สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ประสูติแต่ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2427
ภาพต้นฉบับเหล่านี้คาดว่าถ่ายที่อังกฤษ ขณะเสด็จประทับรักษาพระโรคพระวักกะพิการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ (ค.ศ. ๑๙๒๒) ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ ทั้งนี้สามารถสังเกตได้จากฉลองพระองค์แบบ Art Deco และพระเกศาทรงลอนคลื่นซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนั้น
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ทรงเป็นพระโสทรกนิษฐภคินี (น้องสาวร่วมบิดามารดา) ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นพระโสทรเชษฐภคินี (พี่สาวร่วมบิดามารดา) ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ชาววังออกพระนามพระองค์ว่า “ทูลกระหม่อมฟ้าหญิง” หรือบ้างก็ออกพระนามพระองค์ว่า “ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงแหม่ม” ด้วยพระองค์ทรงไว้พระเกศายาว ไม่ได้เกล้าพระเมาฬี และทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดกระโปรงแบบตะวันตกตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เมื่อพระชนมายุ 37 ชันษา พระอาการประชวรของพระองค์เริ่มฉายชัด ปรากฏหลักฐานระบุว่า พ.ศ. 2464 (บ้างก็ว่า พ.ศ. 2465) พระองค์ทรงประชวรพระโรค พระวักกะพิการ (ไตวาย)
สมเด็จฯ พระบรมราชชนก จึงเสด็จกลับจากสหรัฐอเมริกา และกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เพื่อเชิญเสด็จพระโสทรเชษฐภคินีไปรักษาพระองค์ในยุโรป
คณะที่ตามเสด็จคราวนั้น นอกจากพระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ทั้ง 2 พระองค์แล้ว ยังมี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตนจาตุรนต์, พระยาชนินทรภักดี (ปลี่ยน หัสดิเสวี), ม.จ.สุภาภรณ์ ไชยันต์, คุณพัว สุจริตกุล (ต่อมาคือท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร)
เมื่อเสด็จประทับยังโรงพยาบาลในประเทศอังกฤษ แพทย์ได้ผ่าตัดพระวักกะออกข้างหนึ่ง จากนั้นพระพลานามัยของพระองค์ก็ค่อยๆ ฟื้น ทรงพระสำราญดีขึ้น ทรงแต่งพระองค์งดงามด้วยเฟอร์และพระมาลา เป็นที่ชื่นชมยินดีของคณะผู้ตามเสด็จและข้าในพระองค์ถ้วนหน้า
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปกว่า 10 ปี พระโรคพระวักกะพิการก็กลับมาอีกครั้ง
ใน พ.ศ. 2479 สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ทรงพระประชวรพระโรคเดิม ขณะนั้นสมเด็จฯ พระบรมราชชนกสวรรคตแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งสมเด็จฯ พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเลี้ยงดูประดุจพระราชโอรส จึงทรงรับหน้าที่เชิญเสด็จพระองค์ไปรักษายังประเทศอังกฤษอีกครั้ง
เมื่อจบการรักษาที่โรงพยาบาล ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงได้เสด็จไปประทับกับพระราชนัดดาทั้ง 3 พระองค์ที่สวิตเซอร์แลนด์ ทั้งยังทรงเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ที่ทรงสละราชสมบัติและประทับอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ และได้เสด็จเยี่ยมพระญาติวงศ์ที่เสด็จลี้ภัยในยุโรป ซึ่งสร้างความสำราญพระทัยให้พระองค์เป็นที่ยิ่ง ก่อนพระองค์จะเสด็จกลับประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การรักษาพระองค์ในครั้งที่ 2 นี้ ไม่ได้เป็นการรักษาแบบหายขาด
หนังสือ “สุทธิสิริโสภา” หนังสืออนุสรณ์ที่โรงเรียนราชินีจัดทำขึ้นในคราวที่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริโสภา ผู้จัดการโรงเรียนราชินี สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2541 เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า (ย่อหน้าใหม่และเน้นคำโดย กอง บก. ศิลปวัฒนธรรม)
“หลังจากที่เสด็จกลับจากยุโรปครั้งที่สองนี้ สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ทรงมีพระอาการไม่ดีขึ้น
ก่อนเสด็จกลับแพทย์ที่ถวายการรักษาได้กราบทูลกับกรมขุนชัยนาทนเรนทรว่า สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร จะมีพระชนม์ได้อีกไม่เกินห้าเดือน และสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ก็ทรงมีรับสั่งว่า ‘หมอเขาให้มาตายที่เมืองไทย’
พระองค์เสวยแต่อาหารรสจืดและเสวยได้เพียงเล็กน้อย โปรดสรงน้ำด้วยน้ำอุ่นและหลังจากสรงและจะทรงใช้โอเดอโคโลญเป็นประจำ เมื่ออากาศเย็นเล็กน้อยจะรู้สึกพระองค์ว่าหนาว และจะทรงสวมเสื้อหนาวทันที…”
พระอาการประชวรของพระองค์เริ่มหนักขึ้นตั้งวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 โดยมีพระอาการบวมตามพระองค์ กระทั่งวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน เวลา 23.15 นาฬิกา สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ก็สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการสงบ ณ วังคันธวาส ถนนวิทยุ
ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2568
อ่านบทความต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_152553
___________________________
Princess Valaya Alongkorn, Princess of Phetchaburi (สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร)
This AI-restored and creatively enhanced portrait depicts Princess Valaya Alongkorn, Princess of Phetchaburi (สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร), a daughter of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama V) and Queen Sri Savarindira, the Queen Grandmother (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า). She was born on 16 April 1884 (พ.ศ. ๒๔๒๗).
The original photographs are believed to have been taken in England, during her stay for treatment of renal disease in 1922 (พ.ศ. ๒๔๖๕), in the latter part of King Vajiravudh’s reign (รัชกาลที่ ๖). The period can be identified by her Art Deco–inspired attire and the soft marcel-wave hairstyle popular at the time.
Princess Valaya Alongkorn was the younger full sister (พระโสทรกนิษฐภคินี) of Crown Prince Maha Vajirunhis (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร), and the elder full sister (พระโสทรเชษฐภคินี) of Prince Mahidol Adulyadej, the Prince Father (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก).
Within the palace, she was affectionately known as “Thun Kramom Fa Ying” (ทูลกระหม่อมฟ้าหญิง), or sometimes “Thun Kramom Fa Ying Maem” (ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงแหม่ม) because she wore her hair long, without the traditional topknot, and dressed in Western gowns from childhood.
Illness and First Journey to Europe
At the age of 37, signs of her illness became evident. Records indicate that in 1921 or 1922 (พ.ศ. ๒๔๖๔–๒๔๖๕) she developed renal failure (พระวักกะพิการ).
Prince Mahidol Adulyadej (สมเด็จฯ พระบรมราชชนก) returned from the United States to petition King Vajiravudh (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama VI) for permission to accompany his elder sister to Europe for medical treatment.
The royal party included:
– Princess Srinagarindra (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)
– Prince Anuwat Chaturon (พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตนจาตุรนต์)
– Phraya Chaninthrabhakdi (พระยาชนินทรภักดี – ปลี่ยน หัสดิเสวี)
– M.C. Suphaphon Chaiyan (ม.จ.สุภาภรณ์ ไชยันต์)
– Khun Phua Sujittkul (คุณพัว สุจริตกุล; later Than Phu Ying Phua Anurak Ratchamontien – ท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร)
In England, surgeons removed one of her kidneys. Her health gradually improved afterward. She was said to be in good spirits, dressing elegantly in fur and Western hats, to the delight of her attendants and companions.
Relapse and Second Journey to Europe
A decade later, the disease returned.
In 1936 (พ.ศ. ๒๔๗๙), Princess Valaya Alongkorn suffered a relapse. By then, Prince Mahidol had already passed away. Prince Chainat Narenthorn (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร)—whom the Queen Grandmother raised as her own—took responsibility for escorting the Princess to England again for further treatment.
After receiving treatment, she stayed with her royal nieces and nephews in Switzerland, and later visited King Prajadhipok (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama VII), who had abdicated and was then residing in England. She also visited Thai royal relatives living in exile in Europe, bringing her much happiness before returning to Siam.
However, this second course of treatment did not cure her condition.
Final Months
The memorial book Sutthisirisopa (สุทธิสิริโสภา), published by Rajini School, recounts her final months:
“After returning from Europe for the second time, Princess Valaya Alongkorn, Princess of Phetchaburi (สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร) did not improve.
Before her return, the attending physicians informed Prince Chainat Narenthorn that she was unlikely to live more than five months. The Princess herself remarked: ‘The doctor sent me home to die in Thailand.’
She ate only bland food, and even then only a little. She preferred warm baths and would apply eau de cologne afterwards. Whenever the weather cooled, she felt cold and immediately donned a warm coat…”
Her condition worsened from 12 February 1938 (พ.ศ. ๒๔๘๑), with increasing swelling. On 15 February 1938 at 11:15 p.m., Princess Valaya Alongkorn passed away peacefully at Wang Kanthawaat (วังคันธวาส), Witthayu Road (ถนนวิทยุ).
Written by: Silpa-Mag Editorial Team (กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม)
Published: Monday, 12 May 2025
Original article: https://www.silpa-mag.com/history/article_152553
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand