จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์
จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์
ภาพที่สร้างสรรค์และบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI คอลเลกชันนี้เป็นพระรูปของ “จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์” หมายถึงเชื้อสายราชสกุลที่สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) หรือที่รู้จักกันในนาม “ราชสกุลวงศ์” หรือ “ราชสกุลในรัชกาลที่ ๕” โดยทั่วไปแล้วจะหมายถึงพระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕ และเชื้อสายของพระองค์ที่ได้สถาปนาเป็นราชสกุลต่าง ๆ คำว่า “ราชสันตติวงศ์” ในที่นี้จึงหมายถึงสายตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งในกรณีนี้คือรัชกาลที่ ๕
AI Fashion Lab ตั้งใจสร้างสรรค์และบูรณะฉลองพระองค์ของทุกพระองค์ให้เป็นสไตล์ตะวันตกสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์เดียน—เพื่อสะท้อนถึงพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก ทั้ง ๑๖ พระองค์ ทุกพระองค์ล้วนทรงดำรงตำแหน่งสำคัญในด้านต่างๆเพื่อพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ท่ามกลางการรุกรานของลัทธิล่าอาณานิคมจากตะวันตก และทรงมีคุณูปการต่อประเทศไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ผมได้เลือกใช้ “สีประจำวันประสูติ” ของแต่ละพระองค์ในการสร้างสรรค์ภาพเพื่อถวายพระเกียรติ
๑. ราชสกุลกิติยากร (ค.ศ. ๑๘๗๔–๑๙๓๑, สิริพระชันษา ๕๗ ปี) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ประสูติวันจันทร์ ประสูติเมื่อ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๗ สิ้นพระชนม์ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ทรงเป็นพระอัยกา (ปู่) ฝ่ายพระบิดาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเป็นพระราชปัยกา (ปู่ทวด) ฝ่ายพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ อภิรัฐมนตรี คณะองคมนตรี สมุหมนตรี ราชองครักษ์พิเศษ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และนายทหารพิเศษกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นองค์ต้นราชสกุลกิติยากร พระราชโอรสองค์ที่ ๑๒ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอ่วม ณ พระบรมมหาราชวัง มีเรื่องเล่าว่าเพราะพระมารดาเป็นเชื้อสายจีน จึงถูกล้อว่า “วันจันทร์ ปีจอ เดือนเจ็ด ลูกเจ้า หลานเจ๊ก” อันเล่นคำกับเหตุแห่งการประสูติ กระทรวงพาณิชย์ได้สร้างพระอนุสาวรีย์ของพระองค์ไว้หน้าที่ทำการเดิม ถนนสนามไชย กรุงเทพมหานคร และภายหลังย้ายไปประดิษฐานในสวนด้านในของที่ทำการแห่งใหม่ ณ สนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี
๒. ราชสกุลรพีพัฒน์ (ค.ศ. ๑๘๗๔–๑๙๒๐, สิริพระชันษา ๔๖ ปี) มหาอำมาตย์เอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ประสูติวันพุธ ประสูติ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๗ สิ้นพระชนม์ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ เป็นต้นราชสกุลรพีพัฒน์ พระราชโอรสองค์ที่ ๑๔ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ มีพระเชษฐภคินีคือพระองค์เจ้าอัจฉรพรรณีรัชกัญญา ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและทรงปฏิรูปศาลไทยครั้งสำคัญ แก้ปัญหาศาลกงสุลต่างชาติ ยกระดับมาตรฐานตุลาการจนเป็นที่ยอมรับ ทำให้กำหนดวันที่ ๗ สิงหาคมของทุกปีเป็น “วันรพี” เพื่อรำลึกพระกรุณาธิคุณ อนุสาวรีย์พระรูปหน้าสำนักงานศาลยุติธรรมก่อสร้างแล้วเสร็จ และทรงเปิดโดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗
๓. ราชสกุลประวิตร (ค.ศ. ๑๘๗๕–๑๙๒๑, สิริพระชันษา ๔๖ ปี) มหาอำมาตย์เอก มหาเสวกเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม ประสูติวันพฤหัสบดี ประสูติ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๘ สิ้นพระชนม์ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ พระราชโอรสองค์ที่ ๑๕ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแช่ม เป็นหนึ่งในพระราชโอรสกลุ่มแรกที่เสด็จไปทรงศึกษาในยุโรปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ต่อมาเริ่มรับราชการในสำนักราชเลขาธิการ เป็นราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ระหว่างทรงสำเร็จราชการแทนพระองค์คราวเสด็จประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ และได้เป็นองคมนตรีในรัชกาลที่ ๖ เลื่อนเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐
๔. ราชสกุลจิรประวัติ (ค.ศ. ๑๘๗๖–๑๙๑๔, สิริพระชันษา ๓๘ ปี) พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช กรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช ประสูติวันอังคาร ประสูติ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๙ สิ้นพระชนม์ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๑๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม มีพระกนิษฐาและพระกนิษฐภาดาร่วมพระมารดา ๓ พระองค์ ได้แก่ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย และกรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร สำเร็จการศึกษาจากเดนมาร์ก รับราชการกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม เป็นผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ปลัดกองทัพบก เสนาธิการทหารบก และเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นจอมพลพระองค์ที่สองของกองทัพบกสยาม และมีบทบาทริเริ่มกองบินทหารบกอันพัฒนามาเป็นกองทัพอากาศไทย ต่อมาเลื่อนเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ และได้รับอนุญาตให้แต่งเครื่องยศขุนตำรวจเอกเป็นกรณีพิเศษ
๕. ราชสกุลอาภากร (ค.ศ. ๑๘๘๐–๑๙๒๓, สิริพระชันษา ๔๒ ปี) พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติวันอาทิตย์ ประสูติ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ สิ้นพระชนม์ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ พระโอรสพระองค์ที่ ๒๘ ในรัชกาลที่ ๕ และเป็นพระองค์แรกในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ ทรงศึกษาวิชาทหารเรือที่วิทยาลัยทหารเรือบริแทนเนีย กรีนิช กลับประเทศได้รับพระราชทานยศนายเรือโท ต่อมาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม “กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์” ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ และเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงวางรากฐานการศึกษาทหารเรือไทย กองทัพเรือยึดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๙ เป็น “วันกองทัพเรือ” และยกวันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปีเป็น “วันอาภากร” ทรงได้รับการถวายพระสมัญญา “พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย”
๖. ราชสกุลบริพัตร (ค.ศ. ๑๘๘๑–๑๙๔๔, สิริพระชันษา ๖๓ ปี) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประสูติวันพุธ ประสูติ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๔ สิ้นพระชนม์ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๗ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ กับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ เสนาธิการทหารบก และเสนาบดีหลายกระทรวง เป็นองคมนตรีในรัชกาลที่ ๕–๗ ทรงพระนิพนธ์ “ตำราเล่นกล้วยไม้” เล่มแรกของไทย จนได้รับการยกย่องเป็น “พระบิดาแห่งวงการกล้วยไม้ในประเทศไทย” ต่อมาพระนามกรมเปลี่ยนเป็น “กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต” ประทับวังบางขุนพรหม อันลือชื่อว่า “จอมพลบางขุนพรหม” และเป็นองค์ต้นราชสกุลบริพัตร
๗. ราชสกุลฉัตรชัย (ค.ศ. ๑๘๘๒–๑๙๓๓, สิริพระชันษา ๕๕ ปี) พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ประสูติวันจันทร์ ประสูติ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ สิ้นพระชนม์ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๓๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาวาด ทรงเป็นองคมนตรี แม่ทัพภาคที่ ๑ พระองค์แรก จเรทหารช่าง ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง และเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ทรงริเริ่มการสำรวจปิโตรเลียมในสยาม ต่อมาเลื่อนเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระอิสริยยศยาว ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ และภายหลังเป็นอภิรัฐมนตรีใน พ.ศ. ๒๔๗๔
๘. ราชสกุลบุรฉัตร (ค.ศ. ๑๙๑๕–๑๙๘๑, สิริพระชันษา ๖๖ ปี) (สาขาจากราชสกุลฉัตรชัย) พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ราชบัณฑิต ประสูติวันพฤหัสบดี ประสูติ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ สิ้นพระชนม์ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ พระโอรสในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิตนฤมล มีพระนามลำลองว่า “พระองค์ชายเปรม” มีพระโสทรภคินี ๓ พระองค์ และมีพระอนุชา–พระขนิษฐาต่างมารดาอีก ๘ องค์ อาทิ ท่านผู้หญิงฉัตรสุดา วงศ์ทองศรี และหม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย
๙. ราชสกุลเพ็ญพัฒน์ (ค.ศ. ๑๘๘๒–๑๙๐๙, สิริพระชันษา ๒๗ ปี) พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ประสูติวันพุธ ประสูติ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๕ สิ้นพระชนม์ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๓๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามรกฎ เป็นอธิบดีกรมเพาะปลูก องค์ต้นราชสกุลเพ็ญพัฒน์ ผู้ประพันธ์เพลง “ลาวดำเนินเกวียน” หรือ “ลาวดวงเดือน” รัชกาลที่ ๕ ทรงอุดหนุนกิจการไหม ตั้ง “กรมช่างไหม” เมื่อ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงเป็นอธิบดีพระองค์แรก และก่อตั้ง “โรงเรียนกรมช่างไหม” ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ซึ่งพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๑๐. ราชสกุลจักรพงษ์ (ค.ศ. ๑๘๘๓–๑๙๒๐, สิริพระชันษา ๓๗ ปี) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ประสูติวันเสาร์ ประสูติ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ สิ้นพระชนม์ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๓ องค์ต้นราชสกุล “จักรพงษ์” พระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๓ ในรัชกาลที่ ๕ และพระองค์ที่ ๔ ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ต่อมาเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราชในรัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยทหารบก วางระเบียบแบบแผนการศึกษา และทรงได้รับการยกย่องเป็น “พระบิดาแห่งกองทัพอากาศ” กองบิน ๒ จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ไว้หน้ากองบังคับการกองบิน ๒ จังหวัดลพบุรี
๑๑. ราชสกุลยุคล (ค.ศ. ๑๘๘๓–๑๙๑๙, สิริพระชันษา ๔๙ ปี) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลธิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ประสูติวันเสาร์ ประสูติ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ สิ้นพระชนม์ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๔ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สาขารัฐศาสตร์ การปกครอง และประวัติศาสตร์ เคยเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และอภิรัฐมนตรี เป็นองค์ต้นราชสกุลยุคล ทรงพัฒนามณฑลนครศรีธรรมราชและปักษ์ใต้อย่างกว้างขวาง ประทับพระตำหนักเขาน้อย สงขลา และวังโพธิยายรด นครศรีธรรมราช ตั้งกรมเสือป่ามณฑลนครศรีธรรมราช ช่วยป้องกันวิกฤติจากการคุกคามของอังกฤษ ทำให้ผืนแผ่นดินภาคใต้คงอยู่ในราชอาณาจักรไทย (ระยะปฏิบัติราชการมณฑลนครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๔๕๓–๒๔๕๘ และเป็นอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ พ.ศ. ๒๔๕๘–๒๔๖๘)
๑๒. ราชสกุลวุฒิไชย (ค.ศ. ๑๘๘๓–๑๙๔๗, สิริพระชันษา ๖๓ ปี) พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ประสูติวันพุธ ประสูติ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ สิ้นพระชนม์ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ พระนามเดิม พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม มีพระโสทรเชษฐาและพระโสทรเชษฐภคินี คือ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และพระองค์เจ้าประเวศวรสมัย เสด็จกลับมารับราชการทหารเรือ เลื่อนเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร ต่อมาเป็นกรมขุนสิงหวิกรมเกรียงไกร เลื่อนยศเป็นนายพลเรือเอก ภายหลังเป็นนายพลเอก และเลื่อนกรมเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และภายหลังเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม จนลาออกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕
๑๓. ราชสกุลสุริยง (ค.ศ. ๑๘๘๔–๑๙๑๙, สิริพระชันษา ๓๕ ปี) มหาอำมาตย์ตรี มหาเสวกตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์ ประสูติวันอังคาร ประสูติ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ สิ้นพระชนม์ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๕๑ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด เป็นต้นราชสกุลสุริยง และเป็นพระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดากับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ลาผนวชแล้วรับราชการ เป็นผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ อธิบดีกรมสำรวจ และอธิบดีโรงกษาปณ์ ต่อมาสถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม “กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส” และทรงเป็นมหาเสวกตรี ผู้ตรวจการกรมศิลปากร (ซึ่งตั้งใหม่) รวมทั้งทรงดำรงตำแหน่งองคมนตรีในรัชกาลที่ ๖
๑๔. ราชสกุลรังสิต (ค.ศ. ๑๘๘๕–๑๙๕๑, สิริพระชันษา ๖๖ ปี) พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ประสูติวันพฤหัสบดี ประสูติ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๘ สิ้นพระชนม์ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ พระราชโอรสองค์ที่ ๕๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง ต่อมาเฉลิมพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร ทรงทำนุบำรุงการศึกษา แพร่หลายวิชาแพทย์สมัยใหม่ ส่งเสริมการผดุงครรภ์ และปลูกฝังความนิยมวิชาแพทย์ ตลอดจนโน้มน้าวให้สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สนพระทัยวิชาแพทย์
๑๕. ราชสกุลมหิดล (ค.ศ. ๑๘๙๒–๑๙๒๙, สิริพระชันษา ๓๘ ปี) สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ประสูติวันศุกร์ ประสูติ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๔ (ตามปฏิทินเก่า; ปฏิทินสากล พ.ศ. ๒๔๓๕) สิ้นพระชนม์ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ เวลา ๑๖:๔๕ น. ด้วยพระโรคฝีบิดในพระยกนะ มีโรคแทรกซ้อนคือพระปัปผาสะบวมน้ำและพระหทัยวาย เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๖๙ ในรัชกาลที่ ๕ และพระองค์ที่ ๗ ในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา ภายหลังมีพระราชพิธีสมโภชเดือน ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๕ และพระราชทานนามยาว พร้อมพระนามลำลอง “ทูลกระหม่อมแดง” ทรงอุทิศพระวรกายและพระราชทรัพย์ต่อวงการแพทย์และสาธารณสุข พระราชทานทุนสร้างและขยายโรงพยาบาลศิริราช สนับสนุนสุขาภิบาล และการศึกษาด้านประมงเพื่อโภชนาการ จนได้รับสมญา “พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย” รัฐบาลกำหนดวันที่ ๒๔ กันยายนของทุกปีเป็น “วันมหิดล”
๑๖. ราชสกุลจุฑาธุช (ค.ศ. ๑๘๙๒–๑๙๒๓, สิริพระชันษา ๓๑ ปี) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย ประสูติวันอังคาร ประสูติ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ สิ้นพระชนม์ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๙๐ ในรัชกาลที่ ๕ และพระองค์ที่ ๘ ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประสูติ ณ เกาะสีชัง พระราชทานนามเขตพระราชฐานว่า “พระจุฑาธุชราชฐาน” มีพระนามลำลอง “ทูลกระหม่อมติ๋ว” ทรงสำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เสด็จกลับเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงโปรดศิลปะ ดนตรี การละคร และทรงพระนิพนธ์บทละครดึกดำบรรพ์ ต่อมาได้รับสถาปนาเป็น “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก … กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย” และสิ้นพระชนม์ด้วยพระวักกะพิการ สิริพระชันษา ๓๑ ปี
Chulalongkorn Royal Descendants
This AI-created and restored collection presents portraits of the “Chulalongkorn Royal Descendants” [จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์]—the royal line descended from His Majesty King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)], also known as the “Royal Lineages” or “Royal Families in the Reign of King Rama V” [ราชสกุลวงศ์ / ราชสกุลในรัชกาลที่ ๕]. In general, this refers to the princes and princesses of Rama V and their descendants who established various royal family branches. Here, “royal descendants” [ราชสันตติวงศ์] thus means a lineage descending from a monarch—in this case, King Rama V.
AI Fashion Lab intentionally created and restored the attire for each prince in Western Victorian and Edwardian menswear to reflect the Western-educated generation of King Chulalongkorn’s sons. All sixteen princes held significant positions across many fields to modernise the country amid Western colonial encroachment and rendered great service to Thailand at a pivotal turning point. I have also used the “colour of the day of birth” for each prince in the artworks to honour them.
Kitiyakara Family [ราชสกุลกิติยากร] (A.D. 1874–1931, aged 57)
H.H. Prince Chanthaburi Naruenat [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ], born as Kitiyakara Voralaksana [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์], born on Monday; born 8 June B.E. 2417 (A.D. 1874), passed away 27 May B.E. 2474 (A.D. 1931). Paternal grandfather of H.M. Queen Sirikit The Queen Mother [สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง] and maternal great-grandfather of H.M. King Vajiralongkorn [พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว]. Held key offices including Privy Councillor [อภิรัฐมนตรี/องคมนตรี], Samuhamontri [สมุหมนตรี], Special Aide-de-Camp, Minister of the Royal Treasury [เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ], and Special Officer of the 1st Infantry Regiment, King’s Own Bodyguard; founder of the Kitiyakara lineage. The 12th son of King Rama V by Chao Chom Manda Uam [เจ้าจอมมารดาอ่วม], born in the Grand Palace. A contemporary jest on his mother’s Chinese ancestry ran, “Monday, Year of the Dog, seventh month—child of a prince, grandchild of a Chinese.” The Ministry of Commerce erected his statue at its former headquarters on Sanam Chai Road, Bangkok, later moving it to the garden of the new complex at Sanambin Nam, Nonthaburi.Rabhibhat Family [ราชสกุลรพีพัฒน์] (A.D. 1874–1920, aged 46)
H.H. Prince of Ratchaburi Direkrit [มหาอำมาตย์เอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์], born as Prince Raphi Phatthanasak [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์], born on Wednesday; born 21 October B.E. 2417 (A.D. 1874), passed away 7 August B.E. 2463 (A.D. 1920). Founder of the Rapeepat line, the 14th son of King Rama V by Chao Chom Manda Talap [เจ้าจอมมารดาตลับ], with elder sister Princess Atcharaphaniratchakanya. As Minister of Justice, he led major judicial reforms, resolved the problem of extraterritorial consular courts, and elevated Thailand’s judiciary to international respect. 7 August is commemorated annually as “Rapee Day” [วันรพี]. His statue in front of the Office of the Judiciary was inaugurated on 27 January B.E. 2507 (A.D. 1964) by King Bhumibol Adulyadej and Queen Sirikit.Pravitra Family [ราชสกุลประวิตร] (A.D. 1875–1921, aged 46)
H.H. Prince Prachin Kitibodi [มหาอำมาตย์เอก มหาเสวกเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงปราจิณกิติบดี], born as Prince Pravitra Vadhanodomm [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม], born on Thursday; born 27 May B.E. 2418 (A.D. 1875), passed away 9 December B.E. 2462 (A.D. 1919). The 15th son of King Rama V by Chao Chom Manda Chaem [เจ้าจอมมารดาแช่ม], among the first princes sent to Europe for study in B.E. 2428 (A.D. 1885). Served in the Royal Secretariat, Private Secretary to Queen Sri Patcharintra [สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ] during her regency while the King toured Europe (B.E. 2440/A.D. 1897), later Privy Councillor under King Rama VI; elevated to H.H. Prince Prachin Kitibodi with sakdina (rank land) 15,000.Chirapravati Family [ราชสกุลจิรประวัติ] (A.D. 1876–1914, aged 38)
H.H. Prince Nakhon Chaisi Suradet, Prince Chirapravati Voradej [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช กรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช], born on Tuesday; born 7 November B.E. 2419 (A.D. 1876), passed away 4 February B.E. 2457 (A.D. 1914). The 18th son of King Rama V by Chao Chom Manda Thapthim [เจ้าจอมมารดาทับทิม], with full siblings Princess Prawetsaworasamai and H.H. Prince Singhawikromkriangkrai (Prince Wutthichai Chaloemlap). Educated in Denmark; served as Director-General of Military Operations, Army Under-Secretary, Army Chief of Staff, and Minister of Defence; the kingdom’s second Field Marshal. He helped initiate the Army Air Corps, which later became the Royal Thai Air Force; elevated to H.H. Prince Nakhon Chaisi Suradet with sakdina 15,000 and granted special permission to wear the rank insignia of Police General.Abhakara Family [ราชสกุลอาภากร] (A.D. 1880–1923, aged 42)
H.H. Prince Prince Abhakara Kiartivongse, Prince of Chumphon [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์], born on Sunday; born 19 December B.E. 2423 (A.D. 1880), passed away 19 May B.E. 2466 (A.D. 1923). The 28th son of King Rama V and first by Chao Chom Manda Mot (daughter of Chao Phraya Surawongwaiwat). Trained at Britannia Royal Naval College, Greenwich; returned as Sub-Lieutenant; later elevated “Krom Muen Chumphon Khet Udomsak,” Deputy Commander of the Royal Thai Navy and Chief of Naval Education. He laid the foundations of Thai naval education. The Navy observes 20 November B.E. 2449 (A.D. 1906) as “Navy Day” and 19 May annually as “Abhakara Day,” honouring him as the “Father of the Royal Thai Navy.”Paribatra Family [ราชสกุลบริพัตร] (A.D. 1881–1944, aged 63)
H.R.H. Prince Paribatra Sukhumbandh, Prince of Nakhon Sawan [สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต], born on Wednesday; born 29 June B.E. 2424 (A.D. 1881), passed away 18 January B.E. 2487 (A.D. 1944). Son of King Rama V and H.R.H. Princess Consort Sukhumala Marasri [สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี]. He served as Commander-in-Chief of the Army and Navy, Army Chief of Staff, and minister in several departments; Privy Councillor under Kings Rama V–VII. Author of Thailand’s first orchid handbook (B.E. 2460/A.D. 1917), honoured as the “Father of Thai Orchid Culture.” His princely title was earlier styled “Krom Khun Nakhon Sawan Woraphinit.” He resided at Bang Khun Phrom Palace, whence the popular epithet “The Field Marshal of Bang Khun Phrom,” and founded the Boripat family.Chatrajaya Family [ราชสกุลฉัตรชัย] (A.D. 1882–1933, aged 55)
H.H. Prince Purachatra Jayakara, Prince of Kamphaeng Phet Akkarayothin [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน], born on Monday; born 23 January B.E. 2425 (A.D. 1882), passed away 14 September B.E. 2479 (A.D. 1936). The 38th son of King Rama V by Chao Chom Manda Wat [เจ้าจอมมารดาวาด]. Privy Councillor, the first Commander of the 1st Army Region, Inspector-General of Engineers, Director-General of the Royal State Railways, and Minister of Commerce and Communications; he initiated petroleum exploration in Siam. Elevated later to H.H. Prince of Kamphaeng Phet Akkarayothin with long formal titulature and sakdina 15,000, and appointed as a Member of the Supreme Council (A.D. 1931).Purachatra Family [ราชสกุลบุรฉัตร] (A.D. 1915–1981, aged 66) — a branch of the Chat Chai line
H.S.H. Prince Prem Purachatra, Special Professor and Fellow of the Royal Institute [ศาสตราจารย์พิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ราชบัณฑิต], born on Thursday; born 12 August B.E. 2458 (A.D. 1915), passed away 24 July B.E. 2524 (A.D. 1981). Son of H.H. Prince Burachat Chaiyakorn and H.S.H. Princess Praphawsit Narumon. His familiar style was “Phra Ong Chai Prem” [พระองค์ชายเปรม]. He had three elder sisters and eight half-siblings of other mothers, including Than Phuying Chatsuda Wongthongsri and M.C. Surachat Chat Chai.Benbadhana Family [ราชสกุลเพ็ญพัฒน์] (A.D. 1882–1909, aged 27)
H.H. Prince Benbadhanabongse, Krom Muen Phichai Mahindharodom [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม], born on Wednesday; born 13 September B.E. 2425 (A.D. 1882), passed away 11 November B.E. 2452 (A.D. 1909). The 38th son of King Rama V by Chao Chom Manda Morakot [เจ้าจอมมารดามรกฎ]; Director-General of the Department of Sericulture and founder of the Phenphat line; composer of the celebrated song “Lao Duang Duean” (Lao Damnoen Kwian). In B.E. 2446–2447 (A.D. 1903–1904), the Department of Sericulture [กรมช่างไหม] and its school were established under his leadership; the school later evolved into Kasetsart University.Chakrabongse Family [ราชสกุลจักรพงษ์] (A.D. 1883–1920, aged 37)
H.R.H. Prince Chakrabongse Bhuvanath, Prince of Phitsanulok [สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ], born on Saturday; born 3 March B.E. 2426 (A.D. 1883; Thai record notes B.E. 2425 for lunar), passed away 13 June B.E. 2463 (A.D. 1920). Founder of the Chakkraphong line, the 43rd son of King Rama V and the fourth by H.M. Queen Sri Patcharintra [สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ]; later made the King’s younger brother [สมเด็จพระอนุชาธิราช] under King Rama VI. As Commandant of the Royal Military Academy, he reformed curricula and is honoured as the “Father of the Royal Thai Air Force.” A royal statue stands before Wing 2 Headquarters, Lopburi.Yugala Family [ราชสกุลยุคล] (A.D. 1883–1919, aged 49)
H.R.H.Yugala Dighambara, Prince of Lopburi [สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลธิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์], born on Saturday; born 17 March B.E. 2426 (A.D. 1883), passed away 8 April B.E. 2475 (A.D. 1932). The 44th son of King Rama V by H.R.H. Princess Vimanmek (Sai Sawali) [พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์]. A Cambridge graduate in politics, government and history; served as Minister of Interior and as a senior councillor. Founder of the Yukol line, he significantly advanced administration, economy, society, and education in Nakhon Si Thammarat and the South, residing at Khao Noi Palace (Songkhla) and Wang Phothiyayarat (Nakhon Si Thammarat). He established the Wild Tiger Corps in the region and helped preserve the South within the Kingdom of Thailand (served in Nakhon Si Thammarat 1910–1915; Viceroy of the Southern Circle 1915–1925).Vudhijaya Family [ราชสกุลวุฒิไชย] (A.D. 1883–1947, aged 63)
H.H. Admiral Prince Vudhijaya Chalermlabh, Prince of Singha [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร], born on Wednesday; born 5 December B.E. 2426 (A.D. 1883), passed away 18 October B.E. 2490 (A.D. 1947). Son of King Rama V by Chao Chom Manda Thapthim, younger brother of H.H. Prince Nakhon Chaisi Suradet and Princess Prawetsaworasamai. Returned to naval service, elevated to Krom Muen and later Krom Khun of Singhawikromkriangkrai; promoted to Admiral (1924), later General and H.H. Prince of higher rank with sakdina 15,000; served as Minister of the Navy and later Minister of Defence, resigning after the 1932 constitutional change.Suriyong Family [ราชสกุลสุริยง] (A.D. 1884–1919, aged 35)
H.H. Prince Chaiyasri Suriyophat [มหาอำมาตย์ตรี มหาเสวกตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส], born as Prince Suriyong Prayurabandhu [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์], born on Tuesday; born 29 July B.E. 2427 (A.D. 1884), passed away 2 May B.E. 2462 (A.D. 1919). The 51st son of King Rama V by Chao Chom Manda Mot [เจ้าจอมมารดาโหมด]; founder of the Suriyong line and younger full brother of the Prince of Chumphon. After leaving the monkhood he served as Assistant Permanent Secretary at the Ministry of Finance, Director-General of the Survey Department, and Director of the Royal Mint; later elevated as Krom Muen Chaiyasri Suriyophat and appointed as Royal Chamberlain of third rank and Inspector of the newly formed Fine Arts Department, also serving as Privy Councillor under King Rama VI.Rangsit Family [ราชสกุลรังสิต] (A.D. 1885–1951, aged 66)
General H.H. Prince of Chainat Narendorn [พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร], born as Prince Rangsit Prayurasakdi [พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์], born on Thursday; born 12 November B.E. 2428 (A.D. 1885), passed away 7 March B.E. 2494 (A.D. 1951). The 58th son of King Rama V by Chao Chom Manda M.R. Nueang; later elevated to Krom Muen Chainat Narendorn. He strengthened modern education and public health, promoted midwifery and medical studies, and encouraged H.R.H. Prince Mahidol Adulyadej [สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก] to take up medicine.Mahidol Family [ราชสกุลมหิดล] (A.D. 1892–1929, aged 38)
H.R.H. Prince Mahidol Adulyadej, the Prince Father [สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก], born on Friday; born 1 January B.E. 2434 (A.D. 1891/1892—Thai old calendar; Gregorian 1892), passed away 24 September B.E. 2472 (A.D. 1929) at 16:45 from amoebic liver abscess with complications including pulmonary oedema and heart failure. The 69th son of King Rama V and the 7th child of H.M. Queen Savang Vadhana [สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา]. After his one-month celebration on 2 February B.E. 2435 (A.D. 1892), he received a long formal name and the familiar style “Tunkramom Daeng” [ทูลกระหม่อมแดง]. He devoted his person and resources to medicine and public health, endowing scholarships and buildings for Siriraj Hospital, supporting sanitation and fisheries education for national nutrition—earning the epithet “Beacon of Thailand’s Aquatic Conservation.” The Government marks 24 September annually as “Mahidol Day” [วันมหิดล].
• 16. Chudadhuj Family [ราชสกุลจุฑาธุช] (A.D. 1892–1923, aged 31)
H.R.H. Prince Chudadhuj Dharadilok, Krom Khun Phetchabun Intharacha [สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย], born on Tuesday; born 5 July B.E. 2435 (A.D. 1892), passed away 8 July B.E. 2466 (A.D. 1923). The 90th son of King Rama V and the 8th child of H.M. Queen Sri Patcharintra; born on Ko Si Chang, where the royal precinct was named “Phra Chuthathut Ratchathan” [พระจุฑาธุชราชฐาน]. Familiar style “Tunkramom Tiw” [ทูลกระหม่อมติ๋ว]. A Cambridge graduate, he returned as a lecturer at Chulalongkorn University, with deep interests in art, music, and drama, composing classical dance-dramas. He was later styled “Somdet Phrachao Luk Ya Ther Chao Fa Chudadhuj Dharadilok … Krom Khun Phetchabun Intharacha” and passed away from renal disease, aged 31.






























