เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิส พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๕
เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิส พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๕
ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ขณะทรงฉายร่วมกับพระมารดา เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิศ โดยภาพดังกล่าวถ่ายขึ้นในราวเดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. ๒๔๔๑ เวลานั้นพระองค์มีพระชันษา ๒๒ ปี ส่วนเจ้าจอมมารดาทับทิมมีอายุ ๔๑ ปี
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พ.ศ. ๒๔๑๙–๒๔๕๗ / ค.ศ. 1876–1914) สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ ๓๗ ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล “จิรประวัติ” พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) จึงทรงเป็นพระเชษฐาร่วมเจ้าจอมมารดากับ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ต้นราชสกุลวุฒิชัย อีกทั้งยังมีเครือญาติฝ่ายพระมารดาเชื่อมโยงกับราชสกุลกมลาศน์ ชยางกูร และดิศกุล ซึ่งล้วนสืบสายพระโลหิตในรัชกาลที่ ๔
เจ้าจอมมารดาทับทิม (๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ – ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑) ทรงเป็นหนึ่งในพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ ท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) ผู้เป็นตาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และขรัวยายอิ่ม ซึ่งสืบตระกูลบุญเรือง ต้นวงศ์ขุนนางฝ่ายในผู้ดำรงตำแหน่งหลวงวังตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เจ้าจอมมารดาทับทิมเข้าสู่พระบรมมหาราชวังตั้งแต่อายุเพียง ๖ ขวบ โดยมีเจ้าจอมมารดาเที่ยง พี่สาวในรัชกาลที่ ๔ พาไปฝากไว้ในสำนักคุณท้าววรคณานันท์ (หุ่น) ผู้มีชื่อเสียงว่าเป็นครูละครในที่ดีที่สุดในสมัยนั้น ด้วยคุณท้าววรคณานันท์เคยเป็นเจ้าจอมละครมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๒ และดำรงตำแหน่งสำคัญในวังสืบมา ทำให้เจ้าจอมมารดาทับทิมได้ทั้งครูดี โรงเรียนดี และสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการฝึกฝนศิลปะการละครและฟ้อนรำอย่างแท้จริง
ปลายรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะจัดตั้งคณะละครในรุ่นเล็กขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนละครในชั้นใหญ่ที่ขาดแคลนเพราะหลายคนออกไปเป็นเจ้าจอมมารดาหรือถึงแก่กรรม ขณะนั้นผู้ใหญ่ในวังเห็นพ้องต้องกันว่าเจ้าจอมมารดาทับทิมมีพรสวรรค์ทางการรำ จึงเสนอให้เข้ารับราชการเป็นละครหลวง เจ้าจอมมารดาเที่ยงผู้เป็นพี่ก็เห็นชอบด้วย เจ้าจอมมารดาทับทิมจึงได้โอกาสฝึกหัดละครและฟ้อนรำอย่างจริงจังควบคู่กับการเรียนวิชาอื่น ๆ เมื่อคณะละครหลวงชั้นเล็กออกโรงปลายรัชกาลที่ ๔ นางทับทิมได้รับคำชมเชยอย่างล้นหลามว่ารำได้งดงามกว่าใครในรุ่นเดียวกัน
ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าจอมมารดาทับทิมมีอายุได้ ๑๑ ปี และยังคงรับราชการเป็นนางละครในสมัยรัชกาลที่ ๕ ด้วยลีลาการรำที่อ่อนช้อยโดดเด่น จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนางเอกละครหลวงที่เลิศล้ำที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าจอม และเมื่อมีพระครรภ์พระราชโอรส-ธิดา จึงได้รับพระราชทานตำหนักเป็นของตนเองในเขตพระบรมมหาราชวัง
เจ้าจอมมารดาทับทิมมีประสูติกาลพระราชโอรสธิดาทั้งหมด 3 พระองค์ คือ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร (พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ)
ท่านมีอัธยาศัยงามและกิริยามารยาทเป็นที่นับถือ จนได้รับพระราชทานเครื่องยศยกขึ้นเป็นพระสนมเอก ซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับสตรีในวัง หลังจากพระโอรสทั้งสองพระองค์สำเร็จการศึกษาจากยุโรปและเสด็จนิวัติสยาม เจ้าจอมมารดาทับทิมก็ขอพระบรมราชานุญาตออกไปพำนักสลับกันระหว่างวังของพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ และบางคราวก็ไปอยู่กับพระราชธิดาที่สวนสุนันทา
วิถีชีวิตบั้นปลายของท่านเต็มไปด้วยการทำบุญ ฟังธรรม และบำเพ็ญกุศล อีกทั้งยังมีนิสัยพิเศษคือโปรดการเดินทางเปลี่ยนสถานที่อยู่เสมอ หากอยู่ในบ้านหรือวังนาน ๆ มักมีอาการเจ็บป่วย แต่เมื่อแปรสถานไปหัวเมืองต่าง ๆ กลับแข็งแรงขึ้น ดังนั้นบุตรธิดาจึงมักพาท่านเดินทางทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน มักไปพักที่หนองแกใกล้หัวหิน ซึ่งกรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร พระราชโอรสองค์เล็ก ทรงสร้างตำหนักพักตากอากาศไว้ นอกจากนี้ท่านยังเคยเดินทางไปเยี่ยมบุตรธิดาที่ปีนัง แม้อายุเกือบ ๘๐ ปีแล้ว แต่ก็ยังสามารถพักอยู่ที่นั่นได้นานถึง ๑๓ เดือน และชื่นชมว่าอากาศดี
เมื่ออายุครบ ๘๐ ปี เดิมทีเจ้าจอมมารดาทับทิมตั้งใจจะเดินทางไปทำบุญฉลองอายุที่วัดสุปัฏนาราม จังหวัดอุบลราชธานี ตามที่ได้ปรารภไว้กับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แต่ด้วยสุขภาพไม่อำนวยจึงเปลี่ยนเป็นการบริจาคทรัพย์แทน อาการเจ็บป่วยเริ่มรุนแรงขึ้น จนท่านประสงค์จะไปพักรักษาตัวที่บางปะอิน แม้แพทย์ทัดทานแต่ไม่สามารถห้ามได้ จึงลงเรือไปบางปะอินในวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ และแม้อาการทรุดหนัก แต่ยังคงพำนักอยู่ที่นั่นได้ถึง ๗๙ วัน จึงได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันอังคารที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ สิริอายุ ๘๐ ปีพอดี
Chao Chom Manda Thapthim Rojanadis [เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิศ], Royal Consort of King Chulalongkorn (Rama V)
This AI-restored and enhanced photograph depicts H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช], taken together with his mother, Chao Chom Manda Thapthim Rojanadis [เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิศ] (Royal Consort and Mother of the King’s Children). The photograph was taken between April and September 1898 (B.E. 2441), when the Prince was 22 years old and Chao Chom Manda Thapthim was 41.
Prince of Nakhon Chaisi (1876–1913 / B.E. 2419–2457) passed away at the age of 37. He was the founder of the Chirapravati family [ราชสกุลจิรประวัติ], a royal lineage established during the reign of King Chulalongkorn. Born as Prince Chirapravati Voradej [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช], he was the son of King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว] by Chao Chom Manda Thapthim [เจ้าจอมมารดาทับทิม] (Royal Consort and Mother of the King’s Children), daughter of Phraya Upphanttrikamart (Dit Rojanadis) [พระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)].
He was a full brother of Prince Vudhijaya Chalermlabh, Prince of Singha Vikrom Kriangkrai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร], founder of the Vudhichai family [ราชสกุลวุฒิชัย]. Through his mother’s lineage, he was also related to the Kamalasana [ราชสกุลกมลาศน์], Jayankura [ราชสกุลชยางกูร], and Diskul [ราชสกุลดิศกุล] families, all descended from King Mongkut (Rama IV) [รัชกาลที่ ๔].
Chao Chom Manda Thapthim [เจ้าจอมมารดาทับทิม] (9 December 1857 – 24 May 1938 / B.E. 2400–2481) was one of the principal royal consorts of King Chulalongkorn (Rama V). She was born on Wednesday, 9 December 1857, the daughter of Phraya Upphanttrikamart (Dit Rojanadis) [พระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)] and Khrua Yai Im [ขรัวยายอิ่ม] of the Bunrueang family [บุญเรือง], a lineage long associated with court service as officials of the Inner Palace.
At the age of six, she entered the Grand Palace under the care of her elder sister, Chao Chom Manda Thieng [เจ้าจอมมารดาเที่ยง], during the reign of King Mongkut (Rama IV). She was placed under the tutelage of Thao Worakhananun (Hun) [ท้าววรคณานันท์ (หุ่น)], one of the most renowned teachers of court drama, who had served as a consort since the reign of King Rama II. This provided her with the finest education in music, dance, and court etiquette, alongside a nurturing environment that shaped her artistic talent.
Towards the end of King Mongkut’s reign, there was a royal intention to establish a new troupe of younger court dancers to succeed the older generation, many of whom had either passed away or become royal consorts. Recognised for her grace and intelligence, Thapthim was admitted as a royal dancer. Her sister supported this path, and with natural aptitude and dedication, she excelled in both dance and academic studies. When the young troupe first performed late in King Mongkut’s reign, Thapthim’s skill drew admiration as she surpassed her contemporaries in elegance and artistry.
By 1868 (B.E. 2411), when King Mongkut passed away and King Chulalongkorn ascended the throne, Thapthim was eleven years old and continued to serve as a royal dancer. Her refined style and exceptional artistry earned her the reputation of being among the finest leading actresses of the court theatre. Eventually, she was elevated to the rank of Chao Chom [เจ้าจอม], and when she conceived royal children, she was granted her own residence within the Grand Palace, befitting her status as a Chao Chom Manda [เจ้าจอมมารดา].
As Chao Chom Manda, she became the mother of three royal children:
H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช]
H.R.H. Princess Prawetsaworasamai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย]
H.R.H. Prince Vudhijaya Chalermlabh, Prince of Singha Vikrom Kriangkrai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร]
Chao Chom Manda Thapthim was admired for her gentle manners and refined conduct, considered exemplary for palace women. She was ultimately elevated with insignia and honours as a principal royal consort, one of the highest marks of favour. In later years, after her sons returned from Europe upon completing their education, she resided alternately at their palaces, and at times with her daughter in Suan Sunandha Palace.
Her later life was characterised by religious devotion, charity, and quiet dignity. Notably, she enjoyed travelling away from Bangkok, as prolonged stays in one place often affected her health. Annual journeys became customary, particularly to Samut Prakan and Hua Hin, where Prince Vudhijaya Chalermlabh [กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร] had built a summer residence at Nong Kae. Remarkably, in her later years she even travelled to Penang to visit her children, staying for over a year despite being nearly 80 years old, and praised its climate.
Upon reaching her 80th birthday, she initially planned to hold a religious ceremony at Wat Supattanaram in Ubon Ratchathani, as promised to Somdet Phra Maha Virawong (Oun Tisso) [สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)], but ill health forced her to forgo the journey. Instead, she donated funds in merit-making. Despite medical advice, she insisted on travelling to Bang Pa-In for convalescence, departing by boat on 6 March 1937 (B.E. 2480). She remained there for 79 days before passing away peacefully on Tuesday, 24 May 1938 (B.E. 2481), at the age of 80.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand


