๒๖ สิงหา ไหว้สาบาทเจ้า วันคล้ายวันประสูติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี
๒๖ สิงหา ไหว้สาบาทเจ้า วันคล้ายวันประสูติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี พระธิดาในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ ๗ ประสูติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ ทรงเป็นพระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเป็นสตรีผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและสยาม
พระองค์ทรงทำนุบำรุงศิลปะการฟ้อนรำ ดนตรี การแต่งกาย และภูมิปัญญาพื้นบ้านให้คงอยู่คู่แผ่นดินล้านนาอย่างงดงาม จนได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า “เจ้าหญิงผู้สร้างสรรค์แห่งล้านนา” ชาวเชียงใหม่และชาวไทยต่างน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ด้วยความสำนึกในคุณูปการอันใหญ่หลวง
___________________
การรังสรรค์พระรูปพระราชชายา เจ้าดารารัศมีด้วยเทคโนโลยี AI: การศึกษาเครื่องแต่งกายทางประวัติศาสตร์ ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก ตีนจกล้านนา และพลวัตทางการเมืองระหว่างสยาม ล้านนา และพม่า (บทความที่ 3/3)
เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่น โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายและสิ่งทอแห่งราชสำนักในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผมได้ดำเนินโครงการนี้โดยเน้นถึง การผสมผสานระหว่างผ้าลุนตยา อะฉิก แห่งพม่า กับตีนจกยกดิ้นของล้านนา ซึ่งมีความสำคัญทั้งในแง่ของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ทางการเมือง โครงการนี้มุ่งหวังที่จะ สร้างประวัติศาสตร์นิพนธ์ใหม่ โดยใช้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยฟื้นคืนภาพลักษณ์ของเครื่องแต่งกายในยุคนั้นที่มีหลักฐานทางภาพถ่ายและเอกสารจำกัด
การศึกษานี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ซึ่งทรงเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยสืบทอดและปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของล้านนาให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและการเมือง พระองค์ทรงผสมผสาน ผ้าลุนตยา อะฉิก ของพม่ากับ ตีนจกยกดิ้น อันเป็นเอกลักษณ์ของล้านนา ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นความสวยงามและความชอบส่วนพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็น สัญลักษณ์ของการเมืองระหว่างล้านนา สยาม และพม่า
AI Fashion Lab จากกรุงลอนดอน ได้ดำเนินโครงการนี้โดยใช้ แบบจำลอง LoRA ในการพัฒนาแบบจำลองสิ่งทอทางประวัติศาสตร์ และสร้างภาพเครื่องแต่งกายด้วยการศึกษาและค้นคว้าทางวิชาการ โดยผมใช้ การลงสีเพื่อเพิ่มสีสันให้กับภาพถ่ายขาวดำ และ การสร้างภาพใหม่ผ่าน AI เพื่อให้สามารถเห็นลวดลายสิ่งทอและองค์ประกอบแฟชั่นได้อย่างชัดเจน ผมได้จัดทำ พระรูปของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เพื่อรำลึกถึง พระเกียรติคุณของพระองค์ และเพื่อแสดงให้เห็นว่า ฉลองพระองค์ผ้าซิ่นลุนตยาต่อด้วยตีนจกนั้นมีสีสันและรายละเอียดที่สมจริงเพียง
1. การศึกษาเครื่องแต่งกายผ่าน AI: ผ้าลุนตยา และตีนจก กับความหมายเชิงสัญลักษณ์
การศึกษานี้เป็นความพยายามในการฝึกแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พลวัตของแฟชั่นราชสำนักในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเน้นไปที่ ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก (Burmese Luntaya Acheik textile) ซึ่งเป็นพระภูษาที่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงเลือกสวมใส่ และการผสมผสานกับ ตีนจกยกดิ้นของล้านนา ซึ่งสะท้อนถึง สถานะของพระองค์และอัตลักษณ์ของล้านนา
เครื่องแต่งกายของพระองค์ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องหมายแห่งพระเกียรติยศ แต่ยังเป็น การสื่อสารทางการเมืองที่ละเอียดอ่อนท่ามกลางแรงกดดันระหว่าง สยาม ล้านนา และพม่า ในยุคที่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับการแผ่ขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมตะวันตก
แม้ว่า แบบจำลอง LoRA จะสามารถจำลองลักษณะของ ผ้าลุนตยา ได้ในระดับหนึ่ง แต่รายละเอียดของลายคลื่น (Acheik Wave Patterns) ยังคงเป็นความท้าทาย เนื่องจากลวดลายมีความประณีตและซับซ้อน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากแบบจำลองล่าสุดถือเป็น ภาพที่แม่นยำที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะ องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น แฟชั่นยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน (Edwardian Fashion) ไม่ว่าจะเป็น ทรงผมเกล้ามวยสูง และฉลองพระองค์ลูกไม้ ยังคงถูกสร้างขึ้นได้อย่างแม่นยำ
2. สัญลักษณ์ทางศาสนาและจักรวาลวิทยาของลวดลายลุนตยา
ผ้าลุนตยา อะฉิก มิใช่เพียงสิ่งทอเพื่อความงาม แต่ยังสะท้อนถึงจักรวาลวิทยาและความเชื่อในศาสนาพุทธ โดย อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ได้อธิบายความหมายของลายคลื่นบนผ้าลุนตยาไว้ว่า
“ลายคลื่นของผ้าลุนตยาผืนนี้เป็นผ้าที่มีความหมายดีมาก เป็นเรื่องเขาสัตตบริภัณฑ์ ผู้หญิงพม่าบวชไม่ได้ ก็จะนุ่งผ้าลุนตยาโบราณ ซึ่งเป็นเขาสัตตบริภัณฑ์ล้อมรอบ เมื่อนุ่งเข้าไปปั๊บในลำตัว ก็แปลว่าตัวเขาคือเชิงเขา แล้วมุ่นมวยผมก็คือเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นที่สถิตของพระอินทร์เทพสูงสุดในพุทธศาสนา ผู้หญิงพม่าเกล้ามวย จัดไรผมให้หอมเป็นพุทธบูชา ไม่ใช่เพื่อความงาม เอาดอกไม้เสียบมวยผมก็เป็นเครื่องบูชาพระอินทร์ที่อยู่บนยอดมวยผม” (เผ่าทอง ทองเจือ, กรุงเทพธุรกิจ, 30 พฤษภาคม 2022)
ตามคติในศาสนาพราหมณ์ พุทธ และเชน เขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นที่สถิตของเทพยดา ล้อมรอบด้วยภูเขาวงแหวนเรียงซ้อนกันออกไปเป็นชั้นๆ และมีความสูงลดหลั่นกันไปเป็นหมู่เขาบริวาร เรียกว่าหมู่เขาสัตตบริภัณฑ์ ระหว่างภูเขาแต่ละลูกมีมหาสมุทรคั่นเป็นห้วงๆ รวม 7 ห้วงน้ำเช่นเดียวกัน ลายคลื่นบนผ้าทอลุนตยาที่ซ้อนเป็นชั้นๆ จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ยอดเขาสัตตบริภัณฑ์และห้วงมหาสมุทรที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุบนมุ่นมวยผมที่อยู่สูงสุดของร่างกายนั่นเอง ถือเป็นลายทอที่ทอเพื่อบูชาเทพยดาโดยแท้
ด้วยเหตุนี้ สตรีพม่าที่สวมใส่ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก จึงเป็นเสมือนการจำลองโครงสร้างแห่งจักรวาลบนร่างกายของตนเอง โดย ลายคลื่นเจ็ดชั้นเป็นตัวแทนของหมู่เขาสัตตบริภัณฑ์ ซึ่งล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ ตามคติพราหมณ์-พุทธ
3. พระรูปของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ผ่าน AI
ในโครงการนี้ ผมได้สร้าง พระรูปของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ผ่าน AI เพื่อ ถวายราชสดุดีแด่พระองค์ และ ฟื้นคืนพระรูปของพระองค์ให้ปรากฏมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ภาพที่สร้างขึ้นนี้มีความใกล้เคียงกับพระรูปที่บันทึกไว้ในแผ่นฟิล์มกระจก (Glass Plate Photographs) ซึ่งเก็บรักษาไว้ ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ โดยการใช้เทคนิคเพิ่มสีสัน ทำให้สามารถมองเห็นรายละเอียดของฉลองพระองค์ สิ่งทอ และพระจริยวัตรได้อย่างสมจริง
การใช้ AI ในการสร้างภาพนี้ มิได้เป็นเพียงการชื่นชมความงาม แต่เป็น เครื่องมือในการอนุรักษ์และเผยแพร่พระราชศิลปการแห่งยุคสมัย เพื่อให้ คนรุ่นหลังได้เข้าใจแฟชั่นราชสำนักและความหมายของสิ่งทอในบริบททางประวัติศาสตร์
4. บริบทความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับล้านนา และความเป็นไปได้ที่ล้านนาอาจหันไปพึ่งพม่า-อังกฤษ
4.1. ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสยามและล้านนา
ล้านนาเคยเป็นอาณาจักรที่มีอิสรภาพ แต่ภายหลังการถูกพม่าปกครองมาหลายร้อยปี สยามสามารถยึดครองล้านนาได้สำเร็จในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อย่างไรก็ตาม ล้านนายังคงมี เอกลักษณ์เฉพาะตัว และไม่ได้รวมเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างสมบูรณ์
แม้ว่ารัชกาลที่ 5 จะพยายามรวมล้านนาเข้ากับสยามผ่านการส่งข้าหลวงขึ้นไปปกครองแทนเจ้าผู้ครองนคร ระบบการปกครองของสยามในล้านนายังคงมีลักษณะเป็น "รัฐประเทศราช" ซึ่งทำให้ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ยังคงมีบทบาทในฐานะศูนย์กลางอำนาจของล้านนา อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สยามเริ่มเร่งกระบวนการ การผนวกล้านนาเข้ากับอำนาจส่วนกลาง ทำให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มเจ้านายล้านนาที่ต้องการรักษาอำนาจของตนเอง
4.2. เหตุใดล้านนาอาจมองพม่า-อังกฤษเป็นทางเลือก
ช่วงเวลานั้น พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (British Burma) และอังกฤษมีนโยบายขยายอิทธิพลในดินแดนภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หากล้านนาแสดงจุดยืนไม่ต้องการอยู่ใต้การปกครองของสยาม การขอความช่วยเหลือจากอังกฤษอาจเป็นทางเลือกทางการเมืองที่มีความเป็นไปได้
มีบันทึกว่าอังกฤษเคยให้ความสนใจในล้านนา โดยเฉพาะในช่วงที่สยามกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ขยายอิทธิพลเข้าสู่ลาว อังกฤษอาจมองล้านนาเป็น "รัฐกันชน" ที่สามารถใช้เป็นฐานอำนาจในการคานอำนาจของฝรั่งเศส
มีหลักฐานจากแหล่งข้อมูลร่วมสมัยที่กล่าวถึง ข่าวลือว่าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษเคยส่งทูตมาเจรจากับพระเจ้าอินทวิชยานนท์ (เจ้าหลวงเชียงใหม่, ครองราชย์ พ.ศ. 2416–2440) เพื่อขอให้ เจ้าดารารัศมีเป็นพระราชธิดาบุญธรรม และสถาปนาเป็น "เจ้าหญิงแห่งเชียงใหม่" ภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ แม้ว่าไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างล้านนา สยาม และอังกฤษในเวลานั้น
5. พระเจ้าอินทวิชยานนท์ กษัตริย์เชียงใหม่และบริบททางการเมืองของเจ้าดารารัศมี
ในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 5 กษัตริย์แห่งเชียงใหม่คือ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ (ครองราชย์ พ.ศ. 2416–2440) พระองค์เป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่ลำดับที่ 7 และเป็นพระบิดาของ เจ้าดารารัศมี
ช่วงเวลานั้น ล้านนาอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม แต่ยังคงมี ความเป็นรัฐกึ่งอิสระ ซึ่งทำให้สยามต้องใช้วิธีทางการเมืองในการรวบอำนาจอย่างแนบเนียน หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญคือ การเชื่อมสัมพันธ์กับราชวงศ์เชียงใหม่ผ่านการอภิเษกสมรส
5.1. ข่าวลือเรื่องการรับเลี้ยงของอังกฤษ และเหตุผลที่ส่งเจ้าดารารัศมีไปสยาม
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อังกฤษมีอิทธิพลเหนือพม่าและกำลังขยายอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีข่าวลือว่า สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษ สนใจให้ล้านนาเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ และมีรายงานว่า อังกฤษอาจรับเจ้าดารารัศมีเป็นพระราชธิดาบุญธรรม เพื่อสร้างอิทธิพลในภูมิภาค
รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักว่าหากอังกฤษรับเจ้าดารารัศมีเป็นพระราชธิดาบุญธรรมจริง อาจทำให้ล้านนามีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น และอาจเลือกแยกตัวออกจากอิทธิพลของสยาม ในการตอบโต้ รัชกาลที่ 5 ทรงขอให้พระเจ้าอินทวิชยานนท์ส่งเจ้าดารารัศมีมาทำราชกาลฝ่ายใน จากนั้น พ.ศ. 2429 ก็มีการถวายตัวเจ้าดารารัศมีอย่างเป็นทางการ โดยทรงเป็นพระภรรยาเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่มาจากประเทศราช ในขณะที่อีก 8 พระองค์ทรงเป็นพระภรรยาเจ้าชั้นลูกหลวงและชั้นหลานหลวง (“ลูก” และ “หลาน” ของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนๆ)
5.2. การเป็นพระราชชายาในสยาม: ตัดโอกาสที่ล้านนาจะอยู่ใต้อิทธิพลอังกฤษ
เจ้าดารารัศมีเสด็จมายังกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2429 และได้รับตำแหน่งเป็น พระราชชายาในรัชกาลที่ 5 การอภิเษกครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ แต่เป็นการเชื่อมโยงทางการเมืองที่ชัดเจน
* ทำให้ล้านนาใกล้ชิดกับสยามมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่ล้านนาจะขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ
* ตัดข่าวลือเรื่องการรับเจ้าดารารัศมีเป็นพระราชธิดาบุญธรรมของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษ ทันที เนื่องจากการที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนักสยาม ทำให้ไม่มีสถานะที่อังกฤษสามารถแทรกแซงได้
นอกจากนี้ สยามยังได้ ปรับโครงสร้างการปกครองล้านนา ให้เข้าสู่ระบบ "มณฑลเทศาภิบาล" ในเวลาต่อมา ลดอำนาจของเจ้านายล้านนาและรวมล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างเป็นทางการ
6. การเมืองของผ้าซิ่น: การผสมผสานระหว่างผ้าลุนตยากับตีนจกล้านนา
การที่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงสวม ผ้าซิ่นลุนตยาต่อด้วยตีนจก เป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์ล้านนาตีความว่ามี นัยทางการเมือง แฝงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค รัชกาลที่ 5-6
6.1. ความอ่อนไหวทางการเมืองระหว่างสยาม-ล้านนา-พม่า
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ล้านนาเป็นดินแดนที่ทั้งสยามและพม่าต่างต้องการครอบครอง สยามต้องการผนวกล้านนาให้เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอย่างสมบูรณ์ ขณะที่พม่าตกอยู่ภายใต้การปกครองของ อังกฤษ และอาจกลายเป็นพันธมิตรทางเลือกสำหรับล้านนา
การที่ เจ้าดารารัศมีทรงสวมผ้าซิ่นลุนตยา จึงอาจเป็นการส่งสัญญาณถึง ความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและพม่า ซึ่งต่างอยู่ในสถานะรัฐกันชนที่ถูกช่วงชิงจากสองมหาอำนาจในภูมิภาค
6.2. ความหมายแฝงของตีนจกล้านนา
ผ้าตีนจกเป็นสัญลักษณ์ของล้านนา ไม่เคยมีเจ้านายฝ่ายเหนือพระองค์ใดทรงสวมผ้าซิ่นลุนตยาแบบราชนารีพม่ามาก่อน การที่ เจ้าดารารัศมีทรงนำผ้าตีนจกมาต่อกับผ้าลุนตยา จึงอาจเป็นการแสดงออกถึง อัตลักษณ์ล้านนา และส่งสัญญาณให้สยามเห็นว่า ล้านนายังสามารถเลือกข้างทางการเมืองของตนเองได้
การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างภาพ ผ้าซิ่นลุนตยาต่อด้วยตีนจก เป็นการศึกษาผ่านการทดลองที่เชื่อมโยง ประวัติศาสตร์แฟชั่นกับบริบททางการเมือง ผ้าลุนตยาไม่เพียงเป็นสิ่งงดงามทางศิลปะ แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อ ศาสนา และอำนาจของชนชั้นสูงพม่า
การที่ เจ้าดารารัศมี ทรงนำผ้าลุนตยามาประยุกต์กับ ตีนจกล้านนา อาจเป็นมากกว่าการเลือกสวมใส่เสื้อผ้า หากแต่เป็น ถ้อยแถลงทางการเมืองที่สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา ท่ามกลางแรงกดดันของจักรวรรดิในภูมิภาค
7. บทสรุป: AI กับการศึกษาแฟชั่นและการเมือง
โครงการนี้เป็นการสำรวจ ความเชื่อมโยงระหว่างแฟชั่นประวัติศาสตร์กับพลวัตทางการเมือง ผ่านการใช้ AI ในการสร้างพระรูปของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี โดยเฉพาะฉลองพระองค์ผ้าซิ่นลุนตยาต่อด้วยตีนจก
แม้ว่าผ้าลุนตยา อะฉิก ของพม่าจะมีรากฐานลึกซึ้งใน ความเชื่อทางพุทธศาสนา แต่การที่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงเลือก ประยุกต์ลุนตยากับตีนจกของล้านนา อาจสะท้อนถึง พระปรีชาญาณในการรักษาอัตลักษณ์ของล้านนา ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองจากสยามและจักรวรรดิอังกฤษ
AI Fashion Lab ได้สร้างสรรค์พระรูปของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เพื่อให้ผู้คนในปัจจุบันได้เข้าใจบริบททางการเมืองและการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่น แม้ว่า AI ยังมีข้อจำกัดในการจำลองลวดลายที่ซับซ้อนของสิ่งทอ แต่โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการใช้ เทคโนโลยี AI เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นและความหมายที่แฝงอยู่ในเครื่องแต่งกายแห่งราชสำนัก
26 August – Paying Homage to Chao Dara Rasmi (เจ้า ดารารัศมี)
Her Royal Highness Princess Consort Dara Rasmi (พระราชชายา เจ้าดารารัศมี), daughter of King Inthawichayanon (พระเจ้าอินทวิชยานนท์), the 7th Ruler of Chiang Mai, was born on 26 August 1873. She became the royal consort of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, รัชกาลที่ 5) and played a crucial role in bridging the relationship between Lanna (ล้านนา) and Siam (สยาม).
She actively nurtured and preserved Lanna’s cultural heritage, from dance and music to dress and local wisdom, ensuring their continuity with grace and splendour. For this, she has been remembered as “the Creative Princess of Lanna” (เจ้าหญิงผู้สร้างสรรค์แห่งล้านนา), a figure of immense contribution honoured with gratitude by the people of Chiang Mai and all Thais on the anniversary of her birth.
_____________________________
AI Re-Creation of Princess Dara Rasmi’s (เจ้าดารารัศมี) Portrait: A Study of Historical Costume, the Burmese Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก), the Lanna Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา), and the Political Dynamics between Siam (สยาม), Lanna (ล้านนา), and Burma (พม่า) (Article 3/3)
To explore fashion history, particularly 19th-century court dress and textiles, I initiated this project focusing on the intersection between the Burmese Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) and the Lanna Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา). Both carried profound significance—not only as cultural identities but also as political symbols. This project aims to construct a new historiography using artificial intelligence (AI) to revive visual representations of court attire that survive only in limited photographs and documents.
At the centre of this study is Princess Consort Dara Rasmi (พระราชชายา เจ้าดารารัศมี), a key figure who both preserved and adapted Lanna dress to align with shifting social and political contexts. Her blending of the Luntaya Acheik Tube Skirt(ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) with the Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา) was not merely a matter of personal taste or aesthetic, but also a symbol of political dialogue between Lanna (ล้านนา), Siam (สยาม), and Burma (พม่า).
AI Fashion Lab in London conducted this project using LoRA models to reconstruct historical textiles and costumes through academic research. I applied colourisation to black-and-white photographs and generated new AI imagery to reveal textile patterns and fashion components in sharper detail. These newly created portraits of Princess Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี) serve both as a tribute to her legacy and as an attempt to visualise how the combined Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) and Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา) might have appeared in vivid colour and detail.
1. Studying Court Attire through AI: The Symbolism of Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) and Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา)
This research represents an effort to train AI models to interpret the dynamics of 19th-century royal fashion, with emphasis on the Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก)—a Burmese textile chosen by Princess Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี)—and its integration with the Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา). Her attire was not only a marker of status but also a subtle form of political communication, reflecting tensions between Siam (สยาม), Lanna (ล้านนา), and Burma (พม่า) during a period of Western colonial expansion in Southeast Asia.
Although LoRA models could partially replicate the distinctive Acheik wave patterns (ลายคลื่นอะฉิก), the intricate details remain challenging. Nevertheless, the most recent results provide the most accurate visualisations to date, especially when paired with Edwardian fashion (แฟชั่นสมัยเอ็ดเวิร์ดเดียน) elements such as the upswept Gibson Girl hairstyle and lace blouses, which the AI reproduced with precision.
2. Religious and Cosmological Symbolism of the Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก)
The Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) is not merely decorative—it encodes Buddhist cosmology. Scholar Paothong Thongchua (เผ่าทอง ทองเจือ) explained that the wave motifs represent the Seven Rings of Mountains(Sattaparibhanda, เขาสัตตบริภัณฑ์) surrounding Mount Meru (เขาพระสุเมรุ), the cosmic centre in Hindu, Buddhist, and Jain belief systems. For Burmese women, wearing the Luntaya (ผ้าลุนตยา) signified embodying the structure of the universe itself: the body became the mountain base, the hair bun represented Mount Meru, and inserted flowers served as offerings to Indra (พระอินทร์).
Thus, women dressed in the Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) symbolically carried the cosmos on their bodies, the layered wave motifs embodying the sacred mountains and oceans encircling Mount Meru (เขาพระสุเมรุ). The textile was therefore woven as an offering to the divine.
3. AI Portraits of Princess Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี)
Within this project, I created AI-generated portraits of Princess Dara Rasmi (พระราชชายา เจ้าดารารัศมี) to honour her and to revive her likeness with lifelike detail. These images align closely with surviving glass plate photographs (กระจกฟิล์มถ่ายรูป) preserved in the National Archives. By colourising and reconstructing details, it is now possible to appreciate the textures, textiles, and courtly presence of the princess in new depth.
Here, AI is not used merely for aesthetic appreciation, but as a tool of cultural preservation—helping future generations to understand royal fashion and the symbolic meanings of textiles in their historical context.
4. Political Context: Siam (สยาม), Lanna (ล้านนา), and the British-Burmese Question
4.1 The Complex Relationship between Siam (สยาม) and Lanna (ล้านนา)
Though once an independent kingdom, Lanna (ล้านนา) came under Siamese influence after centuries of Burmese (พม่า) rule. In the late 19th century, Siam (สยาม) sought to integrate Lanna (ล้านนา) into its centralised state, while Lanna nobility attempted to preserve their autonomy. Despite the appointment of Siamese commissioners, Lanna (ล้านนา) remained a semi-autonomous tributary state.
4.2 Why Lanna (ล้านนา) Might Have Considered Burma-Britain (พม่า–อังกฤษ) an Alternative
At the time, Burma (พม่า) was under British colonial rule, and Britain pursued expansion across the Mekong region. For Lanna elites, appealing to Britain may have been a viable alternative if they resisted Siam’s integration. Reports even suggest that Queen Victoria (สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย) considered adopting Princess Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี) as her foster daughter, establishing her as “Princess of Chiang Mai” under the British Empire. Though unconfirmed, this rumour reflects the geopolitical stakes among Lanna (ล้านนา), Siam (สยาม), and Britain (อังกฤษ).
5. King Inthawichayanon (พระเจ้าอินทวิชยานนท์) and the Politics of Princess Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี)
King Inthawichayanon (พระเจ้าอินทวิชยานนท์, r. 1873–1897), the 7th ruler of Chiang Mai (เจ้าเมืองเชียงใหม่), and father of Princess Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี), presided during Siam’s (สยาม) push for tighter control over Lanna (ล้านนา). Facing rumours of British interest, King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, รัชกาลที่ 5) requested that Princess Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี) be sent to Bangkok.
In 1886, she was formally presented at court, becoming the only royal consort drawn from a tributary state—unlike the other eight consorts of royal descent. Her presence in Siam (สยาม) effectively cut off British influence and strengthened Siam’s hold over Lanna (ล้านนา), paving the way for administrative reforms that eventually integrated the region into the monthon (มณฑลเทศาภิบาล) system.
6. The Politics of the Tube Skirt: Luntaya Acheik (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) and Lanna Teen Jok Brocade (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา)
Historians of Lanna (ล้านนา) have interpreted Princess Dara Rasmi’s (เจ้าดารารัศมี) wearing of a combined Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) and Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา) as politically symbolic during the pivotal period of King Chulalongkorn’s reign.
6.1 Political Sensitivities among Siam (สยาม), Lanna (ล้านนา), and Burma (พม่า)
In the late 19th century, both Siam (สยาม) and Burma (พม่า) vied for influence over Lanna (ล้านนา). While Siam sought full incorporation, Burma—under British rule (อังกฤษ)—could have become an alternative ally for Lanna elites. By adopting the Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก), Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี) may have been signalling ties between Lanna (ล้านนา) and Burma (พม่า), two buffer states contested by regional powers.
6.2 The Embedded Meaning of Lanna Teen Jok (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา)
The Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา) is a powerful emblem of Lanna identity. No northern princess had previously combined Burmese royal textiles with Lanna weaving. By fusing the Luntaya Acheik (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) with Teen Jok (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา), Dara Rasmi (เจ้าดารารัศมี) may have asserted that Lanna (ล้านนา) retained its unique identity and political agency within Siam (สยาม).
7. Conclusion: AI, Fashion, and Politics
This project explores the interweaving of fashion history and political dynamics through AI re-creations of Princess Dara Rasmi’s (เจ้าดารารัศมี) attire, especially her combined Luntaya Acheik Tube Skirt (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) and Teen Jok Brocade Tube Skirt (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา).
While the Burmese Luntaya Acheik (ผ้าซิ่นลุนตยา อะฉิก) is deeply rooted in Buddhist cosmology, Dara Rasmi’s (เจ้าดารารัศมี) innovative integration with the Lanna Teen Jok (ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นล้านนา) reflects her intelligence and foresight in preserving Lanna identity amid the political pressures of Siam (สยาม) and British imperialism (จักรวรรดิอังกฤษ).
AI Fashion Lab has produced these portraits not only to honour her legacy but also to help contemporary audiences understand how court dress embodied power, diplomacy, and cultural meaning. Although AI still struggles with the intricate reproduction of textile patterns, this initiative marks a crucial step in employing AI for the study of fashion history and its political dimensions.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO





































































