เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 (สกุลเดิม ไกรฤกษ์)
เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 (สกุลเดิม ไกรฤกษ์)
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของ เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 ในแฟชั่นแบบตะวันตกช่วง ค.ศ. 1890s ตามแบบฉบับชุดราตรีสมัยปลายยุควิกตอเรียน ภาพนี้สร้างสรรค์จากต้นฉบับขาวดำ เพื่อถ่ายทอดบุคลิกของสตรีฝ่ายในผู้มีบทบาทสำคัญในยุคเปลี่ยนผ่านของสยาม
เจ้าจอมมารดาชุ่ม ไกรฤกษ์ — สตรีฝ่ายในที่ได้รับการยกย่องว่า “แต่งชุดฝรั่งขึ้น” และเป็นคนแรกที่ได้รับตำแหน่ง นางสนองพระโอษฐ์ แห่งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ตามธรรมเนียมยุโรป หรือเทียบได้กับ Lady-in-Waiting ของราชสำนักตะวันตก ในการร่วมขบวนเสด็จประพาสชวา เมื่อปี พ.ศ. 2439
เจ้าจอมมารดาชุ่ม เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2412 ณ บ้านปากคลองโอ่งอ่าง จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือบริเวณเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งพระนคร) เป็นธิดาคนที่เจ็ดจากทั้งหมดสิบคนของพระมงคลรัตนราชมนตรี (ช่วง ไกรฤกษ์) กับภรรยาชื่อไข่ บุตรีเจ้ากรมไม้สูงฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อบุตรีจำเริญวัยขึ้น เจ้าจอมอิ่มย่าหรัน ในรัชกาลที่ 3 พี่สาวต่างมารดาของพระมงคลรัตนราชมนตรี แนะนำให้นำบุตรสาวนี้ถวายตัวแก่สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร ด้วยเหตุนี้เจ้าจอมมารดาชุ่มจึงได้รับการอบรมเลี้ยงดูเป็นหญิงชาววังโดยแท้มาแต่นั้น
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าจอมอิ่มย่าหรันซึ่งเป็นป้าของท่านก็ถึงแก่อนิจกรรม แต่เจ้าจอมอิ่มได้มอบมรดกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้หลานน้อยไว้ดูต่างหน้า คือหีบหมากหินทรายขลิบทองแก่เจ้าจอมมารดาชุ่ม
ครั้นเข้าสู่วัยสาว เจ้าจอมมารดาชุ่มคอยถวายงานแก่สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่เนือง ๆ ด้วยความที่เจ้าจอมมารดาชุ่มเป็นคนรูปพรรณดี บุคลิกงามสง่า มีดวงหน้ายาว คางหักเหลี่ยม และมีความมั่นใจในตัวเองสูง จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นบาทบริจาริกาในตำแหน่ง เจ้าจอม เมื่ออายุได้ 19 ปี ปีถัดมาท่านมีบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าจอมมารดา เพราะให้ประสูติกาลพระราชธิดาสองพระองค์คือ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา (21 เมษายน พ.ศ. 2432 – 23 มีนาคม พ.ศ. 2501) ชาววังออกพระนามว่า "เสด็จพระองค์ใหญ่"
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุจิตราภรณี (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2433 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2461) ชาววังออกพระนามว่า "เสด็จพระองค์เล็ก"
เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวรใน พ.ศ. 2439 แพทย์กราบบังคมทูลถวายคำแนะนำให้แปรพระราชฐานไปประทับสถานที่อากาศดีสักแห่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกเสด็จประพาสชวาเป็นการส่วนพระองค์ เพราะเคยเสด็จอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2413 มาก่อน พระองค์โปรดอัธยาศัยของชาวฮอลันดาและชนพื้นเมือง ภูมิประเทศที่สวยงาม และกิจการของฮอลันดาที่ปกครองชวา
ทรงใช้เวลาประพาสนานถึงสองเดือน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงแต่งตั้งเจ้าจอมมารดาชุ่มเป็นนางสนองพระโอษฐ์ตามธรรมเนียมยุโรปคนแรก และโปรดเกล้าให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเจ้าจอมมารดาชุ่มแต่งกายอย่างสตรียุโรป ประกอบด้วยกระโปรงแบบสุ่ม เสื้อแขนหมูแฮม และสวมหมวก นอกจากนี้เจ้าจอมมารดาชุ่มยังมีโอกาสร่วมโต๊ะเสวยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งไม่เคยปฏิบัติมาก่อนในสยาม
บันทึกในสมัยนั้นระบุอย่างชัดเจนว่า เจ้าจอมมารดาชุ่มได้รับความไว้วางใจเป็นพิเศษด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกคือท่านมีความรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งหาได้ยากอย่างยิ่งในหมู่สตรีฝ่ายในยุคนั้น อีกทั้งยังมีบุคลิกภาพอันสง่างาม เป็นที่ยอมรับทั้งในราชสำนักและหมู่ชาววัง นอกจากนี้ท่านยังสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามธรรมเนียมสากลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในช่วงเวลาที่สยามกำลังสื่อสารกับนานาอารยประเทศ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้ท่านโดดเด่นกว่าสตรีฝ่ายในจำนวนมาก คือความสามารถในการ “แต่งชุดฝรั่งขึ้น” และดูดีเป็นพิเศษในเครื่องแต่งกายตะวันตก
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ได้ทำหน้าที่เพียงถวายงานใกล้ชิดตามธรรมเนียมโบราณ หากแต่กลายเป็น “ตัวแทนวัฒนธรรม” ของสยามในเวทีระหว่างประเทศ การร่วมโต๊ะเสวยตามธรรมเนียมยุโรป การปรากฏพระองค์เคียงข้างพระอัครมเหสีและเจ้านายฝ่ายใน ในพิธีการที่รับอิทธิพลตะวันตก—ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในราชสำนักไทย และเจ้าจอมมารดาชุ่มก็เป็นหนึ่งในผู้เปิดประตูให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างสง่างามในประวัติศาสตร์สยาม.
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแปรพระราชฐานไปประทับพระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต และพระราชทานพระตำหนักต่าง ๆ ให้พระราชธิดาประทับร่วมกับพระมารดา เจ้าจอมมารดาชุ่มและพระราชธิดาทั้งสองพระองค์อาศัยในพระตำหนักสวนภาพผู้หญิง ติดกับพระตำหนักของเจ้าจอมมารดาอ่อน
เจ้าจอมมารดาชุ่มเริ่มกระเสาะกระแสะ และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2454 เวลา 23.30 น. สิริอายุ 41 ปี วันต่อมา วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2454 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสนาบดีกระทรวงวัง เสด็จแทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
Thank you เพจ สาระ - บรรณ
______________
Chao Chom Manda Chum in the Reign of King Chulalongkorn (Rama V) (née Krairerk — ไกรฤกษ์)
This AI-restored and reimagined portrait depicts Chao Chom Manda Chum in the reign of King Chulalongkorn (Rama V), dressed in Western evening fashion of the 1890s, in the late-Victorian style. The image is recreated from an original black-and-white photograph, bringing forth the presence of a court lady who played a significant role during a formative transitional era in Siam.
Chao Chom Manda Chum Krairerk (ชุ่ม ไกรฤกษ์) was renowned within the Inner Court for “wearing Western dress beautifully” and was the first woman to hold the position of Nang Sanong Phra Otsot (นางสนองพระโอษฐ์) to Queen Saovabha Phongsri (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี). She accompanied Her Majesty on the royal tour of Java, fulfilling a role comparable to a Lady-in-Waiting in the European court system.
Chum served as a royal consort to King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว). She was the daughter of Phra Mongkol Rattanaratchamontri (พระมงคลรัตนราชมนตรี) [Chuang Krairerk — ช่วง ไกรฤกษ์], and she later became the first woman officially appointed as a Lady-in-Waiting in the Thai court.
Born on 19 September 1869 (พ.ศ. 2412) at Ban Pak Khlong Ong Ang in Phra Nakhon, she was the seventh of ten children born to Phra Mongkol Rattanaratchamontri and Lady Khai (ไข่), daughter of the Chief of Royal Timber for the Front Palace. When she came of age, Chao Chom Im Yarun (เจ้าจอมอิ่มย่าหรัน) of the reign of King Rama III — her paternal aunt — recommended that she be presented to Somdet Phra Borommarachamahayika Krom Phra Sudarat Rajaprayoon (สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร). Thus Chum was raised and trained thoroughly in the etiquette and discipline of the Inner Court.
Soon afterwards, Chao Chom Im Yarun passed away, leaving her niece a keepsake: a gilded sandstone betel box, a small inheritance cherished by Chum in remembrance.
As a young woman, Chum entered service under Krom Phra Sudarat Rajaprayoon and frequently attended royal audiences. Her refined appearance—a long oval face, sharply defined chin, and poised demeanour—combined with her confident bearing, caught the King’s attention. She was appointed Chao Chom (เจ้าจอม) at the age of 19, and the following year elevated to Chao Chom Manda after bearing two daughters:
Princess Athon Thipyanipha (พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา), “Sadet Phra Ong Yai” (เสด็จพระองค์ใหญ่)
Princess Suchitraporn (พระองค์เจ้าสุจิตราภรณี), “Sadet Phra Ong Lek” (เสด็จพระองค์เล็ก)
When King Chulalongkorn recovered from illness in 1896 (พ.ศ. 2439), his physicians recommended a change of climate. The King chose Java, having admired the island, its Dutch administration, and its natural beauty during an earlier visit in 1870 (พ.ศ. 2413). The sojourn lasted two months, during which many European court practices were adopted.
It was during this journey that the King appointed Chum as the first Lady-in-Waiting in the European sense, requiring her to appear in Western attire—bustled skirts, leg-of-mutton sleeves, and formal hats—reflecting the modern image Siam wished to present abroad. She also dined at the royal table in European style, a practice unprecedented in the Siamese court.
Historical records emphasise that Chum was entrusted with this role for several significant reasons. She possessed a rare command of the English language among Inner Court women; her elegance and refinement were widely admired; and she adapted naturally to international etiquette at a time when Siam was engaging diplomatically with foreign powers. Most memorably, she was praised for looking exceptionally graceful in Western dress—an essential qualification for representing Siam before Dutch officials and European residents in Java.
Thus Chum’s responsibility extended far beyond traditional court service: she embodied Siam’s cultural diplomacy during a critical period of modernisation. Her presence beside the Queen and other royal ladies at Western-influenced ceremonies marked a new chapter in the history of the Thai court.
Following the royal tour, King Chulalongkorn relocated to Vimanmek Mansion (วิมานเมฆ) in Dusit Palace and assigned residences to the royal daughters and their mothers. Chao Chom Manda Chum and her two daughters lived in the Suan Phaap Women’s Residence (พระตำหนักสวนภาพผู้หญิง), adjacent to the residence of Chao Chom Manda On (เจ้าจอมมารดาอ่อน).
Chum’s health gradually declined, and she passed away on 22 June 1911 (พ.ศ. 2454) at the age of 41. The following day, King Vajiravudh (Rama VI) appointed Prince Sapphasitthiprasong (กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์) to preside over the royal water-pouring ceremony on his behalf.
Her life remains a testament to a woman who bridged tradition and modernity, representing Siam with grace at a moment when the nation first stepped onto the international stage.
Thank you: Sára – Bann (เพจ สาระ - บรรณ)
เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO