History of Fashion
วิธีการบูรณะภาพ รัชกาลที่ 8 และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้วย AI (ตอนที่ 2)
วิธีการบูรณะภาพ รัชกาลที่ 8 และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้วย AI (ตอนที่ 2)
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระบรมฉาลาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (20 กันยายน พ.ศ. 2468 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ขณะที่มีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้รับแต่งตั้งเพื่อบริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์มีสมเด็จพระโสทรเชษฐภคินี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี และสมเด็จพระอนุชาธิราช คือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อีกทั้งทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์เสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกหลังทรงราชย์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรก็ได้เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในราชวงศ์จักรีที่มิได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
___________
การสร้างสรรค์ภาพด้วย AI ในครั้งนี้ ได้ผ่านกระบวนการที่ผมเคยแบ่งปันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว คือการจัดทำ Mapping Board ของเหรียญตราและเครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่ละชิ้นให้ถูกต้องเสียก่อน
ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการ “สอน” ให้ AI เข้าใจ รูปทรง ลำดับ ตำแหน่ง สี วัสดุ และความสัมพันธ์เชิงลำดับชั้นของเครื่องราชอิสริยาภรณ์
จากนั้นจึงนำ Mapping Board ไปใช้เป็น image reference เพื่อควบคุมความถูกต้องในการสร้างภาพ ไม่ใช่การปล่อยให้ AI “จินตนาการเอง”
วิธีการบูรณะภาพ รัชกาลที่ 8 และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้วย AI
วิธีการบูรณะภาพ รัชกาลที่ 8 และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้วย AI
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระบรมฉาลาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (20 กันยายน พ.ศ. 2468 – 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ขณะที่มีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้รับแต่งตั้งเพื่อบริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์มีสมเด็จพระโสทรเชษฐภคินี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี และสมเด็จพระอนุชาธิราช คือ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อีกทั้งทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์เสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกหลังทรงราชย์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง 4 วัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรก็ได้เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในราชวงศ์จักรีที่มิได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
___________
การสร้างสรรค์ภาพด้วย AI ในครั้งนี้ ได้ผ่านกระบวนการที่ผมเคยแบ่งปันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว คือการจัดทำ Mapping Board ของเหรียญตราและเครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่ละชิ้นให้ถูกต้องเสียก่อน
ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการ “สอน” ให้ AI เข้าใจ
– รูปทรง
– ลำดับ
– ตำแหน่ง
– สี
– วัสดุ
– และความสัมพันธ์เชิงลำดับชั้นของเครื่องราชอิสริยาภรณ์
จากนั้นจึงนำ Mapping Board ไปใช้เป็น image reference เพื่อควบคุมความถูกต้องในการสร้างภาพ ไม่ใช่การปล่อยให้ AI “จินตนาการเอง”
___________
รัชกาลที่ ๔ กับพระมาลาเกลนแกร์รี (Glengarry) ของสก๊อตแลนด์, พระแสงดาบฝักทองคำจากสหรัฐอเมริกา และการเปลี่ยนผ่านเครื่องแต่งกายในราชสำนักสยาม
รัชกาลที่ ๔ กับพระมาลาเกลนแกร์รี (Glengarry) ของสก๊ตแลนด์, พระแสงดาบฝักทองคำจากสหรัฐอเมริกา และการเปลี่ยนผ่านเครื่องแต่งกายในราชสำนักสยาม
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะปรากฏ 3 องค์ประกอบสำคัญ พร้อมกัน ได้แก่ พระมาลา glengarry ของสก๊อตแลนด์, พระแสงดาบฝักทองคำจากสหรัฐอเมริกา, และ รูปแบบฉลองพระองค์แบบใหม่ของชายสยามในราชสำนัก อันสะท้อนช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรม การเมือง และภาพลักษณ์ของรัฐสยามในคริสต์ศตวรรษที่ 19
พระมาลา glengarry เป็นหมวกทหารทรงพับที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในบริบทที่กองทหารไฮแลนด์ของสหราชอาณาจักรกำลังถูกปรับโครงสร้างจากกองกำลังท้องถิ่น สู่ระบบกองทัพสมัยใหม่ของจักรวรรดิอังกฤษ หมวกชนิดนี้มิได้เกิดจากความต้องการด้านสุนทรียะ หากเป็นผลจากความจำเป็นด้านการใช้งาน ความคล่องตัว และวินัยทางทหาร โดยมักเชื่อมโยงกับ Alexander Ranaldson MacDonell of Glengarry (ค.ศ. 1773–1828) ผู้มีบทบาทในการกำหนดรูปแบบหมวกทรงพับที่แตกต่างจากหมวก bonnet แบบไฮแลนด์ดั้งเดิมซึ่งมีขนาดใหญ่และเน้นอัตลักษณ์เผ่าพันธุ์
ภาพเหมือนของ พันเอก Alastair Ranaldson MacDonell of Glengarry โดย Sir Henry Raeburn และภาพของ Ranald MacKinnon นายทหารแห่งกรมทหารไฮแลนด์ที่ 84 ในปี ค.ศ. 1805 แสดงให้เห็นบทบาทของหมวก glengarry ในฐานะเครื่องหมายของอำนาจที่สุขุม เป็นส่วนหนึ่งของระบบการแต่งกายที่ควบคุมอัตลักษณ์ของนายทหารให้สอดคล้องกับอุดมการณ์ของรัฐชาติและจักรวรรดิ ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หมวก glengarry แพร่หลายอย่างมากในกองทหารสก๊อตที่ประจำการในดินแดนอาณานิคม โดยเฉพาะใน อินเดีย และต่อเนื่องไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และตะวันออกกลาง จนกลายเป็นสัญลักษณ์สากลของวินัย ความเป็นมืออาชีพ และอำนาจแบบตะวันตก
วิธีการบูรณะภาพถ่ายขาวดำโบราณ โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ตอนที่ ๒)
วิธีการบูรณะภาพถ่ายขาวดำโบราณ โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ตอนที่ ๒)
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “องค์บิดาของทหารเรือไทย"
ในการสร้างสรรค์ครั้งนี้ ผมอยากจะมาทบทวนวิธีการบูรณะภาพถ่ายขาวดำโบราณ โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญตราอีกครั้งนะครับ สำหรับผู้ที่สนใจการบูรณะภาพขาวดำด้วย AI
ช่วงหลังมีหลายท่านถามผมบ่อยมากครับว่า เวลาบูรณะภาพถ่ายเก่า ๆ ด้วยเทคโนโลยี AI—โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยเหรียญตรา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ลวดลายดิ้นทอง และเครื่องแบบราชสำนักที่มีความซับซ้อน—ผมทำอย่างไรให้ สีถูกต้อง ลำดับเหรียญไม่ผิด และผิวสัมผัสของผ้า–โลหะ–เครื่องประดับดูสมจริง ทั้งที่ตัว AI เองก็ไม่ได้ “รู้” อยู่แล้วว่าสีจริงควรเป็นอย่างไร หรือแม้แต่การสะท้อนแสงของดิ้นทองแบบสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕–๖ มีลักษณะเฉพาะอย่างไร
ความจริงคือ มันไม่ได้ยากเลยครับ แต่ต้องละเอียดและใจเย็นมาก
และต้องใช้ “ความรู้ทางประวัติศาสตร์แฟชั่น” ร่วมกับ “การคุมทิศทางของ AI” อย่างใกล้ชิด
วันนี้ผมเลยอยากแบ่ง “กระบวนการที่ผมใช้จริง ๆ” ซึ่งหลายคนอาจนำไปประยุกต์ได้ ไม่ว่าจะทำงานบูรณะภาพครอบครัว ภาพโบราณ หรือใช้เพื่อทำงานเชิงวิชาชีพก็ได้เช่นกัน
และต้องบอกไว้ก่อนว่า กระบวนการนี้เป็นวิธีที่ผมนำไปใช้ ในงานอาชีพจริงของผมที่ลอนดอน
ในฐานะ นักออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับภาพยนตร์ ผมใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในการสร้างแบบร่างเสื้อผ้าจากภาพขาวดำเก่า ๆ เพื่อศึกษาผิวสัมผัสของผ้า เทคนิคการทอ ลวดลายดิ้นทอง และโครงสร้างเครื่องแบบโบราณในระดับที่ละเอียดแบบงานภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ดังนั้นจึงขอเล่า “วิธีที่ผมทำจริง ๆ” ให้ฟัง เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากลองบูรณะภาพคุณภาพสูง โดยกระบวนการเหล่านี้สามารถใช้ได้กับ Google Nano Banana Pro หรือเอ็นจินอื่นที่ออกแบบมาเป็น editing suite แนวเดียวกันครับ
19 ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ องค์บิดาของทหารเรือไทย
19 ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ องค์บิดาของทหารเรือไทย
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “องค์บิดาของทหารเรือไทย"
ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2423 มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นพระองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด
การศึกษา
หญิงชั้นผู้ดีภาคอุดร: แฟชั่นอีสานในสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนปลาย
หญิงชั้นผู้ดีภาคอุดร: แฟชั่นอีสานในสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนปลาย
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ หญิงชั้นผู้ดีแห่งมณฑลอุดร ภาคอีสานในช่วงการตรวจราชการของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพในปี พ.ศ. 2449
ผมได้รับแรงบันดาลใจจาก ภาพถ่ายอีสานโบราณ "สตรีสูงศักดิ์" (ในวงศ์เจ้าเมืองนครพนม) ซึ่งเป็นภาพถ่ายในอดีตของ มณฑลอุดร เมื่อราว ๑๑๘ ปีที่ผ่านมา ภาพนี้ถ่ายขึ้นที่เมืองนครพนม โดยสตรีที่นั่งตรงกลางคือ นางจันทร์เกษี ภรรยาของ พระสุรากรณ์พนมกิจ (ภูมิ) ยกบัตรเมืองนครพนม ผู้มีบทบาทสำคัญในระบบการปกครองของเมืองในขณะนั้น
ในช่วงเวลาดังกล่าว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จออกตรวจราชการในมณฑลต่างๆ ทางภาคอีสาน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๙ โดยมี ช่างภาพติดตามการเสด็จ เพื่อบันทึกภาพวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรมของผู้คนในหัวเมืองชายขอบของสยาม ภาพถ่ายเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถศึกษารูปแบบการแต่งกายและบทบาทของสตรีชั้นสูงในภาคอีสานยุคนั้นได้อย่างดี
_______
บันทึกเครื่องประดับ ใน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
บันทึกเครื่องประดับ ใน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฯ
ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมทั้งคอลเล็คชั่นเครื่องประดับบางส่วน ที่อยู่ในบันทึกของ แพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ นพ.มัลคาล์ม สมิธ (Malcolm Arthur Smith) จากหนังสือ “แพทย์หลวงในราชสำนักสยาม” (A physician at the court of Siam)
ความมั่งคั่งของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถนั้น นายแพทย์ประจำพระองค์ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ นพ.มัลคาล์ม สมิธ ได้บันทึกถึงรายได้ของพระองค์ไว้ว่า
“...พระราชทรัพย์ที่มีอยู่อย่างมากมายของพระองค์ นอกเหนือจากเบี้ยหวัดเงินปีที่ทรงได้รับพระราชทานอยู่เป็นประจำแล้ว สมเด็จพระพันปีหลวงทรงมีรายได้ของพระองค์เองอีกส่วนหนึ่ง เป็นรายได้ที่เกิดจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งข้าพระเจ้าประมาณการจากที่พระองค์เคยตรัสไว้ให้ข้าพเจ้าฟังว่า รายได้ทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วน่าจะตกประมาณ 80,000-90,000 ปอนด์ต่อปี...”
ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงเป็นอัครมเหสีที่ดำรงพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ” เคยทรงว่าราชการในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชสวามีถึงสองครั้งสองครา สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ จึงทรงมีเครื่องประดับอันงดงามและมีค่าสูงยิ่ง สำหรับทรงในโอกาสและวาระต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น
ชุดเพชรลูกกลม เป็นลูกน้ำขาวแท้เม็ดใหญ่ เรียงรอบพระศอเหมือนเฟื่องระย้าซ้อนสองชั้น มีรัดเกล้ารูปดอกเบญจมาศเพชรสำหรับคาดรอบพระเศียร เข้าชุดกับเข็มกลัดดอกเบญจมาศระย้า เพชรใหญ่เป็นช่อมีสามดอกพระวลัยกรเพชรลายละเอียดโปร่งทั้งสองข้าง และพระธำมรงค์เพชรเข้าชุดกัน นอกจากนี้ยังทรงมีเครื่องประดับชุดใหญ่ๆ อีกจำนวนหนึ่ง คือ
ชุดเพชรรูปกลมขนาดใหญ่ เป็นสร้อยสังวาลเครื่องเพชรสามชั้น รอบพระศอเรียงกันตามลำดับเล็กใหญ่เป็นแถว สำหรับประดับเมื่อทรงเครื่องเต็มยศอย่างขัตติยนารี (สร้อยพระศอองค์นี้ คือ สร้อยเพรชแม่เศรษฐี อันเลื่องลือ)
ชุดเพชรรูปหยดน้ำ เป็นสร้อยพระศอระย้าเพชรสลับกับไข่มุกเม็ดใหญ่น้ำงาม โดยเม็ดเพชรน้ำหยดนั้นมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษน้ำงามบริสุทธิ์มีกระบังเพชรรูปเพชรน้ำหยดกับไข่มุกเข้าชุดกัน ประกอบกับสร้อยสังวาลระย้าเพชรสลับไข่มุก มีรัศมีกว้างกระจายเต็มพระอุระ
ชุดทับทิมเป็นทับทิมเนื้อพิเศษสุดสีแดงสด เจียระไนเป็นรูปหัวใจรูปเหลี่ยมรูปไข่ ประกอบลวดลายมงคลเพชรมีทั้งสร้อยพระศอสังวาลระย้าลายนกเพชรประกอบทับทิม กำไลต้นพระพาหา พระกุณฑล พระวลัยกร พระธำมรงค์ทับทิมมงคลเพชร เข็มรูปตัวแมลงหัวเข็มขัดประกอบทับทิมชั้นยอด
ชุดมรกต ประกอบด้วยมรกตสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ คุณภาพเยี่ยมน้ำเขียวขจีสดใส ทั้งสร้อยพระศอ พาหุรัดสวมต้นพระพาหา วลัยกรและพระธำมรงค์ เข้าชุดกับเข็มกลัดรูปต่างๆ อันเป็นมรกตประดับเพชรเป็นที่กล่าวกันว่ามรกตชุดนี้ เป็นอัญมณีมีค่ามีราคาสูงสุดในภูมิภาคตะวันออกเลยทีเดียว
เครื่องประดับชุดนิลอันมีค่า เป็นชุดนิลสีน้ำเงินเข้ม มงคลเพชร ประกอบด้วยก้านและลวดลายกนกเพชร มีนิลไพลินสีผักตบเป็นเครื่องประดับชุดไพลิน เป็นสร้อยสังวาลครบชุดวิจิตรตระการตามาก
นอกจากนี้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงรวบรวมไข่มุกไว้เป็นจำนวนมากหลายสีหลายขนาด ตั้งแต่ใหญ่ไปหาเล็ก เป็นสร้อยพระสังวาลเฟื่องไข่มุกเม็ดขนาดใหญ่สามชิ้น มีตุ้มเพชรห้อยเป็นระยะๆ จะทรงประกอบกับไข่มุกอื่นๆ ซึ่งมีทั้งไข่มุกสีกุหลาบอ่อน ไข่มุกสีเหลืองน้ำผึ้ง และไข่มุกคุณภาพเยี่ยมอีกจำนวนหนึ่ง
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงโปรดปรานในเครื่องประดับอัญมณีเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะทรงได้รับพระราชทานเป็นของขวัญของฝากจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชสวามี ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่เสด็จประพาสต่างประเทศจะทรงเอาพระทัยใส่ หาอัญมณีมีค่าสุดกลับมาฝากและพระราชทานพระอัครมเหสีอยู่เสมอมิได้ขาด ไม่นับรวมกับที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงสะสมซื้อหามาด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และมีผู้สรรมาทูลเกล้าฯ ถวาย และยังทรงได้รับเป็นของขวัญจากประมุขประเทศต่างๆ เช่น มงกุฎหรือรัดเกล้าเพชรจากเอมเปรสแห่งรัสเซีย หรือวลัยกรนิลน้ำงามมงคลเพชรจากเอ็มเปรสแห่งอิตาลี
เครื่องประดับอัญมณีอันมีค่ามากมายมหาศาลของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลรักษาของ เจ้าจอม ม.ร.ว.แป้ม มาลากุล นั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเล่าไว้ในพระนิพนธ์เรื่องเกิดวังปารุสก์ว่า
“...ถ้าจะเสด็จไปงานใด ข้าหลวงจะต้องเอาเครื่องเพชรของท่านมาถวายทั้งหมดให้ทรงเลือก นอกจากเครื่องใหญ่จริงๆ ซึ่งไม่มีเก็บไว้ที่วังพญาไท เพราะเครื่องชุดใหญ่ๆ นั้น เก็บรักษาไว้ที่ในพระบรมมหาราชวัง ถึงกระนั้นเครื่องย่อยๆ ของท่านก็ดูคล้ายๆ กับร้านขายเครื่องเพชรร้านใหญ่ๆ ในมหานครหลวงในยุโรป ข้าหลวงต้องขนมาเป็นถาดๆ หลายๆ ถาด บางทีถาดเดียวจะมีแต่ธำมรงค์เพชรพลอยต่างๆ ตั้ง 60 วง
เจ้าจอม ม.ร.ว.แป้ม มาลากุล ได้ถวายตัวทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยหน้าที่ดูแลรักษาพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่มีความด่างพร้อยหรือข้อครหาใดๆ จนตลอดชีวิต
เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และสมเด็จเจ้านางคำฝั้น แห่งราชอาณาจักรลาว
เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และสมเด็จเจ้านางคำฝั้น แห่งราชอาณาจักรลาว
พระรูปที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ เป็นพระรูปของ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และ สมเด็จเจ้านางคำฝั้น แห่งราชอาณาจักรลาว ซึ่งได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อการศึกษา การค้นคว้า และการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกายและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อย่างถูกต้องและรอบด้าน
การสร้างสรรค์พระรูปของ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ในครั้งนี้ เป็นผลจากแรงบันดาลใจและความร่วมมือระหว่าง AI Fashion Lab และ คุณมูมู่ ชัยกร ปัณฑุรอัมพร โดยอาศัยการศึกษาข้อมูลจากพระรูปต้นฉบับ หลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ และการวิเคราะห์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ปรากฏในภาพ จากการค้นคว้าของคุณ มูมู่ เพื่อให้การบูรณะมีความถูกต้องทั้งในด้านลำดับศักดิ์ รูปแบบ สีสัน และบริบททางประวัติศาสตร์
การสร้างสรรค์ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี AI เป็นเครื่องมือทางการศึกษาและการวิจัยด้านประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งมักเป็นรายละเอียดที่ถูกมองข้ามหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนในงานสร้างสรรค์ด้วย AI
ในปัจจุบัน ยังมีผลงานจำนวนไม่น้อยที่นำเสนอภาพบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โดยปราศจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงชนิด ลำดับ และความหมายของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ประดับอยู่ในภาพต้นฉบับ ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ด้วยเหตุนี้ AI Fashion Lab จึงมุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำร่องในการสร้างสรรค์ภาพเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วยกระบวนการ AI ให้ถูกต้อง สง่างาม และมีความสมจริง พร้อมทั้งได้เผยแพร่แนวทางและกระบวนการสร้างสรรค์ภาพเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้แล้วก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สร้างสรรค์ นักวิชาการ และผู้สนใจในสาขาประวัติศาสตร์แฟชั่นและราชสำนัก
ทำไม “สมเด็จพระพันปีหลวง” พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๕ ทรงนอนตอนเช้า และทรงตื่นในเวลาค่ำ?
ทำไม “สมเด็จพระพันปีหลวง” ในรัชกาลที่ ๕ ทรงนอนตอนเช้า และทรงตื่นในเวลาค่ำ?
ทำไม “สมเด็จพระพันปีหลวง” พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๕ ทรงนอนตอนเช้า และทรงตื่นในเวลาค่ำ?
ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระฉายาลักษณ์ต้นฉบับคาดว่าฉายในช่วงต้นรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงเครื่องเต็มยศอย่างขัตติยนา
ทำไม “สมเด็จพระพันปีหลวง” พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๕ ทรงนอนตอนเช้า และทรงตื่นในเวลาค่ำ?
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หรือ “สมเด็จพระพันปีหลวง” พระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกิจวัตรที่พิเศษกว่าพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ตรงที่บรรทมตอนเช้า และทรงตื่นตอนเย็นหรือค่ำ จากนั้นก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจไปจนถึงเช้า ก่อนบรรทมตอนเช้าตรู่ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป จน “หมอสมิธ” ต้องกราบทูลถามเพื่อให้คลายความสงสัย
นายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ (Dr. Malcolm Smith) แพทย์ประจําพระองค์ สมเด็จพระพันปีหลวง เล่าถึงพระกิจวัตรของพระองค์ว่า ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับอยู่ในห้องบรรทม ณ วังพญาไท และปฏิบัติพระราชกิจส่วนพระองค์ภายในห้องนี้
เมื่อตื่นบรรทมและทรงปฏิบัติกิจส่วนพระองค์แล้ว สมเด็จพระพันปีหลวงจะทรงเริ่มด้วยการโปรดให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งเป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ประสูติแต่หม่อมแคทยา เข้าเฝ้า เพื่อทรงพูดคุยซักถามเรื่องราวต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และเรื่องอื่นๆ
จากนั้นจึงจะเป็นช่วงเวลาเสวยพระกระยาหาร ซึ่งระหว่างนั้นก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างอื่นไปด้วย เช่น โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์เข้าเฝ้า และโปรดให้ข้าราชสำนักเข้าเฝ้ากราบทูลข่าวสารประจำวัน ใครที่ยังไม่ถึงเวลาเข้าเฝ้า ก็จะรอกันอยู่ที่ท้องพระโรง วังพญาไท
หนึ่งในผู้ที่เข้าเฝ้าเป็นประจำ คือ หมอสมิธ ที่ต้องเข้าเฝ้าเพื่อสังเกตและบันทึกข้อมูลพระพลานามัย ทั้งเรื่องอาหารที่เสวย ตลอดจนเรื่องการขับถ่าย ที่ต้องบันทึกถึงพระบังคนหนักและพระบังคนเบา เพื่อนำมาวินิจฉัยพระอาการหากมีอะไรแตกต่างจากเดิม
หมอสมิธบรรยายถึงพระกระยาหารโปรดของสมเด็จพระพันปี เช่น ซุปข้น ซึ่งมีส่วนผสมของข้าวและใช้ปลาปรุงรสแทนเนื้อ (น่าจะเป็นข้าวต้มปลา) และพระกระยาหารที่พบบ่อยๆ ได้แก่ เนื้อวัวหั่นเป็นชิ้นบางๆ นำลงทอดในน้ำมันมากๆ เติมเกลือและน้ำตาลลงไปในปริมาณที่เท่ากัน ทอดจนเกรียม เสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยอย่างเดียว หรือเสิร์ฟพร้อมกับแกง
เมนูข้างต้นที่พบได้บ่อยๆ นี้ หมอสมิธเห็นว่า เป็นพระกระยาหารโปรดของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เพราะทรงใช้เวลานานมากระหว่างเสวย
เล่ากันว่า บางครั้งพระกระยาหารมื้อหลักนี้ถูกยกออกไปเมื่อเวลาตี 3 แต่ระหว่างเสวยนั้นก็ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น รับรองผู้คนที่เข้ามาเฝ้ารับฟังข่าวสารประจำวัน
“สำหรับสมเด็จพระพันปีฯ การพูดคุยดูจะเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตของพระองค์ และพระองค์ไม่เคยที่จะทรงเบื่อหน่าย หากจะทรงเศร้าพระทัยมากกว่าถ้าไม่มีใครมาพูดคุยด้วย” หมอสมิธ เล่า
พระองค์ใดหรือใครที่สามารถทูลเล่าเรื่องที่พระองค์สนพระทัย ก็อาจใช้เวลาเข้าเฝ้านานกว่าผู้อื่น ซึ่งผู้เข้าเฝ้าคนสุดท้ายจะกลับออกไปราว ๖ โมงเช้า
หลังจากนั้นจะเป็นเวลาที่สมเด็จพระพันปีหลวงทรงเตรียมพระองค์เสด็จเข้าที่บรรทม พนักงานจะชักพระวิสูตรปิดห้องพระบรรทม ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด เหลือเพียงพนักงานอ่านบทกลอนขับกล่อม ซึ่งเสียงจะค่อยๆ เงียบลง เมื่อบรรทมแล้ว
หมอสมิธเคยสงสัยว่า เหตุใดสมเด็จพระพันปีหลวงถึงทรงมีพระกิจวัตรที่แตกต่างจากผู้อื่น คำตอบของพระองค์คือ เป็นความพอพระทัยส่วนพระองค์เท่านั้น
ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2568
ท้าววรคณานันท์ คุณห้องทอง ใน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ท้าววรคณานันท์ คุณห้องทอง ใน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ท้าววรคณานันท์ เจ้าจอม ม.ร.ว.แป้ม มาลากุล เป็นธิดาในวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์
ท้าววรคณานันท์ เจ้าจอม ม.ร.ว.แป้ม มาลากุล เป็นธิดาในวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2419 มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันที่ได้เข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบต่อมาอีกหลายรัชกาล คือ ม.ร.ว.เปีย มาลากุล ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นมหาเสวกเอก เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวัง ม.ร.ว.โป๊ะ มาลากุล ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาชาติเดชยุคม และ ม.ร.ว.โป้ย มาลากุล ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระเทวาธิราช เจ้ากรมพระราชพิธี สำนักพระราชวัง
เจ้าจอม ม.ร.ว.แป้ม มาลากุล ได้เข้ารับราชการเป็นข้าราชสำนักฝ่ายใน ฉลองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสำนักสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ตั้งแต่อายุได้ 17 ปี พร้อมกับพี่น้องที่ได้เป็นเจ้าจอม คือ ม.ร.ว.ปั้ม มาลากุล ม.ร.ว.แป้ว มาลากุล และ ม.ร.ว.ปุย มาลากุล ซึ่ง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงอุปการะเลี้ยงดูและให้ความไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเจ้าจอมแห่งราชสกุลมาลากุล 4 พี่น้องนี้ล้วนแต่สืบเชื้อสายมาแต่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากุลฑลทิพยวดี ซึ่งรับราชการสนองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีในตำแหน่งกรมวังที่เป็นหลักของแผ่นดินทางด้านขนบธรรมเนียมประเพณีในพระราชสำนักที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้วางพระราชหฤทัยและถวายความเคารพยำเกรงมาโดยตลอด
เจ้าจอม ม.ร.ว.แป้ม มาลากุล ได้รับการฝึกหัดราชการในแผนกรักษาพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ จนได้เป็นผู้บัญชาการแผนกรักษาพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบรักษากุญแจห้องเก็บพระราชทรัพย์ อันประกอบด้วยเครื่องเพชรทอง เครื่องประดับอันล้ำค่าต่างๆ จนคนทั้งหลายเรียกขานนามว่า “คุณห้องทอง”
เป็นที่กล่าวกันว่า สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ หรือที่รู้จักกันดีในที่สมเด็จพระพันปีหลวงด้วยทรงเป็นพระราชมารดา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชั้นเอกหลายพระองค์ นอกจากเครื่องประดับอันมีค่าแบบโบราณที่พระองค์เคยทรงมา นับตั้งแต่ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกเธอ ในสมัยรัชกาลที่ 4 แล้วยังมีบรรดาเครื่องทรงและเครื่องประดับต่างๆ ในพระราชพิธีโสกันต์ ซึ่งเป็นของพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ อันประกอบด้วยพระเกี้ยว เมาฬี ปิ่น พาหุรัด ทองพระกร ข้อพระหัตถ์และพระบาท ปะวะหล่ำ กำไล แหวนรอบ จี้ สร้อย สังวาล สะอิ้ง ปั้นเหน่ง สายรัดพระองค์ พระธำมรงค์สายทองฝังเพชรลูก เพชรซีก ทับทิม มรกต และนพเก้า อันเป็นเครื่องทรงที่สามารถแต่งเครื่องทรงพระราชกุมารพระราชกุมารี ได้พร้อมๆ กัน นับจำนวนได้เท่ากับพระราชโอรสพระราชธิดาของพระองค์หมดทุกพระองค์เลยทีเดียว
“ปริศนา” และต้นแบบที่มีตัวตนจริง
“ปริศนา” และต้นแบบที่มีตัวตนจริง
คุณวาสนา กระแสสินธุ์ หญิงสาวชาวหัวหินในโลกวรรณกรรมของ ว. ณ ประมวญมารค
ในบรรดานวนิยายคลาสสิกของไทยช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ปริศนา นับเป็นผลงานที่ครองใจนักอ่านมาอย่างยาวนาน ทั้งในรูปแบบหนังสือ ละครโทรทัศน์ และการตีความซ้ำในบริบทสังคมไทยยุคใหม่ นวนิยายเรื่องนี้ประพันธ์โดย ว. ณ ประมวญมารค นามปากกาของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต และได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ เดลิเมล์ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ โดยมีฉากหลังอยู่ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๘ ถึงต้นรัชกาลที่ ๙
ปริศนา ยังเป็นส่วนหนึ่งของนวนิยายไตรภาค ซึ่งประกอบด้วย เจ้าสาวของอานนท์ และ รัตนาวดี ผลงานทั้งสามเรื่องสะท้อนโลกของชนชั้นนำ สตรีสมัยใหม่ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมไทยยุคเปลี่ยนผ่านได้อย่างประณีต
สิ่งที่นักอ่านจำนวนมากอาจไม่เคยทราบมาก่อน คือ “ปริศนา” มิได้เป็นเพียงตัวละครในจินตนาการ หากมีต้นแบบที่เป็นบุคคลจริง นั่นคือ คุณวาสนา กระแสสินธุ์ หญิงสาวซึ่งมีเชื้อสายจากชาวหัวหินดั้งเดิม
ภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานสำคัญคือภาพของคุณวาสนา กระแสสินธุ์ (ซ้ายสุด) ถ่ายร่วมกับบิดาและมารดา ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในช่วงเวลาที่ ขุนพิพิธวิรัชชการ (วงศ์ กระแสสินธุ์) บิดาของเธอ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโคเปนเฮเกน
ขุนพิพิธวิรัชชการเป็นบุตรของ นายวอน กระแสสินธุ์ ชาวหัวหินดั้งเดิม ส่วนมารดาคือ คุณลำจวน นามสกุลเดิม อยู่อำไพ ชาวศรีราชา
ในช่วงเวลาดังกล่าว พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ได้เสด็จไปพบครอบครัวนี้ด้วยพระองค์เอง และทรงขอให้คุณวาสนา กระแสสินธุ์ เป็นแบบภาพถ่ายสำหรับใช้เป็น “ภาพสมมุติของปริศนา” ในการจัดพิมพ์นวนิยายเป็นเล่มครั้งแรก
พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิตทรงเล่าไว้ในคำนำหนังสือ ปริศนา ฉบับพิมพ์เล่มว่า
“รูปที่สมมุติว่าเป็นรูปปริศนาในหนังสือเล่มนี้
ข้าพเจ้าได้เชิญเสด็จหม่อมเจ้ายาใจ จิตรพงศ์
และหม่อมเจ้าถกลไกวัล รพีพัฒน์
มาถ่ายคุณวาสนา กระแสสินธุ์
เพราะว่าคุณวาสนาเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าเห็นว่า
มีลักยิ้มและหน้าตา รูปร่าง คล้ายคลึงกับ ‘ปริศนา’
ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเรื่องนี้
ข้าพเจ้าขอบพระทัยท่านทั้ง ๒ และคุณวาสนาไว้ ณ ที่นี้ด้วย”
ลงพระนาม
ว. ณ ประมวญมารค
๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๕
นามปากกา ว. ณ ประมวญมารค มาจากพระนามเดิม หม่อมเจ้าวิภาวดี รัชนี และที่ประทับเดิมซึ่งตั้งอยู่บนถนนประมวญ จึงทรงเลือกใช้คำว่า “วิภาวดี ณ ถนนประมวญ” เป็นที่มาของนามปากกาอันเป็นที่รู้จักในวงการวรรณกรรมไทย
การที่ต้นแบบของ ปริศนา คือหญิงสาวลูกหลานชาวหัวหิน มิใช่สตรีชั้นสูงในราชสำนักโดยตรง หากแต่เป็นผู้ที่ก้าวข้ามพรมแดนภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมไปสู่เวทียุโรป สะท้อนภาพของ “สตรีสมัยใหม่” ตามอุดมคติของผู้ประพันธ์ได้อย่างชัดเจน และยิ่งทำให้นวนิยายเรื่องนี้มีมิติทางประวัติศาสตร์และสังคมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เรื่องราวของ คุณวาสนา กระแสสินธุ์ จึงมิใช่เพียงเกร็ดเบื้องหลังวรรณกรรม หากเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์เล็ก ๆ ที่เชื่อมโยงโลกของวรรณศิลป์ ชนชั้นนำ และชุมชนท้องถิ่นอย่างหัวหิน เข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม
“เสียมกุก” ชาวสยามจากแอ่งสกลนคร ศูนย์กลางที่ “เวียงจันทน์”
“เสียมกุก” ชาวสยามจากแอ่งสกลนคร ศูนย์กลางที่ “เวียงจันทน์”
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ “เสียมกุก” คือชาวสยามที่ปรากฏอยู่บนภาพสลักระเบียงประวัติศาสตร์ หรือระเบียงคดของปราสาทนครวัด
“เสียมกุก” คือชาวสยามที่ปรากฏอยู่บนภาพสลักระเบียงประวัติศาสตร์ หรือระเบียงคดของปราสาทนครวัด เป็นข้อความว่า “เนะ สยำ กุก” อันแปลความได้ว่า “นี่(ไง) พวกสยาม” เพราะ “สยำ” คือเสียมหรือสยาม ส่วน “กุก” สันนิษฐานว่ารับอิทธิพลจากภาษาจีน คือ “ก๊ก” หมายถึง พวก หมู่ เหล่า ชาว ฯลฯ
ภาพสลัก “เสียมกุก” โด่งดังอย่างมากในแวดวงนักวิชาการประวัติศาสตร์และผู้สนใจทั้งหลาย ในฐานะหลักฐานการมีอยู่ของชนชาติสยาม บนโบราณสถานอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเขมรโบราณ ณ เมืองพระนคร (นครวัด) หรือพระบรมวิษณุโลก
หากว่ากันด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ ภาพสลัก เสียมกุก คือสัญลักษณ์ขบวนเกียรติยศของกลุ่มเครือญาติ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ระหว่างพิธีกรรมสำคัญบางอย่าง ซึ่งอาจเป็นพิธีบรมราชาภิเษก หรือพิธีสถาปนาเป็นพระวิษณุสถิตบรมวิษณุโลก เท่ากับว่า “ชาวเสียม” หรือชาวสยาม ย่อมต้องเป็นเครือญาติใกล้ชิดของกษัตริย์เขมรโบราณพระองค์นี้ เช่นเดียวกับขบวนทัพของพวกละโว้ และพิมาย ที่ปรากฏเป็นขบวนพยุหยาตราเรียงรายอยู่บนระเบียงคดด้วยเช่นกัน ซึ่งดินแดนเหล่านี้ล้วนเป็นเครือญาติกับกษัตริย์เขมรแห่งเมืองพระนครทั้งสิ้น
สุจิตต์ วงษ์เทศ อธิบายว่า “สยาม มีรากจากคำพื้นเมืองบริเวณลุ่มน้ำสาละวิน-ลุ่มน้ำโขง ว่า ซำ หรือ ซัม หมายถึง พื้นที่มีน้ำพุ หรือน้ำผุดจากใต้ดิน ซึ่งบางท้องถิ่นเรียกน้ำซับน้ำซึม ครั้นนานปี (หรือนานเข้า) น้ำเหล่านั้นไหลนองเป็นหนองหรือบึงขนาดน้อยใหญ่ กลายเป็นแหล่งปลูกข้าว ในที่สุดทำนาทดน้ำ ผลิตข้าวได้มากไว้เลี้ยงคนจำนวนมาก ทำให้ชุมชนหมู่บ้านเริ่มแรกเมื่อติดต่อชุมชนห่างไกลก็เติบโตเป็นเมือง, รัฐ, อาณาจักร”
“สยาม เป็นชื่อดินแดน ที่คนพวกอื่นซึ่งอยู่ภายนอกใช้เรียกบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำโขงตอนบนอย่างกว้าง ๆ หลวม ๆ … สยามไม่ใช่ชื่อชาติพันธุ์หนึ่งใดโดยเฉพาะ แต่ใช้เรียกกลุ่มคนที่อยู่ดินแดนสยามว่า ‘ชาวสยาม’ โดยไม่จำกัดชาติพันธุ์หรือชาติภาษา แต่มักสื่อสารกันทั่วไปด้วยตระกูลภาษาไทย-ลาว ซึ่งเป็นภาษากลางทางการค้าภายในสมัยโบราณ”
แม้ความเชื่อที่ว่า เสียมกุก คือชาวสยามและบรรพบุรุษสาขาหนึ่งของคนไทยนั้นค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ แต่คำอธิบายเชิงว่าด้วย “ตัวตน” ที่แท้จริงของพวกเขาว่าเป็นคนกลุ่มไหน หลักแหล่งแห่งที่คือบริเวณใดของประเทศไทย หรืออุษาคเนย์ ประเด็นนี้ยังถูกย่อยออกเป็นหลายทิศทาง
นักวิชาการตะวันตกเชื่อว่าเสียมกุกคือกองทัพสยามจากรัฐสุโขทัย ส่วน จิตร ภูมิศักดิ์ เสนอว่า เป็นชาวสยามแห่งลุ่มน้ำกก บริเวณจังหวัดเชียงราย ขณะที่เอกสารจีนเองเรียกผู้คนในแคว้นสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ว่าพวก “เสียน” หรือ “เสียม” เช่นกัน อย่างไรก็ตาม มีความไม่สอดคล้องบางประการในแนวคิดเหล่านี้ เพราะกลางพุทธศตวรรษที่ 17 หรือช่วงเวลาที่เกิดภาพสลัก “เสียมกุก” บนระเบียงประวัติศาสตร์นั้น ทั้งสุโขทัย ดินแดนลุ่มน้ำกก และแคว้นสุพรรณภูมิ ยังไม่ใช่บ้านเมืองใหญ่โตหรือรัฐขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรัฐสุโขทัย ซึ่งเพิ่งมาสถาปนาหลังจากนั้นเกือบ 100 ปี
เสียมกุก ชาวสยามจากลุ่มน้ำโขง
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ หรือ สมเด็จพระประสาท หรือ สมเด็จพระประสาสน์ นามเดิม ช่วง (23 ธันวาคม พ.ศ. 2351 – 19 มกราคม พ.ศ. 2426) เป็นขุนนางชาวสยาม ผู้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในภาพนี้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ประดับด้วย เครื่องอิศริยาภรณ์ ต่อไปนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ดารานพรัตน แบบแรก สมัย รัชกาลที่ ๔ เป็นรูปดารา 8 แฉก ทำด้วยเงินจำหลักเป็นเพชรสร่ง กลางเป็นดอกประจำยามฝังพลอย 8 อย่าง ใจกลางเป็นเพชรเหมือนมหานพรัตน ใช้ประดับที่อกเสื้อด้านซ้าย
ตราสุริยมณฑล ซึ่งมีลักษณะเป็นตราเทพบุตรชักรถ ตราสุริยมณฑลนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานให้แก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั่วพระราชอาณาจักร ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้พระราชทานตราสุริยมณฑลให้แก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ดังนั้น ท่านจึงใช้ตราสุริยมณฑลเป็นตราประจำตัวตั้งแต่นั้นมา โดยท่านจะใช้ตรานี้ประทับกำกับไว้ที่หนังสือราชการ สิ่งของเครื่องใช้ หรือสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านสร้างไว้
เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นเชอวาลิเยร์ แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส สมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ (Legion of Honour, Chevalier Class – Second French Empire, Napoleon III ระหว่าง ค.ศ. 1852–1870) เหรียญเป็นรูปสมเด็จจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ และมีอักษรว่า “NAPOLEON EMPEREUR DES FRANÇAIS”
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ฟรันซ์ โยเซฟ แห่งจักรวรรดิออสเตรีย–ฮังการี (Order of Franz Joseph) เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิออสเตรีย–ฮังการี สถาปนาโดยจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ ๑ เมื่อปี ค.ศ. 1849
5. เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอปอลด์ แห่งราชอาณาจักรเบลเยียม (Order of Leopold, Belgium) เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่เก่าแก่และสูงสุดของประเทศเบลเยียม ตั้งชื่อตามพระนามของพระมหากษัตริย์ผู้สถาปนา คือ พระเจ้าเลโอปอลด์ที่ ๑ แบ่งออกเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายทหาร ฝ่ายพาณิชยนาวี และฝ่ายพลเรือน โดยฝ่ายพาณิชยนาวีมอบให้แก่บุคลากรในกองเรือพาณิชย์ และฝ่ายทหารมอบให้แก่กำลังพลทหาร เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้สถาปนาเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ค.ศ. 1832 และพระราชทานโดยพระบรมราชโองการ
มหามกุฏราชสันตติวงศ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส
มหามกุฏราชสันตติวงศ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส
พระราชโอรสพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้านภวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย (ธิดาพระอินทอำไพ หรือพระอินทรอภัย คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าทัศไภย พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ) ประสูติเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๓๖๕ (นับแบบปัจจุบันตรงกับปีพุทธศักราช ๒๓๖๖)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระองค์เป็นพระราชโอรสหนึ่งในสองพระองค์ที่ประสูตินอกเศวตฉัตร (อีกพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร) แรกประสูติมีพระยศที่หม่อมเจ้านพวงศ์
ในรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านภวงศ์ วรองค์อรรคมหามกุฎ ปรมุตมราโชรส ภายหลังทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิวลาส ได้ทรงกำกับกรมล้อมพระราชวัง และเมื่อกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธรสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงกำกับกรมพระคลังมหาสมบัติ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ สิริพระชันษา ๔๖ ปี พระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เป็นต้นราชสกุล นพวงศ์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ทรงมีพระนัดดาที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้กับสังคมไทย คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ ชื่น นพวงศ์)
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ถ่ายโดย จอห์น ทอมสัน
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ถ่ายโดย จอห์น ทอมสัน
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงพระเยาว์ ถ่ายโดย จอห์น ทอมสัน ในปี ค.ศ. 1865 (พ.ศ. 2408) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระยศ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ภาพนี้ถ่ายก่อนพระราชพิธีโสกันต์ เพียงไม่กี่วัน
จอห์น ทอมสัน (John Thomson): ช่างภาพผู้บุกเบิกแห่งตะวันออกไกล
จอห์น ทอมสัน (อังกฤษ: John Thomson; 14 มิถุนายน ค.ศ. 1837 – 29 กันยายน ค.ศ. 1921 / ตรงกับ พ.ศ. 2380 – พ.ศ. 2464) เป็นช่างภาพและนักภูมิศาสตร์ชาวสกอต ผู้เป็นหนึ่งในช่างภาพตะวันตกยุคแรกที่เดินทางไปบันทึกภาพในภูมิภาคตะวันออกไกล ด้วยความหลงใหลในวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถาปัตยกรรมของเอเชีย ผลงานของเขาถือเป็นสะพานเชื่อมโลกตะวันตกกับภูมิภาคตะวันออก ช่วยให้ชาวตะวันตกได้สัมผัสความงดงามและเอกลักษณ์ของเอเชียในศตวรรษที่ 19
การเดินทางและการบุกเบิกในเอเชีย
ทอมสันเริ่มต้นการเดินทางในเดือนเมษายน ค.ศ. 1862 (พ.ศ. 2405) โดยมุ่งหน้าสู่สิงคโปร์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สิงคโปร์ เขาเปิดร้านถ่ายภาพให้บริการแก่ชนชั้นสูง นักธุรกิจ และชาวต่างชาติ พร้อมทั้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการถ่ายภาพและสร้างชื่อเสียงในฐานะช่างภาพฝีมือเยี่ยม
ในปี ค.ศ. 1865 (พ.ศ. 2408) ทอมสันเดินทางเข้าสู่สยาม โดยถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 28 กันยายน ระหว่างพำนักในกรุงเทพฯ เขาได้รับโอกาสพิเศษเข้าเฝ้าพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางระดับสูง รวมถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ผู้ทรงสนพระทัยในวิทยาการสมัยใหม่จากตะวันตก ทอมสันได้บันทึกภาพเหตุการณ์สำคัญในราชสำนัก เช่น พระราชพิธีโสกันต์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์เมื่อทรงพระเยาว์ พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน และพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 4 ในหลากหลายพระอิริยาบถ
การถ่ายทอดวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม
นอกจากการถ่ายภาพบุคคลและพิธีสำคัญแล้ว ทอมสันยังสนใจบันทึกภาพสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทย เช่น วัดวาอารามและสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ ผลงานของเขาแสดงถึงความละเอียดและความงดงามของศิลปกรรมในยุคปลายรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394–2411) ทั้งยังสร้างความประทับใจแก่ชาวสยามในยุคนั้น และต่อยอดเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวตะวันตกที่ได้ชมภาพถ่ายในภายหลัง
การสร้างสรรค์ภาพแบบเหมือนจริงในปัจจุบัน
การผสมผสานเทคโนโลยี AI กับภาพถ่ายประวัติศาสตร์นี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความสามารถในการเชื่อมโยงอดีตเข้ากับโลกปัจจุบัน แต่ยังช่วยอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ให้ยืนยาว และคงคุณค่าทางศิลปะและความทรงจำในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ
พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล)
อัครราชทูตสยามผู้มีอำนาจเต็มประจำราชสำนักเซนต์เจมส์ ประเทศอังกฤษ
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๐–๒๔๔๒ (ค.ศ. ๑๘๙๗–๑๘๙๙)
พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์แต่งกายด้วย เครื่องแบบเต็มยศสักหลาดสีดำ สำหรับราชสำนักสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) ลวดลายการปักดิ้นทองบนฉลองพระองค์มีลักษณะใกล้เคียงกับเครื่องแบบของ คณะองคมนตรีอังกฤษ (Privy Council) สะท้อนสถานะของผู้แทนสยามในระดับการทูตสูงสุดในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙
เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญตราที่ประดับ
ที่อกขวา ประดับ เหรียญรัชฏาภิเษกสมโภช และ เหรียญดุษฏีมาลา เข็มศิลปวิทยา อันเป็นเหรียญสำคัญของสยามในรัชกาลที่ ๕
ที่ลำคอ ประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ ๒ (จุลวราภรณ์)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ (ฝั่งซ้าย บน จากซ้าย)
ประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎปรัสเซีย
(Order of the Crown – Prussia) ชั้นที่ ๓ประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ
(Order of Franz Joseph – Austria-Hungary) ชั้นที่ ๕ - Knightประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย
(ญี่ปุ่น: 旭日章 – Kyokujitsu-shō / อังกฤษ: Order of the Rising Sun) ชั้นที่ ๕ประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ
(Den Kongelige Norske Sankt Olavs Orden – นอร์เวย์) ชั้นที่ ๓ - Commanderประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์แดนเนอโบร
(Order of the Dannebrog – เดนมาร์ก) ชั้นที่ ๓ - Commander 1st Classประดับ เครื่องอิสริยาภรณ์วิชาการการศึกษา
(Ordre des Palmes académiques – ฝรั่งเศส) ชั้นที่ ๒ - Officier
เครื่องราชอิสริยาภรณ์สยาม (ฝั่งซ้าย ล่าง)
ประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎไทย ชั้นที่ ๒ (จุลสุราภรณ์)
รายละเอียดเครื่องแบบ
กระดุมเสื้อเป็น กระดุมตราแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งใช้เฉพาะกับเครื่องแบบเต็มยศของข้าราชการสยามประจำต่างประเทศ ตั้งแต่ชั้นอัครราชทูตลงมาจนถึงผู้ช่วยราชการ โดยเป็นกระดุมที่นำเข้าจากประเทศอังกฤษ
เครื่องแบบดังกล่าวเป็นงานตัดจากห้องเสื้อ Meyer & Mortimer ซึ่งเป็นสำนักตัดเย็บเก่าแก่ที่ได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักอังกฤษอย่างต่อเนื่องยาวนาน
เครื่องแบบเต็มยศในลักษณะนี้ ยุติการใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่รัชกาลที่ ๗ เป็นต้นมา สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของระบบราชการและการทูตของสยามเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
🙏 ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจ “โคตรทหาร”
พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ศุข ดิษยบุตร์) และคุณหญิงน้อม ศรีสุริยราชวรานุวัตร
พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ศุข ดิษยบุตร์) และคุณหญิงน้อม ศรีสุริยราชวรานุวัตร
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ศุข ดิษยบุตร์) สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลอุดร และ คุณหญิงน้อม ศรีสุริยราชวรานุวัตร ผู้เป็นภริยา ซึ่งทั้งสองนับเป็นบุคคลสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์จังหวัดอุดรธานี
พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ศุข ดิษยบุตร์) ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลอุดรคนที่ ๒ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๗–๒๔๖๕ สืบตำแหน่งต่อจากพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ์ เนติโพธิ์) ซึ่งถึงแก่อนิจกรรมไปก่อนหน้า ส่วนคุณหญิงน้อม ศรีสุริยราชวรานุวัตร เป็นเอกภริยาของท่าน ทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการพัฒนามณฑลอุดรให้เจริญรุ่งเรืองในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา
คุณหญิงน้อม ศรีสุริยราชวรานุวัตร เล็งเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษาสำหรับกุลธิดาในมณฑลอุดร จึงได้ก่อตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงขึ้นภายในเขตจวนสมุหเทศาภิบาล ใช้ชื่อว่า “โรงเรียนอุปถัมภ์นารี” และเริ่มเปิดทำการสอนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ โดยมีคุณหญิงน้อมเป็นผู้อุปการะดูแลโรงเรียนอย่างใกล้ชิด
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ เมื่อ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ ๖ เสด็จสวรรคต คุณหญิงน้อมได้ออกแจ้งความเชิญชวนข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนในมณฑลอุดร ร่วมกันบริจาคทรัพย์ตามกำลังศรัทธา เพื่อก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่สำหรับโรงเรียนสตรี เนื่องจากอาคารเดิมมีพื้นที่คับแคบลง ทั้งยังเป็นการน้อมเกล้าฯ อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพันปีหลวง เพื่อสนองพระราชดำริที่ทรงมีพระราชปณิธานจะทรงสร้างโรงเรียนสตรีในมณฑลอุดร แต่ยังมิทันได้ดำเนินการก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน
ในเวลาต่อมา โรงเรียนแห่งใหม่นี้ได้รับพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ว่า “ราชินูทิศ” ซึ่งมีความหมายว่า อุทิศแด่พระราชินี
ในด้านเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ศุข ดิษยบุตร์) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงหลายตระกูล ได้แก่
๑. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ ๒ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.) ฝ่ายหน้า
๒. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ ๑ ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) ฝ่ายหน้า
๓. เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๒ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) ฝ่ายหน้า
ส่วนคุณหญิงน้อม ศรีสุริยราชวรานุวัตร ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๓ ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) ฝ่ายใน
สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษในภาพนี้ คือ การแต่งกายของคุณหญิงน้อม ศรีสุริยราชวรานุวัตร ซึ่งสะท้อนแฟชั่นสตรีในสมัยรัชกาลที่ ๖ ช่วง Late Teens Fashion หรือแฟชั่นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ราว ค.ศ. ๑๙๑๖–๑๙๑๙) อย่างชัดเจน เป็นการผสมผสานระหว่างโครงสร้างการตัดเย็บแบบตะวันตกกับการใช้ผ้าไทย กล่าวคือ ใช้รูปแบบกระโปรงตะวันตกแทนการนุ่งโจงกระเบนหรือผ้าซิ่นแบบล้านนา โดยกระโปรงในช่วงเวลานี้มีความยาวไม่กรอมเท้า หากยกสูงขึ้นมาประมาณกลางน่อง ซึ่งถือเป็นช่วงรอยต่อสำคัญ ก่อนที่ความยาวกระโปรงจะพัฒนาไปสู่ระดับใต้เข่า และนำไปสู่แฟชั่นยุค Art Deco ในทศวรรษ ๑๙๒๐ ต่อไป
การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยแสดงให้เห็นการจัดเตรียม พระเมรุมาศทรงบุษบก ณ ท้องสนามหลวง
การจัดเตรียม พระเมรุมาศทรงบุษบก ร.๕ ณ ท้องสนามหลวง
การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยแสดงให้เห็นการจัดเตรียม พระเมรุมาศทรงบุษบก ณ ท้องสนามหลวง
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพบันทึกเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์สยาม ว่าด้วย การเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยแสดงให้เห็นการจัดเตรียม พระเมรุมาศทรงบุษบก ณ ท้องสนามหลวง
ภาพต้นฉบับถ่ายโดย ศาสตราจารย์ ดร. เคิร์ต เบเยอร์ (Professor Dr. Kurt Beyer) วิศวกรโยธาชาวเยอรมัน ซึ่งเข้ามาทำงานในสยามในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อเนื่องถึงต้นรัชกาลที่ ๖ และเป็นเจ้าของผลงานภาพถ่ายชุดสำคัญที่เก็บรักษาอยู่ ณ Deutsche Fotothek
ภาพถ่ายชุดนี้ ผมได้ค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณ ๑๐ ปีก่อน ในระหว่างการทำวิจัยและรวบรวมเอกสารประกอบการศึกษาในระดับ ปริญญาเอก (PhD) ซึ่งในขณะนั้น ภาพถ่ายต้นฉบับของเคิร์ต เบเยอร์ ยังคงอยู่ในสภาพขาวดำ และมีข้อจำกัดทั้งด้านรายละเอียดเชิงสถาปัตยกรรมที่ไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้ครบถ้วน
ต่อมา เมื่อเทคโนโลยีด้านการบูรณะภาพและการสร้างสรรค์ภาพด้วย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ผมจึงมีโอกาสนำภาพถ่ายประวัติศาสตร์ชุดนี้กลับมาศึกษา วิเคราะห์ และบูรณะขึ้นมาใหม่ โดยตั้งใจรักษาองค์ประกอบดั้งเดิมของภาพต้นฉบับไว้ให้มากที่สุด ทั้งในด้านสัดส่วน รายละเอียดทางสถาปัตยกรรม และบรรยากาศของช่วงเวลานั้น
การบูรณะภาพชุดนี้มิได้มีเจตนาเพื่อดัดแปลงหรือแทนที่ภาพถ่ายต้นฉบับ หากแต่เป็นความพยายามในการ เปิดมิติการมองเห็นใหม่ ให้แก่ภาพประวัติศาสตร์ เพื่อช่วยให้ผู้สนใจสามารถเข้าใจรายละเอียดของพระราชพิธี สถาปัตยกรรม และบริบทของสยามในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงใคร่ขอแบ่งปันภาพที่ผ่านการบูรณะและภาพต้นฉบับควบคู่กัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า และการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์สยามในเชิงลึกต่อไป
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ชุดสูท แบบคลาสสิค 1930s
สูทบุรุษในทศวรรษ 1930s: รูปทรง อำนาจ และต้นแบบของความคลาสสิก
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ชุดสูท แบบคลาสสิค 1930s
ทศวรรษที่ 1930 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์แฟชั่นบุรุษตะวันตก เพราะเป็นยุคที่ “สูทสมัยใหม่” ได้รับการตกผลึกอย่างแท้จริง ทั้งในเชิงรูปทรง หน้าที่ และความหมายทางสังคม สูทในยุคนี้มิได้เป็นเพียงเครื่องแต่งกาย หากแต่เป็นภาษาทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอำนาจ ความสุภาพ และเสถียรภาพ ท่ามกลางโลกที่กำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ
สูทที่ปรากฏในภาพถ่ายเหล่านี้เป็นตัวอย่างอันชัดเจนของสูทแบบทศวรรษ 1930 อย่างแท้จริง รูปทรงโดยรวมมีความสมดุล สง่างาม และสุขุม — ไหล่กว้างอย่างเป็นธรรมชาติ เอวคอดเล็กน้อยโดยไม่รัดตัวจนเกินไป และกางเกงที่ทิ้งตัวอย่างมีน้ำหนัก แตกต่างจากความรัดตัวของยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน หรือความผ่อนคลายเกินไปของทศวรรษ 1920
โครงสร้างของสูท 1930s: สถาปัตยกรรมแห่งการแต่งกาย
หัวใจของสูทยุคนี้อยู่ที่เสื้อแจ็กเก็ต ซึ่งถูกออกแบบอย่างประณีตในเชิงโครงสร้าง,ไหล่เสริมฟองน้ำเพียงเล็กน้อย เพื่อให้รูปทรงมั่นคงแต่ไม่แข็งกระด้าง, ความยาวเสื้อค่อนข้างยาว ช่วยยืดลำตัวให้ดูสง่า, เอวเข้ารูปอย่างนุ่มนวล ผ่านการตัดเย็บและการเก็บทรง มิใช่การรัดตัว, เมื่อสวมใส่แล้ว สูทจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ทางกายภาพของผู้สวมใส่ ภาพรวมจึงให้ความรู้สึกมั่นคง สุภาพ และน่าเชื่อถือ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้สูทลักษณะนี้กลายเป็นต้นแบบของสูททำงาน สูทนักการทูต และสูทของผู้นำมาจนถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘
พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องราชภูษิตาภรณ์และฉลองพระองค์ครุย ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ทรงพระมหามาลาเส้าสูง ทรงถือพระแสงฝักทองเกลี้ยงทรงญี่ปุ่น ฉายคราวประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
ฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๗
“ฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์” ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นสีเขียว สีตามกำลังวันพระบรมราชสมภพ คือวันพุธ ทรงฉลองพระองค์ครุยริ้วทองพื้น ทรงสวมสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ ประดับจักรีดารา ทรงพระภูษายกทอง พระสนับเพลาเชิงงอน รัดพระองค์สายทองพระปั้นเหน่งมรกตล้อมเพชร ถุงพระบาท และ ฉลองพระบาท
ฉลองพระองค์บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ เป็นฉลองพระองค์สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีเสด็จเลียบพระนคร และพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน
เดิมฉลองพระองค์สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแต่ครั้งสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ออกนามแต่เพียงว่า
“ฉลองพระองค์เครื่องต้นอย่างบรมราชาภิเษก”
ถึงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงปรากฏในหมายกำหนดการออกนามฉลองพระองค์สำรับนี้เป็นครั้งแรกว่า
“เครื่องพระราชภูษิตาภรณ์อย่างวันบรมราชาภิเษก”
เมื่อเสด็จเลียบพระนคร
และเปลี่ยนเป็นใช้ว่า
“เครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์” [เคฺรื่อง-บอ-รม-มะ-ราด-ชะ-พู-สิ-ตา-พอน]
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายผ้าพระกฐิน
ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อทรงฉลองพระองค์สำรับนี้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ออกนามว่า
“ฉลองพระองค์บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์”
สิ่งที่น่าสนใจในพระบรมฉายาลักษณ์
๑. พระมาลาเส้าสูง
พระมาลาเส้าสูง “มาลา” เป็นศัพท์ที่เนื่องมาจากการนำดอกไม้มาประดับศีรษะ ภายหลังมีการประดิษฐ์โลหะมีค่าเป็นรูปดอกไม้ จึงเรียกเครื่องประดับศีรษะรวม ๆ ว่า มาลา มีทั้งชนิดมีปีกและไม่มีปีก
พระมาลาหรือหมวกมีทั้งทำด้วยผ้า หนังสัตว์ พระมาลาที่แสดงยศศักดิ์และเป็นเครื่องราชูปโภค เป็นชนิดมีปีก พระมาลาที่เคยทรงใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้แก่ พระมาลาเส้าสูง และพระมาลาเบี่ยง
พระมาลาเส้าสูง เป็นพระมาลาที่พับปีกขึ้นไว้ด้านข้าง มีสายทองกระหวัดรัดไว้ให้คงรูป ทรงสูงทำด้วยสักหลาด รอบองค์ประดับเกี้ยวทองคำลงยาฝังเพชร มีเกี้ยวยอด ด้านข้างมีขนนกการะวเก หรือพระยี่ก่าประดับ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
๒. พระปั้นเหน่งมรกตล้อมเพชร ในสมเด็จพระพันปีหลวง
พระปั้นเหน่งมรกตล้อมเพชร เป็นพระราชมรดกตกทอดสืบมาในพระราชวงศ์จักรี ใช้เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ ๗
ปั้นเหน่ง หรือหัวเข็มขัด ประดับด้วยมรกตโคลัมเบีย ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านสีเขียวสดใสและความบริสุทธิ์ ถือเป็นอัญมณีที่มีมูลค่าสูง ตัวเส้นเข็มขัดทำจากทองคำแท้ทั้งเส้น
๓. พระแสงฝักทองเกลี้ยงทรงญี่ปุ่น
พระแสงองค์นี้เป็นดาบไทยทรงญี่ปุ่น ฝักและด้ามทำด้วยทองคำประดับเพชร เป็นฝีพระหัตถ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตีขึ้นที่ชานชาลาพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯ ฟากตะวันออก เมื่อแรกสร้างทรงใช้เป็นพระแสงคู่พระหัตถ์อยู่ระยะหนึ่ง
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงอิศเรศสุนทรเสด็จขึ้นอุปราชาภิเษกเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล นอกจากจะได้พระราชทานเครื่องอิสริยยศอย่างอื่นตามโบราณราชประเพณีแล้ว ยังได้พระราชทานพระแสงองค์นี้ด้วย
ในรัชกาลต่อมา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงองค์นี้แด่สมเด็จพระบรมราชโอรส สืบทอดกันต่อ ๆ มา ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทวาวงศ์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
พระแสงองค์นี้เมื่อแรกสร้างในรัชกาลที่ ๑ เป็นฝักไม้ทารักดำ ครั้นเมื่อจะพระราชทานสมเด็จพระบรมราชโอรส ก็จะขูดรักดำทารักแดง แล้วจะกลับขูดรักแดงทารักดำอีก เมื่อสมเด็จพระบรมราชโอรสพระองค์นั้นขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว
ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนพินิตประชานาถ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าพระแสงองค์นี้เป็นพระแสงฝีพระหัตถ์สมเด็จพระปฐมบรมราชวงศ์ เป็นพระแสงสำคัญสำหรับพระบรมราชจักรีวงศ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หุ้มฝักด้วยทองคำ และพระราชทานนามว่า
“พระแสงฝักทองเกลี้ยง”
และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระแสงสำหรับแผ่นดิน และเป็นพระแสงองค์สำคัญเนื่องในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกองค์หนึ่ง
อ้างอิง
คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี. พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรวงศ์กับประชาชน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์, ๒๕๒๕.
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี. พระแสงราชศัสตราประจำเมือง. กรุงเทพฯ: บริษัท เกรท โปร กราฟฟิค จำกัด, ๒๕๓๙.