พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา)

พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา)

พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา)

พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) เป็นบุตรของ หลวงราชดรุณรักษ์ (หม่อมราชวงศ์สะอาด อิศรเสนา) กับ นางเอี่ยม ราชดรุณรักษ์ (สกุลเดิม ตุลยานนท์) เกิดเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2429 ที่บ้านถนนพระสุเมรุ ตำบลผ่านฟ้าลีลาศ อำเภอชนะสงคราม จังหวัดพระนคร การศึกษาระยะแรกเริ่มขึ้นที่บ้าน ต่อมาเข้าศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ (ที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร) แล้วจึงย้ายไปเรียนที่วัดมหาธาตุ และโรงเรียนราชวิทยาลัย (ปัจจุบันคือโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์) ตามลำดับ

ในปี พ.ศ. 2446 ท่านได้รับทุนจากกระทรวงธรรมการไปศึกษาวิชาครูที่ประเทศอังกฤษ โดยเข้าเรียนที่โรงเรียนเอาน์เดอล และมหาวิทยาลัยลอนดอน และได้เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมลาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2447 กระทั่งในปี พ.ศ. 2453 ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษา กระทรวงธรรมการได้มีคำสั่งเรียกตัวกลับมารับราชการ ท่านจึงเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบและโรงเรียนราชวิทยาลัย และได้เข้าเฝ้าฯ ที่พระที่นั่งอภิเศกดุสิต เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2453

ท่านสอนอยู่ได้เพียงหนึ่งปี ก็ถูกย้ายไปสอนที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ (ต่อมาย้ายไปที่สวนกระจัง และพัฒนาเป็นวชิราวุธวิทยาลัย) โดยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์ ถือศักดินา 400 ต่อมาในปีเดียวกันย้ายกลับไปรับราชการที่กระทรวงธรรมการ และในปี พ.ศ. 2458 ได้รับพระราชทินนามใหม่เป็น หลวงประพันธ์เนติประวัติ ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองสอบไล่วิชา

ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2459 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็น พระปรีชานุสาสน์ และในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2463 ได้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาภะรตราชา ถือศักดินา 1,600 นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษ โดยปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง พ.ศ. 2464–2469 รวมเวลา 5 ปี นอกจากนี้ ท่านยังเป็นหนึ่งใน 58 ศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ร่วมก่อตั้งสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้นในต่างประเทศ

เมื่อเดินทางกลับจากอังกฤษ พระยาภะรตราชาได้ดำรงตำแหน่งเลขานุการเสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นคณบดีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2470 สองปีถัดมา ในปี พ.ศ. 2472 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คนที่ 2 ต่อจาก พระยาอนุกิจวิธูร (สันทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) พร้อมกันนั้นยังได้ทำหน้าที่ผู้รักษาการคณบดีคณะอักษรศาสตร์ จนกระทั่งออกจากราชการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2475

ภายหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 พระยาภะรตราชาได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดเทศบาลนครกรุงเทพคนแรก ในสมัยที่ พลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นเทศมนตรีหลายสมัย และยังเป็นสมาชิกวุฒิสภาสองสมัยด้วย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2486 ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งท่านดำรงตำแหน่งนี้เรื่อยมาจนสิ้นชีวิต รวมเวลาทั้งสิ้นถึง 39 ปี

ในด้านครอบครัว พระยาภะรตราชาได้สมรสกับ ท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา (สกุลเดิม ทับเป็นไทย) อดีตคุณข้าหลวงในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2455 โดยมี จอมพล สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงพระกรุณาสวมมงคลและพระราชทานน้ำสังข์ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินทุนสมรสเป็นจำนวน 100 ชั่ง (8,000 บาท) ทั้งคู่มีบุตรธิดารวม 6 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา, กุนตี อิศรเสนา ณ อยุธยา (ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 13 ปี), อี๊ อิศรเสนา ณ อยุธยา (ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 9 เดือน), อายุส อิศรเสนา ณ อยุธยา, สุคนธา โบเยอร์ และท่านผู้หญิง ดร.ทัศนีย์ บุณยคุปต์

พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) กราบถวายบังคมลาถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ณ เรือนพักในวชิราวุธวิทยาลัย สิริอายุ 89 ปี 9 วัน ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานเกียรติยศพิเศษเสมอด้วยองคมนตรี พระราชทานตั้งศพที่ศาลาบัณรศภาค วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และพระราชทานพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม โดยมีพระราชพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี 7 คืน และจากสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี อีก 1 คืน พร้อมทั้งพระราชทานการบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 50 วัน และ 100 วัน

ถึงกำหนดพระราชทานเพลิงศพ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิง ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เป็นกรณีพิเศษ

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ช่วยให้เราเห็นเรื่องราวชีวิตของ พระยาภะรตราชา (พ.ศ. 2429–2518 / ค.ศ. 1886–1975) ในอีกมิติหนึ่ง ไม่ใช่เพียงผ่านประวัติราชการหรือผลงานด้านการศึกษาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนผ่านแฟชั่น การแต่งกาย และบริบททางสังคมวัฒนธรรมในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย

ภาพแรก น่าจะถ่ายราว พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) เมื่อท่านเดินทางไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษในรัชกาลที่ 5 เครื่องแต่งกายเป็น สูทสามชิ้นสไตล์เอ็ดเวิร์เดียน สีเทาอ่อน เสื้อกั๊กสีครีม เนกไทสีอ่อน และคอเสื้อสูงแบบปกแข็งถอดได้ double round collar มือถือหมวกฟาง boater hat ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสุภาพบุรุษชนชั้นสูงในสังคมอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ภาพนี้ไม่เพียงแสดงถึงรสนิยม หากยังบอกเล่าว่าท่านคือคนหนุ่มสยามที่ก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่อย่างมั่นใจ

ภาพที่สอง คาดว่าถ่ายในทศวรรษ 1920 (พ.ศ. 2463–2469 / ค.ศ. 1920–1926) ช่วงที่ท่านกลับไปปฏิบัติหน้าที่ผู้ดูแลนักเรียนไทยในอังกฤษตรงกับรัชกาลที่ 6 แฟชั่นที่ปรากฏคือ สูทตะวันตกแบบลายทาง (pinstripe suit) คู่กับเสื้อกั๊กสีทองและเนกไทลายทแยง คอเสื้อยังเป็นเสื้อคอแบบปกแข็งถอดได้ double round collar แต่ความสมาร์ทบ่งบอกถึงสุภาพบุรุษยุคใหม่ในบรรยากาศ “Roaring Twenties” ได้อย่างชัดเจน

ภาพที่สาม เป็นภาพครอบครัวราว พ.ศ. 2465–2470 (ค.ศ. 1922–1927) คาดว่าถ่ายที่ลอนดอน ยังอยู่ในรัชกาลที่ 6 ซึ่งสะท้อนอิทธิพลแฟชั่นตะวันตกที่เข้าสู่สังคมไทยอย่างเต็มที่ ภรรยาของท่าน คือ ท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา (สกุลเดิม ทับเป็นไทย) แต่งกายด้วย เดรสสไตล์ Flapper ที่กำลังเป็นแฟชั่นสตรีนิยมในยุค Jazz Age การเลือกใช้ผ้าและเครื่องประดับอย่างผ้าขนสัตว์สะท้อนถึงรสนิยมสากลของครอบครัวชั้นนำ ขณะเดียวกัน บุตรชายและบุตรสาวก็สวมชุดสากลสำหรับเด็กที่บ่งบอกถึงการเปิดรับโลกตะวันตกอย่างแนบแน่น

ภาพที่สี่ น่าจะถ่ายเมื่อครอบครัวกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ช่วงปลายทศวรรษ 1920 ถึงต้นรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2470–2472 / ค.ศ. 1927–1929) พระยาภะรตราชาและบุตรชายแต่งกายด้วย เสื้อราชปะแตน ซึ่งเป็นรูปแบบการแต่งกายสุภาพบุรุษสยามในสมัยนั้น และลูกชายสวมกางเกงขาสั้นซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นชุดนักเรียน ทดแทนการนุ่งโจงกระเบนแบบเดิม ขณะที่ภรรยาและบุตรสาวสวมเสื้อแขนกุด กระโปรงสั้น ถุงน่องสีขาว และรองเท้า Mary Jane ซึ่งเป็นแฟชั่นร่วมสมัยตะวันตก แสดงให้เห็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างไทยกับสากล



Phraya Bharatracha (M.L. Thos Thit Isarasena) [พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา)]

Phraya Bharatracha (M.L. Thos Thit Isarasena) [พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา)] was the son of Luang Ratchadarunrak (M.R. Sa-at Isarasena) [หลวงราชดรุณรักษ์ (หม่อมราชวงศ์สะอาด อิศรเสนา)] and Nang Iam Ratchadarunrak (née Tulayanon) [นางเอี่ยม ราชดรุณรักษ์ (สกุลเดิม ตุลยานนท์)]. He was born on 19 December 1886 (พ.ศ. 2429) on Phra Sumen Road, Phanfalilas, Chanasongkhram District, Phra Nakhon. His early education began at home before he attended Suankularb School (at Wat Thepsirin [โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร]), later moving to Wat Mahathat [วัดมหาธาตุ] and Rajavinit College [โรงเรียนราชวิทยาลัย, ปัจจุบันคือโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์].

In 1903 (พ.ศ. 2446), he received a scholarship from the Ministry of Education to study pedagogy in England, enrolling at Oundle School [โรงเรียนเอาน์เดอล] and later the University of London [มหาวิทยาลัยลอนดอน]. Before departing, he was granted an audience with King Chulalongkorn on 2 August 1904 (พ.ศ. 2447).

In 1910 (พ.ศ. 2453), before completing his degree, he was recalled to Siam by the Ministry of Education to serve as a teacher at Suankularb School and Rajavinit College. He was granted an audience at the Abhisek Dusit Throne Hall [พระที่นั่งอภิเศกดุสิต] on 26 May 1910. A year later, he moved to the newly established Royal Pages’ School [โรงเรียนมหาดเล็กหลวง], which later became Vajiravudh College [วชิราวุธวิทยาลัย], where he served as Assistant Principal for Academic Affairs. On 20 November 1911 (พ.ศ. 2454), he was granted the noble title Luang Aphiban Burimasak [หลวงอภิบาลบุริมศักดิ์], with a sakdina of 400.

That same year, he transferred back to the Ministry of Education and, in 1915 (พ.ศ. 2458), was renamed Luang Praphan Netibrawat [หลวงประพันธ์เนติประวัติ], serving as Head of Examinations. On 31 December 1916 (พ.ศ. 2459), he was promoted to Phra Pricha Nusasan [พระปรีชานุสาสน์], and on 2 January 1920 (พ.ศ. 2463), he rose to the rank of Phraya Bharatracha [พระยาภะรตราชา], with a sakdina of 1,600.

He was the first Siamese to be appointed as Supervisor of Siamese Students in England, serving between 1921 and 1926 (พ.ศ. 2464–2469). He was also among 58 alumni of Debsirin School [โรงเรียนเทพศิรินทร์] who helped found the Debsirin Alumni Association under Royal Patronage abroad.

After returning from England, he became Secretary to the Minister of Education before being appointed Dean of the Faculty of Arts, Chulalongkorn University [คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย] in 1927 (พ.ศ. 2470). Two years later, in 1929 (พ.ศ. 2472), he was appointed the second President of Chulalongkorn University [ผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย], succeeding Phraya Anukit Withun (Santhat Thephasadin na Ayudhya) [พระยาอนุกิจวิธูร (สันทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา)], while also serving concurrently as Acting Dean of the Faculty of Arts. He retired from civil service on 1 August 1932 (พ.ศ. 2475).

Following the Siamese Revolution of 1932, he was appointed the first Permanent Secretary of Bangkok Municipality [ปลัดเทศบาลนครกรุงเทพ] during the tenure of Field Marshal Chaophraya Ram Rakop (M.L. Fueang Phuengbun) [เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ)] as Mayor. He later served multiple terms as municipal councillor and was twice a member of the Senate. On 1 January 1943 (พ.ศ. 2486), he was appointed Commandant of Vajiravudh College [ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย], a position he held for 39 years until his death.

Family and Passing

On 19 January 1912 (พ.ศ. 2455), he married Than Phuying Khajorn Bharatracha (née Thapbenthai) [ท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา (สกุลเดิม ทับเป็นไทย)], a former lady-in-waiting to Queen Sri Bajarindra, the Queen Mother [สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง]. The wedding was graced by Field Marshal Prince Chakrabongse Bhuvanath, Prince of Phitsanulok [จอมพล สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ], who performed the ceremonial blessing and pouring of holy water. King Vajiravudh (Rama VI) [พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว] also granted them a marriage endowment of 100 chang (8,000 baht).

They had six children:

  • Professor Dr. Kan Isarasena na Ayudhya [ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา]

  • Kunti Isarasena na Ayudhya [กุนตี อิศรเสนา ณ อยุธยา] (died aged 13)

  • Ii Isarasena na Ayudhya [อี๊ อิศรเสนา ณ อยุธยา] (died aged 9 months)

  • Ayus Isarasena na Ayudhya [อายุส อิศรเสนา ณ อยุธยา]

  • Sukhontha Boyer [สุคนธา โบเยอร์]

  • Than Phuying Dr. Tasanee Boonyakoop [ท่านผู้หญิง ดร.ทัศนีย์ บุณยคุปต์]

Phraya Bharatracha passed away on 28 December 1975 (พ.ศ. 2518) at his residence in Vajiravudh College, aged 89 years and 9 days. He was posthumously granted special honours equivalent to a Privy Councillor. His body was laid in state at the Banraspak Sala, Wat Benchamabophit Dusitwanaram [ศาลาบัณรศภาค วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม], with seven nights of royal funeral rites bestowed by Queen Rambhai Barni [สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี], and an additional night by Princess Petcharat Rajasuda Sirisopapannawadi [สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี]. Royal merit-making ceremonies were also held on the 50th and 100th days.

Finally, King Bhumibol Adulyadej the Great (Rama IX) [พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร] personally attended and presided over the royal cremation at the Royal Crematorium in front of the Isariyaphorn Pavilion [เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์] at Wat Thepsirin [วัดเทพศิรินทราวาส], a rare and distinguished honour.

This collection of AI-restored photographs provides a unique perspective into the life of Phraya Bharatracha (M.L. Thos Thit Isarasena, 1886–1975) [พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา, พ.ศ. 2429–2518)]. Beyond his official career and academic achievements, these images reflect his fashion, attire, and the cultural contexts of each era.

The first photograph was likely taken around 1903 (R.S. 122 / 2446 B.E.), when he travelled to England during the reign of King Chulalongkorn (Rama V). His attire is a light-grey Edwardian three-piece suit, with a cream waistcoat, a pale necktie, and a detachable stiff-collar shirt with a double round collar. He holds a boater hat, an iconic accessory of upper-class gentlemen in late 19th to early 20th-century English society. This image not only reflects his refined taste, but also signifies a young Siamese man confidently entering the modern world.

The second photograph was likely taken in the 1920s (1920–1926 / 2463–2469 B.E.), during the reign of King Vajiravudh (Rama VI), when he returned to England to serve as Supervisor of Siamese Students. Here he wears a pinstripe Western suit, paired with a gold waistcoat and a diagonal-striped necktie. His shirt retains the detachable stiff-collar with a double round collar, yet the overall sharpness of the look reflects the modern gentleman in the atmosphere of the “Roaring Twenties.”

The third photograph is a family portrait, taken in London between 1922 and 1927 (2465–2470 B.E.), still during the reign of Rama VI. It illustrates the growing influence of Western fashion in Siamese elite circles. His wife, Than Phuying Khajorn Bharatracha (née Thapbenthai), is dressed in a Flapper-style dress, a hallmark of the Jazz Age, accessorised with fur — reflecting the cosmopolitan tastes of the family. Meanwhile, their sons and daughter wear Western-style children’s clothing, further signalling their full embrace of international culture.

The fourth photograph was likely taken after the family returned to Bangkok, during the late 1920s and early reign of King Prajadhipok (Rama VII), around 1927–1929 (2470–2472 B.E.). Phraya Bharatracha and his sons are dressed in the raj pattern jacket (rachapattern shirt), the modern Siamese gentleman’s attire of the period, while the boys wear short trousers, likely a school uniform, in place of the traditional chong kraben. His wife and daughter are attired in sleeveless blouses, short skirts, white stockings, and Mary Jane shoes, reflecting contemporary Western fashion. The photograph reveals a graceful blending of Siamese and Western styles within the family.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO





Previous
Previous

เจ้าราชบุตร (เจ้าหมอกฟ้า ณ น่าน) และเจ้าบุญโสม ณ น่าน

Next
Next

ท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา