กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี

กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี

ภาพที่สร้างสรรค์และบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้เป็นพระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) ชายาพระองค์แรก ซึ่งผมได้สร้างสรรค์ให้สวยสมจริงจากพระรูปต้นฉบับขาวดำ พร้อมกับฉากหลังในวังมหานาค

จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช มีพระนามเดิมว่าพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช กรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช (๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๙ – ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ สิริพระชันษา ๓๘ ปี) (ค.ศ. ๑๘๗๖–๑๙๑๔)

พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๑๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม (ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)) ทรงมีพระกนิษฐาและพระกนิษฐภาดาร่วมพระมารดาเดียวกัน ๓ พระองค์ ได้แก่

๑. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช)

๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย

๓. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร (พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ)

หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศเดนมาร์ก ได้เข้ารับราชการในกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ, ปลัดกองทัพบก, เสนาธิการทหารบก และเสนาบดีกระทรวงกลาโหม พระองค์ทรงเป็น จอมพลพระองค์ที่สองของกองทัพบกสยาม

เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕) ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษเสือป่า กองมณฑลนครไชยศรี อีกทั้งยังทรงเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งกองบินทหารบก หลังจากทรงหารือกับ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ถึงความจำเป็นที่สยามควรมีเครื่องบินไว้ใช้ป้องกันประเทศเช่นเดียวกับอารยประเทศ กองบินทหารบกดังกล่าวต่อมาได้พัฒนาเป็น กองทัพอากาศไทย

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ทรงแต่งเครื่องยศขุนตำรวจเอกในกรมพระตำรวจเป็นกรณีพิเศษ

พระองค์ทรงได้รับพระราชทาน วังมหานาค เป็นที่ประทับร่วมกับเจ้าจอมมารดาทับทิม และทรงเป็นต้นราชสกุล “จิรประวัติ”

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) (25 ธันวาคม พ.ศ. 2426 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2445) เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2441 มีพระโอรสและพระธิดาธิดา คือ

1. หม่อมเจ้าหญิงวิมลปัทมราช จิรประวัติ (17 พฤษภาคม พ.ศ. 2442 - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508)

2. หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดี จิรประวัติ (16 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 - 28 มีนาคม พ.ศ. 2519)

3. หม่อมเจ้าประสบศรีจิรประวัติ จิรประวัติ (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 - 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483)

4. หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม

และหลังจากที่ชายาพระองค์แรกได้สิ้นชีพตักษัยลง จึงทรงเสกสมรสใหม่กับหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ จิรประวัติ (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2447 ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ (14 เมษายน พ.ศ. 2431 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482) เป็นพระขนิษฐาร่วมพระบิดามารดาเดียวกันกับหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี โดยเสด็จในกรมหลวงนครไชยศรีและหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ทรงมีพระโอรสด้วยกัน 2 องค์ คือ

1. หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ (9 มกราคม พ.ศ. 2449 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2506)

2. หม่อมเจ้าขจรจิรพันธ์ จิรประวัติ (16 ตุลาคม พ.ศ. 2455 - 15 สิงหาคม พ.ศ. 2514) (เนื่องจากประสูติที่เมืองนอกจึงทรงมีพระนามลำลองว่าท่านชายนอก)

ฉลองพระองค์ของกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช คือเครื่องแบบขาว สังกัดกรมปลัดทัพบกในกรมเสนาธิการทหารบก และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี  นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ สีสวัสดิรักษาประจำวันอาทิตย์

ธรรมเนียม “การทรงกรม” ตามยุคสมัย

“อิสริยยศ” คือพระยศที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว แบ่งออกเป็น ๒ รูปแบบคือการเลื่อนพระยศ เช่น เลื่อนพระยศจากชั้นพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า และการ “ทรงกรม” ซึ่งการทรงกรมนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา การทรงกรมเป็นพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แก่เชื้อพระวงศ์เพื่อเป็นพระเกียรติยศเนื่องจากได้ช่วยเหลืองานราชการแผ่นดิน

“การทรงกรม” ของเจ้านายปรากฏครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา คือ การตั้งกรมขึ้นใหม่ต่างพระเนตรพระกรรณตามพระนามทรงกรมของเจ้านายพระองค์นั้น มีขุนนางเป็นเจ้ากรมตามอิสริยยศนั้น เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฉัตร กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ เจ้ากรมของท่านคือ หมื่นสุรินทรรักษ์ เป็นต้น มีปลัดกรม สมุห์บัญชี และไพร่พลในสังกัดกรม การทรงกรมเป็นพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แก่เชื้อพระวงศ์เพื่อเป็นพระเกียรติยศเนื่องจากได้ช่วยเหลืองานราชการแผ่นดิน

“การทรงกรม” แบ่งเป็น ๕ ชั้น ดังนี้

๑. ”กรมพระยา”(อ่านว่า กฺรม-พระ-ยา) หรือ “กรมสมเด็จพระ” (อ่านว่า กฺรม-สม-เด็ด-พระ) สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง

๒. “กรมพระ”(อ่านว่า กฺรม-มะ-พระ) สำหรับพระราชทานวังหน้า วังหลัง สมเด็จพระเจ้าพี่ยา/น้องยา/พี่นาง/น้องนางเธอ

๓. “กรมหลวง”(อ่านว่า กฺรม-มะ-หลวง) สำหรับพระราชทานเจ้าฟ้าชั้นใหญ่

๔. “กรมขุน”(อ่านว่า กฺรม-มะ-ขุน) สำหรับพระราชทานเจ้าฟ้าชั้นเล็ก

๕. “กรมหมื่น”(อ่านว่า กฺรม-มะ-หมื่น) สำหรับพระราชทานพระองค์เจ้า

ภายหลังจากที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาส ทำให้การทรงกรมของเจ้านายเป็นเพียงการเฉลิมพระเกียรติยศเจ้านายพระองค์นั้นให้สูงขึ้น ไม่มีการตั้งกรมขึ้นใหม่แต่อย่างใด

และพระองค์มีพระราชนิยมจากการเฉลิมพระยศในต่างประเทศ โดยการนำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม เช่น Prince of Wales ของสหราชอาณาจักร จึงมีพระบรมราชวินิจฉัยนำชื่อเมืองในสยามมาทรงกรมให้เจ้านาย เช่น กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นต้น

“การทรงกรม” โดยใช้ธรรมเนียมนำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม แบบนี้เรื่อยมาจนถึงจนถึงล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๙

พอมาถึงแผ่นดินรัชกาลปัจจุบัน การสถาปนา “การทรงกรม” แก่พระบรมวงศ์ เป็นการหวนคืนไปใช้พระราชธรรมเนียมแบบเดิม คือ พระเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ใช้การเฉลิมพระยศ “การทรงกรม” แบบเดิมแทนที่นำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม แบบรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระองค์สุดท้ายที่มีการทรงกรมแบบหลังนี้ คือ “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์”

เจ้านายที่ได้รับการสถาปนาพระยศ “การทรงกรม” ในรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้

๑. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี “กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี”

๒. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี “กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ”

๓. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี “กรมหมื่นสุทธนารีนาถ”

รวมทั้งการกลับมาใช้ “กรมสมเด็จพระ” ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดเหนือพระบรมวงศ์ทั้งปวง ที่มีการเริ่มใช้ครั้งแรกในช่วงรัชกาลที่ ๓ จนกระทั่งเลิกใช้ไปในช่วงรัชกาลที่ ๖ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า” โดยยังทรงพระอิสริยยศ “กรมสมเด็จพระ” และ “สยามบรมราชกุมารี” ตามที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ

“ฝ่ายหน้า” หมายถึง เจ้านายพระองค์นั้นเป็นผู้ชาย

“ฝ่ายใน” หมายถึง เจ้านายพระองค์นั้นเป็นผู้หญิง

ขอบคุณข้อมูลธรรมเนียม “การทรงกรม” จากเพจโบราณนานมา

____________________________________________

Prince of Nakhon Chaisi Suradet and Mom Chao Pravassawasdi

This restored and AI-enhanced portrait depicts H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช] and Mom Chao Pravassawasdi Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ] (née Sonakul [โสณกุล]), his first consort. The portrait has been recreated in colour from the original black-and-white image, with the background of Wang Mahanak Palace [วังมหานาค].

Field Marshal H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi was born Prince Chirapravati Voradej [พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช] on 7 November 1876 (B.E. 2419) and passed away on 4 February 1913 (B.E. 2456), aged 37. He was the 18th son of King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว], by Chao Chom Manda Thapthim [เจ้าจอมมารดาทับทิม], daughter of Phraya Upphanttrikamart (Dit Rojanadis) [พระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)].

His full siblings were:

  1. H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช]

  2. H.R.H. Princess Prawetsaworasamai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย]

  3. H.R.H. Prince Vudhijaya Chalermlabh, Prince of Singha Vikrom Kriangkrai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร, พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ]

After completing his education in Denmark, Prince Chirapravati Voradej entered the service of the Siamese Army and the Ministry of Defence, holding key posts such as Director of the Department of Military Operations, Deputy Commander-in-Chief of the Army, Chief of the General Staff, and finally Minister of Defence. He became the second Field Marshal of the Siamese Army.

On 10 April R.S. 131 (A.D. 1912), he was appointed Commander of the Special Division of the Wild Tiger Corps (Sua Pa) for Nakhon Chaisi. He was also instrumental in establishing the Army Aviation Corps, after consultations with his younger half-brother H.R.H. Prince Purachatra Jayakara, Prince of Kamphaeng Phet [สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ], then Chief of the General Staff, on the necessity for Siam to acquire military aircraft like other modern nations. This corps later developed into the Royal Thai Air Force.

On 11 November 1911 (B.E. 2454), he was elevated to the rank of H.R.H. Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช] with a noble title rank of 15,000 rai and was exceptionally authorised to wear the uniform of a Grand Commissioner of the Royal Police Department.

He resided at Wang Mahanak Palace [วังมหานาค], together with his mother Chao Chom Manda Thapthim, and became the founder of the Chirapravati Family [ราชสกุลจิรประวัติ].

Prince Chirapravati Voradej married Mom Chao Pravassawasdi Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ](née Sonakul [โสณกุล], 25 December 1883 – 11 December 1902) on 12 August 1898 (B.E. 2441). They had the following children:

  1. M.C. Vimala Badamaraj Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงวิมลปัทมราช จิรประวัติ] (17 May 1899 – 3 February 1965)

  2. M.C. Nivas Svasti Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดี จิรประวัติ] (16 July 1900 – 28 March 1976)

  3. M.C. Prasobsri Chirapravati [หม่อมเจ้าประสบศรี จิรประวัติ] (8 November 1901 – 19 November 1940)

  4. Unnamed daughter [หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม], who died in infancy.

After the death of his first consort, Prince Chirapravati Voradej remarried on 28 April 1904 (B.E. 2447) to Mom Chao Sumornmalya Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ จิรประวัติ] (née Sonakul [โสณกุล], 14 April 1888 – 21 February 1939), the younger sister of his first consort. They had two sons together:

  1. M.C. Nidasanadhorn Chirapravati [หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ] (9 January 1906 – 3 March 1963)

  2. M.C. Khachorn Chirabandha Chirapravati [หม่อมเจ้าขจรจิรพันธ์ จิรประวัติ] (16 October 1912 – 15 August 1971), who was nicknamed Than Chai Nok [ท่านชายนอก] as he was born abroad.

In this portrait, Prince Chirapravati Voradej is depicted wearing his white uniform as Deputy Commander of the Army General Staff. Mom Chao Pravassawasdi is dressed in a khamphu skirt (ก้ามปู) with a din daeng thet (ดินแดงเทศ) shawl, the auspicious colour combination for Sunday according to Siamese tradition.

The Custom of Krom Titles in Siam

In Siamese tradition, a royal title known as “Krom” (กรม) was a form of isriyayot (อิสริยยศ) — a noble dignity conferred by the King. This was distinct from ordinary promotion in rank. The practice of granting Krom titles dates back to the reign of King Narai the Great of Ayutthaya [สมเด็จพระนารายณ์มหาราช] in the 17th century, and was bestowed upon princes and princesses as an honour for their service to the realm.

Originally, the King would establish a new “Krom” — effectively a household or office under the prince’s name — with courtiers, officials, accountants, and retainers under his command. For example, Prince Chat [พระองค์เจ้าฉัตร] was styled Krom Muen Surinrak [กรมหมื่นสุรินทรรักษ์], with officials of that “Krom” holding corresponding titles.

Levels of Krom Titles

The hierarchy of Krom titles had five principal levels, in ascending order of prestige:

  1. Krom Muen (กรมหมื่น) – usually granted to a Phra Ong Chao (พระองค์เจ้า, prince or princess of lower rank).

  2. Krom Khun (กรมขุน) – typically granted to junior Chao Fa (เจ้าฟ้า, princes of higher birth).

  3. Krom Luang (กรมหลวง) – granted to senior Chao Fa of importance, often entrusted with major state or military responsibilities.

  4. Krom Phra (กรมพระ) – a higher dignity, often for princes or princesses close to the throne, such as the Front Palace (วังหน้า) or Rear Palace (วังหลัง).

  5. Krom Phraya (กรมพระยา) or Krom Somdet Phra (กรมสมเด็จพระ) – the highest rank of Krom, reserved for the most senior royals, equivalent in dignity to a Grand Duke or Archduke in Europe.

Evolution of the Custom

During the reign of King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว], after the abolition of slavery, Krom titles became largely honorific. The King adopted the European practice of adding the name of a city or province to princely titles (as in “Prince of Wales”). Thus Siamese princes became styled, for example:

  • Krom Luang Ratchaburi Direkrit [กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์]

  • Krom Phra Kamphaengphet Akkarayothin [กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน]

  • Krom Luang Phitsanulok Prachanat [กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ]

This system of appending a city name to a Krom title continued up to King Bhumibol Adulyadej (Rama IX). The last to receive such a title was H.R.H. Princess Galyani Vadhana [สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา], styled Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra [กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์].

In the present reign, the King has revived the older custom of granting Krom as a direct elevation of dignity, without using the name of a city. Recent examples include:

  • H.R.H. Princess Chulabhorn Walailak [สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์], titled Krom Phra Srisavangavadhana Vorakhattiya Rajanari [กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี]

  • H.R.H. Princess Bajrakitiyabha Narendira Debyavati [สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี], titled Krom Luang Rajasarinisiri Pachara Maha Vajra Rajadhita [กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา]

  • H.H. Princess Soamsawali [พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี], titled Krom Muen Suddhanarinatha [กรมหมื่นสุทธนารีนาถ]

Furthermore, the highest form, “Krom Somdet Phra” (กรมสมเด็จพระ), once discontinued after the reign of King Vajiravudh (Rama VI), has been revived. This was bestowed upon H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn [สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า], styled Somdet Phra Kanitthathirat Chao, Krom Somdet Phra Theprat Ratchasuda, Siam Borommarajakumari [สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี].

Notes

  • Phai Nai (ฝ่ายใน) = female member of the royal family

  • Phai Na (ฝ่ายหน้า) = male member of the royal family

Thus, “Krom” titles were Siam’s closest equivalent to European dukedoms or archdukedoms, combining honour, symbolic administrative identity, and social prestige.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand

Next
Next

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารและพระเจ้าลูกยาเธอ