พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย) พ.ศ. 2433–2448 เจ้าหลวงเมืองเชียงรายคนสุดท้าย

พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย) เจ้าหลวงเมืองเชียงรายคนสุดท้าย

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย) พ.ศ. 2433–2448 เจ้าหลวงเมืองเชียงรายคนสุดท้าย

เจ้าหลวงเมืองเชียงราย (ยุคพันธุมติรัตนอาณาเขต): ตอน เจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าหลวงเมืองเชียงรายองค์ที่ 1 สายราชตระกูลเจ้าเจ็ดตน

ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพมาปราบปรามขับไล่ข้าศึกพม่าทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ แต่ไม่สำเร็จเด็ดขาด ครั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งราชวงศ์จักรี พ.ศ. 2347 กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราช ยกกองทัพขึ้นมาขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนได้สำเร็จ ให้เผาเมืองเสียสิ้น กวาดต้อนเอาผู้คนพลเมือง 23,000 ครอบครัว แบ่งเป็น 5 ส่วน โดยให้ไปอยู่เมืองเชียงใหม่ นครลำปาง นครน่าน เมืองเวียงจันทน์ และลงมายังกรุงเทพฯ บางส่วนให้ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองสระบุรี เมืองราชบุรีบ้าง

หลังจากที่ได้กวาดต้อนเอาผู้คนพลเมืองให้ไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ แล้ว เชียงแสนจึงกลายเป็นเมืองร้าง ทำให้นับแต่นั้นมา หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองเชียงแสนได้ขาดหายไประยะหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักกล่าวถึงเมืองเชียงใหม่ที่เป็นศูนย์กลางของล้านนาในยุคนั้น โดยมีตระกูลเจ้าเจ็ดตนปกครอง ซึ่งเกี่ยวพันกับการทำศึกสงครามกับพม่า บางครั้งก็ถูกพม่ารุกราน บางครั้งก็ยกทัพไปตีหัวเมืองขึ้นของพม่าและกวาดต้อนผู้คนลงมาด้วย ได้แก่ พวกไทยใหญ่ ไทยเขิน เป็นต้น

พ.ศ. 2386 ในรัชกาลที่ 3 ได้มีการจัดตั้งเมืองเชียงรายฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นกำลังช่วยเหลือเชียงใหม่ป้องกันภัยจากพม่า โดยมีฐานะเป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่ พระเจ้ามโหตรประเทศ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้ให้ญาติพี่น้อง อันมีเจ้าหลวงธรรมลังกาเป็นเจ้าหลวงเมืองเชียงราย เจ้าอุ่นเรือนเป็นพระยาอุปราช เจ้าคำแสนเป็นพระยาราชวงศ์ เจ้าชายสามเจ้าพูเกี๋ยงเป็นพระยาราชบุตร และพระยาบุรีรัตน์ มีราษฎรถูกกวาดต้อนมาจากหัวเมืองขึ้นของพม่าในสมัย “เก็บผักใสซ้า เก็บข้าใส่เมือง” พร้อมด้วยพ่อค้าที่เป็นคนพื้นเมืองของไพร่เมือง 4 เมือง คือ เมืองเชียงตุง เมืองพยาก เมืองเลน และเมืองสาด ประมาณ 1,000 ครอบครัว ขึ้นมาตั้งสร้างบ้านเมือง

ตามข้อมูลเรียบเรียงจากอาจารย์ ปริญญา กายสิทธิ์ ระบุว่า

“เมื่อเจ้าหลวงธรรมลังกานำคณะผู้บุกเบิกมาฟื้นฟูเมืองเชียงราย โดยนำราษฎร 1,000 ครัวเรือนมาจากเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าออกเดินทางตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2386 หลังฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว การเดินทางพร้อมทั้งครัวเรือนจำนวนมากคงใช้เวลาเดินทางประมาณ 20–25 วัน
เมื่อเดินทางมาถึงเชียงรายในราวต้นเดือนมกราคม จึงได้แผ้วถางบ้านเมืองที่ถูกทิ้งร้างไปนานถึง 40 ปี คณะบุกเบิกได้สำรวจพื้นที่เพื่อหาชัยภูมิที่ตั้งเมืองเชียงราย
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2386 เมื่อการถางเมืองแล้วเสร็จ ได้ทำเสาระเนียดค่ายตามแนวกำแพงเมืองเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม ขุดคูเมืองล้อมรอบ จึงได้สร้างคุ้มน้อย หอนอนให้เจ้านายผู้ปกครอง และบ้านเรือนของราษฎร ได้อัญเชิญพระเสตังคมณี พระพุทธรูปองค์สำคัญจากเชียงใหม่ตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี พระเจ้ามังราย พร้อมทั้งนิมนต์พระสงฆ์ 108 รูป เดินทางมายังเมืองเชียงราย บรรดาเจ้านายนำราษฎรเข้าภายในกำแพงเมือง และเข้าสู่วัดพระสิงห์เป็นแห่งแรก ที่เลือกเป็นชัยภูมิสร้างเมืองเชียงราย

ประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ. 2386 ได้กำหนดพิธี “แฮกเมืองเชียงราย” ที่วัดเจ็ดยอด เมื่อวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 (เหนือ) กระทำการบูชาเทพาอารักษ์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และบุรพกษัตริย์บรรดาเจ้านายผู้ปกครองเมืองเชียงรายในอดีต ตลอดเวลา 3 วัน พระสงฆ์ 108 รูปสวดพระพุทธมนต์เป็นชัยมงคล จนถึงวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 (เหนือ) เวลา 8.00 น.

เจ้าหลวงธรรมลังกา พร้อมทั้งเจ้านายเจ้าขุน หามเสลี่ยงพระเสตังคมณี ขันธรรม และท้องตรา ประกาศพระบรมราชโองการตั้งเมืองเชียงราย เลียบเมือง เข้าเมืองทางประตูสรี ซึ่งเป็นทิศศรีเมืองเชียงราย ผ่านกองเมือง ถนนสายหลักมุ่งสู่วัดพระสิงห์

เจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าอุปราช และเจ้าราชวงศ์ พร้อมใจกันอัญเชิญพระครูบาปวรปัญญาขึ้นเป็นสังฆนายกเมืองเชียงราย และอาราธนาพระครูอริยะเป็นเจ้าสังฆาธิการวัดพระสิงห์ เป็นครูบาของบ้านเมืองต่อไป พิธีแฮกเมืองหรือการสถาปนาเมืองเชียงรายจึงสำเร็จสมบูรณ์ทุกประการ

ตามคติโบราณของการสร้างบ้านแปงเมือง เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองและความร่มเย็นเป็นสุข การเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม การกำหนดชะตาเมือง และการกำหนดพื้นที่ตาม “ระบบทักษา” เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการจำลองจักรวาลมายังพื้นที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาล “เมืองหรือเวียง” จึงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ การกำหนดทิศและประตูเมืองมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ระยะแรกเมืองเชียงรายยังไม่มีขอบเขตชัดเจน ไม่มีกำแพงเมือง มีแต่ระเนียดไม้ที่เจ้าหลวงธรรมลังกาให้ใส่ “ต้ายเมือง” หรือการสร้างลำเวียงเป็นปราการชั่วคราว

“คุ้มเจ้าหลวง” เป็นสัญลักษณ์แห่งศูนย์กลางอำนาจ ในสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา ไม่มีเอกสารใดระบุว่าตั้งอยู่แห่งใด แต่สันนิษฐานจากการเลือกวัดพระสิงห์เป็นชัยภูมิมงคลแห่งแรก จึงน่าจะเป็นไปได้ว่าคุ้มเจ้าหลวงตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันออกของวัดพระสิงห์ คือบริเวณศาลากลางหลังแรกของเชียงราย

ในช่วงเวลานั้นได้มีชาวตะวันตกเดินทางมายังเชียงราย คือ คาร์ล บ็อค เดินทางมาถึงเชียงราย พ.ศ. 2424 หลังการตั้งเมืองเชียงราย 38 ปี ในบันทึกของคาร์ล บ็อค ได้กล่าวถึงสภาพบ้านเมืองว่า “เมืองเชียงรายเป็นราชธานีซ่อมซ่อ” ไม่มีร่องรอยของเมืองที่เคยเป็นราชธานีมาก่อน ไม่มีบ้านหรือปราสาทราชวังเลย บ้านของเจ้านายและบ้านของชาวนาก็สร้างแบบเดียวกัน ต่างกันแต่ขนาดและวัสดุที่ใช้ ตลอดจนฝีมือช่างก่อสร้างบ้างเท่านั้น จากบันทึกดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ในระยะแรกของการฟื้นฟูเมืองเชียงราย บรรดาเจ้านายและราษฎรมุ่งสร้างบ้านเมือง ทำงานสาธารณะ บูรณะวัดวาอาราม ก่อกำแพง ขุดลำเหมือง สร้างฝายทดน้ำ โดยมิได้เกณฑ์แรงงานราษฎรมาสร้างคุ้มเจ้าหลวงหรือคุ้มน้อยให้ใหญ่โตเพื่อประโยชน์ส่วนตน

หากพิจารณาจากภาพลายเส้นที่คาร์ล บ็อค เขียนภาพคุ้มเจ้าราชสีห์ คงอนุมานได้ว่าคุ้มเจ้าหลวงธรรมลังกาคงไม่แตกต่างกันมากนัก

ปี พ.ศ. 2390 หลังการตั้งเมืองได้ 4 ปี เจ้าหลวงธรรมลังกาจึงให้ผู้คนเริ่มก่อกำแพงเมืองด้วยอิฐแทนระเนียดไม้ จนถึง พ.ศ. 2404 แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ กระทั่ง พ.ศ. 2407 เจ้าหลวงธรรมลังกาก็ถึงแก่พิราลัย”

ขอขอบคุณข้อมูลรูปภาพ เจ้าเจือจันทร์ ณ เชียงใหม่

ทำไมจึงไม่มีนามสกุล “ณ เชียงราย” เริ่มจากลำดับเจ้าหลวงเชียงรายก่อนครับ

  1. เจ้าหลวงธรรมลังกา พ.ศ. 2386–2407 ตำแหน่งเจ้าเมือง

  2. เจ้าหลวงอุ่นเรือน พ.ศ. 2407–2419 ตำแหน่งเจ้าเมือง

  3. เจ้าหลวงสุริยะ พ.ศ. 2419–2433 ตำแหน่งเจ้าเมือง

  4. พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย) พ.ศ. 2433–2448
    ***ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (พ.ศ. 2433–2442) ตำแหน่งนายอำเภอเมืองเชียงราย (พ.ศ. 2442–2448)

สาเหตุที่ไม่มีนามสกุล “ณ เชียงราย”

เป็นเรื่องเล่าที่ปรากฏในเอกสารรายงานการตรวจราชการแผ่นดิน ราว พ.ศ. 2450 กล่าวกันว่า เจ้าปลัดคำตุ้ย (เจ้าน้อยคำตุ้ย เจ้าอุปราชเมืองเชียงราย ว่าที่เจ้าหลวงองค์ต่อไปของเมืองเชียงราย) ผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าเมืองเชียงราย เมาเหล้าแล้วลวนลามช่างฟ้อนต่อหน้าข้าหลวงสยามที่มาตรวจราชการที่เชียงราย จึงถูกปลดพร้อมเนรเทศ แล้วยกเลิกระบบเจ้าเมืองในเชียงรายและตั้งข้าราชการมาเป็นผู้ว่า ส่วนลูกหลานของท่านไม่มีใครกล้าไปขอใช้นามสกุล “ณ เชียงราย” เพราะเกรงจะโดนพระอาญา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเจ้าเมืองเชียงราย และเมืองเชียงแสนไม่มีผู้ใดได้รับพระราชทานนามสกุลเลย

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองในยุคนั้น ต่อให้วันนั้นเจ้าคำตุ้ยจะไม่ดื่มเหล้าเมาจนขาดสติ หรือเรื่องเจ้าคำตุ้ยจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่รัฐบาลสยามก็จะยกเลิกระบบกินเมืองของเชียงรายอยู่ดี (สังเกตลำดับเจ้าหลวงข้างต้น จะเห็นว่าเจ้าหลวงเมืองไชย เจ้าหลวงองค์สุดท้ายถูกลดขั้นลดลำดับความสำคัญ) เพราะภัยคุกคามจากอังกฤษในพม่า และฝรั่งเศสในลาว ทำให้สยามต้องเร่งจัดการหัวเมืองชายแดนเช่นเชียงรายให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ (มิใช่ขึ้นต่อเชียงใหม่ดังเช่นที่ผ่านมา)

นอกจากนี้ เมืองเชียงรายก็คงไม่ได้พระราชทานนามสกุล “ณ” อยู่ดี เพราะตั้งแต่ พ.ศ. 2386 เชียงรายก็เป็นหัวเมืองชั้นรองที่ขึ้นกับหัวเมืองชั้นเอกคือเชียงใหม่ (และเชียงใหม่ก็ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ อีกที) เช่นเดียวกับเมืองพะเยาที่ขึ้นกับลำปาง และเมืองเชียงของที่ขึ้นกับเมืองน่าน ปัจจุบันเชื้อสายเจ้าหลวงพะเยาสายตรงใช้นามสกุล “ศีติสาร” ส่วนทายาทเจ้าหลวงเชียงของใช้นามสกุล “จิตตางกูร”

จะเห็นได้ว่าแม้ที่พะเยาและเชียงของ เจ้าของเมืองทั้งสองจะไม่ได้ทำตัวน่าอับอาย แต่ก็ไม่ได้รับนามสกุล “ณ” เช่นกัน

อย่างไรก็ดี นามสกุลเจ้าพะเยา “ศีติสาร” ก็ยังได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 และเจ้าเชียงของ “จิตตางกูร” ก็ได้รับพระราชทานในปีเดียวกัน

ส่วนนามสกุล “เชื้อเจ็ดตน” ของเชื้อสายเจ้าหลวงเชียงรายและเชียงแสน เป็นนามสกุลที่ตั้งขึ้นเองในหมู่ทายาท มิได้เกี่ยวข้องกับบุคคลชั้นสูงที่บางกอกแต่อย่างใด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก อาจารย์ อภิชิต ศิริชัย

Chao Luang Mueang Chai: The Last Ruling Lord of Chiang Rai

This AI-restored image depicts Phraya Rattananakhet (Chao Luang Mueang Chai) [พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย)], the last ruling lord of Chiang Rai from 1890–1905 (B.E. 2433–2448).

The Lords of Chiang Rai (Era of Phanthummati Rattana Anaket): Chao Luang Thammalangka [เจ้าหลวงธรรมลังกา], the first ruler of Chiang Rai from the lineage of the “Seven Princes” [เจ้าเจ็ดตน]

During the reign of King Taksin of Thonburi [พระเจ้ากรุงธนบุรี], an army was sent to drive out Burmese forces from the northern territories, but the campaign failed to secure a lasting victory. Later, in 1804 (B.E. 2347), under King Phutthayotfa Chulalok (Rama I) [พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช], Prince Thepharirak [กรมหลวงเทพหริรักษ์] and Phraya Yommarat [พระยายมราช] led troops north and successfully expelled the Burmese from Chiang Saen [เชียงแสน]. The city was then burned, and 23,000 families were forcibly relocated and divided into five groups: some were resettled in Chiang Mai [เชียงใหม่], Lampang [นครลำปาง], Nan [นครน่าน], Vientiane [เมืองเวียงจันทน์], and Bangkok [กรุงเทพฯ], while others were placed in Saraburi [สระบุรี] and Ratchaburi [ราชบุรี].

With the depopulation, Chiang Saen became a deserted city, and historical records about the region vanished for a time. From then on, most accounts concerned Chiang Mai, which served as the political centre of Lanna, ruled by the lineage of the “Seven Princes.” This era was marked by constant warfare with Burma: sometimes the Burmese invaded, and at other times Lanna armies struck Burmese-held territories, bringing back captives such as the Tai Yai [ไทยใหญ่] and Tai Khün [ไทยเขิน].

In 1843 (B.E. 2386), during the reign of King Nangklao (Rama III) [รัชกาลที่ 3], Chiang Rai was re-established to serve as a strategic stronghold supporting Chiang Mai against Burmese incursions. It was classified as a vassal state of Chiang Mai. Chao Mahotaraprathet [พระเจ้ามโหตรประเทศ], ruler of Chiang Mai, assigned his relatives: Chao Luang Thammalangka [เจ้าหลวงธรรมลังกา] as ruler of Chiang Rai, Chao Unruan [เจ้าอุ่นเรือน] as Uparaja [พระยาอุปราช], Chao Khamsaen [เจ้าคำแสน] as Ratchawong [พระยาราชวงศ์], Chao Sam Chao Phukieng [เจ้าชายสามเจ้าพูเกี๋ยง] as Ratchabut [พระยาราชบุตร], and Phraya Burirat [พระยาบุรีรัตน์]. About 1,000 families, including traders and captives from Burmese territories—Chiang Tung [เมืองเชียงตุง], Phayak [เมืองพยาก], Len [เมืองเลน], and Sat [เมืองสาด]—were brought to settle in the newly revived city, in the era known as “Keep vegetables in the basket, keep people in the city” [“เก็บผักใสซ้า เก็บข้าใส่เมือง”].

According to Professor Parinya Kayasit [อาจารย์ ปริญญา กายสิทธิ์]:

“When Chao Luang Thammalangka [เจ้าหลวงธรรมลังกา] led the pioneers to revive Chiang Rai, he brought 1,000 families from Chiang Mai. It is believed they departed around December 1843 (B.E. 2386), after the harvest season. The journey of so many households likely took 20–25 days.
Arriving in early January, they cleared the land, which had been abandoned for 40 years, and scouted a suitable location for the new city.
By February 1843 (B.E. 2386), after clearing the city grounds, wooden palisades were erected along the old, dilapidated walls and a moat was dug. They built small palaces for the nobles and homes for the people. The sacred Buddha image Phra Setangkhomani [พระเสตังคมณี], associated with Queen Chamadevi [พระนางจามเทวี] and King Mangrai [พระเจ้ามังราย], was brought from Chiang Mai, along with 108 monks. The nobles and people first gathered at Wat Phra Singh [วัดพระสิงห์], chosen as the auspicious site for the foundation of Chiang Rai.”

By March 1843, the “Haeak Mueang Chiang Rai” [แฮกเมืองเชียงราย] foundation ritual was held at Wat Ched Yod [วัดเจ็ดยอด] from the 4th to the 8th day of the 6th northern month. Offerings were made to the guardian spirits of the city and past rulers, while 108 monks recited sacred chants. On the final day at 8:00 a.m., Chao Luang Thammalangka [เจ้าหลวงธรรมลังกา] and other nobles carried Phra Setangkhomani [พระเสตังคมณี] in procession, formally declaring the foundation of Chiang Rai, entering through Sri Gate [ประตูสรี], and proceeding to Wat Phra Singh.

The nobles then invited Khruba Phonwarapanya [พระครูบาปวรปัญญา] to be the Sangha Nayok (chief ecclesiastical leader) of Chiang Rai, and Khruba Ariya [พระครูอริยะ] as the abbot of Wat Phra Singh. The ritual thus marked the official establishment of Chiang Rai.

According to ancient belief, the founding of a city was crucial to its prosperity and stability. The selection of a suitable site and the layout based on the “Thaksa system” [ระบบทักษา] symbolised a cosmic order, with the city as the centre of power. At first, Chiang Rai had no clear boundaries or brick walls—only wooden palisades known as “Tai Mueang” [ต้ายเมือง] serving as temporary defences.

The “Khun Chao Luang” palace [คุ้มเจ้าหลวง] symbolised central authority. Though no documents confirm its location, scholars surmise it was near Wat Phra Singh, on the site of Chiang Rai’s first city hall.

In 1881 (B.E. 2424), the Danish explorer Carl Bock [คาร์ล บ็อค] visited Chiang Rai, 38 years after its founding. He described the city as a “decayed capital,” with no signs of royal palaces. The homes of nobles and commoners were alike, differing only in size and construction materials. His account suggests that early efforts focused on rebuilding infrastructure—temples, irrigation canals, embankments—rather than constructing grand palaces for the rulers.

In 1847 (B.E. 2390), four years after its establishment, Chao Luang Thammalangka [เจ้าหลวงธรรมลังกา] began replacing wooden palisades with brick walls, though the project remained incomplete until his death in 1864 (B.E. 2407).

The Absence of the “Na Chiang Rai” Surname

Succession of rulers in Chiang Rai:

  1. Chao Luang Thammalangka [เจ้าหลวงธรรมลังกา] (1843–1864)

  2. Chao Luang Unruan [เจ้าหลวงอุ่นเรือน] (1864–1876)

  3. Chao Luang Suriya [เจ้าหลวงสุริยะ] (1876–1890)

  4. Phraya Rattananakhet (Chao Luang Mueang Chai) [พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย)] (1890–1905)
    – Governor of Chiang Rai (1890–1899)
    – District Chief of Chiang Rai (1899–1905)

Why was there never a “Na Chiang Rai” [ณ เชียงราย] surname?

According to reports from the Royal Inspectorate around 1907 (B.E. 2450), Chao Plad Kam Tui [เจ้าปลัดคำตุ้ย] (Chao Noi Kam Tui [เจ้าน้อยคำตุ้ย], Uparaja of Chiang Rai and heir apparent), who was serving as regent, became drunk and harassed a dancer in front of Siamese officials. He was dismissed and exiled, the hereditary system was abolished, and officials from Bangkok were appointed as governors instead. His descendants never dared request the surname “Na Chiang Rai” for fear of royal reprisal. Notably, neither the rulers of Chiang Rai nor Chiang Saen were ever granted surnames.

Even without this scandal, Siam would likely have abolished the local hereditary rule, given the geopolitical pressures from British Burma and French Laos. Chiang Rai, as a frontier town, had to be directly subordinated to Bangkok rather than Chiang Mai.

Moreover, Chiang Rai may never have qualified for a “Na” surname, as it was always considered a secondary city under Chiang Mai (itself subordinate to Bangkok), much like Phayao [พะเยา] under Lampang [ลำปาง], and Chiang Khong [เชียงของ] under Nan [น่าน]. Descendants of Phayao’s rulers bear the surname “Sitisarn” [ศีติสาร], while those of Chiang Khong use “Jittangkul” [จิตตางกูร].

Thus, even in cases like Phayao and Chiang Khong, where no scandal occurred, no “Na” surname was granted.

Nevertheless, the surname “Sitisarn” [ศีติสาร] was officially granted by King Vajiravudh (Rama VI) [รัชกาลที่ 6] in 1914 (B.E. 2457), and “Jittangkul” [จิตตางกูร] for Chiang Khong was granted in the same year.

The surname “Chuea Chet Ton” [เชื้อเจ็ดตน], borne by descendants of Chiang Rai and Chiang Saen rulers, was self-created within the lineage and not a royally granted “Na” surname.

Acknowledgement: Information from Professor Aphichit Sirichai [อ.อภิชิต ศิริชัย]

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

ศิราภรณ์แบบบองโด (Bandeau) และการปรับใช้ในแฟชั่นของราชสำนักสยาม (ตอนที่ 1)

Next
Next

พระยาประเทศอุดรทิศ (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายแห่งเมืองพะเยา