พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ผู้เป็นต้นราชสกุลกิติยากร
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ผู้เป็นต้นราชสกุลกิติยากร (ตอนที่ ๒)
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงฉลองพระองค์เต็มยศพลเรือน พร้อมกับ เหม่อมเจ้าอับศรสมาน (เทวกุล) กิติยากร
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 12 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาอ่วม ประสูติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2417 ซึ่งเป็นปีจอ และพระองค์ก็มีเชื้อสายจีนสืบมาจากเจ้าจอมมารดาอ่วม
ในช่วงต้นพระชนม์ชีพพระองค์ได้รับการศึกษาเบื้องต้นจาก พระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) ก่อนจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะจัดพระราชพิธีโสกันต์ให้กับพระองค์ในปี พ.ศ.2428 หลังจากทำพิธีโสกันต์เสร็จ ก็ได้ผนวชเป็นสามเณรประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศน์ราชวรมหาวิหาร เป็นระยะเวลา 15 วันก็ลาสิกขาบทออกมาเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ ตามที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งมา โดยเป็นพระเจ้าลูกยาเธอรุ่นแรกที่ได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
พระเจ้าลูกยาเธอรุ่นแรกที่รัชกาลที่ 5 ท่านส่งไปเรียนยังเมืองนอกนั้นมีด้วยกัน 4 คน ได้แก่
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช
โดยพระองค์ได้ไปศึกษาในระดับมัธยมที่ Rockvill School หลังจากศึกษาระดับมัธยมจบ พระองค์ก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดสาขาบูรพคดีศึกษา สาขาวิชาภาษาบาลีและสันสกฤต เมื่อ พ.ศ. 2437 และกลับยังสยามในปีเดียวกัน โดยหลังจากที่พระองค์กลับมายังสยาม ก็ช่วยพระราชบิดาของพระองค์หลายอย่าง เริ่มรับราชการและดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ แถมยังเป็นองคมนตรีด้วย นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระตุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็โปรดเกล้าฯ ทรงพระนามกรม ขึ้นเป็น กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ และยังสร้างวังพระราชทานใหกับพระองค์ วังนี้จึงเป็นสิทธิ์ขาดของพระองค์และราชสกุลกิติยากร ซึ่งโดยทั่วไปขนานนามว่า วังปากคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งการพระราชทานที่ดินและพระตำหนักริมน้ำนี้ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของพระองค์ เพราะวังแห่งนี้เป็นวังที่ตั้งอยู่ติดริมน้ำเจ้าพระยา เช่นเดียวกับวังที่พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี หนึ่งในพระมเหสีของพระจุลจอมเกล้าอีกด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เลื่อนยศของพระองค์จาก กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ ขึ้นเป็นกรมหลวงและกรมพระ ตามลำดับ ด้วยทรงมีพระราชดำริว่า พระเจ้าพี่ยาเธอฯทรงรับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติด้วยพระปรีชาสามารถ ได้ทรงจัดราชการในกระทรวงพระคลังให้เจริญมาโดยลำดับ เมื่อได้รับพระบรมราโชบายไปประการใดก็ทรงราชการนั้นๆให้สำเร็จไปด้วยพระราชประสงค์
ต่อมาในสมัยของรัชกาลที่ 7 ก็ทรงตั้งเป็นอภิรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังทรงเป็นนายกกรรมการพิจารณาวางระเบียบข้าราชการพลเรือน และนายกกรรมการรักษาพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ก.ร.พ.) ด้วย ซึ่งในส่วนของคณะรัฐมนตรี ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งขึ้นนั้น พระองค์ทรงคัดเลือกจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในราชการสำคัญๆมาแล้วทั้งสิ้น โดยสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ และการคลัง และทรงเป็นเอกอัครบัณฑิตทางด้านภาษาศาสตร์ นอกจากนี้ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์ก็ได้แปลงเรื่องจันทกุมารชาดก จาก ภาษาบาลี เป็นไทย จนทรงได้รับพระราชทานพัดเปรียญ 5 ประโยคจาก รัชกาลที่ 7 ทั้งที่ทรงเป็นฆราวาสก็ตาม ซึ่งพระองค์ได้เป็นกรณีพิเศษ นอกจากนี้ยังทรงพระนิพนธ์ ปทานุกรม บาลี-ไทย-อังกฤษ-สันสกฤต โดยอาศัยพจนานุกรมบาลีของอาร์.ซี. ชิลเดอรส์ (R.C.Childers) ที่ สมาคมบาลีปกรณ์ดำเนินการจัดพิมพ์มาก่อนหน้านี้แล้วเป็นหลัก โดยแปลออกไป 4 ภาษาได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต แต่ต้นฉบับที่ทรงจัดทำไม่เรียบร้อยดีทุกส่วน ทำให้ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหาร ร่วมกับ ศาสตราจารย์ ม.ล.จิรายุ นพวงศ์ องคมนตรี ตรวจชำระต้นฉบับที่พระองค์ทรงร่างขึ้นแล้วโปรดให้มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย จัดพิมพ์ปทานุกรมดังกล่าวเพื่อเผยแผ่ นับแต่นั้น ปทานุกรมเล่มนี้จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระองค์เป็นต้นราชสกุลกิติยากร พระองค์เสกสมรส (สมรส พ.ศ. 2438) กับหม่อมเจ้าหม่อมเจ้าอับศรสมาน กิติยากร (ราชสกุลเดิม เทวกุล; 21 ตุลาคม พ.ศ. 2420 – 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2482) ผู้เป็นพระราชธิดาของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ มีพระโอรสและธิดารวมกับ 12 องค์ได้แก่
1. หม่อมเจ้าเกียรติกำจร กิติยากร
2. หม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ กิติยากร
3. หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ( พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ )
4. หม่อมเจ้าหญิงกมลปราโมทย์ (กิติยากร) เทวกุล
5. หม่อมเจ้ามาโนทย์มานพ กิติยากร
6. หม่อมเจ้าขจรจบกิตติคุณ กิติยากร
7. หม่อมเจ้าหญิงพิบูลย์เบญจางค์ (กิติยากร) วรวรรณ
8. หม่อมเจ้าหญิงกัลยางค์สมบัติ (กิติยากร) โสณกุล
9. หม่อมเจ้าหญิงจิตรบรรจง (กิติยากร) ลดาวัลย์
10. หม่อมเจ้าหญิงทรงอัปษร (กิติยากร) รพีพัฒน์
11. หม่อมเจ้าหญิงสรัทจันทร์ กิติยากร
12. หม่อมเจ้าพุฒ กิติยากร
นอกจากนี้ยังมีพระราชบุตรจากหม่อมคนอื่นอีก 11 องค์ ทำให้พระองค์มีพระโอรสและธิดารวมกันทั้งหมด 23 องค์
ในปีพ.ศ. 2473 พระองค์เริ่มมีอาการประชวรที่พระศอ จึงเสด้จไปประทับการรักษาที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในตอนแรกที่ทำการรักษาพระอาการเหมือนจะดีขึ้น แต่หลังจากนั้นอาการก็ทรุดลงจนพระองค์สิ้นพระชนม์ไปในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 สิริอายุ 58 พรรษา
___________________
Prince Kitiyakara Voralaksana, 1st Prince of Chanthaburi (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ)
Founder of the Kitiyakara Family (ราชสกุลกิติยากร)
This AI-restored and re-imagined portrait depicts Prince Kitiyakara Voralaksana, 1st Prince of Chanthaburi (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ), shown in full civilian ceremonial dress, together with Princess Apsornsaman Kitiyakara (หม่อมเจ้าอับศรสมาน เทวกุล/กิติยากร).
Prince Kitiyakara Voralaksana was the twelfth son of King Chulalongkorn (Rama V) (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว), born on 8 June 1874 at the Grand Palace, Bangkok. His mother was Chao Chom Manda Uam Bisalayabutra (เจ้าจอมมารดาอ่วม บิสละบุตร), from whom he inherited part of his Chinese ancestry.
In his early years, he received private tutoring from Phraya Sisunthonwohan (Noi Acharayangkun) (พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)), after which he continued his studies at Suankularb Palace School. In 1885, King Chulalongkorn held the royal tonsure ceremony (พิธีโสกันต์) for the prince, after which he was ordained as a novice monk at Wat Bowonniwet Vihara for fifteen days.
He later became one of the first four royal sons sent by King Chulalongkorn to study abroad—the earliest group in Siamese history to receive Western education overseas:
Prince Kitiyakara Voralaksana (พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์)
Prince Raphi Phatthanasak (พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์), Prince of Ratchaburi
Prince Pravitra Vadhanodom (พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม), Prince of Prachinburi
Prince Chirapravati Voradej (พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช), Prince of Nakhon Chaisi
Prince Kitiyakara attended Rockvill School before entering the University of Oxford in 1894, specialising in Oriental Studies, particularly Pali and Sanskrit. He returned to Siam that same year and began serving his father in a variety of roles. His administrative ability led to his appointment as Minister of the Royal Treasury, and he later became a privy councillor.
King Chulalongkorn conferred upon him the princely title Prince of Chanthaburi (กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ), and granted him a riverside palace on the Khlong Phadung Krung Kasem—now widely known as Wang Pak Khlong Phadung Krung Kasem (วังปากคลองผดุงกรุงเกษม). The granting of this prime riverfront estate reflected the king’s great trust and affection, comparable to the importance of royal residences given to other high-ranking princes such as Prince Paribatra Sukhumbandhu (สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต).
During the reign of King Vajiravudh (Rama VI), he was elevated in rank from Krom Muen to Krom Luang, and eventually to Krom Phraya, becoming Prince Kitiyakara Voralaksana, 1st Prince of Chanthaburi (กรมพระจันทบุรีนฤนาถ). King Vajiravudh praised him for his exceptional administrative skills, especially in supervising the Ministry of the Royal Treasury.
Under King Prajadhipok (Rama VII), the prince was appointed Member of the Supreme Council of State, Chairman of the Civil Service Regulations Committee, and President of the Committee for the Civil Service Act. These appointments reflected his reputation as a distinguished scholar of economics, finance, and linguistics.
Among his major scholarly contributions was his translation of the Candakumara Jātaka from Pali into Thai. For this achievement, King Rama VII awarded him a special fan of ecclesiastical rank (พัดเปรียญ ๕ ประโยค)—a rare honour for a layman.
He also compiled a monumental Pali–Thai–English–Sanskrit Dictionary, based on the earlier Pali dictionary of R.C. Childers. Although his manuscript was incomplete, King Bhumibol Adulyadej (Rama IX) later ordered the monks of Wat Bowonniwet Vihara and Professor M.L. Chirayu Navarat (ศ.ม.ล.จิรายุ นพวงศ์) to revise and publish the work through the Mahamakut Royal Academy Foundation. It has since become one of the most widely recognised dictionaries in the field.
Marriage and Issue
Prince Kitiyakara married Princess Apsornsaman Devakula (หม่อมเจ้าอับศรสมาน เทวกุล) in 1895. She was the daughter of Prince Devawongse Varopakarn (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ).
They had twelve children:
M.C. Kiatkamjorn Kitiyakara (หม่อมเจ้าเกียรติกำจร กิติยากร)
M.C. Amonsamanlak Kitiyakara (หม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ กิติยากร)
M.C. Nakkhatmongkol Kitiyakara (หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร) – later Prince Nakkhatmongkol, Prince of Chanthaburi II (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ)
M.C. Kamolpramote Devakula (หม่อมเจ้าหญิงกมลปราโมทย์ เทวกุล)
M.C. Manotmanop Kitiyakara (หม่อมเจ้ามาโนทย์มานพ กิติยากร)
M.C. Khajorjobkittikhun Kitiyakara (หม่อมเจ้าขจรจบกิตติคุณ กิติยากร)
M.C. Phibulbenjark Kitiyakara (หม่อมเจ้าหญิงพิบูลย์เบญจางค์ วรวรรณ)
M.C. Kalyangsompat Kitiyakara (หม่อมเจ้าหญิงกัลยางค์สมบัติ โสณกุล)
M.C. Chitbanjong Kitiyakara (หม่อมเจ้าหญิงจิตรบรรจง ลดาวัลย์)
M.C. Songapsorn Kitiyakara (หม่อมเจ้าหญิงทรงอัปษร รพีพัฒน์)
M.C. Saratjan Kitiyakara (หม่อมเจ้าหญิงสรัทจันทร์ กิติยากร)
M.C. Phut Kitiyakara (หม่อมเจ้าพุฒ กิติยากร)
He also had eleven additional children by other consorts, making a total of twenty-three children.
Later Life and Death
In 1930, Prince Kitiyakara began suffering from a serious throat illness. He travelled to Paris for medical treatment, where his condition initially improved but later deteriorated.
He passed away on 27 May 1931 in Paris at the age of 56, marking the end of the life of one of Siam’s most accomplished princes—administrator, economist, linguist, and scholar.
เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO