส่วนหรือแขนลูกไม้ซ้อนชั้น สวมกับกระโปรงยาวเอวสูงเข้ารูปอย่างประณีต
แฟชั่นของเสื้อคอตั้งของยุคนี้ มาจากการแต่งตัวของสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดราแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเดิมเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ พระองค์ได้กลายเป็นผู้นำแฟชั่นของยุคอย่างแท้จริง พระองค์ทรงนิยมสวมเสื้อคอสูงและสร้อยโช้คเกอร์เพื่อปกปิดบาดแผลที่พระศอ และด้วยบุคลิกที่เปี่ยมด้วยรสนิยมอันละเมียดละไม จึงกลายเป็นแบบอย่างสำคัญที่ส่งอิทธิพลด้านการแต่งตัวและแฟชั่นไปทั่วทั้งยุโรปและดินแดนอาณานิคม
อิทธิพลของพระองค์ยังปรากฏชัดเจนแม้ในราชสำนักไทย เราสามารถเห็นเค้าโครงแห่งรสนิยมของสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดราในพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถแห่งสยามในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งทรงฉลองพระองค์เป็นเสื้อแบบเอ็ดเวิร์เดียน สวมโช้คเกอร์เพรชและสร้อยมุกห้อยยาวหลายๆเส้นรวมกัน ซึ่งล้วนเป็นซิกเนเจอร์ลุคของสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดราอย่างชัดเจน
ในสยาม ยุคเอ็ดเวิร์เดียนนี้สอดคล้องกับช่วงสิบปีสุดท้ายในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5 พ.ศ. 2411–2453) ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปและเปิดรับอารยธรรมตะวันตกอย่างมากมาย สตรีในราชสำนักนิยมประยุกต์แฟชั่นตะวันตกด้วยการสวมเสื้อเชิ้ตแบบยุโรปคู่กับผ้านุ่งโจงกระเบน เกิดเป็นสไตล์ลูกผสมที่งดงามลงตัว พร้อมกับการนำสัญลักษณ์ของความเป็นสมัยใหม่แบบตะวันตกมาใช้ เช่น ถุงน่องสีขาว รองเท้าเข้ารูปแบบยุโรป และทรงผมแบบ Gibson Girl ที่ยกสูงและพองฟูอย่างวิจิตร ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความมีรสนิยมและฐานะในสังคมชนชั้นสูง
อย่างไรก็ตาม คอลเลกชันภาพชุดนี้เลือกที่จะสำรวจอีกความเป็นไปได้หนึ่ง — คือการนำ “แฟชั่นตะวันตกแบบเอ็ดเวิร์เดียนเต็มรูปแบบ” มาใช้ในบริบทของราชสำนักสยาม โดยไม่ผ่านการประยุกต์ เราเห็นสตรีผู้สูงศักดิ์สวมกระโปรงเข้ารูปยาว เสื้อคอตั้งลูกไม้ ถุงมือยาว ร่มกันแดดประดับลูกไม้ และหมวกปีกกว้างที่ตกแต่งด้วยขนนก ดอกไม้ และผ้าทูลล์อย่างหรูหรา ทุกองค์ประกอบสะท้อนความมั่นใจในการรับแบบแผนสากลและกลายเป็นภาพแทนของสตรีผู้เปี่ยมรสนิยมและอำนาจทางวัฒนธรรม
ภาพชุดนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงแค่ความงามของเสื้อผ้า แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เราทบทวนการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมในยุคสมัยหนึ่ง — ยุคที่สยามกำลังประสานรอยต่อระหว่างอัตลักษณ์ท้องถิ่นและอิทธิพลโลกาภิวัตน์ ผ่านพลังของความงามและความปรารถนาในความทันสมัย ด้วยเทคโนโลยี AI เราจึงสามารถรังสรรค์บทบันทึกภาพใหม่ของอดีต ที่ทั้งเป็นไปได้และเปี่ยมไปด้วยจินตนาการในราชสำนักสยาม
จินตนาการแฟชั่นสไตล์เอ็ดเวิร์เดียนในสยาม: แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (ค.ศ. 1900–1910) (ตอนที่ 1)
จินตนาการแฟชั่นสไตล์เอ็ดเวิร์เดียนในสยาม: แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักสยามสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (ค.ศ. 1900–1910) (ตอนที่ 1)
คอลเลกชันภาพพอร์ตเทรตชุดนี้ที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยโมเดล AI Flux LoRA ซึ่งผมฝึกฝนขึ้นเองโดยเฉพาะ คือการจินตนาการเชิงประวัติศาสตร์ในรูปแบบ “ถ้าเกิดว่า…”: หากสตรีชั้นสูงในราชสำนักฝ่ายในของสยาม ได้รับเอาแฟชั่นตะวันตกยุคเอ็ดเวิร์เดียนมาใช้เต็มรูปแบบในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ต้นศตวรรษที่ 20 ภาพชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากซิลูเอตอันสง่างามของแฟชั่นอังกฤษในรัชสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 (ประมาณ ค.ศ. 1900–1910) โดยจินตนาการถึงสตรีชั้นสูงของสยาม ครอบครัวของทูตไทยที่เพิ่งกลับจากยุโรป หรือชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน คอลเลกชันนี้คือการสำรวจความเป็นไปได้ทางวัฒนธรรมและความงาม ที่ผสมผสานความหรูหราสไตล์ตะวันตกเข้ากับอัตลักษณ์แบบสยามอย่างกลมกลืนและเปี่ยมด้วยจินตนาการ
แฟชั่นในยุคเอ็ดเวิร์เดียนถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากความโอ่อ่าเกินจริงของยุคปลายวิกตอเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แขนเสื้อหมูแฮม (Leg of Mutton Sleeve) ที่เคยได้รับความนิยมสูงในช่วงทศวรรษ 1890 สู่ซิลูเอตที่อ่อนช้อย ละมุน และสง่างามมากขึ้น จุดเด่นคือ “อกทรงหน้าอกนกพิราบ” (Pigeon Breast หรือ Monobosom) ที่สร้างเส้นโค้งแบบตัว S ผ่านการใส่คอเซ็ตที่ออกแบบเป็นพิเศษที่เรียกว่า s-bend corset เมื่อใส่แล้วจะผลักอกให้ยื่นไปข้างหน้า และบันท้ายยื่นไปข้างหลัง โดยมักจะสวมใส่กับเสื้อคอตั้ง แขนยาวสามส่วนหรือแขนลูกไม้ซ้อนชั้น สวมกับกระโปรงยาวเอวสูงเข้ารูปอย่างประณีต
“มาลานำไทย”: แฟชั่นสตรีและแฟชั่นบุรุษไทยยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และบทบาทของ AI ในการอนุรักษ์อัตลักษณ์ชาติผ่านเครื่องแต่งกาย (ตอนที่ 3)
“มาลานำไทย”: แฟชั่นสตรีและแฟชั่นบุรุษไทยยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และบทบาทของ AI ในการอนุรักษ์อัตลักษณ์ชาติผ่านเครื่องแต่งกาย (ตอนที่ 3)
คอลเลกชันนี้เป็นผลลัพธ์จากการฝึกฝนโมเดล AI แบบเฉพาะทาง ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า LoRA (Low-Rank Adaptation) ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อศึกษาและอนุรักษ์แฟชั่นไทยในช่วงทศวรรษ 1940 หรือในช่วงปลายรัชกาลที่ 8 และระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้สร้างขึ้นจากโมเดล LoRA แบบผสมเพศ (mixed-sex LoRA) ซึ่งได้รับการฝึกให้เข้าใจทั้งแฟชั่นของเพศชายและหญิงในยุคนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางการแต่งกายในช่วงสงคราม และแนวคิดด้านการทำให้ประเทศทันสมัยภายใต้การขับเคลื่อนของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน นโยบาย “มาลานำไทย”
โดยทั่วไปแล้ว การฝึกโมเดล LoRA มักจะแยกตามเพศเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด แต่ในโครงการนี้ ผมตั้งใจรวมภาพแฟชั่นของทั้งชายและหญิงไว้ในชุดข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้รายละเอียดเฉพาะของแต่ละเพศในบริบททางวัฒนธรรมร่วมกัน แทนที่จะฝึกแยกกัน ผมได้รวมภาพของแฟชั่นตะวันตกในยุค 1940 ทั้งเพศชายและหญิง เพื่อให้โมเดลเข้าใจภาษาทางแฟชั่นของยุคนั้นในภาพรวมอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการฝึกเริ่มต้นจากการสร้างโมเดล LoRA สองชุด — หนึ่งชุดสำหรับแฟชั่นชาย และอีกหนึ่งสำหรับแฟชั่นหญิง — จากนั้นจึงนำผลลัพธ์มาสร้างเป็นโมเดลที่สาม ซึ่งเป็นโมเดลผสมเพศที่สามารถสังเคราะห์ความรู้จากทั้งสองด้าน แม้กระบวนการฝึกจะใกล้เคียงกัน แต่การจะได้โมเดลที่ยืดหยุ่นและแม่นยำสูง จำเป็นต้องใช้โครงสร้างสามชั้นนี้ วิธีการแบบ layered นี้ทำให้ได้ภาพที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ สวยงาม และเหมาะกับการใช้ในฉากที่มีความซับซ้อนหรือเนื้อหาที่ต้องการความลุ่มลึกทางวัฒนธรรม
จากการทดลองเพิ่มเติม ผมพบว่าเราสามารถใช้โมเดลชายและหญิงแยกกันในขั้นตอนการสร้างภาพได้ หากเราเขียนพรอมต์ให้ชัดเจน เช่น การระบุลักษณะของเสื้อผ้าของแต่ละเพศอย่างละเอียดในพรอมต์ภาพคู่ (double portrait) ก็สามารถสร้างภาพที่มีทั้งชายและหญิงอยู่ในฉากเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เกิดความคลุมเครือ เช่น ลักษณะของเสื้อผ้าอาจปนกันระหว่างเพศ หรือรายละเอียดบางอย่างดูไม่ชัดเจน วิธีที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำกว่าคือ การใช้โมเดล LoRA สามตัว แล้วปรับนำ้หนักในเวลาสร้างสรรค์ภาพ LoRA ตัวหลักแบบผสมเพศ ควบคุมโครงสร้างภาพ และให้โมเดล LoRA ชายหญิงแยกกันช่วยเติมรายละเอียด วิธีนี้ให้ภาพที่มีความลุ่มลึก สมจริง และตอบโจทย์ทั้งด้านแฟชั่นและวัฒนธรรมอย่างลงตัว
ธีมประวัติศาสตร์สำคัญที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้คือนโยบาย “มาลานำไทย” ซึ่งเป็นโครงการรณรงค์ด้านวัฒนธรรมในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยในคอลเลกชันใหม่นี้ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยโมเดล Flux LoRA ที่เพิ่งฝึกเสร็จ ผมตั้งใจถ่ายทอดสีสัน ความสดใส และความหลากหลายของแฟชั่นไทยในทศวรรษ 2480 สำหรับแฟชั่นสตรี ผมออกแบบผ่านชุดเดรสฤดูร้อน ผ้าพิมพ์ลายดอกไม้ ลายกราฟิกแบบเรโทร รองเท้าหัวเปิด และหมวกแฟชั่นหลากหลายแบบ สำหรับแฟชั่นบุรุษ มีทั้งสไตล์แบบแคชวล และเป็นทางการแบบใส่สูท และหมวก ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความภูมิใจในอัตลักษณ์ความเป็นพลเมืองไทย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 และต้นทศวรรษ 1940 ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางสังคมอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยรัฐมีแนวคิดว่า “ความทันสมัยคือพลังของชาติ” รัฐบาลมองว่าแฟชั่นสามารถสะท้อนความมีระเบียบวินัย ความเจริญ และภาพลักษณ์ของประเทศได้ จึงเริ่มโครงการรณรงค์ “มาลานำไทย” โดยเน้นการเชิญชวนให้ผู้หญิงไทยหันมาสวมหมวกแบบตะวันตก เพื่อแสดงถึงความเป็นระเบียบ รักชาติ และความเป็นสุภาพสตรีสมัยใหม่ ซึ่งแทนที่จะใช้กฎระเบียบเข้มงวด รัฐบาลใช้สื่อวิทยุ โปสเตอร์ นิตยสาร และการประกวดแฟชั่นในการเผยแพร่แนวคิดอย่างสร้างสรรค์
นอกจากผู้หญิงแล้ว ผู้ชายไทยก็ได้รับการเชิญชวนจากรัฐบาลให้สวมหมวกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชการ ทหาร และบุคคลที่มีบทบาททางสังคม ซึ่งมักปรากฏตัวในสื่อสิ่งพิมพ์และโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์พร้อมสวมหมวกทรงตะวันตก เช่น หมวกเฟโดรา (fedora) รัฐบาลเสนอภาพของชายไทยที่สวมหมวกว่าเป็นบุรุษผู้มีความเป็นระเบียบ รู้เท่าทันโลก และมีความพร้อมในการเป็นผู้นำประเทศสู่ความทันสมัย หมวกสำหรับผู้ชายจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม ความมีวินัย และความเจริญทางวัฒนธรรมเช่นเดียวกับหมวกของผู้หญิง
แม้แนวคิดการสวมหมวกจะได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นกลางในเมือง แต่สำหรับชาวชนบท การสวมหมวกยังไม่ใช่เรื่องคุ้นเคย ด้วยข้อจำกัดของสภาพอากาศและวิถีชีวิต อย่างไรก็ตาม หลายชุมชนได้นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้อย่างสร้างสรรค์ เช่น ใช้วัสดุท้องถิ่นในการทำหมวกปีกกว้าง หรือประยุกต์ผ้าโพกศีรษะให้ดูร่วมสมัย เป็นการผสมผสานระหว่าง “ความเป็นไทย” กับ “ความเป็นสมัยใหม่” ได้อย่างน่าสนใจ
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าโครงการนี้เลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกเกินไป แต่นโยบาย “มาลานำไทย” ก็ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์แฟชั่นของไทย ที่แสดงให้เห็นว่าแฟชั่นสามารถกลายเป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองเผชิญความไม่แน่นอน การแต่งกายไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นการแสดงออกทางสังคมและการเมือง
ท้ายที่สุด คอลเลกชันที่สร้างขึ้นด้วย AI ชุดนี้ มิได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อถ่ายทอดภาพแฟชั่นในอดีต แต่ยังเป็นการบันทึกบริบทของช่วงเวลานั้นไว้อย่างครบถ้วน ด้วยการฝึก LoRA ให้เข้าใจแฟชั่นทั้งชายและหญิงในกรอบวัฒนธรรมเดียวกัน เราจึงได้คลังภาพที่สมบูรณ์ ลุ่มลึก และเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์ นโยบาย “มาลานำไทย” จึงไม่ใช่แค่โครงการของรัฐในอดีต แต่คือเลนส์ที่ทำให้เราเข้าใจอัตลักษณ์ ความทันสมัย และพลังของเครื่องแต่งกายในการหล่อหลอมความเป็นพลเมืองไทยยุคใหม่
ตัวอย่างดาตาเซ็ตและเวิร์กโฟลว์สำหรับการฝึกโมเดล AI Flux LoRA เกี่ยวกับแฟชั่นไทยในช่วงทศวรรษ 1940s สมัยรัชกาลที่ ๘
ตัวอย่างดาตาเซ็ตและเวิร์กโฟลว์สำหรับการฝึกโมเดล AI Flux LoRA เกี่ยวกับแฟชั่นไทยในช่วงทศวรรษ 1940s สมัยรัชกาลที่ ๘
บทความนี้ผมขอแบ่งปันเวิร์กโฟลว์ที่ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อฝึกโมเดลเฉพาะทางด้วย AI โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า LoRA (Low-Rank Adaptation) ในการศึกษาและอนุรักษ์แฟชั่นไทยในช่วงทศวรรษ 1940s ซึ่งตรงกับช่วงปลายรัชกาลที่ ๘ และยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II)
โปรเจกต์นี้เน้นแฟชั่นของทั้ง ผู้หญิงและผู้ชาย โดยปกติแล้วการฝึก LoRA มักจะแยกเพศเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ แต่ในกรณีนี้ผมรวมแฟชั่นทั้งสองเพศไว้ในชุดข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของแฟชั่นในแต่ละเพศอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในยุคนั้นๆ
เหตุผลที่รวมแฟชั่นชายและหญิงไว้ใน LoRA เดียวกัน
โดยทั่วไป การฝึก LoRA จะใช้ภาพที่มีรูปแบบศิลป์หรือหมวดหมู่แฟชั่นเดียวกัน เช่น ภาพของเพศเดียวกันหรือสไตล์เดียวกัน เพื่อให้โมเดลเรียนรู้ได้ชัดเจน แต่ในกรณีนี้ ผมตั้งใจรวมภาพของชายหญิงที่สวมใส่เสื้อผ้าในสไตล์ไทยและตะวันตกจากยุค 1940s ไว้ในชุดเดียวกัน
แม้ว่าการฝึกแบบนี้อาจทำให้บางครั้งได้ผลลัพธ์ที่ผสมผสาน เช่น รายละเอียดของเพศอาจปะปนกัน แต่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ด้วยการเขียนพรอมต์ (Prompt Engineering) ที่ชัดเจน จุดมุ่งหมายของการฝึกไม่ใช่เพียงให้ AI วาดชุดให้ดูเหมือนของจริง แต่คือการสร้างโมเดลที่ เข้าใจแฟชั่นในเชิงลึกทั้งรูปทรง ความหมาย และบริบททางสังคมของเพศในยุคสมัยนั้น
แฟชั่นสตรีไทยยุค 1930 ในโลกจินตนาการ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี (ตอนที่ 2)
แฟชั่นสตรีไทยยุค 1930 ในโลกจินตนาการ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี (ตอนที่ 2)
คอลเลกชันภาพแฟชั่น AI ชุดนี้ สร้างสรรค์โดยการใช้โมเดล Flux LoRA ตัวใหม่ที่ฝึกเฉพาะแฟชั่นผู้หญิงในยุค 1930 ที่ผมเพิ่งเทรนเสร็จในวันนี้ ผมได้ออกแบบชุดเดรสกลางวัน (day dress) ที่ใช้สีสันสดใส เพื่อสะท้อนจิตวิญญาณของวัฒนธรรมสิ่งทอไทยที่เปี่ยมไปด้วยสีสันสี่สดใส ชุดเหล่านี้โดดเด่นด้วยการตัดเย็บ และซิลลูเอ็ตที่น่าสนใจ ในสไตล์แฟชั่นของยุค 1930 พร้อมกับรายละเอียดที่แฝงไว้ด้วยความสนุกสนาน
ทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นอันงดงามของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โดยเฉพาะในช่วงที่ทรงพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ภาพเหล่านี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของแฟชั่นจากโลกตะวันตกสู่สยามได้อย่างสวยงาม
ในโลกสมมติของกรุงเทพฯ ยุคทศวรรษ 1930 ที่ปรากฏผ่านคอลเลกชันภาพ AI ชุดนี้ สตรีชาวสยามแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบตะวันตกอย่างสง่างาม สะท้อนอิทธิพลของแฟชั่นอังกฤษในช่วงระหว่างสงครามโลก (inter war) โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดสูทกลางวัน (Women’s Day Suit) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความสง่าของหญิงชั้นสูง
แฟชั่นย้อนยุคแด่หญิงงามปัตตานี: แด่เรือนซือมือลาและสตรีมุสลิมเมืองปัตตานีในทศวรรษ 1950
แฟชั่นย้อนยุคแด่หญิงงามปัตตานี: แด่เรือนซือมือลาและสตรีมุสลิมเมืองปัตตานีในทศวรรษ 1950
คอลเลกชันแฟชั่นด้วย AI ชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความงามทางสถาปัตยกรรมของเรือนไม้สไตล์มาเลย์ บ้านซือมือลา(Rumah Semela) อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองปัตตานี ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองมานิง ตัวเรือนสร้างขึ้นตามแบบเรือนไม้พื้นเมืองของปัตตานีโดยได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมยุโรปช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยวิกตอเรีย
เรือนหลังนี้เคยเป็นที่พำนักของโต๊ะครูผู้ทรงคุณวุฒิ และเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนปอเนาะซือมือลาในอดีต ท่านจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันก็เคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่ ปัจจุบันไม่มีปอเนาะซือมือลาแล้ว คงเหลือไว้แต่เรือนโบราณหลังงามหลังนี้กับสุเหร่าที่อยู่ติดกันที่มีความเสื่อมโทรมค่อนข้างมาก แม้กาลเวลาจะทำให้ตัวเรือนทรุดโทรมลง แต่ความวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรมก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
เมื่อจินตนาการถึงสตรีมุสลิมแห่งปัตตานีในยุค 1950 ข้าพเจ้ามองเห็นพวกเธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ แต่ยังคงยืนหยัดอยู่บนรากฐานแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ภาพลักษณ์ของสตรีเหล่านี้จึงสะท้อนถึงความเรียบง่าย ความเป็นกุลสตรี และอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ผ่านเครื่องแต่งกายที่ประกอบด้วย:
เสื้อเคบายาลูกไม้ – ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยลูกไม้หรือการปักละเอียด สะท้อนรสนิยมอันงดงาม มักสวมใส่ในโอกาสงานมงคลหรือพิธีการสำคัญ
ผ้าซะลองบาติกเขียนมือพื้นถิ่น – ลวดลายดอกไม้และเรขาคณิตสะท้อนถึงภูมิประเทศและงานหัตถกรรมของคาบสมุทรมลายู
ผ้าคลุมศีรษะสีอ่อน – คลุมศีรษะอย่างเรียบร้อย เสริมความงามให้เข้ากับชุดเกอบายา สื่อถึงทั้งการนับถือศาสนาและการแสดงออกทางรสนิยมส่วนตัว
เครื่องประดับทองและเข็มกลัด – เช่น เข็มกลัด kerongsang หรือสร้อยคอทอง เสริมความสง่างามและศักดิ์ศรีตามธรรมเนียมประเพณี
หญิงสาวเหล่านี้ยืนอย่างสง่างามอยู่บนชานเรือนสไตล์เดียวกันกับเรือนซือมือลา และเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจและสงบสุข การสร้างสรรค์แฟชั่นคอลเล็คชั่นนี้สะท้อนถึงยุคสมัยที่ “ความเปลี่ยนแปลง” และ “ขนบธรรมเนียม” เดินเคียงข้างกัน ในช่วงเวลาที่ชีวิตชุมชนยังคงหมุนรอบเรือนไม้ ห้องเรียนศาสนา และครอบครัว
นี่ไม่ใช่ภาพบันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่คือภาพแห่งจินตนาการใหม่ — การเฉลิมฉลองที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถเป็นเครื่องมือสำรวจรากเหง้าทางวัฒนธรรมผ่านแฟชั่นได้อย่างลึกซึ้ง ภาพเหล่านี้ไม่ใช่ภาพถ่ายจริง หากแต่เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่อง — เพื่อยกย่องสถาปัตยกรรมและอัตลักษณ์ของสตรีมุสลิมปัตตานีจากยุคสมัยที่ผ่านพ้นไปแล้ว
“มาลานำไทย” แฟชั่นนำสมัยของสตรีไทยยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945) (ตอนที่ 2)
“มาลานำไทย” แฟชั่นนำสมัยของสตรีไทยยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945) (ตอนที่ 2)
ผมเพิ่งทดลองสร้างคอลเลกชันใหม่โดยใช้โมเดล AI Flux LoRA อีกตัวหนึ่ง โดยเน้นไปที่แฟชั่นของประเทศไทยในช่วงทศวรรษ 2480 ซึ่งคอลเลกชันนี้มีสีสัน ความสดใส สนุกสนาน และหลากหลายยิ่งขึ้น โดยเน้นชุดเดรสฤดูร้อนและผ้าพิมพ์แบบมีลวดลายซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนั้น ผมยังได้เพิ่มไอเทมที่ได้รับความนิยมในยุค 1940s อย่างรองเท้าเปิดหัว และหมวกหลากหลายสไตล์เข้าไปในคอลเลกชันด้วย ทั้งหมดนี้ทำขึ้นเพื่อเสริมแนวคิด “มาลานำไทย” ที่ผมเคยโพสต์ไปก่อนหน้านี้ ให้เห็นถึงบทบาทของหมวกและเครื่องแต่งกายแบบตะวันตกในฐานะเครื่องหมายของความทันสมัยและความเป็นพลเมืองไทยในยุคนั้น
ในช่วงทศวรรษ 2480 ประเทศไทยได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยทันทีที่จอมพล ป. ขึ้นสู่อำนาจ เขาได้ส่งเสริมชาตินิยมไทยอย่างเข้มข้นจนถึงขั้น "ชาตินิยมสุดโต่ง" โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ เขาจึงได้ริเริ่มการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ "การปฏิวัติวัฒนธรรมไทย" โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับจิตวิญญาณของชาติ ปลูกฝังจริยธรรมใหม่ และสนับสนุนวิถีชีวิตแบบก้าวหน้า
นโยบายหลักของการปฏิรูปเหล่านี้คือนโยบาย รัฐนิยม (cultural mandates) ซึ่งมุ่งเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของไทยในเวทีสากล จากประเทศที่ยังไม่พัฒนาไปเป็นประเทศที่เจริญและทันสมัย โดยเฉพาะการแต่งกายที่เป็นแบบตะวันตกได้รับการส่งเสริมให้แทนที่เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม เนื่องจากจอมพล ป. เชื่อว่าการแต่งกายเป็นเครื่องบ่งบอกความก้าวหน้า
หนึ่งใน รัฐนิยม ที่สำคัญที่สุดคือรัฐนิยมที่ 10 ว่าด้วยการแต่งกายของคนไทย ซึ่งออกเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2484 โดยมีสองข้อหลัก ข้อแรกระบุว่า คนไทยไม่ควรปรากฏตัวในงานสาธารณะ สถานที่สาธารณะ หรือภายในเขตเมืองโดยไม่แต่งกายอย่างเหมาะสม ซึ่งการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมได้แก่ การใส่เพียงกางเกงใน การไม่สวมเสื้อ หรือการสวมผ้าขาวม้าแบบดั้งเดิมที่คนไทยยังคงนิยมใช้ในชีวิตประจำวัน ข้อสองระบุว่าการแต่งกายที่เหมาะสมได้แก่ การใส่เครื่องแบบตามตำแหน่งหรือโอกาส ชุดสากลที่สุภาพ หรือชุดไทยที่สุภาพ คำว่า "สุภาพ" ในที่นี้หมายถึงการแต่งกายที่ถือว่าทันสมัยและเหมาะสมตาม
มาตรฐานสากล สะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นให้ประชาชนไทยยอมรับการแต่งกายแบบสากล
เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์นี้ รัฐบาลของจอมพล ป. ได้เปิดตัวโครงการ มาลานำไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับโฉมสังคมไทย การสวมหมวกแบบตะวันตกกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความภาคภูมิใจในชาติ และคาดหวังให้ผู้หญิงไทยปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้หญิงไทยส่วนใหญ่แล้ว การสวมหมวกถือเป็นแนวคิดที่แปลกและไม่สะดวก เนื่องจากการแต่งกายไทยแบบดั้งเดิมไม่เคยรวมถึงหมวกแบบตะวันตก และสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศทำให้การสวมหมวกเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและไม่สบายตัว แต่ถึงอย่างนั้น รัฐบาลก็ได้บังคับใช้นโยบายนี้อย่างเข้มงวด โดยมีบทลงโทษสำหรับผู้หญิงที่ปรากฏตัวในที่สาธารณะโดยไม่สวมหมวก ซึ่งอาจถูกปรับหรือแม้กระทั่งถูกจับกุม สร้างความลำบากใจให้กับผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องปฏิบัติตามเพราะเกรงกลัวต่อบทลงโทษทางกฎหมาย
รัฐนิยม เหล่านี้ รวมถึงโครงการ มาลานำไทย มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความรู้สึกชาตินิยมไทยและปรับปรุงภาพลักษณ์ของประเทศให้ทันสมัย โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ ซึ่งมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ผู้หญิงจำนวนมากแม้จะไม่สบายใจก็ยังสวมหมวกตามระเบียบ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกลจากการควบคุมของรัฐบาล ความพยายามเหล่านี้กลับเผชิญกับการต่อต้าน ผู้หญิงจำนวนมากยังคงยึดถือการแต่งกายแบบดั้งเดิมที่เหมาะสมและสะดวกสบายในการดำรงชีวิตประจำวัน ความแตกต่างระหว่างแรงผลักดันในการทำให้ทันสมัยของรัฐบาลกับความเป็นจริงของสังคมไทยในวงกว้างนั้นชัดเจน หลายคนรู้สึกว่านโยบายเหล่านี้ถึงแม้จะมีความทะเยอทะยาน แต่ก็ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของคนทั่วไป
ในที่สุด การปฏิวัติวัฒนธรรมไทยและโครงการ มาลานำไทย ได้กลายเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์การแต่งกายของประเทศไทย เป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจของแฟชั่นในฐานะเครื่องมือทางการเมือง และแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการบังคับใช้นโยบายที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ความตึงเครียดระหว่างความทันสมัยกับประเพณีเป็นหัวข้อที่สะท้อนอยู่ตลอดในประวัติศาสตร์ไทยช่วงศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แฟชั่นกลายเป็นสมรภูมิที่มองเห็นได้ในการกำหนดอัตลักษณ์ของชาติ
“คู่กรรม” : แฟชั่นหญิงไทยกับทหารญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้ง 2
“คู่กรรม” : แฟชั่นหญิงไทยกับทหารญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้ง 2
คอลเลกชันแฟชั่นที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายรักอมตะ “คู่กรรม” ผลงานของทมยันตี ซึ่งครองใจผู้อ่านชาวไทยมายาวนาน ด้วยเรื่องราวความรักอันเปี่ยมอารมณ์ระหว่าง “โกโบริ” นายทหารเรือญี่ปุ่น และ “อังศุมาลิน” หญิงสาวชาวไทย ท่ามกลางฉากหลังของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่ประเทศตกอยู่ภายใต้ภาวะการยึดครองของกองทัพญี่ปุ่น
ในขณะที่ผมกำลังพัฒนาโปรเจกต์อีกชุดว่าด้วยแฟชั่นไทยในยุค 1940s ที่ได้รับอิทธิพลจากนโยบาย “มาลานำไทย” — นโยบายส่งเสริมการแต่งกายของรัฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “รัฐนิยม” - เพื่อหล่อหลอมเอกลักษณ์ชาติ — ผมพลันนึกถึงนวนิยาย “คู่กรรม” และความเกี่ยวเนื่องของยุคนั้นในนวนิยาย ผมจึงสร้างสรรค์คอลเลกชันเฉพาะกิจนี้ขึ้นมา เพื่อถ่ายทอดภาพจำของสังคมไทยในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ผ่านรูปทรงเสื้อผ้า เครื่องแบบ และหมวกอันเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความรักชาติของสตรีไทยในยุคนั้น
ซิลูเอตของสตรีในคอลเลกชันนี้ล้วนสอดคล้องกับแฟชั่นยุค 1940s — เสื้อแขนสั้นทรงเข้ารูป กระโปรงยาวคลุมเข่า ชุดเดรสเรียบหรู เสื้อคลุมเข้ารูป พร้อมหมวกปีกกว้างซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “มาลานำไทย” ที่แฝงไว้ด้วยภาพลักษณ์ของความสง่างาม สุภาพ และมีวินัย โดยเฉพาะในบริบทของความเป็น “หญิงไทยสมัยใหม่” ซึ่งรัฐพยายามผลักดันให้เป็นต้นแบบในช่วงสงคราม
ด้านการออกแบบเครื่องแบบทหารญี่ปุ่น ผมได้ศึกษาข้อมูลจากแหล่งภาพและภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ เพื่อให้การสร้างภาพ AI มีความแม่นยำทั้งในแง่เครื่องแบบภาคสนาม เครื่องแต่งกายพิธีการ ไปจนถึงเครื่องหมายยศ อาวุธประจำกาย และเครื่องแต่งตัว โดยใช้ LoRA model ที่ฝึกจากภาพจริงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องด้วยรายละเอียดและบรรยากาศของยุคสมัยอย่างแท้จริง
ในอดีต แม้จะมีการดัดแปลงนวนิยาย “คู่กรรม” หลายเวอร์ชันทั้งในจอแก้วและจอเงิน แต่มีเพียงไม่กี่ครั้งที่สามารถถ่ายทอด นโยบายของรัฐในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ออกมาอย่างมีน้ำหนักเท่าที่ควร คอลเลกชันนี้จึงเป็นความพยายามในการเติมเต็มช่องว่างนั้น — โดยไม่ได้เพียงบอกเล่าความรักระหว่างโกโบริกับอังศุมาลินเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงบริบทของความเป็น “ชาติ” ที่ขับเคลื่อนด้วยวินัย เครื่องแบบ และอุดมการณ์
ภาพที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้ — ไม่ว่าจะเป็นฉากฝึกทหารในวัดโบราณ หรือฉากริมชานชาลาสถานีรถไฟ — ล้วนเป็นเสมือนบทสะท้อนของช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วน ที่ซึ่งความรัก หน้าที่ และอัตลักษณ์ ถูกตีความผ่านเครื่องแต่งกายที่เป็นเสมือนเครื่องแบบประจำกายของตัวละครทั้งสอง
AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสรรค์ภาพให้กับตัวละครและมู้ดบอร์ดที่ใช้ในงานออกแบบคอสตูม AI ยังช่วยลดเวลาการวาดด้วยมือแบบดั้งเดิม และสนับสนุนกระบวนการตัดสินใจในเชิงสุนทรียะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผมในฐานะนักออกแบบเครื่องแต่งกาย เทคโนโลยี AI ไม่ใช่เพียงสิ่งทดแทนแรงงานมนุษย์ หากแต่เป็นเครื่องมือร่วมสมัยที่ช่วยเพิ่มมิติของความแม่นยำ และเปิดโอกาสให้ผลงานสามารถสื่อสารได้ทั้งด้านอารมณ์ บริบท และประวัติศาสตร์ในเวลาเดียวกัน
มาลานำไทย: แฟชั่นสตรีและนโยบายรัฐนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945)
มาลานำไทย: แฟชั่นสตรีและนโยบายรัฐนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945)
รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ภายหลังการปฏิวัติในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงสละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2478 และส่งผลให้พระองค์ขึ้นครองราชย์
รัชสมัยของพระองค์เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 จนถึงการเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2489 มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่า เนื่องจากอำนาจบริหารได้ถูกโอนย้ายไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับความพยายามของรัฐบาลในการปรับปรุงและทำให้ประเทศทันสมัย
ภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม การส่งเสริมให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเป็นสากล โดยเฉพาะในด้านการแต่งกาย กลายเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล แม้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จดังเช่นในอดีต แต่ยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาติ การเสด็จกลับประเทศไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ภายหลังทรงศึกษาที่ทวีปยุโรป จึงสะท้อนถึงยุคใหม่ของการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เข้ากับบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไป
แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้ทรงมีบทบาทโดยตรงในด้านการบริหารประเทศ แต่รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นสัญลักษณ์ของการปรับตัวของราชวงศ์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น รวมถึงนโยบายการแต่งกายที่รัฐผลักดันเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศไทยให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่และแนวคิดตะวันตก
ชาตินิยมและการปฏิรูปการแต่งกาย
เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1941) มีการนำนโยบายที่มุ่งสู่การปรับปรุงประเทศไทยให้ทันสมัยมาใช้ หัวใจของการปฏิรูปเหล่านี้คือความต้องการที่จะปลูกฝังอัตลักษณ์ของชาติที่แข็งแกร่งและเป็นเอกภาพซึ่งแตกต่างจากอิทธิพลของการล่าอาณานิคม ส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์นี้คือการส่งเสริมกฎการแต่งกายใหม่ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปฏิรูปประเทศไทย รัฐบาลได้ริเริ่มนโยบายที่ส่งเสริมให้ประชาชนไทย โดยเฉพาะผู้หญิง เปลี่ยนการสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดิม เช่น ผ้าซิ่น หรือโจงกระเบน เพื่อหันมาใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตก เช่น กระโปรงและชุดเดรส ซึ่งถูกมองว่า “เจริญก้าวหน้า” และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
และช่วงเวลานี้ยังเห็นการส่งเสริมให้ผู้หญิงไทยสวมหมวกเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งกายประจำวัน นโยบาย “มาลานำไทย” กระตุ้นให้ผู้หญิงไทยสวมหมวกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจในชาติ ความสุภาพ และความก้าวหน้า หมวกกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยของไทยและการนำมาใช้ได้รับการส่งเสริมในทุกชนชั้นของสังคมเพื่อแสดงให้เห็นถึงสถานะของชาติที่กำลังพัฒนาบนเวทีโลก
บทบาทของผู้หญิงในแฟชั่นของชาติ
ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติแฟชั่นภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐบาลพยายามที่จะกำหนดภาพลักษณ์ของผู้หญิงว่าเป็น “ดอกไม้ของชาติ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความภาคภูมิใจ และอัตลักษณ์ของชาติ ภาพลักษณ์นี้ไม่ใช่แค่ในเชิงความงามเท่านั้น แต่ยังมีน้ำหนักทางการเมืองและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง นโยบายการแต่งกายของรัฐบาลเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับอุดมคติความเป็นผู้หญิง โดยเน้นบทบาทของผู้หญิงในฐานะแม่และภรรยา ซึ่งสะท้อนถึงทั้งความต้องการที่จะทำให้ประเทศทันสมัยและการยึดมั่นในค่านิยมดั้งเดิม
นโยบาย “มาลานำไทย” แม้ว่าจะมุ่งเน้นไปที่การแต่งกาย แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับบทบาทของผู้หญิงในสังคม ผู้หญิงได้รับการกระตุ้นให้สวมใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วมในโครงการปรับปรุงชาติของประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้ขยายไปไกลกว่าการแต่งกาย โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและการทำงาน โดยผู้หญิงได้รับการกระตุ้นให้มีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะและเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งช่วยสร้างแนวคิดที่ว่าผู้หญิงเป็นบุคคลสำคัญในการสร้างชาติ
การบูรณะภาพด้วย AI: พระบรมฉายาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
การบูรณะภาพด้วย AI: พระบรมฉายาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คส่วนตัวเล็กที่ผมกำลังทำอยู่ในขณะนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณะและลงสีพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งจุดเริ่มต้นของโปรเจ็คนี้มาจากความสนใจส่วนตัวในเรื่องแฟชั่นสมัยทศวรรษ 1930 โดยเฉพาะฉลองพระองค์ของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในระหว่างที่ทั้งสองพระองค์ทรงพำนักในประเทศอังกฤษหลังจากเสด็จสละราชสมบัติ
อุปสรรคสำคัญของโปรเจ็คนี้คือ คุณภาพของพระบรมฉายาลักษณ์ในยุคนั้นที่ค้นหามาได้ ส่วนใหญ่เป็นภาพขาวดำที่เลือนราง พิกเซลแตก เบลอ หรือถูกทำลายตามกาลเวลา การออกแบบหรือวิเคราะห์แฟชั่นในเชิงลึกจึงเริ่มต้นไม่ได้หากไม่บูรณะภาพเหล่านั้นให้ชัดเจนเสียก่อน
ผมจึงเริ่มจากการคัดเลือกภาพที่มีโครงสร้างดีที่สุด แล้วใช้เทคนิคการลงสีและเพิ่มรายละเอียดด้วย AI เพื่อบูรณะภาพเหล่านี้ให้สวยงาม และชัดเจน และเปี่ยมด้วยบรรยากาศทางประวัติศาสตร์โดยไม่บิดเบือนสาระสำคัญ
พระบรมฉายาลักษณ์แบบภาพคู่
พระบรมฉายาลักษณ์ที่ปรากฏในโพสต์นี้เป็นหนึ่งในภาพที่ผมชื่นชอบมากที่สุด เป็นภาพคู่ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ซึ่งน่าจะถ่ายในสวนของที่ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 ขณะทั้งสองพระองค์ทรงพำนักภายหลังเสด็จออกจากประเทศไทย
พระบรมฉายาลักษณ์นี้จับภาพขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับยืนเคียงกันอย่างสง่างาม คาดว่าทรงเตรียมเสด็จออกไปยังสถานที่สำคัญหรือร่วมงานสังคมบางอย่าง ฉลองพระองค์ของทั้งสองพระองค์สะท้อนรสนิยมอันประณีตของแฟชั่นชนชั้นสูงในช่วงทศวรรษ 1930 ได้อย่างน่าชื่นชม
ฉลองพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๗:
พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วย ชุดสูทสามชิ้นสีเทา (ผมจินตนาการในการลงสีภาพ) ซึ่งเป็นแบบฉบับของแฟชั่นบุรุษยุค 1930 โครงเสื้อมีช่วงไหล่กว้าง เอวคอด และกางเกงทรงหลวมมีจีบ โดยตัดเย็บจากผ้าขนสัตว์ ทรงเสื้อกั๊กแบบกระดุมแถวเดียวและ เสื้อเชิ้ตสีขาว คอปกเสื้อเป็นแบบปลายแหลม (spearpoint collar) ซึ่งได้รับความนิยมในลอนดอนและปารีสในยุคนั้น ทรงผูก เนคไทไหมสีฟ้าอ่อน และทรงฉลองพระบาท หนังดำแบบอ๊อกซ์ฟอร์ด (Oxford shoes) ขัดมันเงา
ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี:
สมเด็จพระนางเจ้าฯ ฉลองพระองค์ด้วย ชุดสูทกลางวันสีงาช้าง ประกอบด้วย เสื้อแจ็กเก็ตเข้ารูปแบบมีเสริมไหล่เล็กน้อย และ กระโปรงยาวปานกลางเหนือข้อเท้าเล็กน้อย ซึ่งเป็นทรงยอดนิยมของสตรีในยุค 1930 เรียกว่าความยาวแบบ midi lenght ผมได้เติม ถุงมือผ้าสีงาช้าง ในเวอร์ชัน AI เพื่อให้เครื่องแต่งพระองค์ดูสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
กระเป๋าคลัตช์หนังสีขาว และ รองพระบาทส้นเตี้ยแบบ kitten heels สีงาช้าง เป็นองค์ประกอบที่เสริมความสง่างามอย่างพอเหมาะสำหรับกลางวัน โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับ หมวกสานปีกกว้างสีขาวประดับริบบิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในแฟชั่นสตรีของยุคนั้น ทรงพระเกศาทรงเกล้าต่ำอย่างเรียบร้อย ซึ่งเข้ากับรูปแบบสากลและพระเกียรติยศของพระราชินีอย่างงดงาม
การบูรณะฉากหลังของภาพ
ในเวอร์ชัน AI ที่ได้รับการปรับแต่ง ผมได้ใช้ภาพถ่ายจากจดหมายเหตุของที่ประทับที่อังกฤษ เพื่อจำลองฉากสวนและบริเวณที่ประทับให้ใกล้เคียงของจริงในยุคนั้น และได้เพิ่มเติม รถยนต์สมัยทศวรรษ 1930 เพื่อสื่อถึงกาลสมัยและบริบททางประวัติศาสตร์
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภาพนี้จะถ่ายทอดความสง่างามของทั้งสองพระองค์ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา การบูรณะภาพด้วย AI ไม่ใช่เพียงการลงสีหรือตกแต่ง แต่เป็นการฟื้นคืนคุณค่าแห่งกาลเวลา ให้เราเห็นคุณค่าของบุคคลในอดีตผ่านภาพที่มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
แฟชั่นสตรีไทยยุค 1930 ในโลกจินตนาการ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
Imagined Thai Women’s Fashion of the 1930s Inspired by Queen Rambhai Barni
In the imagined world of 1930s Bangkok presented in this AI-enhanced photo collection, Thai women are portrayed in elegant Western daywear inspired by British fashion trends of the interwar years. These visual reinterpretations draw from the historical wardrobe of Queen Rampai (Queen Rambhai Barni), consort of King Prajadhipok (Rama VII), whose exile in England following the 1932 Siamese revolution coincided with a period of rapid evolution in women’s fashion. The result is a refined blend of Thai grace and European tailoring, manifesting the globalised aspirations of Siam’s elite women.
Fashion in Transition: The Silhouette of the 1930s
The 1930s marked a transitional period in women’s fashion, moving away from the boyish, androgynous silhouettes of the 1920s towards a more mature, feminine elegance. Dresses and suits from this era featured nipped-in waists, softly padded shoulders, and mid-calf-length skirts. Daywear, in particular, was designed to be both stylish and practical—ideal for the increasingly active roles women were taking in society.
This transformation echoed the Edwardian fashion of the early 20th century, which had already established the classic formula of a well-fitted jacket paired with a long skirt. However, in the 1930s, the day suit evolved into a more functional yet equally refined garment. Jackets were cut closer to the body, sometimes featuring military-inspired lapels or brass buttons, while skirts retained modest lengths that aligned with traditional values, yet allowed freer movement. Accessories such as gloves, brooches, and wide-brimmed hats added a note of dignity and urban sophistication.
British Influence and the Siamese Court
The wardrobe of Queen Rambhai Barni during her years in England offered a compelling model for Siamese women navigating modernity. The Queen, educated and poised, became a figure of grace in exile. Her clothing choices—elegant wool suits, crepe dresses, structured coats, and coordinated hats—reflected both her status and her awareness of global fashion.
British designers like Norman Hartnell and Hardy Amies, later couturiers to Queen Elizabeth II, were key in popularising the refined day suit. Hartnell’s designs favoured luxurious fabrics and intricate tailoring, while Amies brought clarity and practicality to the women’s silhouette. Though there is no direct record of Queen Rambhai Barni commissioning pieces from these houses, the styles she wore clearly followed the prevailing British taste of the 1930s, characterised by refinement, elegance, and modern womanhood.
Day Suits in Siam: Imagining a Fashionable Bangkok
In this AI Fashion Lab collection, we imagine a Bangkok where elite Siamese women confidently adopted Western styles. Inspired by Queen Rampai’s time abroad and the increasing openness of Siamese society to foreign culture, these women are depicted wearing day suits that balance British structure with Siamese elegance. The suits are carefully tailored in linen, wool, or silk blends—fabrics appropriate for tropical weather yet aligned with European aesthetics.
Key features include:
Nipped waist jackets with decorative buttons and padded shoulders
Calf-length skirts with subtle pleats or front slits for ease of movement
Matching gloves and handbags, evoking the complete ensemble style of English ladies
Wide-brimmed straw or felt hats, often accented with ribbon or feather
Neck ties and blouses with bows or jabots, softening the structured lines of the jacket
Cultural Hybridity and the Thai Modern Woman
This imagined fashion scene represents more than aesthetic exploration—it is a reflection of cultural hybridity. The 1930s were a time when Thai aristocracy and upper-middle class women began participating in modern life more visibly. Educated abroad or influenced by Western-educated elites, these women used dress to express a cosmopolitan identity that respected traditional decorum while embracing modern freedoms.
By adopting the British day suit, they not only followed fashion but redefined their roles in society—participating in charity work, education, diplomacy, and intellectual circles. The formality and polish of the suit conveyed readiness for public life, while still maintaining the grace and discretion expected of a well-bred woman.
Conclusion: A Style of Confidence and Elegance
The women’s day suit of the 1930s, as imagined in this collection and inspired by the historical presence of Queen Rambhai Barni, symbolises the emergence of a modern Siamese woman. Structured yet feminine, formal yet practical, it reflects an era of shifting social roles and global connection. In adopting this style, Thai women of the time—and in this imagined world—claimed a new sartorial identity, poised between heritage and modernity.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI
ผ้าซิ่นกับอัตลักษณ์ใหม่ของสตรีไทย: แฟชั่นหลังสงครามครั้งที่ 1 และกระแสพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6
Pha-Sin and the New Identity of Thai Women: Post-WWI Fashion and Royal Influence in the Reign of King Rama VI
During the mid-reign of King Vajiravudh (Rama VI, 1915–1920), the fashion of elite women in Siam underwent significant transformation, influenced by global trends. Postwar styles gradually merged with the late Teens fashion (1915–1919), which marked the end of the Art Nouveau era and the transition toward Art Deco in the 1920s. This style emphasised simplicity, columnar silhouettes, lowered waistlines, and shorter hemlines that no longer brushed the floor. These changes reflected a global shift toward practicality and comfort in women’s everyday attire.
The Pha Sin – From Regional Garment to National Symbol
Under the reign of King Chulalongkorn (Rama V, 1868–1910), the pha sin was perceived as an ethnic or regional garment worn by women from provinces outside Bangkok, particularly the North and Northeast, which were considered peripheral. Women in Bangkok favoured the chong kraben and sported short hair in the dok krathum style, while women who wore the pha sin typically had long, coiled hair.
Princess Dara Rasmi, a royal consort from Chiang Mai, introduced the pha sin to the royal court. Although she wore it only within her private quarters, she became known for steadfastly preserving her Lanna identity. Her choice to wear the pha sin symbolised the cultural diversity within the Thai monarchy and promoted the visibility of Lanna heritage in Bangkok's courtly culture.
The Pha Sin's Transformation into a National Identity
After World War I, geopolitical shifts created a sense of identity insecurity among many nations. The fall of major empires such as Austro-Hungary and the Ottoman Empire led to the emergence of new nation-states, which sought to build unity through culture. Nationalism became a key tool in forging pride and cohesion, reinforced through language, history, traditional clothing, and rituals.
In Europe, many countries returned to regional dress to express national identity. In Austria and Germany, garments like the dirndl and lederhosen regained popularity. In Austria, Viktor von Geramb encouraged the modern adaptation of folk dress to revive national consciousness after the collapse of the Austro-Hungarian Empire.
Similarly, in Wales, rural women’s dress evolved into a recognised national costume by the 1880s, becoming widely worn at annual festivals such as the Eisteddfodau and on Saint David’s Day. Girls would wear this attire with pride, contributing to the formation of a distinctly Welsh cultural identity.
In Siam, although not initially a direct participant in the war, the kingdom’s entry into the conflict in 1917 as an Allied power under King Rama VI had significant implications. The deployment of Siamese volunteer troops to Europe and Siam’s position among the war’s victors elevated its status on the global stage. Domestically, however, Western cultural influence remained pervasive.
King Rama VI actively promoted the concept of "Thainess" alongside modernisation, using literature, sport, and fashion to foster national identity. Among his efforts was the encouragement of elite women to adopt the pha sin, once considered a regional garment, as a unifying national symbol for modern Siamese femininity.
เครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนราชวิทยาลัยแห่งกรุงสยาม – สมัยสายสวลี ยุคปลายรัชกาลที่ ๕
เครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนราชวิทยาลัยแห่งกรุงสยาม – สมัยสายสวลี ยุคปลายรัชกาลที่ ๕
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วย AI ชุดนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นงานจิตอาสาสาธารณะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และถ่ายทอดภาพความทรงจำในยุครุ่งเรืองของโรงเรียนราชวิทยาลัย (King’s College) ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นอีกครั้ง ณ สายสวลีสัณฐาคาร ในพระราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗
ในการนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สถานที่ของ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ซึ่งเป็นอาคารโรงเลี้ยงเด็ก ตำบลโรงเลี้ยงเด็ก ถนนบำรุงเมือง จังหวัดพระนคร เป็นที่ตั้งของโรงเรียน โดยเรียกกันในภายหลังว่า "สมัยสายสวลี" ตามชื่ออาคารใหญ่ ตึกสายสวลีสัณฐาคาร ซึ่งใช้เป็นสถานที่เรียน มีเวลาสอนเทอมละ ๔ เดือน และนักเรียนต้องเสียค่าเล่าเรียนเดือนละ ๔๐ บาทต่อคน หลักสูตรการเรียนการสอนในยุคนั้นครอบคลุมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยรับนักเรียนทั้งแบบอยู่ประจำและไป-กลับ
ภาพในชุดนี้ได้รับการออกแบบขึ้นจากข้อมูลของระเบียบเครื่องแต่งกายนักเรียนในสมัยนั้น ประกอบกับความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น เพื่อจำลองภาพเครื่องแต่งกายของนักเรียนสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย อย่างสมจริง อาทิ หมวก บอร์ซาลิโน (Borsalino) สีฟ้าประดับด้วยริบบิ้นกรอสเกรนสีชมพูอ่อน เสื้อราชปะแตนสีขาว กระดุมทอง และโจงกระเบนสีกรมท่า ตามระเบียบของโรงเรียนราชวิทยาลัย
ภาพเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อร้อยเรียงจินตภาพของ "สมัยสายสวลี" ซึ่งถือเป็นยุคทองแห่งการฟื้นฟูราชวิทยาลัย ภายใต้การอำนวยการของ มิสเตอร์ เอ. ซี. คาร์เตอร์ อดีตพระอาจารย์ถวายพระอักษรในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (รัชกาลที่ ๖) ผู้วางรากฐานการศึกษาด้วยระบบ Public School ของอังกฤษ ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญในการปลูกฝังระเบียบวินัย ความเป็นผู้นำ และจิตวิญญาณแห่งความจงรักภักดีแก่ศิษย์ราชวิทยาลัย
โรงเรียนราชวิทยาลัยถือกำเนิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคแห่งการล่าอาณานิคม นักเรียนในรุ่นแรกส่วนใหญ่เป็นเจ้านายและบุตรหลานข้าราชการระดับสูง ซึ่งภายหลังล้วนมีบทบาทสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน และธำรงไว้ซึ่งเอกราชของชาติ
การจัดทำภาพชุดนี้เกิดขึ้นจากการสนทนากับ คุณวิญญูชนก แก้วนอก (ราชวิทย์ รุ่น ๑๖) นายทะเบียนสมาคมศิษย์เก่าราชวิทยาลัย และผู้จัดทำหอประวัติโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัยฯ ผมจึงอาสานำความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น และการอนุรักษ์เครื่องแต่งกาย มาผสานกับศักยภาพของเทคโนโลยี AI เพื่อสร้างสรรค์ภาพประวัติศาสตร์จำลองเหล่านี้ให้มีความเที่ยงตรงทั้งในด้านเครื่องแต่งกาย และบริบททางวัฒนธรรมของยุคสมัย
ผมขอมอบภาพชุดนี้แด่ศิษย์เก่า คณาจารย์ นักเรียน และผู้สนใจทุกท่าน ในฐานะสื่อกลางในการเชื่อมโยงอดีตและปัจจุบัน เพื่อจุดประกายความตระหนักรู้ในคุณูปการของราชวิทยาลัย และสืบสานแรงบันดาลใจแห่งการเรียนรู้จากสถาบันการศึกษาที่ทรงคุณค่าแห่งนี้
สวมใส่ความทันสมัย: หมวกโบ๊ตเตอร์กับบทสนทนาทางวัฒนธรรมของแฟชั่นสตรีสยามในสมัยต้นรัชกาลที่ ๖
สวมใส่ความทันสมัย: หมวกโบ๊ตเตอร์กับบทสนทนาทางวัฒนธรรมของแฟชั่นสตรีสยามในสมัยต้นรัชกาลที่ ๖
หมวกหนึ่งใบที่เปลี่ยนโลก: เมื่อเครื่องแต่งกายกลายเป็นภาษาทางวัฒนธรรม
ในโลกของการศึกษาแฟชั่นประวัติศาสตร์ตะวันตก มีเครื่องแต่งกายไม่กี่ชิ้นนักที่จะมีพลวัตทางความหมายได้มากมายเท่ากับ “หมวกโบ๊ตเตอร์” จากหมวกที่เคยเป็นเพียงหมวกฟางปีกแบนที่สวมโดยนักเรียนชายชาวอังกฤษและสมาชิกชมรมพายเรือในศตวรรษที่ 19 ซึ่งแฝงไว้ด้วยนัยยะของชนชั้นสูง ความสุภาพแบบผู้ดี และการมีเวลาว่างเพื่อการสันทนาการแบบผู้ดีอังกฤษ หมวกใบนี้ได้เดินทางข้ามเวลาและมหาสมุทร เพื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายต่างออกไปจากความหมายดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง
เมื่อก้าวเข้าสู่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หมวกโบ๊ตเตอร์ที่ดูเรียบง่ายและไร้พิษภัยในสายตาชายชั้นกลาง สตรีทั่วโลกกลับนำมาใช้และตีความใหม่ หมวกโบ๊ตเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงของตกแต่งศีรษะ หากแต่กลายเป็นเครื่องหมายแห่งการตื่นรู้ทางสังคมของผู้หญิง เและเป็นเสมือนถ้อยคำแถลงเงียบๆ ว่า “เรากำลังเปลี่ยนแปลง” โดยไม่ต้องเปล่งเสียงใดๆ
จากสนามพายเรือสู่ขบวนการสิทธิสตรี: หมวกโบ๊ตเตอร์กับพลังเงียบของกลุ่มเรียกร้องสิทธิสตรี
ในช่วงยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน (Edwardian Era ค.ศ. 1901–1910) หรือสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อกับสมัยต้นของรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 สตรีในยุโรปและอเมริกาเริ่มออกมาเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของตนในพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การทำงาน การแสดงความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งสิทธิในการเลือกตั้ง ท่ามกลางการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ภาษาแฟชั่นของผู้หญิงก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างมีนัยสำคัญ
หมวกโบ๊ตเตอร์ในเวลานั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในการแข่งขันพายเรืออีกต่อไป หากแต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวันของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่น เรียนหนังสือ ทำงาน หรือการเดินขบวนทางการเมือง หมวกใบนี้มีรูปทรงราบเรียบ และทะมัดทะแมง ไม่มีขนนกหรือผ้าติดหมวกแบบในอดีต มันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “สตรีผู้มีเหตุผลและทันสมัย” ผู้ที่พร้อมจะออกมายืนเคียงข้างบุรุษในพื้นที่ที่เคยถูกกันไว้เพียงสำหรับผู้ชายเท่านั้น
ในขบวนเคลื่อนไหวของกลุ่มซัฟฟราเจ็ต (Suffragettes) หรือกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิการเลือกตั้งของสตรี หมวกโบ๊ตเตอร์ปรากฏอยู่บนศีรษะของผู้หญิงผู้เคยสวมผ้าคลุมหน้าและหมวกที่เต็มไปด้วยขนนกและดอกไม้ เมื่อพวกเธอเลือกหมวกฟางใบที่เรียบง่ายแทนหมวกที่หรูหราเหมือนในอดีต นั่นคือการเลือก “อัตลักษณ์ใหม่” — ที่เรียบง่ายแต่มั่นคง สวยงามแต่ไม่ยอมจำนน
เมื่อแฟชั่นข้ามน้ำข้ามทะเล: หมวกโบ๊ตเตอร์ในสยาม
ณ ฟากหนึ่งของโลกที่ห่างไกลจากลอนดอน ราชอาณาจักรสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2453–2468) กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ทั้งในแง่การปกครอง การศึกษา และวัฒนธรรม ราชสำนักไทยในช่วงเวลานี้เปิดรับแนวคิดตะวันตกอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในหมู่เจ้านายฝ่ายในและสตรีชั้นสูงซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาททางสังคมและวัฒนธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
หมวกโบ๊ตเตอร์มาถึงสยามไม่ใช่เพียงในฐานะของแฟชั่นนำเข้า แต่คือสัญลักษณ์ของการยอมรับอารยธรรมสากลพร้อมทั้งแสดงจุดยืนของสตรีสยามในยุคสมัยใหม่ ด้วยการจับคู่กับเสื้อลูกไม้ฝรั่งและโจงกระเบน หมวกใบนี้จึงกลายเป็นเครื่องหมายของ “ผู้หญิงไทยที่เข้าใจโลก” ผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง
ในโลกแฟชั่นตะวันตก ดีไซน์ของหมวกโบตเตอร์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 มีหลากหลายขนาดเพื่อรองรับทรงผมแบบ Gibson Girl ซึ่งมีลักษณะการเกล้าผมสูงและขนาดใหญ่ขึ้น สตรีสยามในช่วงต้นรัชกาลที่ 6 ก็เริ่มไว้ผมยาวตามแฟชั่นสตรีตะวันตก มักจะเกล้าผมให้สูงขึ้นเพื่อให้เข้ากับแฟชั่นสตรีในสมัยนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการประยุกต์อย่างมีศิลป์ระหว่างแฟชั่นสากลและความงามแบบไทย
หมวกโบ๊ตเตอร์ ณ พระราชวังบางปะอิน: จินตนาการแฟชั่นเจ้านายฝ่ายในกับการพายเรือในสระบัว สมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (1890-1910)
หมวกโบ๊ตเตอร์ ณ พระราชวังบางปะอิน: จินตนาการแฟชั่นเจ้านายฝ่ายในกับการพายเรือในสระบัว สมัยรัชกาลที่ ๕
คอลเลกชัน Bang Pa-In Collection นี้ถือกำเนิดจากจินตนาการของผมต่อภาพเหตุการณ์สมมุติในราชสำนักไทยช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นภาพของเจ้านายฝ่ายหน้าและฝ่ายในในช่วงการแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังบางปะอิน ณ พระนครศรีอยุธยา กำลังพายเรือท่ามกลางสระบัว กับบรรยากาศที่สงบ และงดงามในยามเช้าหรือบ่ายแก่ ๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันนุ่มนวลสะท้อนผิวน้ำ และเสียงกระซิบของสายลม รวมไปถึงกลิ่นอายแห่งศิลปะการแต่งกายอย่างไทยที่ผสมผสานกับสไตล์ตะวันตกได้อย่างลงตัว
ในภาพเหล่านี้ เจ้านายฝ่ายในสวมหมวกโบ๊ตเตอร์ (boater hat) ซึ่งเดิมทีเป็นเครื่องแต่งกายของสุภาพบุรุษในโลกตะวันตก หมวกทรงแบน ขอบตรง ทำจากฟางสานแข็ง ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีเข้ม ถูกนำมาปรับใช้ร่วมกับเสื้อคอตั้งผ้าลูกไม้แบบวิกตอเรียน และพาดสะไบแพร พร้อมทั้งนุ่งโจงกระเบนตามธรรมเนียมนุ่งห่มสีประจำวัน เมื่อสวมใส่สำหรับกิจกรรมพายเรือในบริเวณพระราชวัง หมวกชนิดนี้จึงดูเข้ากันกับเครื่งแต่งกายอย่างประณีต งดงาม และร่วมสมัยอย่างยิ่ง
จุดเริ่มต้นของหมวกโบ๊ตเตอร์ในยุโรป
หมวกโบ๊ตเตอร์เกิดขึ้นในอังกฤษราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเป็นหมวกฟางสานชนิดแข็ง (sennit straw) ที่ออกแบบให้มีทรงแบน ขอบหมวกตรง และมักประดับด้วยริบบิ้นสีเข้ม หมวกชนิดนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียนชายของมหาวิทยาลัยชื่อดัง เช่น อ็อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ รวมถึงโรงเรียนมัธยมอย่าง Eton, Harrow และ Winchester โดยเฉพาะในกิจกรรมพายเรือและเดินเล่นในฤดูร้อน จนกลายเป็นหมวกยูนิฟอร์มของชมรมเรือในมหาวิทยาลัย
แม้เดิมทีจะเป็นสัญลักษณ์ของความสุภาพและกีฬา แต่ภายในไม่กี่ทศวรรษ หมวกโบ๊ตเตอร์ก็กลายเป็นของคู่กายสุภาพบุรุษผู้มีรสนิยมในช่วงฤดูร้อน โดยมักจับคู่กับเบลเซอร์ กางเกงลายทาง และรองเท้าสีขาว-ดำ (spectator shoes) แฟชั่นนี้แพร่กระจายไปยังยุโรปและอเมริกา พร้อมกับแนวคิด “leisure class” หรือชนชั้นผู้ใช้เวลาว่างอย่างมีรสนิยม
การรับอิทธิพลในสยาม: เจ้านายฝ่ายในกับแฟชั่นข้ามวัฒนธรรม
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศสยามได้เปิดรับแนวคิดและวัฒนธรรมตะวันตกอย่างมาก โดยเฉพาะในราชสำนัก การเสด็จเยือนยุโรปของพระบรมวงศานุวงศ์ การจ้างช่างภาพชาวต่างชาติ และการเรียนการสอนแบบตะวันตกในโรงเรียนหลวง ล้วนมีบทบาทในการหล่อหลอมความงามรูปแบบใหม่ในหมู่เจ้านายฝ่ายใน หมวกโบ๊ตเตอร์แม้จะมีที่มาจากโลกของบุรุษและกีฬากลางแจ้ง แต่ก็ถูกนำมาผสานกับความงามแบบไทยอย่างอ่อนช้อย กลายเป็นแฟชั่นที่สะท้อนทั้งการเรียนรู้วัฒนธรรมของโลก และการยืนหยัดในอัตลักษณ์ของตนเอง
AI กับงานสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม: ความท้าทายและการทดลอง
ภาพชุดนี้ไม่มีภาพต้นฉบับจริงใด ๆ เลย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความคิดสร้างสรรค์และการทดลองทางเทคโนโลยี ผมใช้วิธีการฝึกโมเดล LoRA หลายชุดเพื่อให้ AI สามารถสร้างสรรค์ภาพสตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่สวมหมวกโบ๊ตเตอร์ได้อย่างแม่นยำและสมจริง
ขั้นแรก ผมใช้ LoRA ที่เคยฝึกไว้แล้วเกี่ยวกับแฟชั่นบุรุษไทยในยุครัชกาลที่ ๕ และ ๖ ที่สวมหมวกโบ๊ตเตอร์ จากนั้นจึงสร้างชุดข้อมูลใหม่ โดยผสมภาพชายสวมหมวก ภาพหญิงในยุคเดียวกันที่ไม่สวมหมวก และภาพหมวกโบ๊ตเตอร์ของจริง เพื่อให้ AI เรียนรู้รูปทรงหมวกและตำแหน่งการสวมใส่ เมื่อฝึกสำเร็จได้โมเดล LoRA ตัวนี้มา จึงสามารถสร้างภาพสตรีที่สวมหมวกได้อย่างถูกต้องตามหลักสรีระ
ต่อมา ผมนำภาพผลลัพธ์จาก LoRA แรกไปฝึกต่อใน LoRA ชุดที่สอง โดยใช้ภาพสุภาพบุรุษและสตรีที่สวมหมวกอย่างถูกต้อง ผสมกับภาพผู้คนที่พายเรือแจวแบบไทย และภาพสระบัว เพื่อให้ AI เข้าใจความเชื่อมโยงของบริบทในทางวัฒนธรรมและฉากหลังที่ต้องการ
สุดท้าย ผมนำโมเดลที่ฝึกแล้วนี้ไปร่วมใช้งานกับ LoRA อีกสองชุด – หนึ่งสำหรับบุรุษสวมหมวก และอีกหนึ่งสำหรับสตรีสวมหมวก – เพื่อให้ผลลัพธ์มีความสอดคล้องสมบูรณ์ทั้งในเชิงแฟชั่น โครงสร้างใบหน้า และความน่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์