“กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร” พระราชธิดาที่ รัชกาลที่ ๕ ออกพระโอษฐ์ “งามเหมือนเทวดา”

“กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร” พระราชธิดาที่ รัชกาลที่ ๕ ออกพระโอษฐ์ “งามเหมือนเทวดา”

ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขัตติยกัลยาวดี กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ทรงฉลองพระองค์แบบสมัยนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย ประกอบไปด้วย เสื้อเบลาส์ทรงยุโรป และนุ่งโจงกระเบน

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ที่ชาววังเรียกกันว่า “ทูลกระหม่อมหญิง” เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ด้วยพระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันงดงามของทูลกระหม่อมหญิง ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงภาคภูมิพระราชหฤทัยยิ่ง

ทูลกระหม่อมหญิง

ทูลกระหม่อมหญิงประสูติแต่ พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี (สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี) เมื่อวันศุกร์ เดือน 10 ขึ้น 7 ค่ำ ปีฉลู นพศก จ.ศ. 1239 วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2420 สิทธิพร ณ นครพนม บรรยายไว้ว่า ถือเป็นทูลกระหม่อมหญิงพระองค์แรกในเศวตฉัตร (เมื่อทรงครองราชย์แล้ว) ชาววังจึงเรียกว่า “ทูลกระหม่อมหญิง” โดยไม่ต้องเอ่ยพระนาม เนื่องจากทรงอาวุโสสูงสุดพระองค์แรก.

สำหรับ พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี เป็นพระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับเจ้าคุณจอมมารดาสำลี (บุนนาค) ธิดาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (สมเด็จองค์น้อย ทัด บุนนาค) ซึ่งเกี่ยวดองกับราชินิกุล ณ บางช้าง และเป็นสมเด็จเจ้าพระยาถึง 3 คน รับผิดชอบราชการสำคัญในแผ่นดินยุคนั้น รัชกาลที่ 5 พระราชทานเครื่องยศพระราชเทวีให้เป็นสิทธิ์ขาด และเพิ่มเงินเดือนจากเดือนละ 2 ตำลึงเป็น 5 ตำลึงพระองค์แรก ส่วนเบี้ยหวัดเท่าเดิมทุกพระองค์ 20 ชั่งต่อปี ครั้นประสูติทูลกระหม่อมทุกพระองค์แล้วเงินเดือนจึงเท่ากัน ตามพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2421 และทูลกระหม่อมหญิงได้รับพระราชทานเดือนละ 3 ตำลึงเป็นพระองค์แรกเช่นกัน

งามเหมือนเทวดา

สิทธิพร ณ นครพนม ผู้เขียนบทความ “สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ‘งามเหมือนเทวดา'” เล่าไว้ว่า ความงดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องและโสภาคย์ของทูลกระหม่อมหญิงยังความปีติโสมนัสให้สมเด็จพระบรมชนกนาถและพระชนนีเป็นอย่างยิ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ทรงวิตกกังวลอย่างยิ่ง เพราะความงามบริสุทธิ์ พระฉวีผุดผ่องไม่มีไฝฝ้าราคี ในสมัยโบราณถือความเชื่อกันว่า ผู้ที่เกิดมางดงามมากยากจะเลี้ยงให้รอดชีวิตต่อมา ดังนั้น จึงมีพระกระแสรับสั่งพระชนนี พระพี่เลี้ยง พระนม และแพทย์หลวง ให้ระวังใกล้ชิด หากทรงพระประชวรแม้เพียงนิดจะต้องรีบกราบบังคมทูลในทันที

เวลาผ่านมาจนพระชนมายุขวบเศษ สิทธิพร บรรยายเหตุการณ์ที่เล่ากันว่า ขณะสมเด็จพระบรมชนกนาถกำลังอุ้มส่งให้พระชนนีนั้น ได้ทรงดิ้นไปมาจนพระขนง (คิ้ว) ถูกชามแก้วบนโต๊ะเสวยถึงกับเป็นแผลพระโลหิตตก กันแสงลั่นพระตำหนัก พระบรมวงศ์ฝ่ายในจึงปลอบว่า “ความวิตกกังวลว่าจะมีพระชนมายุสั้นนั้น เป็นอันผ่านไปแล้วเพราะทรงมีบาดแผลแล้ว” เมื่อเป็นดังนั้น ทั้ง 2 พระองค์จึงคลายพระปริวิตก

เมื่อพระชนม์ได้ 11 พรรษา ได้รับพระราชพิธีโสกันต์เต็มยศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีสวด 3 วัน สมโภช 3 วัน เสร็จพระราชพิธีแล้วตอนฟังสวดทรงเครื่องขาวพระเกี้ยวยอด เสด็จขึ้นพระยานมาศจากเกยหน้าสวนศิวาลัย ผ่านพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เข้าประตูพิมานไชยศรี เทียบเกยพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ (แห่รอบนอก) สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงรับและส่งพระกรทุกคราว ระหว่างสมโภชทรงแต่งพระองค์สีต่างกันทั้ง 3 วัน

ชาววังลือกันว่างามหนักหนา รัชกาลที่ 5 ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า “ลูกพ่องามเหมือนเทวดา” ปกติแห่โสกันต์เวลาเย็น แต่คราวนี้บังเอิญพระชนนีป่วย จึงเลื่อนไปแห่เกือบค่ำ ราษฎรที่มาชื่นชมพระบารมีขบวนแห่เมื่อเห็นพระพักตร์ทูลกระหม่อมหญิง ถึงกับว่า “ลูกท่านงามอย่างนี้ มิน่าท่านจึงแห่จนค่ำ”

สิทธิพร เล่าต่อมาว่า ตามโบราณราชประเพณี พระขัตติยราชนารีต้องงดเสด็จออกข้างนอกเมื่อทรงโสกันต์แล้ว ต้องเก็บตัวอยู่ฝ่ายในและต้องทรงสะพัก (ห่มผ้า) แต่ทูลกระหม่อมหญิงทรงกันแสง เพราะปรารถนาจะรับใช้สมเด็จพระบรมชนกนาถทางฝ่ายหน้าอีก ถึงกับไปกราบบังคมทูลพระกรุณา “ให้รับสั่งเป็นเด็กอีกต่อไป” พระองค์โปรดไปตามนั้น แต่ยอมเพียง “เมื่ออายุครบ 18 เมื่อใดพ่อจะไม่ยอมลูกหญิงอีก” ทูลกระหม่อมหญิงจึงได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด

เมื่อครั้งเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) กับฝรั่งเศส สิทธิพร ยังเล่าว่า สมเด็จพระบรมโอรสธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร หรือทูลกระหม่อมใหญ่ กับทูลกระหม่อมหญิง โปรดทรงงานแก้ไขวิกฤตการณ์ร่วมกัน ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระประชวรหนักถึงกับไม่ยอมเสวยพระกระยาหาร พระโอสถใดๆ

ชาววังเล่ากันว่า โปรดให้ทูลกระหม่อมหญิงประทับนั่งบนที่สูงแล้วรำพันว่า “หน้าลูกหญิงเหมือนย่า (สมเด็จพระเทพศิรินทราฯ) พ่ออยากจุดธูปเทียนบูชาเหลือเกิน” และพระราชทานพระธำมรงค์เพชรให้

ทูลกระหม่อมหญิงได้ศึกษาตามโบราณราชประเพณีกุลสตรีชาววังโดยสมบูรณ์ ทั้งภาษาอังกฤษจาก “ครูมีทินและครูทิม” จนแตกฉาน โปรดของสวยงามและประดิษฐ์ของหลายอย่าง สิทธิพร เล่าว่า ทรงถักโครเชต์และแทตติ้งยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนั้น จนได้รับรางวัลงานประจำปีวัดเบญจมบพิตร โดยทรงแปลงวิธีปักดอกไม้ขวดซึ่งแต่ก่อนปักเสมอกันเป็นพุ่มมาแบบสูงข้างต่ำข้าง และปักใบไม้แซมหรือปล่อยให้ดอกห้อยลงมาบ้างกระจายกันไป มีบันทึกว่า “พวงมาลัยที่ผูกห้อยจากริบบิ้น” ที่นิยมกันในเวลาต่อมานั้นก็ทรงประดิษฐ์ขึ้นเอง

ทูลกระหม่อมหญิงยังโปรดการฉายภาพ และทรงเข้าห้องล้างอัดเอง อีกทั้งยังชนะรางวัลในการประกวดภาพประจำปีด้วย วิชาการเรือนเหล่านี้ทรงถ่ายทอดให้พระภาติยะ (ลูกของพี่ชายหรือน้องชาย) ราชสกุลบริพัตรและกุลสตรีแห่งวังของสมเด็จพระอนุชาจนเป็นที่เลื่องลือ

กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร

ในเวลานั้น ราชสำนักสยามกำลังปรับปรุงธรรมเนียมหลายประการ ราชสำนักยุโรปมักเรียกขานสมเด็จพระราชธิดาพระองค์แรกว่า “ปรินเซสรอยัล” (คาดว่าใกล้เคียงกับสมเด็จพระบรมราชกุมารี) อย่างไรก็ตาม ช่วงนั้น สมเด็จพระราชธิดาชั้นทูลกระหม่อมซึ่งประสูติแต่พระมเหสีชั้นลูกหลวงต่างสิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ มีทูลกระหม่อมหญิงพระองค์เดียว จึงจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน สุขุมขัตติยกัลยาวดี กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร” (กรุงเทพมหานคร)

ทรงศักดินา 40,000 ไร่ เป็นปรินเซสรอยัลโดยสมบูรณ์ หลายปีต่อมาทูลกระหม่อม (หญิง) รับกรมอีกพระองค์คือ สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิริธร ในสมเด็จพระอัครมเหสี

หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล บันทึกไว้เมื่อครั้งเกษากันต์ว่า “ข้าพเจ้าพอใจจะอยู่กับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร เมื่ออยู่ในวังเคยทรงเล่าประทานว่า ข้าพเจ้าไปเดินตามทูลกระหม่อมหญิงติดอกต้องใจที่จะอยู่กับท่าน ไปงานในวังครั้งใดก็มุ่งที่จะไปเฝ้าทูลกระหม่อมนี้อยู่เสมอ” 

หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล บันทึกไว้ว่า “ในชั่วชีวิต 5 ขวบของข้าพเจ้า ยังไม่เคยเห็นใครที่งามและน่ารักเหมือนพระองค์ท่านเลย”

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ บันทึกไว้ใน “เกิดวังปารุสก์” ว่า “ข้าพเจ้าจำได้ว่าท่านงามมาก แต่ค่อนข้างจะน่ากลัว ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปเรียกท่านผิดว่าทูลหม่อมป้าหญิง เลยถูกท่านเอ็ดเอาว่า อะไรทูลหม่อมป้าชายมีที่ไหน” 

สิทธิพร บรรยายเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งพระชันษาเยาว์กว่าเพียงไม่กี่เดือน ออกบทสักวาหน้าพระที่นั่งคราวหนึ่ง เชื่อว่าเป็น พ.ศ. 2437 สมเด็จพระบรมชนกนาถฟังแล้วปรมพระหัตถ์ชมเชยแล้วก็เสด็จขึ้น งานชุมนุมสักวาจึงเลิกโดยปริยาย ถือเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ดอกฟ้าศรีแห่งรัตนโกสินทร์ต้องเสาวรจนีชมโฉม โดยพระขัตติยบุรุษผู้ทรงศักดิ์

หลังจากนั้นก็ทรงปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีของเจ้านายฝ่ายในอย่างเคร่งครัด จนเป็นที่เกรงพระทัยทุกฝ่าย

เหตุการณ์เมื่อครั้งเจ้าคุณจอมมารดาสำลี เจ้าขรัวยาย ถึงแก่พิราลัย เมื่อ พ.ศ. 2443 ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 โปรดพระราชทานโกศทองบำเพ็ญกุศล ณ พระบรมมหาราชวังเป็นพิเศษ (เป็นสามัญชนคนเดียว) เพราะ ‘เพื่อความสะดวกแก่ลูกหญิงไม่ต้องข้ามฟาก’ ทั้งยังโปรดพระราชทานเพลิงศพ ณ ทุ่งพระสุเมรุ (สนามหลวง) โดยทรงพระภูษาขาว (ทรงนับเป็นญาติผู้ใหญ่) อีก ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ทูลกระหม่อมชาย) ซึ่งเป็นพระอนุชาทูลกระหม่อมหญิงเสด็จกลับจากเยอรมนีมาพอดี ชาววังจึงลือเลื่องเรียกเกร็ดประวัติศาสตร์ตอนนี้ว่า ‘อิเหนามาเผายาย’ (พิราลัยเสมอกับสมเด็จเจ้าพระยาและเจ้าประเทศราช)

ด้วยเหตุนี้ทูลกระหม่อมทั้งสองจึงต้องระมัดระวังพระองค์ยิ่ง เพราะทรงเป็นญาติกับ ‘ตระกูลบุนนาค’ ผู้เกรียงไกรยุคนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าขรัวยายเจ้าคุณจอมมารดาสำลี (บุนนาค) จะไม่ค่อยพอใจญาติวงศ์ของท่านก็ตาม โชคดีที่ทรงมีพระชนนีผู้สุขุมคัมภีรภาพสมพระนาม ซึ่งทรงตระหนักถึงความเกรงกลัวของคนทั้งหลายในฐานะที่ทูลกระหม่อมหญิงเป็นสมเด็จพระราชธิดาเอกอุ ทูลกระหม่อมชายก็ทรงเป็นสมเด็จพระราชโอรสอันดับ 3 รองจากสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศและสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ จึงทรงสั่งสอนอบรมทูลกระหม่อมทั้ง 2 พระองค์ (สุทธาทิพยรัตน-บริพัตรสุขุมพันธ์) อย่างดียิ่ง ถึงกระนั้นยังไม่วายถูกสงสัยร่ำไป ถึงล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 โปรดสถาปนาเป็น ‘สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า (ป้า) สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี’ โดยทรงรับเป็นพระญาติวงศ์ก็ยังไม่คลาย จนถึงคณะราษฎรยึดวังบางขุนพรหมและเชิญเสด็จทูลกระหม่อมชายไปประทับต่างประเทศเพราะเกรงบารมีจนสิ้นพระชนม์

ภายหลังสมเด็จพระบรมชนกนาถสวรรคตแล้ว ทูลกระหม่อมหญิงทรงประทับอยู่พระบรมมหาราชวังเป็นศรีแห่งรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 6 ทรงประทับอยู่พระราชวังพญาไท) จน พ.ศ. 2458 จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาไปประทับอยู่วังบางขุนพรหมกับทูลกระหม่อมชายพระอนุชา ตราบจนสิ้นพระชนม์เมื่อวันอังคาร เดือนยี่ แรม 1 ค่ำ ปีจอ จัตวาศก จ.ศ. 1246 วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2468 พระชันษา 46 อย่างสงบ

ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม

เผยแพร่ วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2567

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_48423

___________

“Princess of Rattanakosin” — the Royal Daughter whom King Rama V called ‘as beautiful as a celestial being’

This AI-restored and artistically colourised image presents Princess Suddha Dibyaratana Sukhumkhattiya Galyavadi , Princess of Rattanakosin portrayed in a fashionable ensemble of the late reign of King Chulalongkorn (Rama V). Her attire combines a European-style blouse with the traditional chongkraben, reflecting the refined synthesis of Western modernity and Siamese court tradition at the turn of the twentieth century.

Known throughout the Inner Court simply as “Thun Kramom Ying” (Her Royal Highness the Princess), she was the nineteenth royal daughter of King Chulalongkorn (Rama V), born to Queen Sukhumalmarasri, the King’s aunt and principal consort. From an early age, her exceptional beauty, dignity, and gentle bearing filled the King with pride and affection.

Birth and early life

Princess Suddha Dibyaratana was born on Friday, the 7th day of the waxing moon in the 10th lunar month of the Year of the Ox, corresponding to 14 September 1877, at 9:21 a.m. She was the first royal daughter born under the White Umbrella after King Chulalongkorn’s accession, and thus the senior princess of her generation. For this reason, courtiers addressed her simply as Thun Kramom Ying, without the need to state her name.

Her mother, Queen Sukhumalmarasri, was herself a daughter of King Mongkut (Rama IV) and Lady Samli of the powerful Bunnag family. The Queen’s position, lineage, and political sensitivity required exceptional discretion, a quality she carefully instilled in both Princess Suddha Dibyaratana and her younger brother, Prince Paribatra Sukhumbandhu.

“As beautiful as a celestial being”

Contemporary accounts repeatedly describe the Princess’s beauty as extraordinary—pure, luminous, and without blemish. Such perfection, however, inspired not only joy but anxiety. According to traditional belief, a child of exceptional beauty might be difficult to raise safely. The King therefore instructed her attendants, nurses, and royal physicians to watch over her with the utmost care.

When she was just over one year old, an incident occurred that eased these fears. While being passed from her father’s arms to her mother, she struggled playfully and struck her eyebrow against a glass bowl, drawing blood. The women of the Inner Court exclaimed with relief that the danger had passed—she had now borne a wound, and thus would live.

At the age of eleven, she underwent the full royal tonsure ceremony at Dusit Maha Prasat Throne Hall, with three days of chanting and three days of celebration. During the procession, dressed in ceremonial attire and crowned with a high headdress, her father famously exclaimed:

“My daughter is as beautiful as a celestial being.”

Spectators reportedly marvelled so greatly at her appearance that the procession, usually held in the late afternoon, continued well into the evening.

Education, talents, and character

Although royal custom required princesses to withdraw from public life after the tonsure ceremony, Princess Suddha Dibyaratana pleaded to continue serving her father in the Outer Court. King Rama V consented—on the condition that this privilege would end when she reached the age of eighteen.

She received a complete education befitting a Siamese royal lady, including fluent English under the tutelage of Western instructors. She excelled in needlework, crochet, and tatting, winning prizes at annual exhibitions at Wat Benchamabophit. She is credited with introducing innovative floral arrangements and ribbon-hung garlands that later became widely fashionable.

Remarkably modern in her interests, she was also an accomplished photographer, developing and printing her own photographs, some of which won awards. These domestic and artistic skills she generously passed on to younger royal relatives and noblewomen of the court.

Public service and royal duties

Princess Suddha Dibyaratana served as private secretary to King Rama V, accompanying him on provincial tours (praphat ton) and overseas journeys, including the royal visit to Java. She was entrusted to transcribe royal dictations while the King dined or worked—an extraordinary mark of confidence.

Her compassion found institutional form in her major contributions to the Siamese Red Cross Society, where she served as Vice-Patron and Special Member. She personally donated 200,000 baht to establish the Suthathip Building at Chulalongkorn Hospital, a lasting testament to her commitment to public welfare.

Princess Royal of Siam

European courts traditionally styled the eldest royal daughter as “Princess Royal.” In Siam, Princess Suddha Dibyaratana stood alone in this role. On 9 August 1903, King Chulalongkorn formally elevated her as a princess of the highest rank, bestowing upon her the title:

Somdet Phra Chao Boromawongse Thoe Chao Fa Suddha Dibyaratana Sukhumkhattiya Galyavadi, Krom Luang Si Rattanakosin.

Her ducal title—Si Rattanakosin or Princess Rattanakosin—symbolically evoked Bangkok itself, affirming her status as the living jewel of the capital. She was the only royal daughter of the reign to receive so exalted a dignity.

Later years and passing

After the death of King Rama V, she remained at the Grand Palace as a stabilising presence of the dynasty, while King Vajiravudh (Rama VI) resided at Phaya Thai Palace. In 1915, she moved to Bang Khun Phrom Palace to live with her brother, Prince Paribatra.

Princess Suddha Dibyaratana passed away peacefully on 2 January 1925, at the age of forty-six, after an illness of the lungs. King Vajiravudh personally presided over the royal rites at Bang Khun Phrom, marking the profound respect she commanded to the end of her life.

Legacy

Remembered as “the Princess Royal of Siam,” Princess Suddha Dibyaratana embodied beauty, intellect, restraint, and service. To her contemporaries, she was not merely lovely in appearance but exemplary in conduct—a royal woman whose grace and capability reflected the highest ideals of the Chakri court at its zenith.

___________

เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Next
Next

ผ้าแถบแบบบาหยัง ของชาวมลายูปัตตานีทางภาคใต้ของสยาม ในสมัยรัชกาลที่ ๕