ความหลอมรวมทางพหุวัฒนธรรมและเครื่องแต่งกายในสงขลา: สมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย ถึงรัชกาลที่ ๖

ความหลอมรวมทางพหุวัฒนธรรมและเครื่องแต่งกายในสงขลา: ปลายรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๖

คอลเล็กชันภาพถ่ายที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ ถ่ายทอดภาพสังคมพหุวัฒนธรรมของเมืองสงขลาในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พ.ศ. ๒๔๑๑–๒๔๕๓) จนถึงรัชกาลที่ ๖ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พ.ศ. ๒๔๕๓–๒๔๖๘) ภาพถ่ายขาวดำต้นฉบับได้รับการปรับปรุงให้มีความคมชัดและมิติสมจริงราวภาพสามมิติ ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูรายละเอียดของภาพ หากยังชุบชีวิตให้กับผู้คนในภาพอย่างมีพลัง ภาพเหล่านี้เผยให้เห็นถึงสังคมที่คนไทยและคนจีนอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน แต่งงานข้ามเชื้อชาติ และผสมผสานวัฒนธรรมได้อย่างเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังคงมีความขัดแย้งทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน

ในประเทศมาเลเซีย ภายใต้นโยบาย Bumiputera (“ชาวดินแดน” หรือ “บุตรแห่งแผ่นดิน”) รัฐได้ให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมลายูเหนือชาวจีนและชาวอินเดีย ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างยาวนาน ขณะที่สยามกลับเลือกเดินในเส้นทางที่แตกต่าง ชาวจีนโพ้นทะเลมิได้ถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นรอง หากแต่ถูกผนวกรวมเข้าสู่สังคมไทยอย่างเต็มที่ หลายคนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในราชการและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการผสมผสานนี้คือความใกล้เคียงกันทางศาสนา ชาวไทยและชาวจีนส่วนใหญ่ต่างนับถือพระพุทธศาสนา จึงไม่มีความแตกแยกเชิงศาสนาเช่นเดียวกับในประเทศมลายูมุสลิม ที่ความแตกต่างด้านศาสนาอิสลามและพุทธศาสนามักเป็นอุปสรรคต่อการหลอมรวมทางวัฒนธรรม

ในบริบทของคาบสมุทรมลายู แม้จะมีกรณีชุมชนเพอรานากัน (Peranakan หรือ Baba–Nyonya) ซึ่งเกิดจากการแต่งงานระหว่างพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเลกับสตรีมลายูท้องถิ่นในยุคอาณานิคม แต่ในระยะแรกสตรีเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ความแตกต่างทางศาสนาจึงยังคงอยู่ และทำให้การหลอมรวมทางวัฒนธรรมไม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์เหมือนในสยามที่ชาวไทยและชาวจีนส่วนใหญ่ต่างนับถือพระพุทธศาสนา ความแตกต่างทางความเชื่อศาสนาในรัฐมลายูมุสลิมยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัดการผสมผสานของสองวัฒนธรรม แม้จะมีการแลกเปลี่ยนทางภาษา อาหาร และเครื่องแต่งกายก็ตาม

ภาพถ่ายในคอลเล็กชันนี้เป็นหลักฐานชัดเจนของแบบอย่างการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนในสังคมไทย โดยสะท้อนผ่านการผสมผสานรูปแบบการแต่งกาย ดังนี้

๑. พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) – เจ้าเมืองสงขลาคนสุดท้าย

พระยาวิเชียรคีรี (พระยาวิเชียรคีรีศรีสมุท วิสุทธิศักดา มหาพิไชยสงครามรามภักดี อภัยพิริยบรากรมภาหุ) มีนามเดิมว่า “ชม” เป็นเจ้าเมืองสงขลาลำดับที่ ๘ (๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ – ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๗) และเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย ในภาพถ่าย ท่านสวมเสื้อ morning coat แบบตะวันตกติดกระดุมทอง ทับเสื้อกั๊กสีเหลืองอ่อนพร้อมสายโซ่นาฬิกาพก นุ่งโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด สวมถุงน่องสีขาวและรองเท้าหนังสีดำทรงอ็อกซ์ฟอร์ด เครื่องแต่งกายเช่นนี้สะท้อนการปรับใช้แฟชั่นแบบตะวันตกของชนชั้นสูงสยามในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ควบคู่ไปกับการรักษาเอกลักษณ์การนุ่งผ้าแบบไทย

๒. หลวงตรักภักดี (นายหยู่สูง แซ่เจี่ย)

ขุนนางชาวจีนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในเมืองสงขลา หลวงตรักภักดี สวมเสื้อตัวยาวแบบจีน Changpao (長袍) หรือ Dagua (大褂) สีฟ้าเข้มยาวกรอมเท้า พร้อมหมวกกำมะหยี่สีดำและรองเท้าแบบจีน ถือพัดจีบลายเขียนมือ อันเป็นสัญลักษณ์ของรสนิยมและความเป็นผู้ทรงคุณวุฒิแบบราชสำนักชิง (Qing) เครื่องแต่งกายนี้ตอกย้ำเกียรติภูมิของมรดกจีนในระบบราชการสยาม นายหยู่สูง แซ่เจี่ย (ตระกูลปริชญากร) ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นเกียรติยศที่แสดงถึงการยอมรับและความไว้วางใจที่มีต่อชนชั้นพ่อค้าขุนนางชาวจีน

๓. ภาพงานมงคลสมรสของคหบดีชาวสงขลา – สมัยรัชกาลที่ ๖


ภาพนี้เป็นรูปงานมงคลสมรสของ นายสำราญ ปรีชาพานิช กับ คุณหญิงพูนสุข ประธานราษฎร์นิกร ปรีชาพานิช ซึ่งถ่ายขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ นายสำราญ ปรีชาพานิช เป็นบุตรของนายเซ่งขิม และนางกิ้มเถ้า ปรีชาพานิช เป็นหลานตาของ รองอำมาตย์เอก หลวงศุขเกษมสโมทัย (กี่เซี้ยน) กปิลกาญจน์ และหลานยายของ นางศุขเกษมสโมทัย (ฮวดเหี้ยง) กปิลกาญจน์

คุณหญิงพูนสุข ประธานราษฎร์นิกร ปรีชาพานิช เป็นธิดาของ หลวงประธานราษฎร์นิกร และนางสมบูรณ์ ประธานราษฎร์นิกร เป็นหลานตาของ หลวงศุภไสยสโมทาน ต้นตระกูล “เหาตะวานิช”
ภาพนี้บันทึกบรรยากาศพิธีสมรสของทั้งสองท่าน ฝ่ายชายสวมเครื่องแบบราชปะแตนสีขาว (ราชปะแตน) ติดกระดุมทอง คาดสายโซ่นาฬิกาพก และถือหมวกกะโล่ (pith helmet) ซึ่งเป็นเครื่องแบบมาตรฐานของข้าราชการในพระนครและได้รับความนิยมจากชนชั้นสูงในหัวเมือง

ฝ่ายหญิงแต่งกายสะท้อนแฟชั่นราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงผมสั้นดัดลอนแบบตะวันตก คาด bandeau ทอง สวมเสื้อลูกไม้สีขาว นุ่งโจงกระเบนสีชมพูอ่อน (โจงกระเบน) สวมถุงน่องสีขาว และรองเท้าส้นเตี้ยสีงาช้าง แฟชั่นลักษณะนี้เป็นผลจากอิทธิพลคอสโมโพลิแทนของพระนครในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งแพร่กระจายสู่หัวเมืองผ่านเครือข่ายทางสังคมและราชการ

๔. นายตันฮ้อง และ นางชื่น วรรณวงศ์ (“เจ๊สัว โรงกระเบื้อง” เกาะยอ) – การแต่งงานพหุวัฒนธรรม

ภาพนี้น่าจะถ่ายในสมัยรัชกาลที่ ๕ แสดงให้เห็นนายตันฮ้อง เจ้าของโรงกระเบื้องชื่อดังบนเกาะยอ สวมเสื้อ magua (馬褂) สีดำกับกางเกงขาก๊วยสีขาว หมวกปานามา และถือไม้เท้า เป็นการผสมผสานเครื่องแต่งกายจีนกับตะวันตก ส่วนภรรยา นางชื่น วรรณวงศ์ ตัดผมทรงดอกกระทุ่ม (ทรงดอกกระทุ่ม) ห่มสไบสีเหลือง (สไบ) นุ่งโจงกระเบนสีเขียว (โจงกระเบน) และไม่สวมรองเท้า ภาพนี้สะท้อนทั้งการแต่งงานข้ามเชื้อชาติและการอยู่ร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยกระหว่างการแต่งกายแบบจีนกับแบบไทยในครอบครัวเดียว

ความสำคัญทางวัฒนธรรม

เมื่อพิจารณาร่วมกัน ภาพถ่ายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ในเมืองสงขลา เครื่องแต่งกายทำหน้าที่เป็นบันทึกแห่งการประนีประนอมและการยอมรับทางวัฒนธรรม ท่ามกลางบริบทโลกซึ่งหลายอาณานิคมสร้างระบบชนชั้นเชื้อชาติและจำกัดการผสมผสานทางวัฒนธรรม สยามกลับเลือกแนวทางบูรณาการชาวจีนโพ้นทะเลเข้าสู่สังคมอย่างเปิดกว้าง ทั้งในด้านการแต่งกาย การแต่งงาน และการปกครอง ทำให้เครื่องแต่งกายมิใช่เพียงเรื่องรสนิยมส่วนบุคคล หากแต่เป็นถ้อยแถลงทางสังคมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นในสังคมพหุวัฒนธรรม

การผสมผสานระหว่างเครื่องแต่งกายไทย จีน และตะวันตกที่ปรากฏในภาพถ่ายเหล่านี้ จึงมิได้เป็นเพียงหลักฐานด้านแฟชั่น หากยังเป็นพยานแห่งการตัดสินใจเชิงการเมืองและวัฒนธรรม เพื่อหล่อหลอมชาติที่มองความหลากหลายไม่เพียงในฐานะสิ่งที่ยอมรับได้ แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความหมายแห่งการเป็น “คนไทย”

Multicultural Harmony and Dress in Songkhla: Late Reign of King Rama V to King Rama VI

This AI-restored photo collection offers a vivid glimpse into the multicultural fabric of Songkhla during the late reign of King Rama V (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, รัชกาลที่ ๕, ค.ศ. 1868–1910) through to King Rama VI (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, รัชกาลที่ ๖, ค.ศ. 1910–1925). The original monochrome portraits have been meticulously enhanced into life-like three-dimensional images, not merely restoring visual clarity but reviving the human presence of the past. They reveal a society where Thai and Chinese communities lived together in harmony, intermarried freely, and integrated culturally—an achievement that stands in contrast to racial divisions seen elsewhere in Southeast Asia.

While Malaysia, under its Bumiputera (“son of the soil”) laws, historically conferred special rights to ethnic Malays over Chinese and Indian communities—creating enduring social stratifications—Thailand’s approach was markedly different. In Siam (สยาม), Chinese migrants were not treated as second-class citizens; instead, they were absorbed into the fabric of Thai society, often rising to positions of influence and even receiving noble titles. Religion played a role in easing this integration: both Thai and most Chinese migrants shared Buddhist traditions, reducing cultural barriers that elsewhere were compounded by religious divides. In Malay-majority countries, where Islam is the dominant faith, the coexistence between Muslim Malays and Buddhist Chinese has historically been more fragile, with cultural mingling less common and racial politics more pronounced.

The portraits in this collection embody this Thai model of multicultural coexistence, expressed most vividly in the blending of dress traditions:

1. Phraya Wichian Khiri (Chom Na Songkhla) [พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา)] – The Last Ruler of Songkhla

Phraya Wichian Khiri (พระยาวิเชียรคีรีศรีสมุท วิสุทธิศักดา มหาพิไชยสงครามรามภักดี อภัยพิริยบรากรมภาหุ) (Chom Na Songkhla) was the eighth and final ruler of Songkhla (4 March 1888 – 4 November 1904). In his portrait, he wears a morning coat—a formal Western frock coat with gold buttons—over a pale yellow waistcoat and a pocket watch chain, paired with a traditional Thai jong kraben (โจงกระเบน) in muted maroon, white stockings, and black Oxford shoes. This sartorial combination reflects the late 19th-century Siamese elite’s adaptation of Western court fashion while retaining core elements of Thai dress, a deliberate visual symbol of modernity without abandoning tradition.

2. Luang Trak Phakdi (Jia Yu Soong) [หลวงตรักภักดี (นายหยู่สูง แซ่เจี่ย)]

A high-ranking Chinese official in Songkhla, Luang Trak Phakdi (หลวงตรักภักดี) wears a Changpao (長袍) or Dagua (大褂) in deep sapphire blue, complete with a black velvet cap and traditional Chinese shoes. He holds a painted folding fan, signalling scholarly refinement in Qing dynasty style. This attire underscores the prestige of Chinese heritage within the Siamese administrative system—remarkably, Jia Yu Soong (นายหยู่สูง แซ่เจี่ย, ตระกูลปริชญากร) received his noble title directly from King Rama V, an honour reflecting the acceptance and trust placed in the Chinese merchant-official class.

3. Songkhla Aristocrats in a Wedding Portrait – King Rama VI Era

In a formal wedding scene, the groom wears an immaculate white Raj pattern uniform (เครื่องแบบราชปะแตน) with gold buttons, a pocket watch chain, and holding a colonial pith helmet (หมวกกะโล่). This uniform, worn by government officials, was standard in Bangkok and soon adopted by provincial elites. The bride reflects royal court fashion of King Rama VI’s reign: short waved hair in the Western style, a bandeau headband of gold, a lace blouse, pastel pink jong kraben (โจงกระเบน), white stockings, and ivory heels. This look captures the cosmopolitan influence of post–World War I Bangkok fashion, disseminated to the provinces through social and administrative networks.

4. Tan Hong and Chuen Wannawong (เจ๊สัวโรงกระเบื้อง เกาะยอ) [นายตันฮ้อง และ นางชื่น วรรณวงศ์] – A Multicultural Marriage

This portrait, likely taken during King Rama V’s reign, depicts Tan Hong (นายตันฮ้อง), a prominent Chinese tile-factory owner of Ko Yo, wearing a black magua (馬褂) jacket with wide white trousers, a Panama hat, and holding a cane—blending Chinese and Western elements. His wife, Chuen Wannawong (นางชื่น วรรณวงศ์), has her hair cut in the dok krathum (ทรงดอกกระทุ่ม) style, draped in a yellow shoulder cloth (สไบ), and wearing green jong kraben (โจงกระเบน), barefoot. The photograph reflects not only an interethnic marriage but also the unselfconscious coexistence of distinctly Chinese and traditional Thai dress in a single family unit.

Cultural Significance

Taken together, these images illustrate that in Songkhla, fashion was a visual record of cultural negotiation and acceptance. In a global context where colonial administrations often codified racial hierarchies and discouraged cultural mixing, Siam’s open integration of Chinese migrants—evident in clothing, marriage, and governance—stands out as a Southeast Asian exception. Here, attire was more than personal choice; it was a social statement, a fabric where silk from Bangkok could be worn alongside satin from Guangdong, without the wearer’s loyalty to the Siamese state being questioned.

This blend of Thai, Chinese, and Western dress seen in these portraits is not just a record of style—it is a testament to a political and cultural choice: to build a nation where diversity was not merely tolerated but incorporated into the very definition of being “Thai.”

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) เจ้าเมืองสงขลาคนที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๐๘–๒๔๒๗ / ค.ศ. 1865–1884)

Next
Next

พระฉายาลักษณ์ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถ่ายเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๐๙ (1966)