เจ้าคุณพระประยุรวงศ์
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้คือภาพของ เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยแฟชั่นที่ปรากฏเป็นสไตล์วิกตอเรียช่วงปลายยุค ซึ่งโดดเด่นด้วยแขนเสื้อทรงหมูแฮม (leg-of-mutton sleeves) ราว พ.ศ. ๒๔๓๐–๒๔๔๐ (ค.ศ. 1890s) อันสอดคล้องกับช่วงปลายรัชกาลที่ ๕
การแต่งกายประกอบด้วย เสื้อแขนหมูแฮม แบบตะวันตก แพรสะพาย สายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (Most Illustrious Order of Chula Chom Klao) ริบบิ้นลายสกอตช์ (Scottish tartan ribbon) ที่นิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๙ และโจงกระเบน ตามแบบการแต่งกายฝ่ายในของสยาม
เครื่องแต่งกายของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์สะท้อนให้เห็นถึง การผสมผสานระหว่างระเบียบการแต่งกายของราชสำนักสยามกับรูปแบบการตัดเย็บแบบวิกตอเรียนยุโรป ในช่วงที่สังคมไทยเข้าสู่กระบวนการปรับตัวและเปิดรับความทันสมัยอย่างจริงจังในปลายรัชกาลที่ ๕
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ นามเดิม แพ (5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2397 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2486) เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทำหน้าที่เป็นผู้เบิกพระโอษฐ์พระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคุณจอมมารดาแพ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเกียรติยศขึ้นเป็นเจ้าคุณชั้นพิเศษให้ออกนามว่า เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ และได้รับเกียรติให้ใช้คำว่า "ถึงแก่พิราลัย" เทียบเจ้าประเทศราชและสมเด็จเจ้าพระยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสยกย่องท่านว่า "ท่านสมบูรณ์ด้วยเกียรติยศ และเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งหลายมิรู้เสื่อมทรามจนตลอดอายุ"
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ มีนามเดิมว่า แพ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2397 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ซึ่งตรงกับวันลอยกระทง เป็นธิดาของเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) กับท่านผู้หญิงอิ่ม และท่านผู้หญิงอ่วมซึ่งเป็นป้า (พี่สาวของแม่) ก็เป็นภรรยาเอกอีกท่านหนึ่งของบิดา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน ได้แก่ เล็ก (เป็นที่คุณหญิงสรราชภักดี), ฉาง, เหมา (เป็นที่หลวงจักรยานานุพิจารณ์), หมิว (เป็นที่จ่ายวดยศสถิต), โหมด (เป็นบาทบริจาริกาในรัชกาลที่ 5), แม้น (เป็นห้ามของกรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช), เมี้ยน และมิด
ครอบครัวของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ สืบเชื้อสายจากเฉกอะหมัด แขกเจ้าเซ็นจากอิหร่าน ซึ่งเป็นจุฬาราชมนตรีมาแต่ครั้งกรุงเก่า จนกระทั่งลูกหลานรุ่นเหลนคือเจ้าพระยาเพ็ชร์พิไชย (ใจ) ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง หลานชายของเจ้าพระยาเพ็ชร์พิไชย คือ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้นท่านลิ้ม ภรรยาของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทรงเกิดความสงสาร จึงนำพระขนิษฐาแท้ ๆ คือ เจ้าคุณพระราชพันธุ์นวล ให้กับเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา และเป็นต้นสกุลบุนนาค นับเป็นตระกูลที่จงรักภักดี และมีฐานะเป็นเครือญาติใกล้กับราชวงศ์จักรีในฐานะคู่เขย หลังจากนั้นเป็นต้นมาสกุลบุนนาคและเครือญาติจึงมีหน้าที่คอยถวายตัวธิดาเป็นบาทบริจาริกาสนองพระเดชพระคุณมาในทุก ๆ รัชกาล
มูลเหตุที่มีนามว่า แพ เพราะท่านเกิดที่แพริมแม่น้ำเจ้าพระยาในฝั่งเขตธนบุรี ทำนองเดียวกันกับพี่สาวที่ชื่อ ฉาง เพราะบิดาเคยย้ายครอบครัวไปอาศัยในฉางข้าวในระยะหนึ่งและให้กำเนิดธิดาที่นั่น[3] เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนของเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ที่ฝั่งธนบุรีมาตั้งแต่ยังเยาว์ ปัจจุบันบริเวณที่ตั้งเรือนดังกล่าวคือโรงเรียนศึกษานารี ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ของสายสกุลบุนนาคไว้ปลูกเรือนอาศัยอยู่ต่อ ๆ กันมาริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ใต้คลองกุฎีจีนลงมาจนถึงคลองวัดพิชัยญาติ
ในวัยเยาว์ เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ได้สมญาว่า ม่วง อันเป็นนามของแม่ค้าชราคนหนึ่งซึ่งทำขนมขายได้เลิศรส ท่านจึงติดใจและชอบยายม่วงมาก อยู่มาวันหนึ่ง กลุ่มเพื่อนของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ได้ถามเล่นว่าใครอยากเป็นอะไรบ้าง เมื่อถามมาถึงเจ้าคุณประยุรวงศ์ ท่านก็ตอบกลับไปว่า อยากเป็นยายม่วง เพื่อนเด็ก ๆ เห็นเป็นเรื่องขำขันจึงพากันเรียกล้อท่านว่าม่วงอยู่ช่วงหนึ่ง
เมื่อเจ้าคุณพระประยุรวงศ์มีอายุได้ 13 ปี ใน พ.ศ. 2409 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ผู้เป็นปู่ ได้พาท่านเข้าถวายตัวรับราชการฝ่ายใน โดยพาไปฝากกับเจ้าจอมมารดาเที่ยง บาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับไว้ในพระอุปการะของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐ ซึ่งในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุ 15 พรรษา และเสด็จออกไปจากพระราชฐานฝ่ายในตามธรรมเนียม จึงไม่มีโอกาสได้เห็นหรือทันรู้จักเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ แต่ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พบเจ้าคุณพระประยุรวงศ์เมื่อครั้งตามเสด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐในงานพระเมรุที่ท้องสนามหลวง ก็ทรงพอพระทัยตั้งแต่ครั้งแรกที่ทอดพระเนตรเห็น หลังจากนั้นจึงทรงสืบจนทราบแน่ชัดว่าหญิงที่ทรงพอพระทัยนั้นเป็นใคร[3] หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจัดให้มีละครวังหลวงแสดงที่วังหน้า เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ถือหีบหมากเสวยตามเสด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐไปด้วย และนั่งชมละครที่บริเวณหน้าพลับพลาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมักทอดพระเนตรตรงมายังตัวท่านบ่อย ๆ และในคืนนั้น เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ก็ฝันว่ามีงูใหญ่มารัดตัวท่าน จึงนำความฝันนี้ไปเล่าแก่ญาติผู้ใหญ่ในงานสมรสของคุณเล็ก พี่สาว เมื่อญาติได้ฟังความฝันของท่านก็พากันหัวเราะชอบใจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเข้าไปขอร้องกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐ ว่าให้นำตัวเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ออกงานพระราชพิธีบ่อย ๆ เพื่อจะเห็นหน้าบ้าง รวมทั้งทรงใช้พระอนุชาพระองค์น้อย ๆ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร ซึ่งยังสามารถเข้านอกออกในพระราชฐานชั้นในได้ ทำหน้าที่เป็นสื่อรัก ที่ชวนเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ไปรับชมมหรสพหรือขบวนแห่ต่าง ๆ รวมทั้งใช้ให้พระพี่เลียงนำของมาพระราชทานให้หลายต่อหลายครั้ง เจ้าคุณพระประยุรวงศ์กล่าวไว้ว่า "…พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดให้พระพี่เลี้ยงชื่อกลาง นำหีบน้ำอบฝรั่งเข้าไปประทานหีบหนึ่ง ด้วยสมัยนั้นน้ำอบฝรั่งเพิ่งมีเข้ามาขายในเมืองไทย คนกำลังชอบกันมาก หีบน้ำอบฝรั่งที่ประทานนั้นทำเป็นสองชั้น เปิดฝาออกถึงชั้นบน มีพระรูปฉายวางไว้ในนั้น เปิดถึงชั้นล่างต่อลงไปมีน้ำอบฝรั่งสองขวดกับสบู่หอมก้อนหนึ่งวางเรียงกันอยู่…" ในเวลาต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐทรงชักชวนเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ตามเสด็จไปงานวันวิสาขบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามด้วยกัน และเมื่อได้โอกาส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสขอเจ้าคุณพระประยุรวงศ์จากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐไปเป็นห้าม แต่เมื่อเรื่องถึงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ผู้เป็นปู่ จึงมีคำสั่งให้ท่านผู้หญิงอิ่ม มารดา มารับตัวเจ้าคุณพระประยุรวงศ์กลับไปที่เรือน ทำให้ทั้งสองพรากจากกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงขอร้องให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐช่วยให้พระองค์พบกับเจ้าคุณพระประยุรวงศ์อีกครั้ง เจ้าคุณพระประยุรวงศ์กล่าวถึงการพบกันในครั้งนั้นว่า "เป็นแต่รันทดกำสรดโศก หาได้ปรึกษาหารือคิดอ่านกันอย่างไรไม่"
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นเจ้าชายหนุ่มกลัดกลุ้มพระราชหฤทัยยิ่งนัก และเมื่อการณ์เป็นเช่นนั้น เจ้าจอมมารดาเที่ยงเป็นเจ้าจอมคนโปรด นำความกราบทูลแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ทรงมีพระเมตตาแก้ปัญหาแก่พระราชโอรส ด้วยการตรัสขอเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ต่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ รับท่านเป็นสะใภ้หลวง[8]
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ถวายตัวเป็นนางห้ามสะใภ้หลวงชองพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2410 ซึ่งท่านได้รับพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ เช่น เงินตรา 400 บาท และผ้า 10 สำรับ และเมื่อถวายตัวเป็นสะใภ้หลวง ก็จะมีนางในผู้มีศักดิ์คือพวกท้าวนาง ทำหน้าที่ส่งตัวสะใภ้หลวงแก่พระภัสดา เช่นเดียวกับการถวายตัวของบาทบริจาริกา เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ถูกส่งตัวไปยังพระตำหนักสวนกุหลาบ โดยเจ้าคุณพระประยุรวงศ์กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ว่า "เดินออกไปทางประตูราชสำราญ เหมือนกับกระบวนแห่พระนเรศวร พระนารายณ์ มีคนถือเทียนนำหน้า และถือคบรายสองข้าง มีคนตามหลังเป็นพวกใหญ่ พวกชาววังก็พากันมานั่งดูแน่นทั้งสองข้างทาง อายจนแทบจะเดินไม่ได้" เจ้าคุณพระประยุรวงศ์มีฐานะเป็น หม่อม และหลังอภิเษกสมรสได้เพียงสามเดือน เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ก็ตั้งครรภ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชวังนันทอุทยาน ริมคลองมอญ ฝั่งธนบุรี เป็นสถานที่สำหรับประสูติพระหน่อ เพราะตามโบราณราชประเพณี สตรีสามัญชนไม่สามารถคลอดลูกในพระบรมมหาราชวังได้ ในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าต้องเสด็จข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อปฏิบัติราชการที่พระบรมมหาราชวัง และข้ามฟากกลับพระตำหนัก เย็นบ้าง ค่ำบ้าง และบางคราวก็ดึก โดยในช่วงน้ำลง พระองค์ต้องเสด็จพระราชดำเนินบนสะพานไม้รวกยาว ๆ ริมคลองเพื่อกลับพระตำหนักไปหาครอบครัวอยู่เสมอ หลังตั้งครรภ์ได้เพียงเจ็ดเดือน เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ก็ให้ประสูติการพระราชธิดา คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี
หลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตลงใน พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมา ส่วนเจ้าคุณพระประยุรวงศ์มีฐานะเป็น เจ้าจอมมารดา และย้ายที่อยู่อาศัยไปยังพระบรมมหาราชวัง โดยท่านได้อาศัยอยู่ในตำหนักต้นชมพู่ อดีตตำหนักของเจ้าจอมมารดาตลับ ในรัชกาลที่ 4 (สกุลเดิม บุณยรัตพันธุ์) หลังจากนี้ สามีต้องมีบาทบริจาริกาอีกหลายนางคอยถวายการปรนนิบัติรับใช้ตามโบราณราชประเพณี เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ได้ทูลขอพรพิเศษจากสามีไว้ ความว่า "พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ จะมีพระสนมกำนัลมากสักเท่าใด ก็จะไม่เคียดขึ้งตึงหวง และไม่ปรารถนาจะมีอำนาจว่ากล่าวบังคับบัญชาผู้หนึ่งผู้ใด ขอแต่ให้ได้สนองพระเดชพระคุณเหมือนอย่างเมื่อเสด็จอยู่พระตำหนักสวนกุหลาบเท่านั้นก็พอใจ" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงมีพระเมตตาต่อเจ้าคุณพระประยุรวงศ์เป็นอย่างดี ทรงให้สิทธิพิเศษหลายประการแก่เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ เช่น ห้ามท้าวนางไปว่ากล่าวรบกวนท่าน อนุญาตให้เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ปรนนิบัติพระองค์ภายในพระที่นั่งเย็น รวมทั้งการปรนนิบัติเป็นกิจวัตรในทุก ๆ วัน คือ การถวายเครื่องพระสำอางและตั้งเครื่องพระกระยาหารต้มเมื่อตื่นบรรทม หลังเสร็จพระกรณียกิจช่วงเช้า ท่านก็มาปรนนิบัติอีกในช่วงบ่าย กลางคืนเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าบรรทมแล้ว ซึ่งหมดจากนี้เจ้าคุณพระประยุรวงศ์จะไม่เข้าไปยุ่งกิจการใด ๆ อีกรวมทั้งใช้ราชาศัพท์กับเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ เช่น สรง บรรทม เสด็จ และพิราลัย เทียบเจ้าประเทศราชและสมเด็จเจ้าพระยา และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเรียก จะทรงเรียกว่า แม่แพ หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่นจะทรงเรียกว่า คุณแพ ไม่เรียก นาง อย่างนางบาทบริจาริกานางอื่น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องเจ้าคุณพระประยุรวงศ์เหนือยิ่งกว่านางสนมคนใด โดยพระราชทานหีบหมากทองคำลงยาประดับเพชร ในวันสวดพระอภิธรรมพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งสิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่ม ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตกอยู่ในอาการโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ได้ขับร้องเพลงในวรรณคดีเชิงล้อเลียนเปรียบเปรยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิทรงถือโทษโกรธเคือง ทรงให้อภัยเพราะท่านคือรักแรกของพระองค์ ทั้งยังทรงแต่งตั้งให้ท่านขึ้นเป็น เจ้าคุณจอมมารดา ดังระบรมราชโองการว่า "มีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า ราชประเพณีแต่ก่อนมา เจ้าจอมมารดาฝ่ายในที่เป็นผู้ใหญ่และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และเป็นที่นับถือของคนในพระบรมมหาราชวังโดยมาก เคยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกย่องขึ้นให้เรียกว่า เจ้าคุณ บัดนี้ทรงพระราชดำริว่า เจ้าจอมมารดาแพ ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณมาถึง 37 ปี เป็นเจ้าจอมมารดาผู้ใหญ่ และเป็นบุตรีท่านอัครมหาเสนาบดี มีตระกูลสูงเนื่องในราชนิกูล สมควรจะมียศบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าคุณได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า แต่นี้ไปให้เรียกเจ้าจอมมารดาแพว่า เจ้าคุณจอมมารดา"
ในกาลต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังดุสิตเป็นที่ประทับ ด้วยทรงปรารภว่าในอนาคตหากพระองค์เสด็จสวรรคต เจ้าจอมมารดาที่มีพระราชโอรสก็คงออกไปอยู่วังของพระราชโอรส เจ้าจอมที่ไม่มีพระราชบุตรก็จะออกไปเป็นอิสระ ขณะที่เจ้าจอมมารดาที่มีพระราชธิดาคงจำต้องอาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในภายในพระบรมมหาราชวังเรื่อยไป พระองค์จึงซื้อที่ดินบริเวณริมคลองสามเสนด้านใต้ เพื่อจัดสรรให้แก่เจ้าจอมมารดาที่มีแต่พระราชธิดาอาศัยอยู่ในบั้นปลาย เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ได้รับพระราชทานก่อนคุณจอมท่านอื่น ท่านทูลขอออกมาสร้างเรือนพำนักอยู่สวนนอกเมื่ออายุราว 50 ปี[14] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชานุญาตให้เจ้าคุณพระประยุรวงศ์สามารถออกเที่ยวเตร่ได้ และดำรัสสั่งกรมทหารเรือซึ่งเป็นพนักงานรักษาเรือพาหนะของหลวงอยู่ด้วยในสมัยนั้น ว่าถ้าเจ้าคุณจะไปไหน ก็ให้จัดพาหนะของหลวงให้ใช้ทุกเมื่อ คือมีใช้ทั้งรถหลวงและเรือหลวง แต่ตัวของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์เองนั้นพอใจที่จะพายเรือตามเรือกสวนภายในจังหวัดพระนครเสียมากกว่า
บั้นปลายและพิราลัย
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าสถาปนาให้ท่านขึ้นเป็น เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ เป็นเจ้าคุณชั้นพิเศษ ในฐานะที่เป็นสนมเอกชั้นผู้ใหญ่ และเป็นหัวหน้านักนางสนมทั้งปวง
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ปี พ.ศ. 2486 เวลา 20 นาฬิกา ณ บ้านบรรทมสินธุ์ สิริอายุ 88 ปี มีพิธีหลวงอาบน้ำศพและเชิญศพลงโกศในวันที่ 24 มีนาคม ปีเดียวกัน ได้รับพระราชทานโกศประกอบลองกุดั่นน้อย และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุในสุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร อัฐิของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์บรรจุไว้ในพระเจดีย์วัดสุรชายาราม
ในราชสำนัก
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์เป็นสตรีที่กล้าแสดงออก สนุกสนาน มีความคิดแปลกใหม่และทันสมัย ผิดกับหญิงสาวในยุคนั้น ท่านชื่นชอบการร้องรำทำเพลงและเล่นละครเป็นอย่างยิ่ง บทละครร้องที่ท่านแต่งมีเรื่องราวสนุกสนาน แปลก ทันสมัยไม่เหมือนใคร รวมทั้งยังกล้าที่จะแต่งเนื้อหากระทบกระเทียบเปรียบเปรยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้เป็นสามี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงถือโทษโกรธอันใด[13] ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงต้องการหนังสือถวายพระพรของเซอร์เจมส์ บรุก รายาแห่งซาราวัก ซึ่งทรงเขียนหลังซองจดหมายดังกล่าวไว้ว่า "หนังสือเซอร์เจมส์ บรุ๊ก" ไว้ข้างที่ จึงสอบถามเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นพระสนมเอกและเป็นเจ้าพนักงานหนังสือข้างที่ ว่าเหตุใดคุณเพียนเถ้าแก่จึงหาหนังสือดังกล่าวไม่พบ เจ้าคุณพระประยุรวงศ์จึงอ้างคำพูดของคุณเพียน ซึ่งกล่าวว่าเจ้าพระยานรรัตนราชมานิต (โต มานิตยกุล) ระบุว่าด้านหลังซองจดหมายเขียนว่า "ครือคะรึ" คุณเพียนหาหนังสือดังกล่าวไม่พบก็จนใจ ครั้นวันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไปต่อว่าเจ้าพระยานรรัตนราชมานิต ท่านเจ้าพระยาก็กราบบังคมทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เรียกว่า ครือคะรึ ไปบอกคุณเพียนเถ้าแก่ว่า หนังสือซีจำปลุ๊กตามรับสั่ง"
กิจกรรมที่สำคัญของท่านเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ นอกจากในรัชกาลที่ 5 จะได้เป็นผู้นำในด้านการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวภายในราชสำนักแล้ว ยังได้รับหน้าที่เป็นผู้เบิกพระโอษฐ์พระราชโอรส และพระราชธิดา ในรัชกาลที่ 5 (หมายความว่า ท่านเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ได้เป็นผู้ที่ถวายน้ำนมจากหน้าอกของท่านเองแก่บรรดาพระราชโอรส-ธิดา เพื่อเป็นปฐมมงคล แต่เมื่อปลายรัชกาลเมื่อท่านมีอายุสูงขึ้นนั้นจนตลอดในรัชกาลที่ 6 น่าจะเป็นการถวายน้ำนมจากพระนมที่มีการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันมากกว่าจะเป็นน้ำนมที่มาจากท่านเอง) หน้าที่นี้ท่านยังได้รับปฏิบัติสืบมาถึงรัชกาลที่ 6 คือได้เป็นผู้รับเบิกพระโอษฐ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นครั้งที่สุด
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร กับเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ เพราะทั้งสองแต่งกายต่างกัน กล่าวคือ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูรทรงนุ่งจีบตามอย่างโบราณราชประเพณี ขณะที่เจ้าคุณพระประยุรวงศ์นิยมนุ่งโจงกระเบนตามพระราชนิยมช่วงต้นรัชกาล สุดท้ายแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการแต่งกายว่าใครจะแต่งกายอย่างไรก็ให้เป็นเรื่องของบุคคลนั้น แต่หากเป็นพระราชพิธีก็จะต้องนุ่งจีบตามอย่างโบราณราชประเพณีเท่านั้น ในช่วงที่ราชสำนักสยามรับอิทธิพลจากชาติตะวันตกเข้ามา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรึกษาเจ้าคุณพระประยุรวงศ์เรื่องทรงผมของสตรีสยาม มีพระราชประสงค์ให้สตรีเลิกไว้ผมปีกอย่างโบราณ เปลี่ยนเป็นไว้ผมยาวแทน เจ้าคุณพระประยุรวงศ์จึงสนองพระราโชบายด้วยไว้ผมยาวประบ่าและขมวดปลายผม เบื้องต้น สตรีชาววังต่างพากันซุบซิบนินทาเจ้าคุณพระประยุรวงศ์เป็นอันมาก แต่ด้วยความที่เป็นคนโปรด เรื่องนินทาจึงค่อย ๆ หายไป และหญิงชาววังจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาไว้ผมยาวสนองพระราโชบาย
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ยังเป็นผู้ริเริ่มการ "สะพายแพร" เป็นครั้งแรก โดยเริ่มจากการที่ท่านขี่ม้าตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในท้องถิ่นต่าง ๆ จึงไม่สะดวกเมื่อจะห่มสไบเฉียงเพราะจะอาจจะหลุดออกจากตัวได้ง่าย เจ้าคุณพระประยุรวงศ์จึงใช้การสะพายแพรเย็บติดแนบตัวเผยให้เห็นเสื้อลูกไม้ซึ่งอยู่ภายใน และสวมหมวกอย่างสตรียุโรปเพื่อกันแดด หญิงชาววังก็แต่งกายตามอย่างท่านเรื่อยมา จนกระทั่งการสะพายแพรยุติลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากการสะพายแพรแล้ว ท่านยังเป็นผู้ริเริ่มการแต่งกายด้วยการสะพายมาลัยครุย คือมาลัยกลมขนาดใหญ่ มีอุบะห้อยตุ้งติ้งคล้ายระบายเป็นครุยโดยรอบทั้งด้านในและด้านนอก สะพายจากไหล่ขวาและมาซ้าย คล้ายการห่มสไบเฉียงเมื่อนุ่งโจงกระเบน
พ.ศ. 2484 เจ้าคุณพระประยุรวงศ์เมื่อวัยแก่ชราใกล้จะถึง 90 ปี จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ประกาศชักชวนสตรีไทยให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เช่นเปลี่ยนตัดผมสั้นเป็นไว้ยาว เปลี่ยนนุ่งผ้าโจงกระเบนเป็นนุ่งถุง และให้ใส่เกือกใส่หมวกเป็นต้น รัฐบาลไทยได้ชวนเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ให้เป็นผู้นำสตรีที่มีบรรดาศักดิ์ให้เปลี่ยนแปลง ท่านก็ยินดีรับช่วยและเอาตัวของท่านเองออกหน้าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวตามอย่างที่ต้องการ ก็มีผลให้ผู้อื่นปฏิบัติตามท่านอย่างคึกคัก ท่านจึงได้รับความเคารพนับถือจากรัฐบาลในสมัยนั้นและได้รับเชิญไปเข้าสมาคมและไปเป็นประธานในการให้รางวัลต่าง ๆ เช่น ในการประกวดนางสาวพี อันเป็นการประกวดเรื่องรูปร่างอวบอ้วนให้ต่างไปจากการประกวดนางสาวไทย เริ่มการประกวดครั้งแรกใน พ.ศ. 2484 โดยมีเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ผู้เป็นผู้สูงอายุที่ทันสมัยที่สุด เป็นผู้มอบรางวัลแก่ผู้ชนะ โดยนำเงินจากการเก็บค่าผ่านประตูไปช่วยชาติ ในช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งท่านเองได้ช่วยงานของประเทศชาติอย่างเต็มที่ตามกำลังและความสามารถที่มี
การบำเพ็ญกุศล
นอกจากนี้ยังได้บำเพ็ญกุศลอื่น ๆ อีกในคราวฉลองอายุครบรอบ เช่น สร้างสุขศาลาเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ บูรณะศาสนสถานต่าง ๆ ในวัดของบุรพชนทั้งในและนอกจังหวัดพระนคร เช่นปฏิสังขรณ์วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร สร้างตึกประยูรวงศ์ในวัดบุปผารามวรวิหาร สร้างเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังกลมวัดสุรชายารามเป็นต้น
ข้อมูลจาก Wikipedia, Accessed 01/10/25 https://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าคุณพระประยุรวงศ์
____________________________
Chao Khun Phra Prayurawongse
AI-Restored and Reimagined Portrait: Chao Khun Phra Prayurawongse (เจ้าคุณพระประยุรวงศ์)
This AI-restored and creatively reimagined portrait depicts Chao Khun Phra Prayurawongse (เจ้าคุณพระประยุรวงศ์)during the reign of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว). The fashion presented corresponds to the late Victorian period, characterised by leg-of-mutton sleeves, dating to approximately 1890s (พ.ศ. 2430–2440), which aligns with the final decades of the Fifth Reign.
Her attire comprises a Western-style leg-of-mutton-sleeved blouse, a ceremonial shoulder sash, the sash of the Most Illustrious Order of Chula Chom Klao, a Scottish tartan ribbon—a decorative element fashionable in the late nineteenth century—and a chongkraben (โจงกระเบน) in accordance with traditional Siamese court dress.
The ensemble worn by Chao Khun Phra Prayurawongse reflects a sophisticated blend of Siamese royal court conventions and European Victorian tailoring, during a period in which Thai society was actively adapting to, and embracing, modernity in the closing years of King Chulalongkorn’s reign.
Early Life
Chao Khun Phra Prayurawongse (เจ้าคุณพระประยุรวงศ์) was born as Pae (แพ) on 5 November 1854 (พ.ศ. 2397) and passed away on 22 March 1943 (พ.ศ. 2486). She served as a principal consort of King Chulalongkorn and was responsible for the first nursing of royal princes and princesses, a role of immense honour in the Fifth Reign. She was later elevated to the rank of Chao Khun Chom Manda Pae (เจ้าคุณจอมมารดาแพ) and subsequently raised by King Vajiravudh (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) to the distinguished title Chao Khun Phra Prayurawongse (เจ้าคุณพระประยุรวงศ์), with special privileges accorded only to high-ranking noblewomen. She was further granted the right to use the expression “thung kae phiralai” (ถึงแก่พิราลัย) upon her death—an honour equal to that of chao prathet ratand Somdet Chao Phraya.
Prince Damrong Rajanubhab (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) praised her highly, saying:
“She was complete in honour, and was respected by all throughout her life.”
Family Background
Pae (แพ) was born on Sunday, the full moon of the twelfth lunar month, in the Year of the Tiger—coinciding with Loy Krathong Day. She was the daughter of Chao Phraya Surawongwaiwat (Worn Bunnag) (เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค)) and Than Phuying Im (ท่านผู้หญิงอิ่ม). Her father’s principal wife, Than Phuying Uam (ท่านผู้หญิงอ่วม)—who was her maternal aunt—was another prominent lady of the household. She had nine full siblings, including:
Lek (เล็ก) – later Khun Ying Sararapakdi (คุณหญิงสรราชภักดี)
Chang (ฉาง)
Mao (เหม่า) – later Luang Chakkayananupichan (หลวงจักรยานานุพิจารณ์)
Miw (หมิว) – later Chai Wodyotsathit (จ่ายวดยศสถิต)
Mod (โหมด) – later a royal concubine in the Fifth Reign
Maen (แม้น) – later consort of Prince Bhanurangsi Savangwongse (กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช)
Mian (เมี้ยน)
Mit (มิด)
She belonged to the illustrious Bunnag family (สกุลบุนนาค), descended from Sheikh Ahmad Qomi (เฉกอะหมัด)—the Persian merchant who became Chularatchamontri during the Ayutthaya period. His descendants rose to prominence, particularly after the fall of Ayutthaya, culminating in Chao Phraya Akkhara Maha Sena (Bunnag) (เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค)), who served with both King Taksin (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) and King Rama I (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช). Thus, the Bunnag family became deeply intertwined with the Chakri Dynasty, often providing daughters to serve as consorts in every reign.
Her Name “Pae”
She was named Pae (แพ, meaning “raft”) because she was born on a raft along the Thonburi side of the Chao Phraya River—mirroring the naming of her sister Chang (ฉาง), who was born in a rice granary during another family relocation.
The family residence where she grew up—on the Thonburi riverbank—later became the site of Suksanari School (โรงเรียนศึกษานารี), part of the extended Bunnag family estate stretching from Kudi Chin Canal down to Wat Pichaiyat.
Childhood Anecdotes
In youth, she was affectionately nicknamed Muang (ม่วง) after an elderly sweet vendor whose desserts she adored. Her friends teased her after she once said she wanted to be like “Grandmother Muang”, which became a source of childhood humour.
Entering the Inner Court
In 1866 (พ.ศ. 2409), at the age of 13, her grandfather Somdet Chao Phraya Borom Maha Si Suriyawong (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) brought her into royal service, placing her under Chao Chom Manda Thieng (เจ้าจอมมารดาเที่ยง), a consort of King Mongkut (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว), under the patronage of Prince Samran Ratnasirichet (กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐ).
At that time, King Chulalongkorn was 15 years old and had just left the women’s quarters, so they did not meet until later—during a royal funeral procession at Sanam Luang—where the King became instantly enamoured. He later confirmed her identity before pursuing courtship through trusted courtiers.
Courtship with King Chulalongkorn
The King arranged for theatrical performances at the Front Palace merely to catch glimpses of her. She recounted dreaming of a giant serpent coiling around her—a traditional omen of destined union—much to the amusement of her relatives.
The King persistently sought chances to meet her, often enlisting his young brothers, including:
Prince Chatra Radsami (เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี)
Prince Rachasakti Samosorn (กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร)
They acted as intermediaries, inviting her to parades and entertainments.
The King even sent her a luxurious French scented water chest, containing:
A royal portrait
Two bottles of perfume
A bar of fine soap
Eventually, he asked Prince Samran Ratnasirichet to bring her to ceremonies more often, though her grandfather disapproved and brought her home to avoid the King’s advances.
Her later recollection:
“It was only sadness and sorrow—we could not speak of our feelings.”
Marriage as a Royal Consort
Through the intervention of Chao Chom Manda Thieng, King Mongkut interceded on behalf of his son, allowing Pae to enter service as a royal consort (ห้ามสะใภ้หลวง) in 1867 (พ.ศ. 2410). She received royal gifts, including:
400 baht in currency
10 sets of cloth
The procession delivering her to Suan Kularb Palace (พระตำหนักสวนกุหลาบ) was grand, illuminated by torches and watched by crowds of court ladies. She wrote:
“I was so embarrassed I could scarcely walk.”
After only three months, she became pregnant, and—following royal custom—a commoner consort could not give birth within the Grand Palace. She was therefore granted Nanta Utayan Palace (พระราชวังนันทอุทยาน) as her maternity residence.
At seven months into her pregnancy, she gave birth to:
Princess Suphannabhakavati (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี)
Her only child.
Life in the Fifth Reign
Upon the death of King Mongkut in 1868, King Chulalongkorn ascended the throne, and Pae became Chao Chom Manda Pae, residing in the Grand Palace at Tamnak Ton Chomphu (ตำหนักต้นชมพู่).
She made a special request to the King:
“Your Majesty may have many consorts. I will neither be jealous nor seek authority over anyone. I only ask to serve Your Majesty as I served you at Suan Kularb.”
The King granted her numerous privileges, including:
Immunity from the authority of senior palace officials
The right to personally attend to His Majesty in the evening palace
Duties such as preparing royal cosmetics and arranging morning meals
Permission to serve daily until the King retired
He addressed her as “Mother Pae (แม่แพ)” privately and “Khun Pae (คุณแพ)” formally—never “Nang”, a title used for lower-ranked concubines.
She was the King’s first love, and he continued to show affection and leniency toward her throughout his life.
Elevation to “Chao Khun”
During the funeral of Queen Sunanda Kumariratana (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์), the King gifted Pae a gold-and-enamel betel box set with diamonds. Her wit and humour, even at solemn times, never angered the King.
Later, he issued a royal decree elevating her to Chao Khun Chom Manda Pae (เจ้าคุณจอมมารดาแพ), citing:
“She has served faithfully for 37 years, is of noble lineage, and is worthy of the rank Chao Khun.”
Residence at Dusit Palace
When Dusit Palace was built, the King foresaw that childless consorts would have nowhere to go after his death. Thus, he provided land near Khlong Samsen for consorts who had daughters but no sons.
Pae was the first to receive this privilege and moved there around the age of 50, granted royal permission to travel using palace boats and carriages.
Character and Contributions to Court Culture
Chao Khun Phra Prayurawongse was lively, outspoken, and modern-minded—unlike many women of her era. She excelled at singing, acting, and writing witty and satirical operettas.
She also played an important cultural role:
1. Leader in Fashion Reform
She shifted from traditional nang krabok pleated skirts to chongkraben, matching early Fifth Reign trends.
She introduced shoulder sashes (สะพายแพร) instead of traditional sabai, especially while riding horses.
She adopted European-style hats.
She championed long hair, supporting the King’s policy to abolish the traditional piak hairstyle.
2. Initiator of the “Saphai Malai Khrui” (สะพายมาลัยครุย)
A large floral garland worn across the shoulder, with decorative tassels—later popular among court ladies.
3. Royal Wet-Nursing Role
She nursed many royal children in the Fifth Reign and continued this duty in the Sixth Reign, becoming the last to nurse a senior member of the dynasty:
Princess Bejaratana Rajasuda (สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา)
Later Life and Influence in the Sixth Reign
In King Vajiravudh’s reign, she was raised to the distinguished rank of Chao Khun Phra Prayurawongse, becoming head of the royal consorts.
In 1941 (พ.ศ. 2484), during Field Marshal Plaek Phibunsongkhram’s cultural mandates, she supported government efforts encouraging women to adopt modern dress—short hair, wearing skirts instead of chongkraben, and wearing shoes and hats.
Her endorsement carried great influence due to her age, prestige, and status. She was invited to preside over public events, including the Miss P. Contest, celebrating fuller body shapes, with proceeds supporting wartime national aid.
Death
Chao Khun Phra Prayurawongse passed away on 22 March 1943 (พ.ศ. 2486) at Ban Bantomsin (บ้านบรรทมสินธุ์), aged 88.
She received:
A royal bathing ceremony
A royal funerary urn (khot long gudan noi)
Royal cremation at the royal cemetery of Wat Thepsirin (วัดเทพศิรินทราวาส)
Her ashes were enshrined at Wat Surachaiyarama (วัดสุรชายาราม).
Charitable Contributions
She funded numerous merit-making projects, including:
The Chao Khun Phra Prayurawongse Infirmary (สุขศาลาเจ้าคุณพระประยุรวงศ์)
Renovation of temples connected to her ancestors
Construction of the Prayurawongse Building at Wat Buppharam
Construction of a large bell-shaped chedi at Wat Surachaiyarama
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand