การแต่งกายกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษ
การแต่งกายกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษ
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเล็คชั่นนี้ นำเสนอความหลากหลาย แห่งอัตลักษณ์การแต่งกายกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษ สี่กลุ่มชาติพันธุ์คือ ลาว เขมร ส่วย(กูย) และเยอ
ศรีสะเกษประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สี่กลุ่มชาติพันธุ์คือ ลาว เขมร ส่วย(กูย) และเยอ แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ในศรีสะเกษต่างมีวิถีชีวิต วัฒนธรรม เอกลักษณ์อัตลักษณ์เฉพาะถิ่นของตน ศรีสะเกษนั้นเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของศรีสะเกษคือเสน่ห์ คือความงาม คือมรดกอันทรงคุณค่า ที่บรรพชนคนศรีสะเกษได้รังสรรค์ไว้ให้สะท้อนผ่านภาษา วิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณี และการแต่งกาย
กลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษมีอัตลักษณ์การแต่งกายที่โดดเด่น แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ละชุมชนต่างมีวัฒนธรรม ภูมิปัญญาการทอผ้า ที่งดงาม มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เกิดเป็นความหลากหลายที่สะท้อนออกมาผ่านการแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นการนุ่งเสื้อไหมลายลูกแก้วย้อมมะเกลือ การแส่วเสื้อ การทอผ้าขิด ผ้ามัดหมี่ โสร่ง และผ้าชนิดต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่นเฉพาะตัวของแต่ละชุมชน แม้แต่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันยังมีอัตลักษณ์การแต่งกายที่แตกต่างกันตามบริบทของพื้นที่และชุมชน ทำให้เกิดเป็นความหลากหลายของอัตลักษณ์การแต่งกายขึ้น ความหลากหลายนี้เองเป็นเสน่ห์ให้วัฒนธรรมของจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง กลุ่มรักษ์ศิลป์ถิ่นเมืองศรีจึงได้จัดทำ ภาพถ่ายชุด “ความหลากหลาย แห่งอัตลักษณ์การแต่งกายกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษ” ขึ้น เพื่อนำเสนอและเผยแพร่ความหลากหลายของอัตลักษณ์แต่งกายกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสี่ในจังหวัดศรีสะเกษ ให้เป็นที่รู้จัก โดยมีภาพและข้อมูลประกอบ ดังต่อ ไปนี้
1.กลุ่มชาติพันธุ์ลาว
ลักษณะการแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวนั้น ผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าซิ่นชนิดต่างๆ ซึ่งแบ่งได้หลายประเภท อาทิ ซิ่นหมี่ลวด ซิ่นหมี่คั่น ซิ่นเข็นคั่น ซิ่นดำหม้อ และซิ่นทิวหรือซิ่นก่วย ซิ่นของคนลาวนั้นมักนิยมต่อหัวต่อตีน ด้วยตีนซิ่นชนิดต่างๆทั้งตีนโยง ตีนแหนะ และตีนช่อหรือตีนขิด ส่วนเสื้อสตรีนิยมสะอิ้งหรือสวมเสื้อไหมเหยียบย้อมมะเกลือคอกลม และเบี่ยงแพรชนิดต่างๆ อันได้แก่ แพรขิด แพรปลาไหล แพรดำ แพรตลาดเป็นต้น ผู้ชายเดิมนิยมนุ่งโจงกระเบนหรือที่ภาษาถิ่นเรียกว่าเหน็บกระเตี่ยว หากเป็นข้าราชการจะสวมเสื้อขาวคอตั้งอย่างไทยบางกอก ชาวบ้านทั่วไปมักสวมเสื้อฝ้ายย้อมหม้อนิล หรือเสื้อไหมเหยียบคอกลมกับโจงกระเบน โสร่ง
สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ลาวนั้นมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นคือด้านการทอแพรขิด คนลาวในจังหวัดศรีสะเกษนั้นมีรูปแบบแพรขิดที่แตกต่างกันไปตามแต่ละชุมชนแต่ละท้องถิ่น จนเกิดเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น ท้องถิ่นที่มีการทอแพรขิด และมีแพรขิดที่เป็นเอกลักษณ์ได้แก่ แถบอำเภอกันทรารมย์ โนนคูณ วังหิน กันทรลักษ์ และอำเภออื่นๆ
2.ชาติพันธุ์เขมร(ขแมร์)
กลุ่มชาติพันธุ์เขมร มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน คนขแมร์มีภูมิปัญญาการทอผ้าไหมที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้หญิงชาวเขมรมีความชำนาญในการมัดและทอผ้ามัดหมี่ที่เรียกว่า “โฮล” เพื่อทอเป็น “สัมป็วตโฮล” และ “สัมป็วตเวง” ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิงชาวเขมรนั้น นิยมนุ่งซิ่นที่เรียกว่า “สัมป็วต” ชนิดต่างๆ อาทิ สัมป็วตโฮล สัมป็วตจำนอง สัมป็วตจำเรียกปะเดา สัมป็วตกะเนียว สมอ สาคู เป็นต้น สำหรับการเรียกชื่อนั้นเขมรในแถบจังหวัดศรีสะเกษนั้น มีการเรียกชื่อผ้าทอที่ต่างกันกับเขมรสุรินทร์ ผู้หญิงนั้นนิยมเบี่ยงแพรสไบที่เรียกว่า “สไบเก็บ” และสวมเสื้อไหมเหยียบย้อมมะเกลือที่เรียกว่า “อาวเก็บ” ส่วนการแต่งกายสำหรับผู้ชายนั้น ผู้ชายเขมรเดิมนั้นนิยมแต่งกายเอาอย่างชาวสยามคือนุ่งโจงกระเบนอย่างชายชาวสยาม หากเป็นขุนนางมักสวมเสื้อคอตั้งสีขาวอย่างขุนนางสยาม หากเป็นชายชาวบ้านมักนุ่งเพียงโจงกระเบน หรือหากเป็นชุดสวมใส่อยู่บ้านนั้นนิยมนุ่งโสร่ง
ผ้าทอของชาวขแมร์ในเขตจังหวัดศรีสะเกษนั้น มีด้วยกันหลายชนิด ผ้าทอของกลุ่มชาวเขมรในจังหวัดศรีสะเกษนั้น ได้แก่ กำแซงโซด กำแซงจะดอ กำแซงเก็บ สัมป็วตโฮลปีปะเดิม สัมป็วตเวง อันลูนสมอ อันลูนสาคู สัมป็วตจำเรียกปะเดา โสร่ง และที่สำคัญที่กลุ่มชาวเขมรในจังหวัดศรีสะเกษยังคงรักษาไว้ได้คือ การต่อซิ่นด้วย กระบาลสัมป็วต(หัวซิ่น) ปะโบล(ตีนซิ่นลายมัดหมี่) และเสลิก(ตีนซิ่นขนาดเล็กทอยกมุก) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรในจังหวัดศรีสะเกษ
3.กลุ่มชาติพันธุ์ส่วย(กูย)
ลักษณะการแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วยหรือกูย-กวย นั้น ได้รับอิทธิจากทั้งชาติพันธ์เขมรและลาว ผู้หญิงกูยนั้นนิยมนุ่งซิ่นที่เรียกว่า “อะโหลนระหวี” ระวี กะหวี่ หวี วี่ ซึ่งต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น คำว่า “ระหวี” มีความหมายว่าการนำไหมสองสีมาปั่นควบกัน ซึ่งตรงกับคำว่า “เข็น” ของลาว “อะโหลนระหวี” นี้นิยมต่อด้วยตีนซิ่นที่เรียกว่า “หยืงโยง” หรือ “หยืงบะบูร์” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ชาวกูยรับมาจากขแมร์ ส่วนเสื้อนั้นนิยมสวมเสื้อที่เรียกว่า “ฮับแก็บ” หรือ “ฮับตะแวง” ซึ่งหมายถึงเสื้อไหมเหยียบย้อมมะเกลือ หากมีการเย็บตะเข็บเป็นลวดลายด้วยไหมสีต่างจะเรียกว่า “ฮับแก็บแซว” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเสื้อชาวกูย สำหรับผู้ชายเดิมนิยมนุ่งโจงกระเบนด้วยผ้าไหมผืนยาวที่เรียกว่า “ฉิกระหวีซอยโปร๊ะ” แปลว่า ผ้าเข็นหางผู้ชาย คาดด้วย “ฉิกปาลาย” หรือ “ฉิกพงจีก” หรือ นุ่งผ้าโสร่งที่เรียกว่า “ฉิกจราย”
สำหรับผ้าทอของชาวกูยนั้น มีด้วยกันหลายชนิด อาทิ ฉิกซะปั๊ดหรือซัมปัตที่หมายถึงซิ่นมัดหมี่ เปลินที่หมายถึงหัวซิ่น หยืง(เลียว) ที่หมายถึงตีนซิ่นอย่างลาว ฉิกแก็บที่หมายถึงผ้าเหยียบ และฉิกกะแจที่หมายถึงผ้าขิด สำหรับ “ฉิกกะแจ” ของชาวกูยนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ชาวกูยได้รับมาจากลาว และได้พัฒนาจนเป็นเอกลักษณ์ของตน อาทิเช่น ฉิกกะแจของคนกูยในแถบอำเภอน้ำเกลี้ยง
4.กลุ่มชาติพันธุ์เยอ(กวยเยอ)
ลักษณะการแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์เยอ(กวยเยอ)นั้น แตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักๆคือ กลุ่มเยอราษีไศล และกลุ่มเยอไพรบึง การแต่งกายของชาวเยอนั้นได้รับอิทธิจากทั้ง จากวัฒนธรรมเขมรและลาว เช่นเดียวกับกูย โดยแบ่งออกตามท้องถิ่นได้ดังนี้
เยอราษี เป็นกลุ่มชาวเยอขนาดใหญ่ อาศัยแถบอำเภอราษีไศล ศิลาลาด และอำเภอเมือง โดยเอกลักษณ์การแต่งกายของคนเยอกลุ่มนี้นั้น ผู้หญิงนิยมนุ่งซิ่นเข็นคั่นสีเขียวสดต่อตีนซิ่นอย่างลาว สวมเสื้อไหมเหยียบย้อมมะเกลือ เบี่ยงด้วยแพรขิด ผู้ชายแต่งกายคล้ายกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ
เยอไพรบึง เป็นกกลุ่มเยออีกกลุ่มที่มีอัตลักษณ์การแต่งกายที่โดดเด่น ซิ่นของกลุ่มชาวเยอที่ไพรบึงนิยมนุ่งซิ่นเข็นคั่นต่อด้วยปะโบลและเสลิกอย่างชาวขแมร์และกูย ชาว
เยอกลุ่มไพรบึง มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นคือ การสวมเสื้อไหมเหยียบย้อมมะเกลือที่ประดับเงินก้อนหรือเงินบักค้อจากคอเสื้อจนสุดฉาบหน้าเสื้อ คนแก่นิยมเบี่ยงด้วยผ้าสไบเก็บย้อมมะเกลือสีดำ
...........................................................................
Credit กชกร เวียงคำ เรียบเรียง 18 กันยายน 2561
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=827155844289605&id=474238909581302
Traditional Costumes of Ethnic Groups in Sisaket Province
This AI-created collection presents the diversity of traditional costumes and cultural identities of the ethnic groups in Sisaket province. The four main ethnic groups are Lao (ลาว), Khmer (เขมร/ขแมร์), Suai (Kui/กูย), and Yer (เยอ).
Sisaket is home to a multicultural society where each group maintains its own way of life, culture, and unique identity. The cultural diversity of Sisaket is its charm, beauty, and treasured heritage handed down by ancestors, reflected in its language, traditions, beliefs, rituals, and distinctive clothing. Each community has developed its own weaving traditions and textile arts, producing unique fabrics such as indigo-dyed silk with lozenge motifs, pha khit (ผ้าขิด), mudmee (ผ้ามัดหมี่), sarong (โสร่ง), and other textiles. Even within the same ethnic group, costume styles vary by locality, creating a remarkable richness of visual identity. This cultural wealth is considered invaluable and worthy of preservation. For this reason, the “Rak Sin Thin Mueang Sri” (กลุ่มรักษ์ศิลป์ถิ่นเมืองศรี) cultural group created the photography collection “The Diversity of Ethnic Costumes in Sisaket Province” to document and share the heritage of these four ethnic communities.
1. Lao (ลาว)
Women of the Lao group traditionally wear pha sin (ผ้าซิ่น) of various types, such as sin mii luat (ซิ่นหมี่ลวด), sin mii khan (ซิ่นหมี่คั่น), sin khen khan (ซิ่นเข็นคั่น), sin dam mor (ซิ่นดำหม้อ), and sin thio or sin kuai (ซิ่นทิว/ซิ่นก่วย). Lao skirts are usually pieced with decorated borders: tin yoeng (ตีนโยง), tin nae (ตีนแหนะ), or tin cho/tin khit (ตีนช่อ/ตีนขิด). Blouses include indigo-dyed silk or cotton jackets (sai-ing สะอิ้ง) and round-neck blouses called seua mai yiep yom makluea (เสื้อไหมเหยียบย้อมมะเกลือ). They also drape shoulder cloths (phiang phrae แพร) such as phrae khit (แพรขิด), phrae pla lai (แพรปลาไหล), or phrae dam (แพรดำ). Men traditionally wore jong kraben (โจงกระเบน, locally called neb kratiao เหน็บกระเตี่ยว). Officials wore white standing-collar jackets (seua kot tang) like those in Bangkok, while commoners wore cotton indigo-dyed shirts with jong kraben or sarongs.
The Lao people are particularly renowned for their phrae khit (แพรขิด, supplementary weft pattern cloth), with each community producing distinctive motifs. Notable weaving centres include Kanthararom (กันทรารมย์), Non Khun (โนนคูณ), Wang Hin (วังหิน), Kantharalak (กันทรลักษ์), and other districts.
2. Khmer (เขมร/ขแมร์)
The Khmer (Khmer: ขแมร์) have a long cultural history and are highly skilled in silk weaving. Women are especially renowned for their mudmee technique, producing the famous Hol (โฮล) patterns used in Sampot Hol (สัมป็วตโฮล) and Sampot Veang (สัมป็วตเวง). Khmer women wear various sampot skirts such as Sampot Hol (สัมป็วตโฮล), Sampot Chamnoang (สัมป็วตจำนอง), Sampot Chamrieak Padao (สัมป็วตจำเรียกปะเดา), Sampot Kaniew (สัมป็วตกะเนียว), Samor (สมอ), and Saku (สาคู). They drape shoulder cloths called sbai kep (สไบเก็บ) and wear dark indigo-dyed silk blouses called ao kep (อาวเก็บ). Men followed Siamese dress styles: nobles wore white standing-collar jackets and jong kraben, while commoners wore simple jong kraben or sarongs.
Khmer textiles of Sisaket include Kamsaeng Sod (กำแซงโซด), Kamsaeng Chadaw (กำแซงจะดอ), Kamsaeng Kep (กำแซงเก็บ), Sampot Hol Pi Paderm (สัมป็วตโฮลปีปะเดิม), Sampot Veang (สัมป็วตเวง), Anlun Samor (อันลูนสมอ), Anlun Saku (อันลูนสาคู), and Sampot Chamrieak Padao (สัมป็วตจำเรียกปะเดา). A unique hallmark of Khmer weaving in Sisaket is the pieced construction of skirts: krabal sampot (กระบาลสัมป็วต – head cloth), pabol (ปะโบล – patterned mudmee foot border), and salaek (เสลิก – narrow raised weave foot border).
3. Suai (Kui/กูย)
The Suai, also known as Kui (ส่วย/กูย/กวย), exhibit dress influenced by both Khmer and Lao traditions. Women wear skirts called Ahlon Rawi (อะโหลนระหวี) or Rawi/Gawi/Vii, depending on locality. The term rawi means twisting two different coloured silks together, equivalent to Lao khen. These skirts are pieced with foot borders called Ying Yoeng (หยืงโยง) or Ying Babur (หยืงบะบูร์), reflecting Khmer influence. Blouses are called hap kaep (ฮับแก็บ) or hap tawaeng (ฮับตะแวง), meaning dark indigo-dyed silk shirts. If decorated with coloured silk embroidery, they are known as hap kaep saeow (ฮับแก็บแซว), distinctive to the Suai. Men wore long silk jong kraben called Chik Rawi Soi Proh (ฉิกระหวีซอยโปร๊ะ – men’s rawi silk), often with a sash Chik Palai (ฉิกปาลาย) or Chik Phong Cheek (ฉิกพงจีก), or else sarongs called Chik Chrai (ฉิกจราย).
Their woven textiles include Chik Sapad (ฉิกซะปั๊ด/ซัมปัต – mudmee skirts), Plin (เปลิน – head cloths), Ying/Leaw (หยืง/เลียว – foot borders), Chik Kaep (ฉิกแก็บ – plain weave), and Chik Kachae (ฉิกกะแจ – khit weave). The Chik Kachae is adapted from Lao weaving but developed into a distinctive Suai style, especially in Nam Kliang district (น้ำเกลี้ยง).
4. Yer (เยอ/กวยเยอ)
The Yer (เยอ/กวยเยอ) are divided into two main groups: Yer Rasi Sali (เยอราษีไศล) and Yer Phrai Bueng (เยอไพรบึง). Their costumes show influence from both Khmer and Lao dress.
Yer Rasi (เยอราษี): The largest Yer community, living in Rasi Sali (ราษีไศล), Sila Lat (ศิลาลาด), and Mueang Sisaket. Women wear green sin khen khan (ซิ่นเข็นคั่น) skirts pieced with Lao-style foot borders, with indigo-dyed silk blouses and phrae khit shoulder cloths. Men dress similarly to neighbouring groups.
Yer Phrai Bueng (เยอไพรบึง): Their skirts are sin khen khan pieced with pabol (ปะโบล) and salaek (เสลิก) borders like the Khmer and Suai. A distinctive feature is the indigo-dyed silk blouse decorated with clusters of silver ornaments (ngoen bak kho เงินบักค้อ) from the collar to the front edge. Elder women often drape black indigo-dyed sbai kep (สไบเก็บ).
Credit: Compiled by Kotchakorn Wiangkhum (กชกร เวียงคำ), 18 September 2018.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO












































