พระยารัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง
พระยารัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง
ภาพลงสีด้วย AI ของต้นตระกูล “ณ ระนอง” เจ้าเมืองระนอง ผลงานความร่วมมือระหว่าง AI Fashion Lab และพิพิธภัณฑ์จังหวัดระนอง จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกและยกย่องคุณูปการของเจ้าเมืองระนองในยุคแรกเริ่ม
ภาพทั้ง 3 ภาพประกอบด้วย
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (พระยารัตนเศรษฐี) (คอซูเจียง ณ ระนอง)
ต้นสกุล “ณ ระนอง” ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองระนองคนที่ ๒
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๐๕ – ๒๔๒๐พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (พระยารัตนเศรษฐี) (คอซิมก๊อง ณ ระนอง)
บุตรของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง ณ ระนอง)
ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองระนองคนที่ ๓
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๒๐ – ๒๔๓๓พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คออยู่หงี่ ณ ระนอง)
บุตรของพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง)
ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองระนองคนที่ ๔
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๓ – ๒๔๖๐
ประวัติโดยสังเขป จากสมุดภาพเมืองระนอง
ตระกูล “ณ ระนอง” เป็นหนึ่งในตระกูลสำคัญของภาคใต้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาจังหวัดระนองตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมา
เมืองระนองอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คือ แร่ดีบุก หรือที่เรียก กันในสมัยโบราณว่า “ตะกั่วดำ” จึงทำให้มีผู้คนพยายามเข้ามาหาเลี้ยงชีพด้วยการขุดแร่ดีบุกขายมาตั้งแต่โบราณ และส่งดีบุกเป็นส่วยแทนการเข้าเวร ด้วยเมืองระนองทวีความสำคัญในฐานะ “เมืองแร่ดีบุก” และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้นโดยลำดับ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้มีเจ้าภาษีนายอากรทำหน้าที่ผูกขาดอากรดีบุกเพื่อส่งให้แก่กรุงเทพฯ โดยมีอำนาจในการซื้อและเก็บส่วยดีบุกในแขวงเมืองตระเรื่อยมาจนถึงเมืองระนอง ในการนี้ราษฎรได้ยกย่องให้นายทอง หัวหน้าหมู่บ้าน เป็นผู้ดำเนินการ ต่อมานายนองจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงระนอง เจ้าเมืองคนแรก
กระทั่งถึง พ.ศ. ๒๓๙๗ พระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีผู้ประมูลผูกขาดการส่งภาษีอากรดีบุกขึ้น เรียกว่า นายอากร นายคอซูเจียง ซึ่งเป็นชาวจีน เชื้อสายฮกเกี้ยน ที่เดินทางเข้ามาตั้ง ภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองตะกั่วป่า ยื่นประมูลอากรดีบุกในแขวงเมืองตะกั่วและเมืองระนองได้สำเร็จ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายคอซูเจียงเป็น “หลวงรัตนเศรษฐี”
ต่อมา พ.ศ. ๒๔๑๐ หลวงระนอง ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า หลวงรัตนเศรษฐี (คอซูเจียง) เป็นผู้มีความดีความชอบแก่บ้านเมือง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระรัตนเศรษฐี ผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง แต่เมืองระนองยังคงขึ้นตรงต่อเมืองชุมพรสืบมา กระทั่งเมื่อพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และรัฐบาลอังกฤษได้จัดการปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ไปจากพม่าอย่างเข้มงวดขึ้นโดยลักลั่นมาถึงเขตตอนในตามพระราชอาณาเขตทางทะเลตะวันตก
กระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๑๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า เมืองระนองและเมืองตะกั่ว (กระบุรี) เป็นเมืองขึ้นอยู่กับเมืองชุมพรจะรักษาราชการชายแดนไม่สะดวก จึงโปรดให้ยกเมืองระนองและเมืองตะกั่ว (กระบุรี) เป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระรัตนเศรษฐี (คอซูเจียง) ขึ้นเป็นพระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการ เมืองระนอง และในคราวเดียวกัน ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์นายคอซิมก๊อง บุตรชายของพระยารัตนเศรษฐี (คอซูเจียง) เป็นหลวงรัตนโลหภูมิพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนองด้วย
เมืองระนองจึงมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีผู้คนจากพื้นที่ต่าง ๆ และโดยเฉพาะชาวจีนยพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งค้าขายและทำเหมืองแร่ดีบุกเป็นจำนวนมาก ดังปรากฏในพระราชดำรัสของพระยารัตนเศรษฐี (คอซูเจียง) ความตอนหนึ่งว่า “…เมืองระนองแต่ก่อนเป็นเมืองขึ้นเมืองชุมพร บ้านเมืองก็อยู่ในดงรกร้างจวนเป็นภูมิฐานบ้านเมืองไม่... ...พระรัตนเศรษฐีชักชวนเกลี้ยกล่อมไทยจียให้มาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองเจริญขึ้นมาดีขึ้นกว่าก่อนมาก…” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระรัตนโลหภูมิพิทักษ์ (คอซิมก๊อง) ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง ผู้เป็นบุตรพระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการเมืองระนอง
ถึง พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสแหลมมลายูโดยเรือพระที่นั่งสุริยมณฑลจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองชุมพร จากนั้นได้เสด็จทางสถลมารถจากเมืองชุมพรต่อไปยังเมืองกระบุรี เมืองระนอง เพื่อเสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลตะวันตกในเขตพระราชอาณาเขต แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังเกาะหมาก เกาพปีนัง และประเทศสิงคโปร์ ในการเสด็จประพาสครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรสภาพบ้านเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรตลอดทั้งกิจการต่าง ๆ ภายในเมืองระนอง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อเมืองระนองเป็นล้นพ้น
Phraya Rattanaseerathi - Governors of Ranong
AI-colourised portraits of the founding family “Na Ranong” (ณ ระนอง), Governors of Ranong, created in collaboration between AI Fashion Lab and Ranong Provincial Museum, in commemoration and tribute to the contributions of the early Governors of Ranong.
The three portraits depict:
Phraya Damrongsucharit Mahisornpakdee (พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี) – Phraya Rattanaseerathi (พระยารัตนเศรษฐี) – Kho Su Chiang Na Ranong (คอซูเจียง ณ ระนอง)
Founder of the Na Ranong (ณ ระนอง) family.
Served as the 2nd Governor of Ranong, 1862–1877 (B.E. 2405–2420).Phraya Damrongsucharit Mahisornpakdee (พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี) – Phraya Rattanaseerathi (พระยารัตนเศรษฐี) – Kho Sim Kong Na Ranong (คอซิมก๊อง ณ ระนอง)
Son of Phraya Damrongsucharit Mahisornpakdee (Kho Su Chiang Na Ranong) [พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซูเจียง ณ ระนอง)].
Served as the 3rd Governor of Ranong, 1877–1890 (B.E. 2420–2433).Phraya Damrongsucharit Mahisornpakdee (พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี) – Kho Yu Ngi Na Ranong (คอยู่หงี่ ณ ระนอง)
Son of Phraya Damrongsucharit Mahisornpakdee (Kho Sim Kong Na Ranong) [พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง ณ ระนอง)].
Served as the 4th Governor of Ranong, 1890–1917 (B.E. 2433–2460).
A Brief History from The Ranong City Photo Album
The Na Ranong (ณ ระนอง) family is one of the most prominent governing families in southern Thailand, playing a significant role in the development of Ranong Province since the late reign of King Rama III (รัชกาลที่ ๓).
Rich in natural resources, particularly tin ore, historically known as “black lead”. Ranong attracted settlers seeking livelihoods through tin mining, with the ore sent as tribute in place of corvée labour. Over time, Ranong’s importance as a “tin mining town” grew, contributing substantially to the national economy.
During the reign of King Nangklao (Rama III) [พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว], the Crown appointed a tax farmer to hold a monopoly over tin duties for delivery to Bangkok, granting authority to purchase and collect tin ore in territories from Takua Pa to Ranong. Local villagers entrusted this role to Nai Thong (นายทอง), headman of a village, who was later granted the noble title Luang Ranong (หลวงระนอง), becoming the first Governor of Ranong.
In 1854 (B.E. 2397), during the reign of King Mongkut (Rama IV) [พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว], the Crown permitted public bidding for the monopoly rights to collect tin tax, known as the “Nai Akar” (นายอากร). Kho Su Chiang (คอซูเจียง), a Hokkien Chinese immigrant who had settled in Takua Pa (ตะกั่วป่า), successfully won the bid for tin tax in both Takua and Ranong. He was granted the title Luang Rattanaseerathi (หลวงรัตนเศรษฐี).
Following the death of Luang Ranong in 1867 (B.E. 2410), King Mongkut recognised the service and merit of Luang Rattanaseerathi (Kho Su Chiang) [หลวงรัตนเศรษฐี (คอซูเจียง)], promoting him to Phraya Rattanaseerathi (พระยารัตนเศรษฐี), Chief Administrator of Ranong, which at that time remained under the jurisdiction of Chumphon (ชุมพร). Later, when Burma came under British colonial rule, British administration of its southern territories extended closer to Siam’s western maritime borders.
In 1875 (B.E. 2418), King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว] elevated Ranong and Takua (Kra Buri – กระบุรี) to fourth-class provinces reporting directly to Bangkok, and promoted Phraya Rattanaseerathi (Kho Su Chiang) to Governor of Ranong. At the same time, his son Kho Sim Kong (คอซิมก๊อง) was granted the title Luang Rattanaloha Bhumi Phitak (หลวงรัตนโลหภูมิพิทักษ์) and appointed Assistant Administrator of Ranong.
Ranong flourished, attracting migrants, particularly Chinese, who settled to trade and mine tin ore. Phraya Rattanaseerathi (Kho Su Chiang) once remarked:
“Ranong was formerly a dependency of Chumphon, its land wild and deserted. I persuaded and encouraged Thai and Chinese alike to settle, make a living, and enjoy peaceful prosperity. The town became more developed and improved than before.”
In 1877 (B.E. 2420), during the reign of King Chulalongkorn, Luang Rattanaloho Bhumi Phitak (Kho Sim Kong), son of Phraya Rattanaseerathi, was appointed as the 3rd Governor of Ranong.
By 1890 (B.E. 2433), King Chulalongkorn made a royal tour of the Malay Peninsula aboard the royal vessel Suriya Monthon (เรือพระที่นั่งสุริยมณฑล), travelling from Bangkok to Chumphon, then overland to Kra Buri and Ranong, visiting the western seaboard territories under Siam’s sovereignty. The tour continued to Ko Mak (เกาะหมาก) and Singapore.
During this visit, the King inspected Ranong’s towns, observed the lives of its people, and examined its administrative and economic affairs—an act remembered as a profound gesture of royal benevolence toward Ranong.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO


