ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี

ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี

ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี (สกุลเดิม สุทธิบูรณ์; 25 ธันวาคม พ.ศ. 2446 – 24 กันยายน พ.ศ. 2543) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย ทั้งยังเป็นผู้คิดค้นท่ารำใหม่โดยยึดระเบียบแบบแผนตามประเพณีโบราณ และมีความสามารถในการประพันธ์บทโขนละคร เคยเป็นหม่อมในสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถือเป็นหญิงสามัญชนที่ไม่ใช่ลูกหลานขุนนางคนแรกที่ได้เป็นสะใภ้หลวง หลังการทิวงคตของอดีตสามี ท่านได้สมรสอีกครั้งกับหม่อมสนิทวงศ์เสนี (หม่อมราชวงศ์ตัน สนิทวงศ์) ซึ่งเป็นทูตไทยในทวีปยุโรป มีบุตรด้วยกันสี่คน ครั้นเมื่อกลับประเทศไทยใน พ.ศ. 2489 ท่านผู้หญิงแผ้วได้ใช้ความสามารถเชิงนาฏศิลป์ไทยของตนเข้ารับราชการในกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2491 และได้รังสรรค์ผลงานนาฏยประดิษฐ์ทั้งหมด 44 ท่วงท่า

ท่านผู้หญิงแผ้วได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นาฏศิลป์) เมื่อ พ.ศ. 2528 และได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นของชาติ สาขาศิลปะ ด้านนาฏศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2529 ต่อมาได้รับยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นบูรพศิลปิน สาขาศิลปะการแสดง ประจำปี พ.ศ. 2558 ท่านผู้หญิงแผ้วถึงแก่อนิกรรมเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2543

__________

ชีวิตช่วงต้น

ท่านผู้หญิงแผ้วเกิดที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นบุตรคนที่สองจากทั้งหมดสามคนของเฮง และสุทธิ สุทธิบูรณ์ มีพี่สาวชื่อทับทิม คลี่สุวรรณ และน้องชายชื่อสหัส สุทธิบูรณ์ วัยเด็กท่านเคยอยู่ในพระบรมมหาราชวังกับย่า เนื่องจากคุณย่ามีตำแหน่งเป็นพนักงานฝ่ายในในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่หลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตจึงกลับบ้านเดิมที่จังหวัดฉะเชิงเทรา

ขณะอายุได้แปดปี บิดามารดาหมายจะให้ท่านไปเรียนหนังสือกับเอ็ดนา ซาราห์ โคล หรือแหม่มโคล เพราะในยุคสมัยนั้นผู้หญิงไม่ใคร่มีโอกาสได้ร่ำเรียนดั่งบุรุษเพศ ต่อมามีคนจากวังสวนกุหลาบมาบอกกล่าวว่าสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ทรงก่อตั้งคณะละครเด็กเล็กในวัง โดยให้เรียนหนังสือและเรียนรำละครด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านผู้หญิงแผ้วจึงถวายตัวเข้าพระตำหนักวังสวนกุหลาบ โดยมีท้าวนารีวรคณารักษ์ (แจ่ม ไกรฤกษ์) เป็นผู้ปกครอง

ท่านผู้หญิงแผ้วได้กล่าวถึงการเรียนที่นั่นไว้ว่า
“…เมื่อเข้าไปอยู่ในวังได้ถวายตัวหัดรำละคร เรียนรำตั้งแต่ย่ำรุ่งถึง 2 โมงเช้าจึงเสร็จ ถึงได้รับประทานอาหารเช้า ที่เรียนอยู่ไม่ได้เรียนรำอย่างเดียว เรียนทำกับข้าว ปั้นขนมจีบด้วย วันละครึ่งชั่วโมง ตอน 5 โมงเช้า แล้วเรียนเย็บปักสะดึงต่ออีกครึ่งชั่วโมง หนังสือก็ต้องเรียนด้วยวันละชั่วโมงมีครูมาสอนทุกวัน…”

เมื่ออยู่ที่นั่น ท่านได้เล่าเรียนจนอ่านออกเขียนได้ ทั้งยังแตกฉานสามารถแต่งกลอนได้ดี กอปรกับเป็นหญิงที่มีดวงหน้าสะสวย เพรียบพร้อมด้วยจรรยามารยาท จึงได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างเต็มที่

__________

นางละครผู้มีชื่อ

หลังการถวายตัวเข้าวัง ท่านผู้หญิงแผ้วได้รับการฝึกฝนนาฏศิลป์จากท้าววรจันทร์ (เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่ 4) เจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ 4 เจ้าจอมมารดาทับทิม ในรัชกาลที่ 5 หม่อมแย้มในสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) หม่อมอึ่งในสมเด็จพระบัณฑูรฯ และหม่อมแก้วในเจ้าพระยาสุรวงษ์ฯ ซึ่งล้วนเป็นนางละครผู้มีชื่อ

นอกจากวังสวนกุหลาบแล้ว ท่านยังมีโอกาสไปฝึกฝนการแสดงที่วังแพร่งนราของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ สามารถรับบทเป็นตัวเอกทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เช่น อิเหนาและดรสา จากเรื่องอิเหนา หรือ สีดา พระพิราพ และทศกัณฐ์ จากเรื่องรามเกียรติ์

ท่านผู้หญิงแผ้วกล่าวถึงการฝึกซ้อมการแสดงเป็นอิเหนาที่วังวรวรรณไว้ว่า
“…หลังจากที่ฉันอยู่ฝนวังสวนกุหลาบได้สักระยะหนึ่ง เจ้าฟ้าอัษฎางค์ได้ส่งฉันไปฝึกหัดที่วังกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ หัดกับเจ้าจอมมารดาเขียน ท่านเจ้าจอมหัดให้ฉันเป็นอิเหนา เมื่อเวลาฉันทำไม่ดี ท่านจะตีฉัน ฉันเอามือรับจนหัวแม่มือด้านซ้ายแตก ฉันอยู่ที่วังกรมพระนราฯ หลายเดือน…”

จากการฝึกฝนและการเคี่ยวเข็ญดังกล่าว ทำให้ท่านผู้หญิงแผ้วมีโอกาสแสดงถวายหน้าพระที่นั่งตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยท่านได้รับบทบาทเป็นอิเหนา จากละครในเรื่องอิเหนา ตั้งแต่ตอนเข้าห้องนางจินตะหราจนถึงตอนศึกกะหมังกุหนิง และยังได้รับบทเด่นในละครนอก เช่น พระไวย และไกรทอง จนมีชื่อเสียงอย่างมาก

ได้เลยครับ ต่อไปนี้เป็น เนื้อหาต่อเนื่องจากตอน “นางละครผู้มีชื่อ” จัดเป็นย่อหน้าเรียบร้อย ลบเลขอ้างอิงทั้งหมด และใช้ “ท่าน” แทน “เธอ” ตลอด โดยไม่เปลี่ยนถ้อยคำหรือสาระเดิมใด ๆ

__________

สะใภ้หลวง

ขณะท่านผู้หญิงแผ้วมีอายุ 13 ปี ได้ทำการแสดงที่กระทรวงการต่างประเทศ แสดงคู่กับคุณหญิงเทศ นัฏกานุรักษ์ โดยท่านได้แสดงเป็นเมขลา ส่วนคุณหญิงนัฏกานุรักษ์แสดงเป็นรามสูร ต่อมาได้แสดงเรื่องอิเหนา รับบทเป็นดรสา ที่กระโดดกองไฟตายตามระตู เป็นที่ต้องพระหฤทัยของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และทรงขอท่านเข้าเป็นหม่อมห้าม มีนามว่า หม่อมแผ้ว นครราชสีมา แม้จะเป็นการเสกสมรสกับหญิงสามัญชนแต่ก็ไม่มีผู้ใดขัดพระทัย ส่วนหนึ่งก็เพราะเจ้านายพระองค์นี้เป็นที่ห่วงใยของพระราชชนกชนนี เนื่องจากมีพระพลานามัยไม่สู้สมบูรณ์มานาน

หลังการทิวงคตของสมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เมื่อ พ.ศ. 2463 สามีของท่านได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งกรุงสยามแทน และต่อมาได้ทรงกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณรับหม่อมแผ้วเข้าเป็นสะใภ้หลวง ถือเป็นหญิงสามัญชนที่ไม่ใช่ลูกหลานขุนนางคนแรกที่ได้เป็นสะใภ้หลวง และได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้นทุติยจุลจอมเกล้าเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466

ท่านผู้หญิงแผ้วเปี่ยมสุขยิ่งในฐานะหม่อมในสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา โดยท่านกล่าวถึงช่วงชีวิตอันแสนสุขในขณะนั้นไว้ว่า
“…พอดีทูลกระหม่อมย้ายไปอยู่อยุธยาฉันก็ตามไปอยู่ด้วย ชีวิตที่อยุธยาก็นับว่าสนุกดีพอสมควร เมื่อมาอยู่ที่อยุธยาฉันชอบขี่ม้ามากและเป็นคนที่ขี่ม้าเก่งคนหนึ่ง โดยมากเป็นวันเสาร์และอาทิตย์ ฉันชอบขี่ม้าไปภูเขาทอง วังโบราณ เวลานั้นฉันช่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เพราะว่าเจ้าฟ้าอัษฎางค์ได้โปรดปรานฉันให้เป็นที่ปรากฏแก่คนทั้งหลาย จะสังเกตได้จากการที่พระองค์ออกรับแขกที่พระที่นั่งจักรีก็ดีหรือมีการเลี้ยงอาหารเย็น ทูลกระหม่อมก็ให้ฉันตามเสด็จไปด้วย เรียกว่าไปไหนก็ไปด้วยกันซึ่งไม่พลัดพรากจากกัน…”

ทว่าชีวิตสะใภ้หลวงได้สิ้นสุดลง เมื่อสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาประชวรด้วยพระโรคพระวักกะอักเสบ ก่อนทิวงคต ณ พระตำหนักวังสวนกุหลาบ พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2467 (ปฏิทินแบบปัจจุบัน พ.ศ. 2468) สิริพระชนมายุได้ 36 พรรษา ยังความทุกข์เข้าสู่จิตใจของหม่อมแผ้วยิ่งนัก โดยท่านเคยกล่าวถึงความรู้สึกของตนหลังการทิวงคตของสมเด็จพระอนุชาธิราชไว้ว่า
“…ตอนนั้นพระองค์ท่านมีพระชนมายุได้ 36 ปี ฉันอายุได้ 21 ปี ฉันรู้สึกว้าเหว่และเศร้าโศกถึงกับเป็นลมพับไป และรู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่มีอะไรแน่นอนทั้งสิ้น…”

ในปี พ.ศ. 2470 หม่อมแผ้วได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งหม่อมห้ามสะใภ้หลวง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาต และได้ถวายคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าที่ได้รับพระราชทานไว้ ท่านผู้หญิงแผ้วได้กล่าวถึงความยากลำบากหลังการสูญเสียสามีและการดำรงชีวิตโดยลำพังโดยไม่มีพระโอรสธิดาไว้ว่า
“…ฉันไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัวมาเลย เพราะฉันอยู่กับทูลกระหม่อมอัษฎางค์ เวลาฉันจะใช้ก็เบิกเอามาจากเจ้ากรม และเงินทั้งหลายแหล่ก็เป็นของทูลกระหม่อมอัษฎางค์ไม่ใช่ของหลวง หลังจากทูลกระหม่อมเสด็จทิวงคต ฐานะฉันก็ยอบแยบสิ้นดี อยู่ต่อมาฉันจึงนึกว่าฉันจะลาออก… ฉันจึงเอาตราสะใภ้หลวงซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ไปถวายคืนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และขอลาออกจากตำแหน่งชายา…”

__________

สมรสครั้งที่สอง

หลังสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาทิวงคตไปแล้วสามปี ท่านผู้หญิงแผ้วได้สมรสใหม่กับหม่อมราชวงศ์ตัน สนิทวงศ์ พระโอรสในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ กับหม่อมแจ่ม ซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหม่อมสนิทวงศ์เสนี เป็นทูตทหารประจำประเทศฝรั่งเศส ประเทศอังกฤษ และประเทศอิตาลี เป็นอัครราชทูตประจำประเทศโปรตุเกส และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ท่านผู้หญิงแผ้วได้ติดตามสามีซึ่งรับราชการเป็นทูตประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปในฐานะภรรยาทูต ทั้งสองมีบุตรธิดาด้วยกันจำนวน 4 คน ได้แก่ หม่อมหลวงแต้ว สนิทวงศ์, ท่านผู้หญิงนวลผ่อง เสนาณรงค์, พันตำรวจเอก (พิเศษ) หม่อมหลวงเติม สนิทวงศ์ และหม่อมหลวงตวง สนิทวงศ์

ขณะอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ท่านผู้หญิงแผ้วมีหน้าที่เลี้ยงดูบุตรไปพร้อมกับการทำงานบ้านด้วยตนเองทุกชนิด และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านต้องดูแลนักเรียนไทยที่ตกค้างอยู่ในประเทศอิตาลีเสมือนบุตรของตน ในยามตกระกำลำบาก ท่านได้ขายเครื่องประดับและของใช้ส่วนตัวมาจุนเจือค่าใช้จ่ายโดยไม่นึกเสียดาย ด้วยมองว่าเป็นการทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ หลังใช้ชีวิตเป็นภรรยาทูตในทวีปยุโรปราว 10 ปี ท่านผู้หญิงแผ้วและครอบครัวกลับไปอาศัยที่จังหวัดพระนครเมื่อ พ.ศ. 2489

__________

ปัจฉิมวัย

ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2543 สิริอายุ 96 ปี มีพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

ได้เลยครับ ต่อไปนี้คือ ส่วน “การทำงาน / นาฏยประดิษฐ์ / ลักษณะการสอน / ศิษย์ / เกียรติคุณ”
จัดเป็นย่อหน้าเรียบร้อย ลบเลขอ้างอิงทั้งหมด และ ใช้ “ท่าน” แทน “เธอ” ตลอด โดย ไม่เปลี่ยนถ้อยคำหรือสาระเดิม

การทำงาน

ท่านผู้หญิงแผ้วเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทยอย่างยิ่งยวด ด้วยมีท่ารำที่คล่องแคล่ว แข็งแรง และสอดประสานไปด้วยความอ่อนช้อย ในการแสดงท่านผู้หญิงแผ้วจะออกแสดงให้สมตามบทบาทและท่วงท่า ไม่ว่าจะเป็นบทกษัตริย์ ขุนนาง บุคคลสำคัญ หรือแม้กระทั่งสัตว์ ท่านมีความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์ท่ารำอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ซึ่งเกิดจากการสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เช่น การแต่งเติมท่ารำให้มีการยักเยื้องร่างกายส่วนต่าง ๆ ให้อ่อนไหวกว่ามาตรฐานไทยเดิม การขยับเท้าและลักคอตามจังหวะซึ่งได้มาจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของนก เป็นต้น

ท่ารำแต่ละท่าที่ท่านผู้หญิงแผ้วประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ จะถูกดัดแปลงให้สอดคล้องกับยุคสมัย งดงาม และเหมาะสมแก่บทบาท โดยยึดความถูกต้องตามระเบียบแบบแผนนาฏยจารีตของไทยที่มีมาแต่ครั้งโบราณเป็นที่ตั้ง บุนนาค ทรรทรานนท์ ศิษย์คนหนึ่งของท่านผู้หญิงแผ้ว ได้กล่าวถึงการสอนของท่านไว้ว่า การสอนของท่านผู้หญิงแผ้วเน้นท่าเก๋กว่าใคร และให้เป็นธรรมชาติ ท่านนำสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวันมาคิดเป็นท่ารำ

ด้วยเหตุนี้ ธนิต อยู่โพธิ์ หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร จึงได้เรียนเชิญให้ท่านผู้หญิงแผ้วช่วยปรับปรุง ฟื้นฟู และวางรากฐานด้านการละครและการรำให้แก่กรมศิลปากร ท่านเป็นผู้ออกแบบท่ารำ เป็นผู้ฝึกสอน และอำนวยการฝึกซ้อมการแสดงโขน ละคร และฟ้อนรำต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ท่านรับราชการในกรมศิลปากรในช่วง พ.ศ. 2491–2535 โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย เป็นผู้อำนวยการฝึกซ้อมการแสดงนาฏศิลป์ไทย และเป็นวิทยากรบรรยายความรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์ไทย ทั้งยังได้ปรับปรุงท่ารำพื้นฐานที่เคยเนิบช้าให้มีความกะทัดรัดและงดงามตามแบบแผน

__________

ผลงานนาฏยประดิษฐ์

ท่านผู้หญิงแผ้วมีผลงานนาฏยประดิษฐ์ ทั้งระบำ รำ และฟ้อน รวมทั้งหมด 44 ท่วงท่า ครอบคลุมนาฏยจารีตไทยและนาฏยจารีตผสมผสาน อาทิ ระบำสุโขทัย ซึ่งดัดแปลงมาจากการแสดงตอนหนึ่งของเรื่องอิเหนา ระบำชาวนา ซึ่งออกแบบท่ารำจากกิจกรรมการหว่านข้าว ไถนา เกี่ยวข้าว และฝัดข้าว ระบำมิตรสัมพันธ์มั่นใจไทย–เกาหลี ระบำกินรีร่อน ซึ่งเป็นการปรับปรุงท่ารำให้กลมกลืนกับเพลงเชิดจีน ผสมท่าเหินบินของกินรี และต่อมาได้เพิ่มเติมท่ารำบูชายันต์ของนางมโนราห์ต่อท้ายเพลงเชิดจีน

นอกจากนี้ยังมีระบำม้า หรืออัศวลีลา ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากท่วงท่าการแสดงระบำม้าที่ท่านเคยพบเห็นเมื่อครั้งสามีไปประจำอยู่ที่ประเทศโปรตุเกส แล้วนำมาดัดแปลงในแบบไทย ฟ้อนดวงเดือน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์มนตรี ตราโมท นำเพลงลาวดวงเดือนมาแบ่งเป็นบทชายและหญิงร้องโต้ตอบกัน และให้ท่านผู้หญิงแผ้วปรับท่ารำให้เข้ากับคำร้อง ใช้เป็นการแสดงสำหรับพระราชอาคันตุกะใน พ.ศ. 2506 รวมถึงท่วงท่ารำตอนหนึ่งของการแสดงลาวกระทบไม้ ซึ่งท่านผู้หญิงแผ้วเป็นผู้ออกแบบไว้

นาฏยจารีตผสมผสานของท่านผู้หญิงแผ้วเกิดจากการนำนาฏยจารีตต่างชาติมาผสานเข้ากับนาฏศิลป์ไทยอย่างกลมกลืน ได้รับคำชื่นชมว่างดงามและแปลกตา

__________

บทบาทด้านการคัดเลือกและเรียบเรียงบทการแสดง

ท่านผู้หญิงแผ้วยังมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกตัวแสดงโขนและละครให้เหมาะสมกับบทบาท เป็นผู้เรียบเรียงและจัดทำบทโขนและบทละครหลายชุด เช่น บทละครในเรื่องอิเหนา ตอนตัดต้นไม้ฉายกริช และตอนบุษบาชมศาล บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง ตอนเลือกคู่หาปลา และตอนตีคลี บทโขนรามเกียรติ์ ชุดนางลอย และชุดปราบประลัยกัลป์ เป็นต้น

__________

ลักษณะการสอนและศิษย์

ท่านผู้หญิงแผ้วเป็นที่รู้จักในนาม “หม่อมอาจารย์” มีลักษณะการสอนที่เข้มงวดและดุ การสอนรำของท่านมีลักษณะเฉพาะจนได้รับการกล่าวขานว่า “รำเก๋” ขณะที่ลมุล ยมะคุปต์ ได้รับคำชื่นชมว่า “รำสวย” และเฉลย ศุขะวณิช ได้รับคำชื่นชมว่า “รำงาม”

หลานของท่านผู้หญิงแผ้วได้อธิบายถึงลักษณะของท่านไว้ว่า ทุกท่วงท่าที่ท่านแสดงล้วนมีรูปแบบเฉพาะตัว แฝงไว้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีวินัย และเรียบง่าย พร้อมทั้งกล่าวถึงความเข้มงวดในการสอนว่า ท่านมักถือไม้เท้าคู่ใจ ใช้เคาะเป็นจังหวะขณะฝึกสอนท่ารำ แม้ความดุของท่านจะทำให้ผู้พบเห็นอดสงสารลูกศิษย์ไม่ได้ แต่เมื่อได้ชมการแสดงจริง ก็จะประจักษ์ว่าท่ารำนั้นงดงามอ่อนช้อยเกินคำบรรยาย

ท่านผู้หญิงแผ้วยังเป็นผู้ช่างสังเกต สามารถมองเห็นจุดเด่นของศิษย์แต่ละคนได้อย่างรวดเร็ว เพียงพบครั้งแรกก็สามารถชี้ได้ว่าผู้ใดเหมาะสมกับบทใด ท่านสอนให้กล้าพูด กล้าทำ หากสิ่งใดไม่ถูกต้องให้กล้าขัดและแสดงความคิดเห็นด้วยเหตุผล การติชมหรือแนะนำของท่านล้วนแฝงไว้ด้วยความหวังดี

ศิษย์ของท่านผู้หญิงแผ้วหลายคนได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย และได้รับการยกย่องในระดับชาติ เช่น ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์, จตุพร รัตนวราหะ, รัจนา พวงประยงค์ รวมถึงบุนนาค ทรรทรานนท์, สุดจิตต์ พันธ์สังข์, จันทนา ทรงศรี, ปกรณ์ พรพิสุทธิ์, วันทนีย์ ม่วงบุญ, ศิริพงษ์ ฉิมพาลี และคมสันฐ หัวเมืองลาด เป็นต้น

__________

เกียรติคุณ

ด้วยผลงานและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อวงการนาฏศิลป์ไทย ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2528 และได้รับการยกย่องเป็นบุคคลดีเด่นของชาติ สาขาศิลปะ ด้านนาฏศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2529

__________________

Than Phuying Phaeo Sanitwongse Senee

(née Sutthibun; 25 December 1903 – 24 September 2000)

This AI-restored and creatively enhanced image depicts Than Phuying Phaeo Sanitwongse Senee, one of Thailand’s foremost authorities on classical Thai dance. She was a master of traditional Thai dance (natasin), a pioneering choreographer who devised new dance movements while strictly adhering to classical conventions, and a highly accomplished composer and editor of khon and lakhon dramatic texts.

She was formerly a consort of Prince Asdang Dejavudh, Prince of Nakhon Ratchasima, and is recognised as the first common-born woman, not descended from the nobility, to become a royal daughter-in-law. After the death of her first husband, she later remarried Mom Sanitwongse Senee (Mom Rajawongse Tan Sanitwong), a Thai diplomat who served in several European countries. They had four children together.

Upon returning to Thailand in 1946, Than Phuying Phaeo entered government service at the Fine Arts Department in 1948, where she produced a total of 44 original choreographic works.

Than Phuying Phaeo was honoured as a National Artist of Thailand in the Performing Arts (Classical Dance) in 1985, received the National Outstanding Person Award in the Arts (Dance) in 1986, and was later posthumously recognised as a Master Artist (Boraphasilapin) in the Performing Arts in 2015. She passed away on 24 September 2000.

Early Life

Than Phuying Phaeo was born in Chachoengsao Province, the second of three children of Heng Sutthibun and Sutthi Sutthibun. She had an elder sister, Thapthim Kli Suwan, and a younger brother, Sahat Sutthibun. During her childhood, she lived within the Grand Palace with her grandmother, who served as a lady-in-waiting in the reign of King Chulalongkorn. Following the King’s death, she returned to her family home in Chachoengsao.

At the age of eight, her parents initially intended to send her to study under Edna Sarah Cole (Madam Cole), as educational opportunities for women were limited at the time. Subsequently, news arrived from Suan Kulap Palace that Prince Asdang Dejavudh had established a children’s theatre troupe within the palace, where students would receive both academic education and training in dramatic arts. As a result, Than Phuying Phaeo entered Suan Kulap Palace under the guardianship of Thao Nariworakhanarak (Chaem Krai-ruek).

She later recalled her daily routine there:

“…Once I entered the palace, I was trained in dance and drama from dawn until two o’clock in the morning, only then being allowed breakfast. We did not study dance alone—we also learned cooking and making dumplings for half an hour at five in the morning, followed by needlework and embroidery for another half hour. Academic lessons were compulsory as well, with a teacher coming every day for one hour…”

During her time at the palace, she became fully literate, developed strong literary skills, and was able to compose poetry fluently. Combined with her refined appearance and impeccable manners, she received full encouragement and support in her education.

A Celebrated Court Performer

After entering palace service, Than Phuying Phaeo received rigorous training from renowned court dancers, including Thao Worachan (Chao Chom Manda Wat, reign of Rama IV), Chao Chom Manda Khian (Rama IV), Chao Chom Manda Thapthim (Rama V), Mom Yaem of Somdet Chao Phraya Borom Maha Si Suriyawong (Chuang Bunnag), Mom Ueng of Somdet Phra Bandur, and Mom Kaew of Chao Phraya Surawong—all distinguished performers of their era.

Beyond Suan Kulap Palace, she also trained at Prang Narai Palace under Prince Narisara Nuvadtivongs, where she mastered both male and female principal roles. Her repertoire included characters such as Inao and Dorsara from Inao, as well as Sida, Phra Phirap, and Thotsakan from Ramakien.

She later described her training as Inao:

“…After some time at Suan Kulap Palace, Prince Asdang sent me to train at Prince Naris’s palace under Chao Chom Manda Khian. She trained me to perform Inao. Whenever I performed poorly, she struck me. I raised my hand to receive the blows until my left thumb split open. I stayed at Prince Naris’s palace for several months…”

Through such discipline and endurance, Than Phuying Phaeo was granted opportunities to perform before the throne from the reign of King Chulalongkorn onwards. She became particularly renowned for her portrayal of Inao in Inao, from the bridal chamber scenes to the battle of Kamangkuning, and also gained widespread acclaim in lakhon nok roles such as Phra Wai and Krai Thong.

Royal Daughter-in-Law

At the age of thirteen, Than Phuying Phaeo performed at the Ministry of Foreign Affairs alongside Khunying Thet Nattakanurak, portraying Mekhala, while Khunying Thet performed Ramasura. She later appeared in Inao as Dorsara, leaping into the funeral pyre in devotion to her husband. This performance so impressed Prince Asdang Dejavudh that he requested her to become his consort, bestowing upon her the title Mom Phaeo of Nakhon Ratchasima.

Although she was a commoner, the union met with no opposition, partly due to the Prince’s longstanding fragile health, which made him a special concern of the royal family.

Following the death of Prince Chakrabongse Bhuvanath, Prince of Phitsanulok, in 1920, Prince Asdang became first in line to the throne. King Vajiravudh subsequently granted royal approval for Mom Phaeo to become a royal daughter-in-law and awarded her the Order of Chula Chom Klao (Second Class) on 25 November 1923.

Than Phuying Phaeo later recalled her happiness during this period:

“…When His Highness moved to Ayutthaya, I followed him. Life there was joyful. I loved horse riding and was quite skilled at it, often riding on weekends to Phu Khao Thong and ancient palaces. I was deeply happy, for Prince Asdang openly favoured me, taking me along to receptions and dinners at Chakri Throne Hall. Wherever he went, I went with him—we were inseparable…”

This happiness ended with Prince Asdang’s death from kidney inflammation on 9 February 1924 (1925 in the modern calendar), at the age of 36. Than Phuying Phaeo later described her grief:

“…He was thirty-six, and I was twenty-one. I felt utterly desolate and fainted from grief. It made me realise how uncertain life truly is…”

In 1927, she formally resigned from her position as royal consort, returned the insignia of royal daughter-in-law, and received royal permission from King Prajadhipok. She recalled her hardship afterward:

“…I left with nothing. Everything belonged to Prince Asdang, not the Crown. After his death, my situation collapsed entirely. I returned the insignia bestowed by King Vajiravudh to King Prajadhipok and requested my release from the title of consort…”

Second Marriage

Three years later, Than Phuying Phaeo remarried Mom Rajawongse Tan Sanitwong, son of Prince Sai Sanitwong, later titled Mom Sanitwongse Senee. He served as military attaché in France, the United Kingdom, and Italy, as Ambassador to Portugal, and as Minister of Industry.

She accompanied her husband throughout Europe as a diplomat’s wife. They had four children:

  • Mom Luang Taew Sanitwong

  • Than Phuying Nuanphong Senanarong

  • Police Colonel (Special) Mom Luang Toem Sanitwong

  • Mom Luang Tuang Sanitwong

During World War II, she cared for stranded Thai students in Italy as though they were her own children, selling personal jewellery and belongings to support them, believing this to be a service to the nation. After approximately ten years abroad, the family returned to Bangkok in 1946.

Final Years

Than Phuying Phaeo Sanitwongse Senee passed away on 24 September 2000 at the age of 96. A royal cremation ceremony was held on 19 November 2000 at the Royal Crematorium, Wat Thepsirintrawat.

Professional Career and Choreographic Legacy

Than Phuying Phaeo was widely revered for her mastery of Thai classical dance, combining strength, precision, and refined grace. She performed a wide range of roles—kings, nobles, deities, and even animals—always embodying each character with complete authenticity.

Her choreographic style was highly distinctive, inspired by close observation of everyday life and nature. She refined traditional movements by introducing greater fluidity in the torso, nuanced footwork, and rhythmic head movements inspired by birds. Every new movement was carefully adapted to contemporary contexts while remaining firmly rooted in classical Thai conventions.

Invited by Thanit Yupho, Head of the Music and Dance Division of the Fine Arts Department, she played a crucial role in restoring and systematising Thai theatrical arts. From 1948 to 1992, she served as chief choreographer, rehearsal director, instructor, and lecturer, modernising traditional dance foundations without compromising their integrity.

Choreographic Works

Than Phuying Phaeo created 44 choreographic works, encompassing rabam, ram, and fon, spanning both classical and hybrid traditions. These included Rabam Sukhothai, adapted from Inao; Rabam Chao Na, inspired by rice cultivation; Rabam Thai–Korean Friendship; Rabam Kinnari Ron, integrating Chinese cherd music with mythological flight motifs; Asawaleela (Horse Dance), adapted from Portuguese influences; Fon Duang Duean, choreographed for royal guests in 1963; and movements for Lao Krathop Mai.

Teaching and Disciples

Known affectionately as “Mom Ajarn”, Than Phuying Phaeo was a strict and disciplined teacher. Her style became known as “ram ke” (stylishly refined dance). She was renowned for her sharp eye in identifying students’ strengths and assigning roles accordingly, teaching them to think critically, speak honestly, and pursue excellence without fear.

Many of her students later became leading figures in Thai dance, including National Artists Supachai Chansuwan, Jatupon Rattanaworaha, and Ratchana Phuangprayong, as well as numerous other prominent performers and instructors.

Honours

In recognition of her immense contributions to Thai performing arts, Than Phuying Phaeo Sanitwongse Senee was honoured as a National Artist of Thailand (1985) and as a National Outstanding Person in the Arts (1986).

เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี (ตอนที่ ๑)

Next
Next

“กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร” พระราชธิดาที่ รัชกาลที่ ๕ ออกพระโอษฐ์ “งามเหมือนเทวดา”