ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี
ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี (Corrado Feroci) | มหาวิทยาลัยศิลปากร | กรุงเทพ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ภาพต้นฉบับถ่ายโดย อาจารย์อวบ สาณะเสน
วันที่ 15 กันยายน ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวัน ศิลป์ พีระศรี คือวันเกิดของศาสตราจารย์ชาวอิตาลี ผู้สร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย เขาคือผู้ที่เดินทางข้ามนํ้าข้ามทะเลมาไกลเพื่ออุทิศชีวิตให้กับศิลปะในชาติเล็กๆ ของเอเชีย ซึ่งท่านเป็นเจ้าของวลีดังอย่าง พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว และ ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น
ประวัติ ศิลป์ พีระศรี
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) ในเขตซานโจวันนี (San Giovanni) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี (Italy) ท่านเป็นลูกชายของนายอาตูโด เฟโรชี (Artuto Feroci) และนางซานตินา เฟโรชี (Santina Feroci) ที่ประกอบธุรกิจการค้า โดยชื่อเดิมของ ศิลป์ พีระศรี คือ Corrado Feroci
สำหรับในวัยเด็กด้วยความที่ท่านเกิดในเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) นครแห่งการกำเนิดศิลปะเรอเนซองส์ (Renaissance) ชื่อดังของอิตาลี เด็กชาย Corrado จึงมีความสนใจในวิชาศิลปะมาตั้งแต่แรก โดยเขาชื่นชอบในผลงานประติมากรรมของมิเกลันเจโล (Michelangelo) และโลเรนโซ กีแบร์ตี (Lorenzo Ghiberti) ในมหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) เป็นอย่างมาก จึงสมัครเป็นลูกมือช่วยงานศิลปินที่มีชื่อเสียงตามสตูดิโอต่างๆ ของเมืองฟลอเรนซ์ และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะศึกษาวิชาศิลปะเพื่อเป็นศิลปินให้ได้ แต่ครอบครัวไม่ให้การสนับสนุน เนื่องจากต้องการให้มาสืบทอดธุรกิจของครอบครัวมากกว่า
ทว่า Corrado มีความตั้งใจที่จะศึกษาศิลปะอย่างแรงกล้า จึงได้เก็บสะสมเงินด้วยตัวเอง จนสามารถเข้าศึกษาในสถาบันศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์ (Florence Academy of Fine Arts) หลักสูตร 7 ปี ในปี พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2458 (ค.ศ. 1915) เมื่ออายุ 23 ปี ด้วยเกียรตินิยมอันดับที่หนึ่ง รวมถึงได้รับประกาศนียบัตรช่างปั้นช่างเขียน
ต่อมา Corrado ได้สอบคัดเลือกและได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ประจำราชวิทยาลัย ศาสตราจารย์ Corrado มีความรอบรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ วิจารณ์ศิลป์ และปรัชญา โดยเฉพาะมีความสามารถทางด้านประติมากรรมและจิตรกรรมเป็นอย่างสูง เขาได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะไว้มากมายและได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดออกแบบอนุสาวรีย์จากรัฐบาลหลายครั้ง อาทิ ผลงานอนุสาวรีย์ผู้กล้าในสงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I) บนเกาะเอลบา (Elba) เป็นต้น
เดินทางสู่ดินแดนสยามประเทศ
ศาสตราจารย์ Corrado แต่งงานกับ นางแฟนนี วิเวียนนี (Fanny Viviani) มีลูกสาวชื่อ อิซซาเบลล่า (Isabella) โดยในปี พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) Corrado เขาชนะการประกวดการออกแบบเหรียญเงินตราสยามที่จัดขึ้นในยุโรป และยังมีความต้องการแสวงหาสถานที่ปฏิบัติงานแห่งใหม่ รวมถึงในช่วงเวลานั้นซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Vajiravudh, Rama VI) มีพระราชประสงค์ต้องการบุคลากรที่เชี่ยวชาญในด้านศิลปะตะวันตกเพื่อที่จะเข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นในแผ่นดินไทย และทำการฝึกสอนช่างไทยให้มีความสามารถในการสร้างงานประติมากรรมแบบตะวันตกได้
รัฐบาลอิตาลี (Italy) จึงได้ยื่นข้อเสนอโดยการส่งคุณวุฒิและผลงานของศาสตราจารย์ Corrado ให้สยามพิจารณา ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (Prince Narisara Nuwattiwong) เป็นบุคคลสำคัญในการคัดเลือกศาสตราจารย์ Corrado ให้มาปฏิบัติงานในสยาม ด้วยเหตุนี้ศาสตราจารย์ Corrado จึงเดินทางสู่แผ่นดินสยามพร้อมกับภรรยาและบุตรสาวโดยทางเรือ เพื่อเข้ามารับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร กระทรวงวัง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) เมื่ออายุได้ 32 ปี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิชาช่างปั้นหล่อ แผนกศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตยสภา ในปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926)
แรกเริ่มเข้ารับราชการ ศาสตราจารย์ Corrado ทำสัญญารับราชการในสยามเป็นระยะเวลา 3 ปี ด้วยอัตราเงินเดือน 800 บาท แต่ช่วงแรกก็ยังไม่ได้รับการยอมรับมากเท่าใดเพราะยังไม่มีใครได้เห็นฝีมือของท่าน จนเมื่อมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ โดยได้ประทับทดลองเป็นแบบปั้นให้กับศาสตราจารย์ Corrado ปรากฏว่าศาสตราจารย์ Corrado สามารถปั้นได้อย่างสมจริงเป็นอย่างมาก
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์จึงกราบบังคมทูล เชิญให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (King Vajiravudh, Rama VI) เสด็จมาเป็นแบบจริงให้แก่ศาสตราจารย์ Corrado ซึ่งปั้นหุ่นเฉพาะพระพักตร์ได้เป็นที่พอพระราชหฤทัยและเป็นที่ยอมรับของคนในกระทรวง
แรกเริ่มศาสตราจารย์ Corrado ได้วางหลักสูตรอบรมให้แก่ผู้ที่สนใจในวิชาประติมากรรม ซึ่งส่วนมากจบการศึกษามาจากโรงเรียนเพาะช่าง โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมใดๆ ต่อมาบุคคลที่ผ่านการอบรมก็ได้เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของกิจการงานปั้นหล่อของกรมศิลปากร ทำให้ทางราชการได้ขอให้ศาสตราจารย์ Corrado วางหลักสูตรการศึกษารูปแบบเดียวกันกับสถาบันศิลปะในยุโรป
ก่อตั้งสถานศึกษาศิลปะในไทย
ศาสตราจารย์ Corrado วางหลักสูตรวิชาจิตรกรรมและประติมากรรมขึ้น เพื่อใช้ในโรงเรียนประณีตศิลปกรรม สังกัดกรมศิลปากร ที่พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (Saroj Ratananimman) หรือ สาโรช สุขยางค์ (Saroj Sukhayang) ก่อตั้งขึ้น ภายหลังได้รวมโรงเรียนเข้ากับโรงเรียนนาฏยดุริยางคศาสตร์ และเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง และพัฒนาการเรียนการสอนเรื่อยมา
กระทั่งในปี พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) กรมศิลปากรได้แยกจากกระทรวงศึกษาธิการไปขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลในขณะนั้นโดย ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (Field Marshal Plaek Phibunsongkhram) นายกรัฐมนตรี ตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ พระยาอนุมานราชธน (Phraya Anuman Rajadhon) อธิบดีกรมศิลปากร ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร และตราพระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็น Silpakorn University เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) โดยจัดตั้งคณะจิตรกรรมและประติมากรรมขึ้นเป็นคณะวิชาแรก ซึ่งศาสตราจารย์ Corrado ก็ได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคนแรกของคณะจิตรกรรมควบคู่ไปกับตำแหน่งอาจารย์ผู้สอน
ห้องเรียนในช่วงแรกของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งแรกของไทย เป็นห้องบริเวณตึกชั้นล่างของกรมศิลปากรในขณะนั้น และห้องทำงานของอาจารย์ศิลป์เอง หลักสูตรเป็นแบบ 4 ปีตามแบบอะคาเดมีของฟลอเรนซ์ (Florence Academy) บ้านเกิดของท่าน
ที่มาของชื่อไทย ศิลป์ พีระศรี
ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ประเทศอิตาลี (Italy) เป็นหนึ่งในกลุ่มฝ่ายอักษะ (Axis) ซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับเยอรมนี (Germany) และญี่ปุ่น (Japan) ประกาศยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร (Allies) ทำให้ชาวอิตาลีในประเทศไทยถูกญี่ปุ่นที่ยังไม่ยอมแพ้จับเป็นเชลย ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ศิลป์ พีระศรี
เดิมทีท่านต้องถูกเกณฑ์เป็นเชลยศึกให้สร้างทางรถไฟสายมรณะ (Death Railway) และสะพานข้ามแม่น้ำแคว (Bridge over the River Kwai) เมืองกาญจนบุรี (Kanchanaburi)
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยพยายามเจรจากับฝ่ายญี่ปุ่น ขอให้ทางการไทยเป็นผู้ควบคุมตัว และหลวงวิจิตรวาทการ (Luang Wichitwathakan) ได้ดำเนินการทำเรื่องให้ท่านโอนสัญชาติมาเป็นไทย และเปลี่ยนชื่อจาก Corrado Feroci เป็น “ศิลป์ พีระศรี” ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)
ด้วยสภาพเศรษฐกิจหลังสงครามที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น อาจารย์ศิลป์ ตัดสินใจส่งภรรยาและลูกสาวกลับไปอิตาลี แต่ตัวท่านยื่นเรื่องขอปรับเงินเดือนที่ได้รับค่าจ้างเดือนละ 800 บาท ค่าเช่าบ้าน 80 บาท นับตั้งแต่ พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) ซึ่งอัตราใหม่ที่ทางการปรับให้ก็ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย จนทำให้ใน พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) อาจารย์ฝรั่งแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร ต้องจากเมืองไทยที่ท่านผูกพันและใช้ชีวิตมาเกือบ 30 ปีกลับไปบ้านเกิดที่อิตาลี
หวนคืนสู่ประเทศไทย
แม้ว่าจะกลับมาถึงอิตาลี (Italy) ได้ไม่ถึงปี ศิลป์ พีระศรี ก็ตัดสินใจเดินทางกลับมารับราชการและรับตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่ Silpakorn University ในไทยอีกครั้ง โดยครั้งนี้ นางแฟนนี (Fanny) ภรรยา อิซซาเบลลา (Isabella) ลูกสาว และโรมาโน (Romano) ลูกชายที่ถือกำเนิดในไทย ไม่ได้เดินทางมาด้วย ท่านตัดสินใจหย่าร้างเพื่อทุ่มเทเวลาในการสานต่อภารกิจพัฒนาวงการศิลปะไทย
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้แต่งงานใหม่กับ นางมาลินี เคนนี่ (Malinee Kenney) ในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ก่อนที่หลังจากนั้นท่านจะล้มป่วยลงและถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ที่โรงพยาบาลศิริราช (Siriraj Hospital) ด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว สิริอายุได้ 69 ปี 241 วัน
มีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส (Wat Thepsirin) เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963)
ด้านอัฐิของท่านถูกแยกไปสามส่วนด้วยกัน คือ
ที่สุสานชิมิเตโร เดญลี อัลลอรี (Cimitero degli Allori) เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี (Italy)
ส่วนที่สองถูกบรรจุในอนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ณ ลานศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ใน Silpakorn University วังท่าพระ
และส่วนที่สามถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ ในกรมศิลปากร
ผลงานของ ศิลป์ พีระศรี
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นศิลปินชาวอิตาลี (Italy) ที่ฝากผลงานเด่นๆ ไว้ในประเทศไทยมากที่สุดท่านหนึ่ง อาทิ
อนุสาวรีย์ผู้กล้าในสงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I) ที่เกาะเอลบา (Elba) ประเทศอิตาลี
ปั้นแบบและควบคุมการหล่อ ปฐมบรมราชานุสรณ์ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (Thao Suranari Monument)
รวมถึงยังปั้นแบบประติมากรรมและควบคุมงานก่อนสร้างทั้งหมดของ
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (Democracy Monument)
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (Victory Monument)
พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Vajiravudh Memorial)
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (King Taksin the Great Monument)
พระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (King Naresuan the Great Memorial)
พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ (Phutthamonthon Buddha Image)
ขณะเดียวกัน ยังมีผลงานชิ้นอื่นๆ อีกดังนี้
– สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (Prince Narisara Nuwattiwong) – เฉพาะพระเศียร ทำจากสำริด ถือเป็นผลงานชิ้นแรกที่ทำให้ศาสตราจารย์ศิลป์เป็นที่รู้จัก
– พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Vajiravudh, Rama VI) – เฉพาะพระเศียร พระองค์ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมากหลังได้เห็นพระบรมรูปของพระองค์
– พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Prajadhipok, Rama VII) – ครึ่งพระองค์ ทำปูนปลาสเตอร์ ปัจจุบันอยู่ที่กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร
– พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (King Ananda Mahidol, Rama VIII) 2 องค์ – ทำปูนปลาสเตอร์ ปัจจุบันอยู่ที่กองหัตถศิลป์
– พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (Queen Savang Vadhana) – เป็นประติมากรรมนูนต่ำด้วยปูนปลาสเตอร์ ปัจจุบันอยู่ที่หอศิลปแห่งชาติ
– สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (Prince Damrong Rajanubhab) – ครึ่งพระองค์ ทำจากปูนปลาสเตอร์ ปัจจุบันอยู่ที่กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร
– สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทราวาส (Wat Thepsirin) – ครึ่งองค์ ปัจจุบันอยู่ในกรมศิลปากร
– พระญาณนายก (ปลื้ม จันโทภาโส มณีนาค) วัดอุดมธานี จังหวัดนครนายก (Udom Thani Temple, Nakhon Nayok) – เป็นประติมากรรมนูนสูง ทำจากปูนปลาสเตอร์
– หลวงวิจิตรวาทการ (Luang Wichitwathakan) – ครึ่งตัว ทำจากปูนปลาสเตอร์ ปัจจุบันอยู่ที่กรมศิลปากร
– ม.ร.ว. สาทิศ กฤดากร (M.R.V. Sathit Kridakorn) – เฉพาะศีรษะ ทำจากบรอนซ์
– นางมาลินี พีระศรี (Malinee Pirasri) – เฉพาะศีรษะ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ กรุงเทพมหานคร (Bangkok)
– โรมาโน (Romano, ลูกชาย ภาพร่างไม่เสร็จ) – ปัจจุบันอยู่ที่กรมศิลปากร
– นางมีเซียม ยิบอินซอย (Misiem Yip-In-Soi) – รูปเหมือนครึ่งตัว ทำจากบรอนซ์ ปัจจุบันอยู่ที่หอศิลปแห่งชาติ
– พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (King Ananda Mahidol, Rama VIII) – เฉพาะพระเศียร
– พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (King Bhumibol Adulyadej, Rama IX) – ครึ่งพระองค์ ปั้นไม่เสร็จ เพราะเสียชีวิตก่อน
วลีและคำสอนของ อาจารย์ฝรั่ง ศิลป์ พีระศรี
ตลอดชีวิตของ อาจารย์ฝรั่ง ศิลป์ พีระศรี ท่านทำตัวเป็นครูที่ดีมากในการสอนลูกศิษย์ ไม่เฉพาะเรื่องศิลปะ แต่รวมถึงแนวคิด ปรัชญาการใช้ชีวิตที่ลึกซึ้ง ผ่านประโยคสั้นๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น
“พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว”
“ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น”
“นายไม่อ่านหนังสือนายจะรู้อะไร”
“ศิลปะไม่ได้สอนให้วาดรูปเป็น แต่สอนให้รู้จักการใช้ชีวิต”
“ทุกคนมีความงามนายต้องค้นให้พบ แม้แต่คนที่ขี้ริ้วขี้เหร่ที่สุด ก็อาจมีความงามซ่อนอยู่”
“พวกเธอต้องเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ก่อนแล้วจึงค่อยเรียนศิลปะ”
“อย่าถือว่าเราเป็นคนเก่ง ต้องศึกษาเล่าเรียนอีกมาก ฉันเองยังคงศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา อย่าหลงคิดว่าเก่งแล้ว ไม่ต้องเรียน เพราะการหยุดหาความรู้ ไม่ต่างจากการที่เราทิ้งขว้างชีวิตเลย”
“ถ้าฉันตาย นายคิดถึงฉัน นายรักฉัน นายไม่ต้องทำอะไร นายทำงาน”
ดังนั้น ทุกวันที่ 15 กันยายน ของทุกปี ชาวศิลปากรจะร่วมระลึกถึงอาจารย์ศิลป์ใน “วันศิลป์ พีระศรี” ที่เป็นวันคล้ายวันเกิดของอาจารย์ศิลป์
กิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ การถ่ายทอดประสบการณ์จากศิลปินรุ่นใหญ่หรือผู้ที่ได้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ศิลป์ ซึ่งในยามค่ำคืน เหล่าศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจะร่วมจุดเทียน ร้องเพลง Santa Lucia และนักศึกษานิยมยืนรายล้อมรูปปั้นของอาจารย์ศิลป์กันอย่างอบอุ่น
นอกเหนือจากการรำลึกที่เกิดขึ้นแล้ว กิจกรรมต่างๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยยังคงอบอวลไปด้วยคำสอนของอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนหน้าโรงอาหาร งานศิลปะในสวนแก้ว หอศิลป์มหาวิทยาลัย ไปจนถึงลานอาจารย์ศิลป์หน้าคณะจิตรกรรมฯ ต่างก็มีร่องรอยและกลิ่นอายของศิลปากรที่อาจารย์หมายมั่นปั้นขึ้นมาทั้งสิ้น
สืบค้นและเรียบเรียง: สิทธิโชติ สุภาวรรณ์
ขอบคุณภาพจาก: กรมศิลปากร และ มหาวิทยาลัยศิลปากร
บทความต้นฉบับ: https://ngthai.com/history/51183/silpa-bhirasri/
The restored and AI-enhanced photo series shows Professor Silpa Bhirasri (ศิลป์ พีระศรี; Corrado Feroci) | Silpakorn University (มหาวิทยาลัยศิลปากร) | Bangkok (กรุงเทพ) B.E. 2503 (A.D. 1960). The original photograph was taken by Ajarn Uab Sanasen (อาจารย์อวบ สาณะเสน).
September 15 each year is designated “Silpa Bhirasri Day” (วันศิลป์ พีระศรี), the birthday of the Italian (อิตาลี) professor who created the Democracy Monument and founded Silpakorn University (มหาวิทยาลัยศิลปากร).
Professor Silpa Bhirasri (ศิลป์ พีระศรี) is honored as the father of modern Thai art. He traveled across the seas to devote his life to art in a small Asian nation and is remembered for sayings such as “Tomorrow is already too late” (พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว) and “Art is long, life is short” (ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น).
Biography of Silpa Bhirasri (ประวัติ ศิลป์ พีระศรี)
Part 1: Early life and education (ช่วงชีวิตต้นกำเนิดและการศึกษา)
Professor Silpa Bhirasri (ศิลป์ พีระศรี) was born on September 15, B.E. 2435 (A.D. 1892) in San Giovanni (ซานโจวันนี), Florence (ฟลอเรนซ์), Italy (อิตาลี), the son of Artuto Feroci (อาตูโด เฟโรชี) and Santina Feroci (ซานตินา เฟโรชี), merchants. His original name was Corrado Feroci.
Growing up in Florence (ฟลอเรนซ์), cradle of the Renaissance (เรอเนซองส์), young Corrado developed an early passion for art. He admired the sculpture of Michelangelo (มิเกลันเจโล) and Lorenzo Ghiberti (โลเรนโซ กีแบร์ตี) at Florence Cathedral (มหาวิหารฟลอเรนซ์), worked as an assistant in various studios, and was determined to study art despite his family’s wish that he inherit the family business.
Driven by resolve, Corrado saved money to enroll in the Florence Academy of Fine Arts (สถาบันศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์) in B.E. 2451 (A.D. 1908), completing the seven-year program in B.E. 2458 (A.D. 1915) with first-class honors and diplomas in sculpture and painting.
He later passed competitive exams to become a professor at the Royal Institute. Professor Corrado was deeply knowledgeable in art history, criticism, and philosophy, and especially skilled in sculpture and painting. He produced numerous works and won several government competitions to design monuments, including a World War I (สงครามโลกครั้งที่ 1) memorial on Elba (เอลบา).
Journey to Siam (เดินทางสู่ดินแดนสยามประเทศ)
Professor Corrado married Fanny Viviani (แฟนนี วิเวียนนี) and had a daughter, Isabella (อิซซาเบลล่า). In B.E. 2466 (A.D. 1923) he won a European competition to design Siamese coinage and sought a new place to work. During the reign of King Vajiravudh, Rama VI (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว), there was a royal desire to recruit Western-trained artists to serve as sculptors and train Thais in Western sculpture.
The Italian (อิตาลี) government submitted Professor Corrado’s credentials and portfolio to Siam. Prince Narisara Nuwattiwong (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) played a key role in selecting him. Thus Corrado traveled by sea to Siam with his wife and daughter to serve as a sculptor for the Fine Arts Department (กรมศิลปากร) under the Ministry of the Royal Household (กระทรวงวัง) during King Vajiravudh’s reign, arriving on January 14, B.E. 2466 (A.D. 1923) at age 32. He was appointed lecturer in bronze casting at the Art Division of the Royal Institute (ศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตยสภา) in B.E. 2469 (A.D. 1926).
At first he signed a three-year contract at 800 baht per month and was not widely accepted until he modeled Prince Narisara Nuwattiwong from life—so lifelike that it impressed the court. Prince Naris then invited King Vajiravudh (รัชกาลที่ 6) to sit for him; the bust pleased the King and earned Corrado recognition. He began free training courses in sculpture (many trainees from Poh-Chang Academy of Arts—โรงเรียนเพาะช่าง), forming a core workforce for the department’s foundry. The government then asked him to establish a European-style curriculum.
Founding art education in Thailand (ก่อตั้งสถานศึกษาศิลปะในไทย)
Professor Corrado created painting and sculpture curricula for the School of Fine Arts (โรงเรียนประณีตศิลปกรรม) under the Fine Arts Department, founded by Saroj Ratananimman (พระสาโรชรัตนนิมมานก์; สาโรช สุขยางค์). The school later merged with the School of Dance and Music and became the Silpakorn School of Crafts (โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง), with ongoing development.
In B.E. 2485 (A.D. 1942) the Fine Arts Department moved under the Prime Minister’s Office. Field Marshal Plaek Phibunsongkhram (จอมพล ป. พิบูลสงคราม), then Prime Minister, recognized art as a vital cultural pillar and instructed Phraya Anuman Rajadhon (พระยาอนุมานราชธน), Director-General, to reform the curriculum and elevate the school to Silpakorn University (มหาวิทยาลัยศิลปากร) on October 12, B.E. 2486 (A.D. 1943). The first faculty was Painting and Sculpture, with Professor Corrado as its inaugural dean while continuing to teach.
The earliest classrooms of Thailand’s first art university were on the ground floor of the Fine Arts Department and in Ajarn Silpa’s own office. The program followed a four-year model based on the Florence Academy (อะคาเดมีฟลอเรนซ์).
The origin of the Thai name “Silpa Bhirasri” (ที่มาของชื่อไทย ศิลป์ พีระศรี)
Toward the end of World War II (สงครามโลกครั้งที่ 2), Italy (อิตาลี)—part of the Axis (ฝ่ายอักษะ) with Germany (เยอรมนี) and Japan (ญี่ปุ่น)—surrendered to the Allies (ฝ่ายสัมพันธมิตร). Italians in Thailand were detained by the still-fighting Japanese, including Ajarn Silpa.
He was initially to be sent as a POW laborer on the Death Railway (ทางรถไฟสายมรณะ) and the Bridge over the River Kwai (สะพานข้ามแม่น้ำแคว) in Kanchanaburi (กาญจนบุรี). The Thai government negotiated with Japan to take custody, and Luang Wichitwathakan (หลวงวิจิตรวาทการ) facilitated his naturalization and name change from Corrado Feroci to “Silpa Bhirasri” (ศิลป์ พีระศรี) in B.E. 2487 (A.D. 1944).
Post-war inflation strained finances; he sent his wife and daughter back to Italy while requesting salary adjustments (800 baht salary, 80 baht housing since B.E. 2466 / A.D. 1923). The increase proved insufficient, so in B.E. 2492 (A.D. 1949) the foreign professor of Silpakorn University left Thailand—where he had spent nearly 30 years—returning to Italy.
Return to Thailand (หวนคืนสู่ประเทศไทย)
Less than a year after reaching Italy (อิตาลี), Silpa Bhirasri decided to return to Thailand to teach again at Silpakorn University (มหาวิทยาลัยศิลปากร). This time his wife Fanny (แฟนนี), daughter Isabella (อิซซาเบลลา), and son Romano (โรมาโน)—born in Thailand—did not accompany him; he chose to divorce to devote himself fully to Thai art.
He later married Malinee Kenney (มาลินี เคนนี่) in B.E. 2502 (A.D. 1959). They had no children. He fell ill and passed away on May 14, B.E. 2505 (A.D. 1962) at Siriraj Hospital (โรงพยาบาลศิริราช) from heart failure, aged 69 years and 241 days. The royal cremation was held at the royal crematorium in front of Phlabphla Isariyaphorn at Wat Thepsirin (วัดเทพศิรินทราวาส) on January 17, B.E. 2506 (A.D. 1963).
His ashes were divided into three parts: at Cimitero degli Allori (สุสานชิมิเตโร เดญลี อัลลอรี) in Florence (ฟลอเรนซ์), Italy (อิตาลี); enshrined in the Silpa Bhirasri Monument at the Silpa Bhirasri Courtyard, Silpakorn University (วังท่าพระ); and preserved at the National Museum Silpa Bhirasri Memorial (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์) within the Fine Arts Department.
Works of Silpa Bhirasri (ผลงานของ ศิลป์ พีระศรี)
Professor Silpa Bhirasri (ศิลป์ พีระศรี), an Italian (อิตาลี) artist, left some of the most significant works in Thailand, including:
The World War I (สงครามโลกครั้งที่ 1) Heroes’ Monument on Elba (เอลบา), Italy.
Design and supervision of casting for the memorial of the first king of the Chakri dynasty (ปฐมบรมราชานุสรณ์ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์).
Thao Suranari Monument (อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี).
He also modeled and supervised the sculpture for:
Democracy Monument (อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย).
Victory Monument (อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ).
King Vajiravudh Memorial (พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว).
King Taksin the Great Monument (พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช).
King Naresuan the Great Memorial (พระบรมราชานุสรณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช).
Phutthamonthon Buddha Image (พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์).
Other works include:
Prince Narisara Nuwattiwong (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์), head only, bronze—the first work that brought him recognition.
King Vajiravudh, Rama VI (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว), head only—highly appreciated by the King.
King Prajadhipok, Rama VII (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว), half-figure, plaster—now at the Handicraft Division, Fine Arts Department.
King Ananda Mahidol, Rama VIII (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล), two plaster pieces—now at the Handicraft Division.
Queen Savang Vadhana (พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า), low relief in plaster—now at the National Gallery (หอศิลปแห่งชาติ).
Prince Damrong Rajanubhab (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ), half-figure, plaster—now at the Handicraft Division.
Somdet Phra Phutthakosajarn (Chareon Yanavaroro) of Wat Thepsirin (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทราวาส), half-figure—now at the Fine Arts Department.
Phra Yan Nayok (Pluem Chanthophaso Maneenak) of Udom Thani Temple, Nakhon Nayok (พระญาณนายก (ปลื้ม จันโทภาโส มณีนาค) วัดอุดมธานี จังหวัดนครนายก), high relief in plaster.
Luang Wichitwathakan (หลวงวิจิตรวาทการ), half-figure in plaster—now at the Fine Arts Department.
M.R.V. Sathit Kridakorn (ม.ร.ว. สาทิศ กฤดากร), head only, bronze.
Malinee Pirasri (นางมาลินี พีระศรี), head only—now at the National Museum Silpa Bhirasri Memorial, Bangkok (กรุงเทพฯ).
Romano (โรมาโน), his son—unfinished sketch—now at the Fine Arts Department.
Misiem Yip-In-Soi (นางมีเซียม ยิบอินซอย), half-figure in bronze—now at the National Gallery.
Bust of King Ananda Mahidol, Rama VIII (พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล), head only.
Bust of King Bhumibol Adulyadej, Rama IX (พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช), half-figure—left unfinished due to the artist’s death.
Sayings and teachings of Ajarn Farang, Silpa Bhirasri (วลีและคำสอนของ อาจารย์ฝรั่ง ศิลป์ พีระศรี)
Throughout his life, Ajarn Silpa Bhirasri (อาจารย์ศิลป์ พีระศรี) was an exemplary teacher—not only in art but in philosophy and life. Memorable sayings include:
“Tomorrow is already too late.” (พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว)
“Art is long; life is short.” (ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น)
“If you don’t read, what will you know?” (นายไม่อ่านหนังสือนายจะรู้อะไร)
“Art doesn’t teach you only to draw; it teaches you how to live.” (ศิลปะไม่ได้สอนให้วาดรูปเป็น แต่สอนให้รู้จักการใช้ชีวิต)
“Everyone has beauty; you must find it—even the homeliest may hide beauty.” (ทุกคนมีความงามนายต้องค้นให้พบ แม้แต่คนที่ขี้ริ้วขี้เหร่ที่สุด ก็อาจมีความงามซ่อนอยู่)
“Learn to be human first; then study art.” (พวกเธอต้องเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ก่อนแล้วจึงค่อยเรียนศิลปะ)
“Don’t think you’re already great; keep learning. I myself still study all the time. To stop learning is to discard life.” (อย่าถือว่าเราเป็นคนเก่ง... เพราะการหยุดหาความรู้ ไม่ต่างจากการที่เราทิ้งขว้างชีวิตเลย)
“If I die—if you think of me, if you love me—do nothing. Work.” (ถ้าฉันตาย... นายไม่ต้องทำอะไร นายทำงาน)
Accordingly, every September 15 Silpakorn’s community commemorates him on Silpa Bhirasri Day (วันศิลป์ พีระศรี). Activities include talks by senior artists and those who knew him; at night alumni and students light candles and sing “Santa Lucia,” gathering warmly around his statue. Throughout the campus—murals at the canteen, art in Suan Kaew Garden (สวนแก้ว), the University Art Gallery (หอศิลป์มหาวิทยาลัย), and the Silpa Courtyard in front of the Faculty of Painting—his teachings remain palpable.
Compiled and written by: Sitthichot Suphawan (สิทธิโชติ สุภาวรรณ์)
Photo credits: Fine Arts Department (กรมศิลปากร) and Silpakorn University (มหาวิทยาลัยศิลปากร)
Original article: https://ngthai.com/history/51183/silpa-bhirasri/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand



