เจ้าจอมมารดากลิ่น ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
เจ้าจอมมารดากลิ่น ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
เจ้าจอมมารดากลิ่นหรืออีกนามหนึ่งที่รู้จักกันคือ ซ่อนกลิ่น เกิดเมื่อปี 2378 เป็นธิดาของพระยาดำรงค์ราชพลขันธ์ (จุ้ย คชเสนี) ขุนนางรามัญผู้เป็นเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระยาเจ่ง เจ้าจอมมารดากลิ่นได้ถวายตัวรับราชการ เป็นข้าราชการสำนักฝ่ายใน สนองเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนได้เป็นพระสนมเอก และได้เป็นเจ้าจอมมารดา ได้ประสูติพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล “กฤษดากร ณ อยุธยา”
เจ้าจอมมารดากลิ่นเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด มีความคิดก้าวหน้าใฝ่หาวิชาความรู้ ได้เรียนภาษาอังกฤษกับนางแอนนา เลียวโนเวนส์ ครูสอนภาษาอังกฤษที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จ้างเข้ามาสอน นางแอนนาได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษของเจ้าจอมมารดากลิ่นไว้ว่า
“...เจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นเป็นศิษย์ที่มีความขยันหมั่นเพียร และมาเรียนเสมอมิได้ขาด ผิดกับผู้หญิงอื่นๆ ที่เรียนบ้างหยุดบ้าง...”
คุณสมบัติอีกประการหนึ่งของเจ้าจอมมารดากลิ่น ที่นางแอนนา เลียวโนเวนส์ ชื่นชมก็คือการเป็นผู้มีจินตนาการกว้างไกลมีความคิดล้ำยุคล้ำสมัย เช่นมีความคิดเรื่องการปลดปล่อยทาส เพราะมีความแตกฉานในภาษาอังกฤษ และเจ้าจอมมารดากลิ่นก็ได้อ่านหนังสือเรื่องกระท่อมน้อยของลุงทอม ของมิสซิสฮาเรียต มิชเชอร์ เลยอยากจะปล่อยทาสเป็นอิสระ โดยเจ้าจอมมารดากลิ่นได้ปฏิบัติตนตามแนวคิดนั้น ด้วยการจ่ายเงินเดือนให้กับพวกทาสที่มารับใช้เดือนละ 4 บาท พร้อมเมตตาให้เสื้อผ้าและอาหารแก่ทาสด้วย
ด้วยความรู้ความสามารถอันแตกฉานในภาษาอังกฤษ และชื่นชมในหนังสือเรื่องกระท่อมน้อยของลุงทอม ที่มิสซิสฮาเรียต มิชเชอร์ เป็นผู้แต่ง เจ้าจอมมารดากลิ่นได้แปลหนังสือเรื่อง Uncle Tom's ออกมาเป็นภาษาไทยได้อย่างสละสลวย นับเป็นคนไทยคนแรกที่คิดแปลนวนิยายภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยได้สำเร็จ
คุณสมบัติอันโดดเด่นของเจ้าจอมมารดากลิ่นที่สืบทอดมาสู่ลูกหลานในตระกูลในเวลาต่อมาก็คือความคิดอ่านที่ก้าวหน้าล้ำยุคที่เต็มไปด้วยสำนึกของความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และผืนแผ่นดินไทยนับตั้งแต่พระโอรสคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ที่ทรงสนพระทัยในการศึกษามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงมีพระปรีชาสามารถในการเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าพระราชกุมารในรุ่นเดียวกัน เมื่อทรงเจริญพระชันษาขึ้นได้เข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูตไทยในต่างประเทศหลายประเทศ ทรงเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่เป็นผู้นำพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวปรับปรุงแก้ไขระบบการปกครองประเทศให้ทันสมัย อันเป็นความคิดก้าวหน้าที่สุดของคนหนุ่มในสมัยนั้น
นอกจากนี้ โอรสอีก 2 พระองค์ ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ คือ พระองค์เจ้าบวรเดช และหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ยังได้แสดงให้เห็นถึงความคิดก้าวหน้ากล้าหาญเต็มไปด้วยความปรารถนาดี เสียสละรักชาติบ้านเมือง ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ดังจะเห็นได้ว่าพระองค์เจ้าบวรเดช ที่ทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณจนได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่แล้ว ยังได้ปฏิบัติการต่อสู้กับคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เพื่อยึดอำนาจถวายคืนแก่พระมหากษัตริย์แม้ว่าทรงกระทำการไม่สำเร็จและได้ชื่อว่า กบฏบวรเดช ในเวลาต่อมา แต่ก็แสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง ส่วนหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นั้น ทรงเป็นพระบรมวงศาวงนุวงศ์ที่มีความคิดก้าวหน้าทางการเกษตรแผนใหม่ ทรงทุ่มเททั้งกำลังทรัพย์และกำลังแรงด้วยพระองค์เองทดลองทำเกษตรแผนใหม่ เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่เกษตรกร พระดำริและพระปรีชาสามารถของพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เกษตรกร ทรงได้รับการยอมรับทั้งจากคนไทยและชาวต่างประเทศ เป็นเหตุให้ทรงได้รับรางวัลแม็กไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ในปี 2510 มูลนิธิแม็กไซไซได้กล่าวสดุดีพระเกียรติคุณตอนหนึ่งว่า “ทรงเป็นพระบิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ ทรงใช้เวลาเกือบครึ่งศตวรรษ บุกเบิกทดลองและศึกษาความก้าวหน้าด้านการเกษตรแผนใหม่ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร นับเป็นเจ้านายอีกพระองค์ที่คนไทยภาคภูมิใจ”
มาถึงรุ่นหลานหรือนัดดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ที่ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อสัตย์ จงรักภักดี และมีผลงานที่รู้จักคือ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นธิดาในหม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร
อย่างไรก็ตาม แม้เจ้าจอมมารดากลิ่น จะเป็นผู้ที่มีความคิดอ่านก้าวหน้าแต่ก็ยังรักษาคุณสมบัติของกุลสตรีผู้มีความงดงามในทุกด้าน เป็นผู้มีความเมตตาสูงมีความมุ่งมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกอย่างเคร่งครัด สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ซึ่งได้สัมผัสกับความเมตตาของเจ้าจอมมารดากลิ่นด้วยพระองค์เอง ได้ทรงบันทึกไว้ว่า
“...เมื่อปี 2466 มารดาของข้าพเจ้าถึงอสัญกรรม วันหนึ่งกรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ เสด็จมาเยี่ยมศพด้วยกันกับเจ้าจอมมารดากลิ่น เมื่อนั่งอยู่ด้วยกันที่หน้าศพ คุณจอมมารดากลิ่นเห็นข้าพเจ้าเศร้าโศก ท่านสงสารออกปากว่า ‘เสด็จต้องเป็นกำพร้า ฉันรับเป็นแม่แทนแม่ชุ่มจะโปรดหรือไม่’ ข้าพเจ้าได้ฟังท่านแสดงความกรุณาเช่นนั้นจับใจ ก็กราบเรียนในทันทีว่า ‘ดี ฉันขอเป็นลูกคุณแม่ต่อไป’ แต่วันนั้นมาคุณจอมมารดากลิ่น ท่านก็แสดงความเมตตาปรานีอุปการะข้าพเจ้าเหมือนเช่นเป็นบุตรของท่าน ฝ่ายข้าพเจ้าก็ปฏิบัติบูชาท่านมาเหมือนเช่นเป็นมารดา...”
ในด้านความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เจ้าจอมมารดากลิ่นได้สละทรัพย์ส่วนตัวสร้างพระอารามขึ้นที่ ต.ทับยาว อ.ลาดกระบัง อันเป็นถิ่นที่มีชาวรามัญตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก พระอารามนี้ชื่อว่าวัดสุทธาโภชน์ ยามใดที่เจ้าจอมมารดากลิ่นมาบำเพ็ญกุศล ณ อารามแห่งนี้ จริยวัตรอันงดงามของท่านได้เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป เรือนที่พักที่เจ้าจอมมารดากลิ่นสร้างพักผ่อนในบริเวณใกล้ๆ กับพระอาราม กลายเป็นสายใยแห่งความรักความผูกพันความสมัครสมานสามัคคีและความสงบสุขของชุมชน ตลอดจนความจงรักภักดีที่ชาวรามัญมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และแผ่นดินไทย ดังปรากฏถึงคำบอกเล่าที่กล่าวถึงความนิยมชมชอบของชุมชนในท้องถิ่นที่มีต่อเจ้าจอมมารดากลิ่น ดังนี้
“...เจ้าจอมมารดากลิ่นจะแปรสถานมาพักยังตำหนักที่ท่านสร้างไว้ใกล้วัดสุทธาโภชน์ ต้องมารถไฟ มาลงเรือที่สถานีรถไฟหัวตะเข้ แล้วลงเรืออีกต่อหนึ่ง แล้วล่องมาตามลำคลองประเวศ แยกเข้าคลองลำปลาทิว ท่านสร้างเรือมาดลำใหญ่ขนาด 6 แจว ปรุแผ่นทองเหลืองตลอดทั้งลำไว้สำหรับเป็นพาหนะในคราวแปรสถานที่มาพำนักที่ตำหนัก มีพวกบริวารตามมาเยอะ ผู้คนไปรับท่านที่สถานีรถไฟเป็นที่สนุกสนาน ท่านเมตตาจัดอาหารเลี้ยงดูและผ้าขาวม้าให้คนละผืนสองผืนเป็นรางวัลน้ำใจทั่วทุกคน เจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นเป็นที่เคารพของชาวรามัญในละแวกนั้นมาก...”
เจ้าจอมมารดากลิ่นถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2468 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สิริอายุได้ 96 ปี ภายหลังเมื่อท่านอสัญกรรมแล้วเมื่อมีการทอดกฐิน ณ วัดสุทธาโภชน์ ทุกครั้งชาวบ้านจะนำเสลี่ยงอัญเชิญรูปจำลองของท่านไปตั้งประดิษฐานบนแท่นบูชาเพื่อรำลึกถึงท่านตลอดมา ปัจจุบันอนุสาวรีย์เจ้าจอมมารดากลิ่นตั้งอยู่ภายใต้ซุ้มบุษบกหน้าโบสถ์วัดสุทธาโภชน์ เป็นรูปหินอ่อนกว้าง 36.5 เซนติเมตร สูง 64.5 เซนติเมตร ในชุดแต่งกายประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์
Chao Chom Manda Klin, Consort of His Majesty King Mongkut (Rama IV) of Siam
Chao Chom Manda Klin, also known by another name, Sonklin, was born in 1835. She was the daughter of Phraya Damrong Rajapholkhun (Jui Kachaseni), a Mon nobleman and governor of Nakhon Khuean Khan, who descended from Phraya Ching. Chao Chom Manda Klin entered the royal court as a consort in the inner court and served King Mongkut (Rama IV), eventually becoming a principal consort. She bore him a son, Prince Kritsada Phinihan, who was later elevated to the rank of Krom Phra Nares Worarit and became the founder of the royal family Kritdakorn Na Ayutthaya.
Chao Chom Manda Klin was an intelligent and forward-thinking woman with a thirst for knowledge. She studied English with Anna Leonowens, the English tutor brought to the court by King Mongkut. Anna recorded that:
“...Chao Chom Manda Sonklin was a diligent and consistent student, unlike other women who attended lessons sporadically...”
Another trait Anna admired was her broad imagination and progressive thinking, especially her ideas regarding the abolition of slavery. Fluent in English, she read Uncle Tom’s Cabin by Mrs. Harriet Beecher Stowe, which inspired her to free her slaves. She paid them a monthly salary of four baht and also provided them with clothing and food.
Thanks to her mastery of English and admiration for Uncle Tom’s Cabin, Chao Chom Manda Klin translated the novel into Thai in an elegant and fluent style, making her the first Thai person known to have translated a Western novel into Thai successfully.
Her progressive mindset was passed down to her descendants, along with a strong sense of loyalty to the monarchy and the Thai nation. Her son, Prince Kritsada Phinihan, Krom Phra Nares Worarit, was deeply dedicated to education from a young age and excelled in English more than his peers. Upon coming of age, he served under King Chulalongkorn (Rama V) and gained His Majesty’s full trust. He was appointed ambassador to several countries and became one of the royal figures who urged the King to modernise the country’s administrative system—a visionary proposal by the younger generation of that era.
Two of his sons also inherited this progressive and courageous spirit:
Prince Boworadet, who served in high governmental office, led an armed resistance in 1933 to restore royal power after the 1932 revolution. Though the attempt failed and he was labelled a rebel, his courage and loyalty to the monarchy were evident.
Mom Chao Sithiporn Kridakorn, a royal known for pioneering modern agricultural practices. He devoted personal resources and labour to experimental farming, setting an example for farmers nationwide. His ideas and innovations were recognised both locally and internationally, earning him the Ramon Magsaysay Award for Public Service in 1967. The foundation praised him as:
“The Father of Modern Agriculture, who dedicated nearly half a century to developing and researching progressive farming techniques.”
Among the later generations, one notable descendant was Thanphuying Butree Veeravaitaya, the Deputy Private Secretary to the King in the current reign. She was the daughter of Mom Chao Chitchanok Kridakorn and continued the family tradition of faithful royal service.
Despite her progressive views, Chao Chom Manda Klin remained a woman of grace and traditional virtue. She was deeply compassionate and devoutly Buddhist, practising her faith with utmost sincerity. Prince Damrong Rajanubhab, who personally experienced her kindness, recorded:
“...In 1923, when my mother passed away, Krom Phra Nares Worarit came to visit the funeral with Chao Chom Manda Klin. As we sat before the casket, she saw my sorrow and said, ‘Now you’re motherless. Would you allow me to be your mother in place of Mae Chum?’ Her kindness moved me deeply, and I replied, ‘Yes, I would be honoured to be your son.’ From that day forward, she cared for me as her own, and I treated her with the reverence of a true mother...”
As part of her religious devotion, Chao Chom Manda Klin donated her personal funds to build a temple in Tambon Thap Yao, Lat Krabang District, an area with a large Mon community. The temple is named Wat Sutthaphot. Whenever she visited to perform merit-making, her graceful demeanour was evident to all. Her nearby residence became a source of unity and peace for the community, strengthening loyalty to the monarchy and the Thai nation. Oral traditions from the locals speak fondly of her:
“...When Chao Chom Manda Klin travelled to her residence near Wat Sutthaphot, she would take the train to Hua Takhe station and then continue by boat along the Prawet canal, branching into the Lamplathio canal. She had a grand boat built, large enough for six oarsmen, with brass plating throughout. Her entourage would accompany her, and people joyfully welcomed her at the station. She generously provided food and gave out loincloths as tokens of appreciation. She was deeply respected by the Mon people in the area...”
Chao Chom Manda Klin passed away on 13 November 1925, during the reign of King Vajiravudh (Rama VI), at the age of 96. After her passing, during annual Kathin ceremonies at Wat Sutthaphot, locals continue to honour her by placing her likeness on an altar. Today, her memorial stands in a marble statue under a busabok (ornate pavilion) in front of the temple’s ordination hall. The statue measures 36.5 cm wide and 64.5 cm high, depicting her in attire adorned with royal decorations.
อ่านโพสต้นฉบับได้ที่นี้ https://www.posttoday.com/politics/264932
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO


