พระยาประเทศอุดรทิศ (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายแห่งเมืองพะเยา

พระยาประเทศอุดรทิศ (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายแห่งเมืองพะเยา

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ พระยาประเทศอุดรทิศ (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายแห่งเมืองพะเยา ผมได้บูรณะภาพถ่ายขาวดำที่เสียหายไปเป็นส่วนมากให้กลับมาเป็นภาพสีที่มีชีวิต โดยทำออกมาเป็นสองเวอร์ชัน ทั้งในวัยหนุ่มและวัยชรา

เจ้าน้อยมหาไชย เป็นราชบุตรของเจ้าเมืองแก้วบุรีรัตน์หรือเมืองแก้วขัติยะ เจ้าหลวงพะเยาองค์ที่ 3 ส่วนพระมารดาไม่ปรากฏนามแน่ชัด ภายหลังเมื่อปี พ.ศ. 2448 เจ้าหนานไชยวงศ์ ศีติสาร เจ้าหลวงพะเยาองค์ที่ 6 และพระเชษฐาของเจ้าน้อยมหาไชย ได้ถึงแก่พิราลัย ในรัชกาลที่ 5 จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าน้อยมหาไชย ซึ่งดำรงตำแหน่งพระยาอุปราชอยู่ในขณะนั้น ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น พระยาประเทศอุดรทิศ เจ้าหลวงพะเยาหรือเจ้าเมืองพะเยาสืบแทน

ในปีเดียวกันนั้น มีการยุบเลิกการปกครองระดับเมืองจากพื้นที่จังหวัดพะเยา (ซึ่งขณะนั้นมีเพียง 2 อำเภอคือ พะเยาและงาว) มาเป็นระดับอำเภอ โดยให้อำเภอพะเยาขึ้นตรงกับจังหวัดเชียงราย และอำเภองาวขึ้นกับจังหวัดลำปาง ข้าหลวงประจำจังหวัดพะเยาที่มีอยู่เดิม คือ หลวงศรีสมรรถการ ก็ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่น ส่วนตำแหน่งนายอำเภอพะเยา ให้พระยาประเทศอุดรทิศรักษาการอีกตำแหน่งหนึ่งควบคู่ไปด้วย

พระยาประเทศอุดรทิศปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายอำเภออยู่หลายปี จนถึง พ.ศ. 2456 จึงกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ หลวงสิทธิประศาสน์ (คลาย บุษยบรรณ) มาดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอพะเยาคนแรกอย่างเป็นทางการ นับแต่นั้นพระยาประเทศอุดรทิศจึงดำรงเพียงตำแหน่งเจ้าหลวงพะเยา ซึ่งเป็นเพียงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ไม่มีอำนาจปกครองโดยตรงอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะรัฐบาลสยามได้ปฏิรูประบบการปกครองเป็นเทศาภิบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2442 อำนาจของเจ้าหลวงในการปกครองบ้านเมืองจึงถูกยกเลิก และเจ้าหลวงรวมถึงเชื้อสายเจ้านาย ถูกกำหนดสถานะให้เป็นเพียงข้าราชการที่รับเงินเดือนประจำจากรัฐบาลสยาม

เมื่อบทบาททางการปกครองถูกจำกัดลง พระยาประเทศอุดรทิศจึงหันมาทำธุรกิจส่วนตัว เช่น สร้างห้องแถวให้เช่า สร้างตลาด และในปี พ.ศ. 2465 เมื่อถนนสายลำปาง–เชียงรายสร้างเสร็จ ก็ได้เปิดบริการรถโดยสารรับ–ส่งระหว่างตัวเมืองพะเยากับบ้านแม่ต๋ำ โดยเก็บค่าโดยสารคนละ 1–2 สตางค์ ในช่วงนั้นกำลังมีการก่อสร้างพระวิหารวัดพระเจ้าตนหลวง รถรับ–ส่งดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านแม่ต๋ำที่เดินทางมาทำงาน นอกจากนี้ พระยาประเทศอุดรทิศยังมีบทบาทสำคัญร่วมกับ ครูบาศรีวิชัย ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเจ้าตนหลวงเมื่อปีเดียวกัน

เมื่อเข้าสู่วัยชรา พระยาประเทศอุดรทิศล้มป่วยด้วยโรคฝีฝักบัวที่กลางหลัง และมีภาวะแทรกซ้อนจนทำให้อาการทรุดหนักและถึงแก่พิราลัยในเวลาต่อมา (ปีที่ถึงแก่พิราลัยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2467–2469) ภายหลังการสิ้นชีวิตของท่าน ตำแหน่งเจ้าหลวงพะเยาก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เนื่องจากกฎหมายปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. 2469 กำหนดว่า หากตำแหน่งเจ้าเมืองว่างลง จะไม่แต่งตั้งขึ้นใหม่อีกต่อไป และหากเจ้าเมืองใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะคงสถานะรับเงินเดือนจากรัฐบาลจนถึงแก่พิราลัย

ลำดับชั้นตระกูลวงศ์สกุลเจ้าผู้ครองนครพะเยา (ยุคฟื้นฟู พ.ศ. 2387–2456)

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าหลวงวงศ์ ดำรงตำแหน่ง “พระยาประเทศอุดรทิศ” ผู้ครองเมืองพะเยา ตั้งแต่นั้นมาเจ้าหลวงพะเยาในยุคฟื้นฟูมีดังนี้:

  1. เจ้าหลวงมหาวงศ์ (เจ้าน้อยพุทธวงศ์ ณ ลำปาง) (พ.ศ. 2387–2391)
    ราชโอรสองค์ที่ 5 ในพระเจ้าคำโสม เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 4 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระยาประเทศอุดรทิศเมื่อ พ.ศ. 2387 เป็นต้นราชตระกูล “มหาวงศ์”

  2. เจ้าหลวงมหายศ (เจ้าน้อยมหายศ ณ ลำปาง) (พ.ศ. 2391–2398)
    ราชโอรสองค์ที่ 7 ในพระเจ้าคำโสม สมรสกับเจ้าหญิงพิมพา ศีติสาร พระธิดาเจ้าฟ้าเมืององค์ มีราชบุตร–ธิดา ได้แก่ เจ้าหญิงฟองสมุทร เจ้าราชบุตรแก้ววิราช และเจ้าราชบุตรจันทยศ

  3. เจ้าหลวงฟ้าเมืองแก้วขัตติยะ (เจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร) (พ.ศ. 2398–2403)
    ราชบุตรของเจ้าฟ้าเมืององค์ สมรสกับเจ้าหญิงอุบลวรรณา ณ ลำปาง (ราชธิดาองค์สุดท้ายในพระเจ้าคำโสม) มีบุตร 5 องค์ ได้แก่ เจ้าหลวงอินทะชมภู เจ้าหญิงบัวทิพย์ เจ้าหลวงไชยวงศ์ เจ้าน้อยมหายศ และเจ้าหลวงมหาไชย

  4. เจ้าหลวงอินทะชมภู (เจ้าหนานอินต๊ะชมภู ศีติสาร) (พ.ศ. 2403–2413)
    ราชบุตรเจ้าฟ้าขัตติยะ สมรสกับเจ้าหญิงฟองสมุทร (พระธิดาของเจ้าหลวงมหายศ) มีราชธิดาคือ เจ้าหญิงอุษาวดี (สมรสกับเจ้าราชสัมพันธวงศ์ ณ ลำปาง) และเจ้าหญิงบุษย์ (สมรสกับเจ้าราชบุตรแก้วเมืองมูล ต้นสกุล ณ ลำปาง สายพะเยา)

  5. เจ้าหลวงอริยะราชา (เจ้าน้อยขัตติยะ ณ ลำปาง) (พ.ศ. 2413–2437)
    ราชบุตรพระราชมหาอุปราชาหมูหล้า และเจ้าหญิงสนธนา ณ ลำปาง มีราชบุตร 2 องค์ คือ เจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา (เจ้าเมืองแก้ว) และเจ้าราชบุตรศรีสองเมือง (เจ้าน้อยใจเมือง)

  6. เจ้าหลวงไชยวงศ์ (เจ้าหนานไชยวงศ์ ศีติสาร) (พ.ศ. 2437–2448)
    ราชบุตรเจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร มีชายา 2 องค์ คือ เจ้าหญิงกาบแก้ว และเจ้าหญิงอุ้ม มีราชบุตร–ธิดารวม 10 องค์ เช่น เจ้าราชวงศ์เมืองพะเยา (เจ้าน้อยอินทร์) พระญาบุรีรัตน์ (เจ้าน้อยพรหม) เจ้าน้อยแก้วมูล เจ้าน้อยวงศ์ เจ้าน้อยแก้ว เจ้าน้อยแสงฟ้า และเจ้าหญิงบัวจี๋น–เจ้าหญิงบัวคำ (คู่แฝด)

  7. เจ้าหลวงมหาไชย (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) (พ.ศ. 2449–2456)
    ราชบุตรเจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร มีชายา 3 องค์ ได้แก่ เจ้าหญิงจำปี เจ้าหญิงบัวเหลียว และเจ้าหญิงบัวไหว ศักดิ์สูง (พระธิดาเจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา) มีราชบุตร–ธิดา 5 องค์ คือ เจ้าอืด เจ้าหญิงบัวเงา เจ้าหญิงจ๋อย เจ้าศรีนวล และเจ้าภูมิประเทศ

สายสกุลเจ้านายเมืองพะเยา (12 สกุล)

  1. มหาวงศ์ – ต้นสกุลคือ เจ้าหลวงมหาวงศ์

  2. วิรัตน์เกษม – ต้นสกุลคือ เจ้าราชบุตรแก้ววิราช

  3. จันทยศ – ต้นสกุลคือ เจ้าราชบุตรจันทยศ

  4. ศีติสาร – ต้นสกุลคือ เจ้าฟ้าญาร้อย (เจ้าน้อยศีธิวงศ์)

  5. ศักดิ์สูง – ต้นสกุลคือ เจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา (เจ้าเมืองแก้ว)

  6. ไชยเมือง – ต้นสกุลคือ เจ้าราชบุตรศรีสองเมือง (เจ้าน้อยใจเมือง)

  7. สูงศักดิ์

  8. สุยะราช – ต้นสกุลคือ เจ้าราชสัมพันธวงศ์ (เจ้าคำผาย)

  9. ศักดิ์ศรีดี

  10. วงศ์สุวรรณ

  11. เทาวัลย์ หรือ เถาวัลย์

  12. ณ ลำปาง (สายพะเยา)

คุ้มเจ้าหลวงเมืองพะเยา

คุ้มเจ้าหลวงตั้งอยู่เยื้องกับสถานีตำรวจภูธรเมืองพะเยา บริเวณโรงแรมวัฒนาและโรงแรมธารทอง เดิมเป็นคุ้มของ เจ้าหลวงมหาไชย (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของพะเยา เดิมดำรงตำแหน่งเจ้าอุปราช ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหลวงเมืองพะเยาในปี พ.ศ. 2449 พร้อมสัญญาบัตร “พระยาประเทศอุดรทิศ”

ชาวบ้านเรียกท่านว่า เจ้าหลวงมหาไชย และถือเป็นต้นตระกูล “ศีติสาร” ซึ่งเป็นนามสกุลพระราชทานจากรัชกาลที่ 6

  • คุณอาภรณ์ ประเสริฐ เล่าว่า เคยเห็นคุ้มหลวงในวัยเด็ก ลักษณะเป็นเรือนไม้สองชั้น คล้ายบ้านพักของหลวงศรีนครานุกูลริมกว๊านพะเยา ตัวคุ้มหันหน้าทางทิศตะวันตก (ตลาดพะเยา) ภายหลังการสิ้นชีวิตของเจ้าหลวง ผู้พักอาศัยต่อมาคือ เจ้าเทศ (เจ้าภูมิประเทศ ศีติสาร) บุตรเจ้าหลวงมหาไชยกับแม่เจ้าไหว ศักดิ์สูง ต่อมามีลูกหลาน เช่น เจ้าสมนวล และเจ้ามาลัย เมื่อเจ้าเทศถึงแก่อสัญกรรม คุ้มถูกขายต่อให้ “เสี่ยกู้” และไม้บางส่วนถูกนำไปถวายวัด

  • อาจารย์พิมพ์ทอง สูงศักดิ์ ธิดาของพ่อเจ้าน้อยหน้อย สูงศักดิ์ และแม่เจ้าสวน ศักดิ์สูง ก็เล่าว่า คุ้มในช่วงที่ตนเห็นนั้นเป็นอาคารครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้น มีหน้าต่างแป้นเกล็ดสวยงามสง่างาม บริเวณโดยรอบกว้างใหญ่ ขณะนั้นเจ้าหญิงบัวไหว (แม่เจ้าไหว) ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ผู้ที่อยู่อาศัยต่อมาคือเจ้าสมนวล (ธิดาเจ้าภูมิประเทศ) และเจ้าจันทร์นวล ซึ่งมีสามีชื่อเจ้าจักรคำ ศีติสาร รับราชการครู รวมทั้งเจ้าพวงเพ็ญที่รับราชการครูเช่นกัน

📚 ข้อมูลอ้างอิง:
หนังสือ อดีตเมืองพะเยา และ แม่เจ้าทรายมูล (มหาวงศ์) ไชยเมือง รวมถึง ประวัติสายสกุลเจ้าหลวงเมืองพะเยา .. 2387–2456

Phraya Prathet Udon Thit (พระยาประเทศอุดรทิศ; Chao Noi Maha Chai Sitisan [เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร]), the last ruling lord of Phayao.

This AI-restored image is of Phraya Prathet Udon Thit (พระยาประเทศอุดรทิศ; Chao Noi Maha Chai Sitisan [เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร]), the last ruling lord of Phayao. I restored a heavily damaged black-and-white photograph to a vivid colour image and created two versions of him—one in his youth and one in later life.

Chao Noi Maha Chai (เจ้าน้อยมหาไชย) was the royal son of the lord of Mueang Kaeo Burirat or Mueang Kaeo Khattiya (เจ้าเมืองแก้วบุรีรัตน์ หรือ เมืองแก้วขัติยะ), the 3rd ruling lord of Phayao (เจ้าหลวงพะเยาองค์ที่ 3). The name of his mother is not clearly recorded. Later, in 1905 (พ.ศ. 2448), when Chao Nan Chai Wong Sitisan (เจ้าหนานไชยวงศ์ ศีติสาร), the 6th ruling lord of Phayao and elder brother of Chao Noi Maha Chai, passed away, King Chulalongkorn (Rama V) (รัชกาลที่ 5) issued a royal command appointing Chao Noi Maha Chai—then serving as Uparat (พระยาอุปราช, deputy ruler)—to succeed as Phraya Prathet Udon Thit (พระยาประเทศอุดรทิศ), the ruling lord (chiomatic “Chao Luang”) or governor of Phayao (เจ้าหลวง/เจ้าเมืองพะเยา).

In the same year, the city-level administration of the Phayao area—then comprising only two districts, Phayao and Ngao(พะเยา และ งาว)—was dissolved and reorganised into district-level units. Phayao District (อำเภอพะเยา) was placed under Chiang Rai Province (จังหวัดเชียงราย), and Ngao District (อำเภองาว) under Lampang Province (จังหวัดลำปาง). The existing commissioner for the Phayao area, Luang Si Samat Kan (หลวงศรีสมรรถการ), was transferred elsewhere, while Phraya Prathet Udon Thit (พระยาประเทศอุดรทิศ) concurrently served as acting district officer (nai amphoe) of Phayao.

Phraya Prathet Udon Thit served as acting district officer for several years until 1913 (พ.ศ. 2456), when he respectfully requested to resign. A royal command then appointed Luang Sitthiprasat (Khlai Busayaban) (หลวงสิทธิประศาสน์ (คลาย บุษยบรรณ)) as the first official district officer of Phayao. From that point, Phraya Prathet Udon Thit retained only the title of ruling lord of Phayao, which had become honorary and without direct administrative power, due to Siam’s Thesaphiban administrative reforms initiated in 1899 (พ.ศ. 2442). Under these reforms, the traditional autonomous powers of local rulers were abolished, and ruling lords and their princely descendants were designated as state officials on government salaries.

As his administrative role diminished, Phraya Prathet Udon Thit turned to private enterprise—building rental shophouses and a market. In 1922 (พ.ศ. 2465), when the Lampang–Chiang Rai road was completed, he launched a passenger transport service between Phayao town and Ban Mae Tam (บ้านแม่ต๋ำ), charging 1–2 satang per person. At that time, the vihāra (main hall) of Wat Phrachao Ton Luang (วัดพระเจ้าตนหลวง) was under construction, so the shuttle service benefited Mae Tam villagers travelling to work. In the same year, Phraya Prathet Udon Thit also played a key role with Kruba Si Wichai (ครูบาศรีวิชัย) in the restoration of Wat Phrachao Ton Luang.

In old age, Phraya Prathet Udon Thit suffered from carbuncles on his mid-back (โรคฝีฝักบัวที่กลางหลัง). Complications developed, his condition worsened, and he passed away sometime between 1924 and 1926 (พ.ศ. 2467–2469)—the exact year is unconfirmed. After his death, the title of ruling lord of Phayao was effectively abolished, pursuant to the 1926 (พ.ศ. 2469) administrative reform law, which stipulated that vacant lordships would not be reappointed, and that any surviving lords would continue to receive state salaries until their death.

Lineage of the Rulers of Phayao (Restoration Era, 1844–1913 / พ.ศ. 2387–2456)

King Nangklao (Rama III) (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) appointed Chao Luang Wong (เจ้าหลวงวงศ์) as Phraya Prathet Udon Thit (พระยาประเทศอุดรทิศ), ruler of Phayao. From then, the restoration-era rulers were:

  1. Chao Luang Mahawong (Chao Noi Phutthawong Na Lampang) (เจ้าหลวงมหาวงศ์ [เจ้าน้อยพุทธวงศ์ ณ ลำปาง]) — 1844–1848 (พ.ศ. 2387–2391)
    Fifth son of King Khamsom (พระเจ้าคำโสม), 4th ruler of Lampang. Appointed Phraya Prathet Udon Thit in 1844; founder of the Mahawong (มหาวงศ์) lineage.

  2. Chao Luang Mahayot (Chao Noi Mahayot Na Lampang) (เจ้าหลวงมหายศ [เจ้าน้อยมหายศ ณ ลำปาง]) — 1848–1855 (พ.ศ. 2391–2398)
    Seventh son of King Khamsom. Married Princess Phimpha Sitisan (เจ้าหญิงพิมพา ศีติสาร), daughter of Chao Fa Mueang Ong (เจ้าฟ้าเมืององค์). Children: Princess Fong Samut (เจ้าหญิงฟองสมุทร), Chao Ratchabut Kaeo Wirat (เจ้าราชบุตรแก้ววิราช), and Chao Ratchabut Chanthayot (เจ้าราชบุตรจันทยศ).

  3. Chao Luang Fa Mueang Kaeo Khattiya (Chao Fa Khattiya Sitisan) (เจ้าหลวงฟ้าเมืองแก้วขัตติยะ [เจ้าฟ้าขัตติยะ ศีติสาร]) — 1855–1860 (พ.ศ. 2398–2403)
    Son of Chao Fa Mueang Ong; married Princess Ubolwana Na Lampang (เจ้าหญิงอุบลวรรณา ณ ลำปาง), the last daughter of King Khamsom. Children (5): Chao Luang Inthachomphu (เจ้าหลวงอินทะชมภู), Princess Bua Thip(เจ้าหญิงบัวทิพย์), Chao Luang Chai Wong (เจ้าหลวงไชยวงศ์), Chao Noi Mahayot (เจ้าน้อยมหายศ), and Chao Luang Maha Chai (เจ้าหลวงมหาไชย).

  4. Chao Luang Inthachomphu (Chao Nan Inta Chomphu Sitisan) (เจ้าหลวงอินทะชมภู [เจ้าหนานอินต๊ะชมภู ศีติสาร]) — 1860–1870 (พ.ศ. 2403–2413)
    Son of Chao Fa Khattiya; married Princess Fong Samut (เจ้าหญิงฟองสมุทร; daughter of Chao Luang Mahayot). Daughters: Princess Usawadi (เจ้าหญิงอุษาวดี; married Chao Ratchasampanwong (Chao Khamphai) Na Lampang [เจ้าราชสัมพันธวงศ์ (เจ้าคำผาย) ณ ลำปาง]) and Princess But (เจ้าหญิงบุษย์; married Chao Ratchabut Kaeo Mueangmun, founder of Na Lampang (Phayao branch) [ต้นสกุล ณ ลำปาง สายพะเยา]).

  5. Chao Luang Ariyaracha (Chao Noi Khattiya Na Lampang) (เจ้าหลวงอริยะราชา [เจ้าน้อยขัตติยะ ณ ลำปาง]) — 1870–1894 (พ.ศ. 2413–2437)
    Son of Phra Racha Maha Uparacha Mulha (พระราชมหาอุปราชาหมูหล้า) and Princess Sonthana Na Lampang(เจ้าหญิงสนธนา ณ ลำปาง). Sons (2): Chao Burirat of Phayao (Chao Mueang Kaeo) (เจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา/เจ้าเมืองแก้ว) and Chao Ratchabut Si Song Mueang (Chao Noi Chai Mueang) (เจ้าราชบุตรศรีสองเมือง/เจ้าน้อยใจเมือง).

  6. Chao Luang Chai Wong (Chao Nan Chai Wong Sitisan) (เจ้าหลวงไชยวงศ์ [เจ้าหนานไชยวงศ์ ศีติสาร]) — 1894–1905 (พ.ศ. 2437–2448)
    Son of Chao Fa Khattiya Sitisan. Wives (2): Princess Kab Kaeo (เจ้าหญิงกาบแก้ว) and Princess Um (เจ้าหญิงอุ้ม). Children (10), including Chao Ratchawong of Phayao (Chao Noi In) (เจ้าราชวงศ์เมืองพะเยา/เจ้าน้อยอินทร์), Phra Ya Burirat (Chao Noi Phrom) (พระญาบุรีรัตน์/เจ้าน้อยพรหม), Chao Noi Kaeo Mun (เจ้าน้อยแก้วมูล), Chao Noi Wong (เจ้าน้อยวงศ์), Chao Noi Kaeo (เจ้าน้อยแก้ว), Chao Noi Saeng Fa (เจ้าน้อยแสงฟ้า), and the twins Princess Bua Chin/Princess Bua Kham (เจ้าหญิงบัวจี๋น/เจ้าหญิงบัวคำ).

  7. Chao Luang Maha Chai (Chao Noi Maha Chai Sitisan) (เจ้าหลวงมหาไชย [เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร]) — 1906–1913 (พ.ศ. 2449–2456)
    Son of Chao Fa Khattiya Sitisan. Wives (3): Princess Champi (เจ้าหญิงจำปี), Princess Bua Liao (เจ้าหญิงบัวเหลียว), and Princess Bua Wai Saksi Sung (เจ้าหญิงบัวไหว ศักดิ์สูง)—daughter of Chao Burirat of Phayao (เจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา). Children (5): Chao Uet (เจ้าอืด), Princess Bua Ngao (เจ้าหญิงบัวเงา), Princess Choi (เจ้าหญิงจ๋อย), Chao Srinuan (เจ้าศรีนวล), and Chao Phum Prathet (เจ้าภูมิประเทศ).

Princely Lineages of Phayao (12 lines / สายสกุลเจ้านายเมืองพะเยา 12 สกุล)

  1. Mahawong (มหาวงศ์) — founded by Chao Luang Mahawong (เจ้าหลวงมหาวงศ์)

  2. Wiratkasem (วิรัตน์เกษม) — founded by Chao Ratchabut Kaeo Wirat (เจ้าราชบุตรแก้ววิราช)

  3. Chanthayot (จันทยศ) — founded by Chao Ratchabut Chanthayot (เจ้าราชบุตรจันทยศ)

  4. Sitisan (ศีติสาร) — founded by Chao Fa Yanaroi (Chao Noi Sithiwong) (เจ้าฟ้าญาร้อย [เจ้าน้อยศีธิวงศ์])

  5. Saksisung (ศักดิ์สูง) — founded by Chao Burirat of Phayao (Chao Mueang Kaeo) (เจ้าบุรีรัตน์เมืองพะเยา/เจ้าเมืองแก้ว)

  6. Chai Mueang (ไชยเมือง) — founded by Chao Ratchabut Si Song Mueang (Chao Noi Chai Mueang) (เจ้าราชบุตรศรีสองเมือง/เจ้าน้อยใจเมือง)

  7. Sungsak (สูงศักดิ์)

  8. Suyarat (สุยะราช) — founded by Chao Ratchasampanwong (Chao Khamphai) (เจ้าราชสัมพันธวงศ์/เจ้าคำผาย)

  9. Saksisidi (ศักดิ์ศรีดี)

  10. Wong Suwan (วงศ์สุวรรณ)

  11. Thaowan/Thaowan (เทาวัลย์ หรือ เถาวัลย์)

  12. Na Lampang (Phayao branch) (ณ ลำปาง [สายพะเยา])

The Ruler’s Residence (Khūm) of Phayao (คุ้มเจ้าหลวงเมืองพะเยา)

The Khūm stood opposite Phayao Provincial Police Station (สถานีตำรวจภูธรเมืองพะเยา), near Wattana Hotel and Tharnthong Hotel (โรงแรมวัฒนา และ โรงแรมธารทอง). It was originally the residence of Chao Luang Maha Chai (Chao Noi Maha Chai Sitisan) (เจ้าหลวงมหาไชย [เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร]), the last ruler of Phayao, who had previously served as Uparat (เจ้าอุปราช) before being appointed ruler in 1906 (พ.ศ. 2449) with the patent title “Phraya Prathet Udon Thit” (พระยาประเทศอุดรทิศ). Locals referred to him as Chao Luang Maha Chai and regard him as the progenitor of the Sitisan (ศีติสาร) surname, which was granted by King Vajiravudh (Rama VI) (รัชกาลที่ 6).

  • Khun Aphon Prasert (คุณอาภรณ์ ประเสริฐ) recalls seeing the Khūm in childhood: a two-storey wooden house, resembling Luang Si Ngaranukun’s (หลวงศรีนครานุกูล) residence by Kwan Phayao (กว๊านพะเยา), facing west toward Phayao Market. After the ruler’s death, the resident was Chao Thet (Chao Phum Prathet Sitisan) (เจ้าเทศ [เจ้าภูมิประเทศ ศีติสาร]), son of Chao Luang Maha Chai and Mae Chao Wai Saksisung (แม่เจ้าไหว ศักดิ์สูง). Later descendants included Chao Samnuan (เจ้าสมนวล) and Chao Malai (เจ้ามาลัย). When Chao Thet died at the Khūm, it was sold to a new owner named Sia Ku (เสี่ยกู้), and some timber was donated to a temple.

  • Ajarn Phimthong Sungsak (อาจารย์พิมพ์ทอง สูงศักดิ์), daughter of Pho Chao Noi Noi Sungsak (พ่อเจ้าน้อยหน้อย สูงศักดิ์) and Mae Chao Suan Saksisung (แม่เจ้าสวน ศักดิ์สูง)—granddaughter of Chao Yot Saksisung(เจ้ายศ ศักดิ์สูง) and Mae Chao Bua Chin Sitisan (เจ้าแม่บัวจี๋น ศีติสาร)—recounts that, when she saw it, the Khūm was a two-storey half-masonry, half-wooden building with elegant louvre windows and spacious grounds. Princess Bua Wai (Mae Chao Wai) (เจ้าหญิงบัวไหว/แม่เจ้าไหว) had already passed away. Residents then included Chao Samnuan (daughter of Chao Phum Prathet) and Chao Channuan (เจ้าจันทร์นวล), whose husband Chao Chakkhrakham Sitisan (เจ้าจักรคำ ศีติสาร) served as a teacher, as did Chao Phuangphen (เจ้าพวงเพ็ญ).

📚 References: Adìt Mueang Phayao (อดีตเมืองพะเยา); Mae Chao Saimun (Mahawong) Chai Mueang (แม่เจ้าทรายมูล (มหาวงศ์) ไชยเมือง); and Chronicles of the Phayao Rulers’ Lineages, 1844–1913 (.. 2387–2456) (ประวัติสายสกุลเจ้าหลวงเมืองพะเยา พ.ศ. 2387–2456).

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย) พ.ศ. 2433–2448 เจ้าหลวงเมืองเชียงรายคนสุดท้าย

Next
Next

เจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ แห่งเมืองแพร่