พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (ตอนที่ ๑)
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (ตอนที่ ๑)
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติเมื่อวันเสาร์ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๔๘ ในสกุล “อภัยวงศ์” เป็นธิดาของพระยาอภัยภูเบศร์ (เลื่อม อภัยวงศ์) มารดาคือคุณเล็ก บุนนาค มีพระนามเดิมว่า เครือแก้ว ทรงรับการศึกษาอบรมในพระบรมมหาราชวังโดยอยู่ในความดูแลของยายคือ ท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) ผู้อำนวยการละครหลวงฝ่ายในกรมมหรสพ ทรงรับการฝึกฝนดุริยางคศิลป์ไทยในราชสำนักจนได้รับเลือกเป็นต้นเสียง
ในเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๗ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรมเป็นครั้งแรก ณ พระราชนิเวศน์ มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่องพระร่วงในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดงเป็นนายมั่น ท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (ไล้ สุจริตกุล) แสดงเป็นนางจันทน์ ส่วนนางสาวเครือแก้วแสดงเป็นสาวใช้ ในเดือนมิถุนายนพุทธศักราช ๒๔๖๗ ขณะที่ยังประทับ ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาพระราชทานนามใหม่ให้นางสาวเครือแก้วว่า “สุวัทนา”
วันที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาคุณสุวัทนาขึ้นเป็น “เจ้าจอมสุวัทนาพระสนมเอก” ทรงจดทะเบียนอภิเษกสมรส ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง แล้วคล้องพระกรนำไปนมัสการพระพุทธปฏิมา ณ พระพุทธรัตนสถานโดยลอดซุ้ม กระบี่ของแถวราชองครักษ์ทหารบก ทหารเรือ เสือป่า และพระตำรวจหลวงรักษาพระองค์ จำนวน ๘๔ นาย
วันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๖๘ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯสถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ด้วยเหตุผลซึ่งปรากฏในคำประกาศสถาปนาดังนี้
ทรงพระราชดำริหว่า เจ้าจอมสุวัทนาได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณโดยความซื่อสัตย์กตเวที มีความจงรักภักดีในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท เปนที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมควรที่จะได้ทรงยกย่องให้เปนใหญ่ เพื่อผดุงพระราชอิศริยยศแห่งพระกุมารที่จะมีพระประสูติการในเบื้องหน้า อนึ่งเจ้าจอมสุวัทนาก็เปนเชื้อสกุลที่บรรพบุรุษทั้ง ๒ ฝ่ายได้รับราชการมีความดีความชอบในราชการ ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินต่อเนื่องกันมาหลายชั่วคนคือ ข้างฝ่ายบิดาของเจ้าจอมสุวัทนาเปนเชื้อสายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งได้เคยรับราชการเปนผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองต่างพระเนตรพระกรรณตั้งแต่รัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี พระองค์ที่หนึ่งมาจนเมื่อเร็วๆ นี้ฝ่ายมารดาก็เปนเชื้อสายสืบสกุลลงมาจากเจ้าพระยาอัครมหาเสนาทางสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์และเจ้าพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ นับว่าเปนผู้มีสกุลสูงทั้งสองสาย จะทรงยกย่องให้ เจ้าจอมสุวัทนามีอิศรยยศสูงในตำแหน่งก็สมควรแล้ว จึงมีพระบรมราช โองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา เจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเปนเจ้า มีพระอิศรยยศเปนพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี จงทรงเจริญพระชนมายุ วรรณสุข พล ปฏิภาณ คุณสารสมบัติสรรพสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลทุกประการ เทอญฯ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มทรงพระประชวรตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ เป็นต้นมา และพระอาการทรุดลงตามลำดับ ครั้นถึงวันอังคาร ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๕๕ นาที พระนางเจ้าสุวัทนาพระวรราชเทวีประสูติพระราชธิดา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรพระราชธิดาเมื่อวันที่ ๒๕ เพียงระยะสั้นๆ ต่อมาทรงรู้สึกพระองค์น้อยลงจนสวรรคต เมื่อเวลา ๑ นาฬิกา ๔๕ นาที ของวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามพระราชธิดา ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า สมเด็จพระภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรรราชเทวีและพระราชธิดาประทับ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน จนถึงวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๘ จึงย้ายไป ประทับที่ตำหนักเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (แพ บุนนาค) ในพระบรมมหาราชวังและเสด็จออกจากพระบรมมหาราชวังไปประทับที่ตำหนักสวนหงส์ พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐
เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖ เกิดการพิพาทกันระหว่างรัฐบาลกับคณะพระองค์เจ้าบวรเดช คณะรัฐบาลเกรงจะถวายอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งประทับอยู่ ณ วัง ต่างๆ ไม่ดีพอจึงเชิญพระราชวงศ์ฝ่ายในให้เสด็จเข้าไปประทับในพระบรมหาราชวังเป็นการชั่วคราวจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกลงในพระบรมมหาราชวังชั้นใน เจ้านายฝ่ายในจึงต้องเสด็จออกจากพระบรมมหาราชวังไปเป็นส่วนมาก
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ ไปประทับกับสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสา มาตุจฉาเจ้า (สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ทั้งนี้เนื่องจากสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าทรงพระเมตตาห่วงใยพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเป็นอย่างยิ่ง ในวันประชวรพระครรภ์พระองค์เสด็จไปทอดพระเนตรพระอาการรับสั่งปลอบโยนและประทับอยู่จนประสูติพระราชธิดา
พระนางเจ้าสุวัทนาและพระราชธิดาประทับอยู่ในวังสระปทุมได้ระยะหนึ่ง ก็เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่จังหวัดสงขลา สมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าและฝ่ายในรวมทั้งพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ จึงโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปประทับที่ จังหวัดสงขลาด้วย
เมื่อเหตุการณ์สงบเจ้านายเสด็จกลับกรุงเทพฯ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีและพระราชธิดาจึงตามเสด็จสมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า กลับมาประทับที่วังสระปทุมระยะหนึ่ง แล้วเสด็จกลับเข้าไปประทับที่พระตำหนักในสวนสุนันทาพระราชวังดุสิต
สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ เจริญพระชนมายุขึ้น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีขอพระราชทานพระราชานุญาตสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า เชิญสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอฯ ไปประทับ ณ วังสวนรื่นฤดี ที่ถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัยซึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเมื่อคราวอภิเษกสมรส ตำหนักนี้ สร้างตามแบบที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริมาแต่ก่อน ว่าจะทรงสร้างในที่ดินพระราชทานอีกแปลงหนึ่งใกล้บริเวณท่าวาสุกรี
บทความต้นฉบับอ่านได้จากเว็ปไซต์ มูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา https://www.bsf.or.th/about/history/suvadhana/biography-suvadhana/
_________________
Queen Suvadhana (Phra Worarajatewi)
Queen Suvadhana (พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี) was born on Saturday, 15 April 1905 (B.E. 2448), in the Year of the Snake, into the Abhaiwongse (อภัยวงศ์) family. Her father was Phraya Abhaibhubejhr (Lueam Abhaiwongse), and her mother was Khun Lek Bunnag, a member of the distinguished Bunnag lineage. Her birth name was Khrua Kaew (เครือแก้ว).
She was educated within the Grand Palace, under the care of her maternal grandmother Thao Si Sunthon Nat (Kaew Phanomwan na Ayutthaya), Director of the Royal Inner Court Theatre (กรมมหรสพ). There, she received rigorous training in Thai classical music and dramatic arts and was later selected as a lead vocalist (ต้นเสียง) in royal performances—an achievement reflecting both talent and discipline within court culture.
Entry into Royal Favour
In April 1924 (B.E. 2467), when King Vajiravudh made his first royal visit to reside at Maruekhathaiyawan Palace, a performance of his royal play Phra Ruang was staged. The King himself played Nai Man, Than Phuying Suthammamontri (Lai Sujaritkul) portrayed Nang Chan, while Miss Khrua Kaew appeared in the role of a maidservant.
In June 1924, during the same residence at Maruekhathaiyawan Palace, the King graciously bestowed upon her the new name “Suvadhana (สุวัทนา)”.
Elevation and Marriage
On 10 August 1924, she was elevated to Chao Chom Suvadhana, principal royal consort, and her marriage to King Vajiravudh was formally registered at Boromphiman Throne Hall within the Grand Palace. The royal procession then proceeded beneath an arch of swords formed by 84 guards—from the Army, Navy, Wild Tiger Corps, and Royal Police—to pay homage at the Phra Phuttha Rattana Sathan.
On 11 October 1925, a royal proclamation elevated her to the rank of Queen Suvadhana, Phra Wararajatewi. The proclamation cited her loyalty, devotion, and trusted service, as well as the distinguished lineage of both her paternal Abhaiwongse line and her maternal Bunnag ancestry, which had served the Siamese throne with distinction across multiple reigns.
Motherhood and Bereavement
King Vajiravudh fell gravely ill from 11 November 1925. On 24 November 1925 at 12:55 p.m., Queen Suvadhana gave birth to a daughter. The King was able to see his child briefly on 25 November, but his condition deteriorated, and he passed away at 1:45 p.m. on 26 November 1925.
The newborn princess was later named by King Prajadhipok as Princess Bejaratana Rajasuda (Somdej Phra Chao Bhātikā Thoe Chao Fa Phetcharat Rajasuda Sirisobhanawadi).
Later Life and Residences
Following the King’s death, Queen Suvadhana and her daughter resided at Thep Sathan Phillas Throne Hall until January 1926, before moving to the residence of Chao Phraya Prayurawongse (Phae Bunnag) within the Grand Palace. In May 1927, they relocated to Suan Hong Palace in the Dusit area.
During the political unrest of October 1933 (the Boworadet Rebellion), members of the royal family were temporarily gathered within the Grand Palace for security. After an aircraft accident occurred within the Inner Palace grounds, many royal ladies departed. Queen Suvadhana and Princess Bejaratana were then taken into the care of Queen Savang Vadhana, who had shown deep personal concern for Queen Suvadhana since her pregnancy.
Amid further instability, Queen Suvadhana, her daughter, and other members of the royal family accompanied King Prajadhipok to Songkhla Province. Once calm was restored, they returned to Bangkok, residing for a time at Srapathum Palace, and later at Suan Sunandha Palace.
As Princess Bejaratana grew older, Queen Suvadhana sought permission to reside with her daughter at Ruen Ruedi Palace (Wang Suan Ruen Ruedi), at the junction of Ratchasima Road and Sukhothai Road—a residence granted to her by King Vajiravudh at the time of their marriage and built according to his earlier personal design intentions near the Tha Wasukri area.
_________________
เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO