สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ “เสื้อราชปะแตน”: ภาพสะท้อนความทันสมัยของสุภาพบุรุษสยาม

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ “เสื้อราชปะแตน”: ภาพสะท้อนความทันสมัยของสุภาพบุรุษสยาม

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๑ – ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๘) (27 June 1878 – 4 January 1895) เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และทรงเป็นพระเชษฐภาดาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก อีกทั้งทรงเป็นสมเด็จพระปิตุลาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

พระองค์ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของประเทศไทย แม้จะดำรงตำแหน่งเพียง ๘ ปี ก่อนเสด็จสวรรคตเมื่อมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา แต่พระสิริโฉมและภาพลักษณ์ของพระองค์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งยุคสมัยที่สยามกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นสากล ภาพถ่ายชุดที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งสันนิษฐานว่าถ่ายขึ้นในช่วงพ.ศ. ๒๔๓๔–๓๘ นั้น นำเสนอภาพของ พระบรมวงศานุวงศ์ หลายพระองค์ เมื่อยังทรงพระเยาว์ ทุกพระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วย “เสื้อราชปะแตน” อันเป็นรูปแบบเครื่องแต่งกายที่มีความหมายเชิงประวัติศาสตร์อย่างยิ่งต่อสุภาพบุรุษไทย

พระบรมวงศานุวงศ์ ในภาพ

  1. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก, สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา

  2. (จากซ้าย) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์, สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี, สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร

  3. (จากซ้าย) หม่อมเจ้าจุลดิศ ดิศกุล, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี (พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ),  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์), (ล่าง) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส (พระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์)

ภาพเหล่านี้ช่วยเปิดมุมมองต่อวัฒนธรรมการแต่งกายของเจ้านายในช่วงรัชกาลที่ ๕ ซึ่งกำลังย้ายจากระเบียบการแต่งกายแบบสยามดั้งเดิม ไปสู่แบบแผนของโลกสมัยใหม่

เสื้อราชปะแตนเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเปลี่ยนผ่านนั้น เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับภูมิอากาศร้อนชื้นของสยาม ขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนความเป็น “สุภาพบุรุษสากล” ได้อย่างชัดเจน ต้นกำเนิดของเสื้อรูปแบบนี้มาจากความพยายามหาทางออกระหว่างความทันสมัยแบบตะวันตกกับข้อจำกัดด้านสภาพอากาศตามที่ปรากฏในสมัยรัชกาลที่ ๕ ภายหลังเสด็จประพาสอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕ พระองค์ทรงเห็นว่าการแต่งกายอย่างตะวันตก ซึ่งมีหลายชั้น ทั้งเสื้อเชิ้ต กั๊ก และเสื้อนอก ไม่เหมาะกับสยาม จึงมีการปรับรูปแบบขึ้นใหม่ให้เรียบง่าย โปร่งเบา ใช้งานสะดวก แต่ยังดูสุภาพและเป็นทางการ

เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) นำแบบเสื้อจากช่างชาวกัลกัตตาขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งมีลักษณะคอตั้ง แขนยาว ติดกระดุมห้าเม็ด และตัดจากผ้าฝ้ายสีขาว เสื้อลักษณะนี้ได้รับคำเรียกทางการว่า “Raj-Pattern” (ราช + Pattern) ก่อนจะกร่อนเป็นคำว่า “ราชปะแตน” ในเวลาต่อมา เสื้อนี้ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว หากเกิดจากการผสมผสานทั้งเสื้อคอสูงของยุโรป เช่น เครื่องแบบทหารม้าสมัยนโปเลียน เสื้อคอหนังของกองทัพเรือ รวมทั้งเสื้อ Achkan และ Sherwani ของอินเดีย ตลอดจนเสื้ออย่างเทศของสยามเอง

ในบริบทอาณานิคม เสื้อราชปะแตนยังมีความคล้ายคลึงกับ “Tropical Whites” ของอังกฤษ ฝรั่งเศส และดัตช์ ซึ่งใช้เสื้อผ้าสีขาวและหมวกกะโลเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและระเบียบแบบแผน การที่สยามเลือกสร้างรูปแบบเสื้อของตนเองในช่วงเดียวกัน จึงสะท้อนความพยายามที่จะกำหนดภาพลักษณ์ของรัฐสมัยใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องเลียนแบบเจ้าอาณานิคมอย่างตรงไปตรงมา

เสื้อราชปะแตนยังคงปรากฏอย่างแพร่หลายในราชสำนักและหมู่ขุนนางสมัยรัชกาลที่ ๖ และ ๗ โดยมักสวมกับโจงกระเบนหรือกางเกงแพร อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และนโยบายรัฐนิยมสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งสนับสนุนการแต่งกายแบบตะวันตก ส่งผลให้เสื้อราชปะแตนลดความนิยมลงอย่างมาก และถูกจำกัดให้เป็นเพียงชุดพิธีการหรือสำหรับผู้สูงวัยเท่านั้น ในขณะที่สังคมตะวันตกกลับนำเสื้อคอตั้งกลับมาในช่วงทศวรรษ 1960–1970 ผ่านกระแสแฟชั่นแบบ “Nehru Jacket”

กระแสของเสื้อราชปะแตนกลับมาฟื้นอีกครั้งในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทาน “ชุดไทยพระราชนิยม” สำหรับสตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ จึงทรงพระราชทานแบบเสื้อบุรุษที่มีคอตั้งเป็นเอกลักษณ์ และต่อมาในวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๓ คณะรัฐมนตรีมีมติให้ “เสื้อพระราชทาน” สามารถใช้แทนชุดสากลในงานทางการได้ เปิดพื้นที่ให้ผ้าท้องถิ่นจากทั่วประเทศมีบทบาทในการออกแบบเสื้อบุรุษร่วมสมัย ทำให้ภาพลักษณ์ของเสื้อราชปะแตนในยุคใหม่กลับมามีชีวิตชีวาและหลากหลายอย่างมาก

แม้รูปแบบเสื้อจะได้รับความนิยมลดลงในบางยุค แต่ก็มักกลับมาในสมัยที่ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการนำเสนออัตลักษณ์วัฒนธรรมในเวทีสากล วงจรความนิยมของเสื้อราชปะแตนจึงสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างแฟชั่น อำนาจรัฐ และรสนิยมของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน

ท้ายที่สุด เสื้อราชปะแตนคือหลักฐานหนึ่งของกระบวนการสร้าง “สุภาพบุรุษสยามสมัยใหม่” อันเกิดจากการผสมผสานระหว่างเอเชียและยุโรปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงราชอาณาจักรสยาม การปรากฏของเสื้อชนิดนี้ในพระรูปของพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อยังทรงพระเยาว์ ในยุครัชกาลที่ ๕ จึงไม่เพียงเป็นภาพแห่งอดีต แต่ยังเป็นร่องรอยของบทสนทนาทางวัฒนธรรมที่ยาวนานระหว่างสยามกับโลกภายนอก — และเป็นหลักฐานว่าสังคมไทยเคยตอบรับความทันสมัยด้วยวิธีของตนเองอย่างน่าสนใจเพียงใด

บทความฉบับนี้จัดเรียบเรียงขึ้นใหม่โดยคงสาระสำคัญจากบทความต้นฉบับของ พันธุ์ชนะ สุนทรพิพิธ ในนิตยสาร GQ Thailand ฉบับวันที่ ๒๔ กรกฎาคม .. ๒๕๖๘ พร้อมเพิ่มเติมบริบททางประวัติศาสตร์และแฟชั่นเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา

____________________________

His Royal Highness Prince Maha Vajirunhis, the Crown Prince of Siam, and the “Raj Pattern Jacket”: A Reflection of Modern Siamese Gentlemanly Identity

(สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร)

Somdet Phra Boromma-orasathirat Chao Fa Maha Vajirunhis, Crown Prince of Siam (๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๑ – ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๘) (27 June 1878 – 4 January 1895), was the eldest son of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว). He was born to Queen Sri Savarindira, the Queen Grandmother (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า), and became the elder full brother of Prince Mahidol Adulyadej, the Prince Father (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก). He was also the paternal uncle of King Ananda Mahidol (พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร) and King Bhumibol Adulyadej the Great (พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร).

He was the first Crown Prince of Siam, and although he held the title for only eight years before his untimely passing at the age of sixteen, his image and presence became emblematic of a transformative era in which Siam sought a modern, international identity. The AI-restored photographs believed to date from the period between ๒๔๓๔–๓๘ (early 1890s) depict a number of royal children, all dressed in the Raj Pattern Jacket (เสื้อราชปะแตน), a garment that played a pivotal role in the cultural and political formation of the Siamese gentleman.

Royal Family Members Depicted in the Photographs

(สะกดอังกฤษถูกต้องตามหลักฐานประวัติศาสตร์ พร้อมชื่อไทยในวงเล็บ)

  1. Crown Prince Maha Vajirunhis (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร),
    Prince Mahidol Adulyadej (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก),
    Princess Piyamavadi Sri Bajarindra Mata (สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา)

  2. (From left) Prince Sombat Wongworadej, Prince of Sri Thammarat
    (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์),
    Crown Prince Maha Vajirunhis
    (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร),
    Princess Sirabhorn Sobhon Bimolrattanadevi
    (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี),
    Princess Valaya Alongkorn, Princess of Phetchaburi
    (สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร)

  3. (From left) Mom Chao Juladis Diskul
    (หม่อมเจ้าจุลดิศ ดิศกุล),
    Prince Dilok Nopparat, Prince of Sakhon Visai Nopphadon
    (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสรรควิไสยนรบดี — พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ),
    Crown Prince Maha Vajirunhis
    (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ),
    Prince Rangsit Prayurasakdi, Prince of Chai Nat
    (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร — พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์),
    (Below) Prince Suriyong Prayurabandh, Prince of Chaiya Si Suriyaphan
    (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส — พระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์)

These images capture a moment of transition in late-19th-century Siam, when court dress was evolving from traditional Siamese forms toward a more international, modern aesthetic.

The Raj Pattern Jacket: A Garment of Modernity

The Raj Pattern Jacket (เสื้อราชปะแตน) emerged as a practical and modern answer to Siam’s tropical climate. While Western men’s fashion of the era required multiple layers—shirt, waistcoat, jacket, and tie—King Chulalongkorn recognised during his visit to India in พ.ศ. ๒๔๑๕ that such attire was ill-suited to Siam. What the kingdom needed was a garment that conveyed civility and international refinement without sacrificing comfort.

Chao Phraya Phanuwong Maha Kosathibodi (Tuam Bunnag) (เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)) thus commissioned a tailor from Calcutta to design a simplified jacket: a standing collar, long sleeves, five buttons, and white cotton fabric. The official name “Raj Pattern”—from Raja (ราชา) + Pattern—would eventually evolve phonetically into “ราชปะแตน”.

The jacket did not arise in isolation. It drew upon
– European standing-collar designs such as Napoleonic cavalry uniforms,
– the leather-neck naval coats of Britain and the United States,
– Indian Achkan and Sherwani,
– and Siam’s own Suea Yang Tet (เสื้ออย่างเทศ) and Suea Yang Noi (เสื้ออย่างน้อย).

Within the colonial world, its all-white ensemble and formal simplicity paralleled the “Tropical Whites” worn by British, French, and Dutch officials. Yet Siam adopted the garment on its own terms—neither an imitation of colonial powers nor a rejection of traditional identity.

Decline, Resurgence, and Reinvention

The Raj Pattern Jacket remained prevalent among the nobility during the reigns of King Vajiravudh (รัชกาลที่ ๖) and King Prajadhipok (รัชกาลที่ ๗), paired with jongkraben (โจงกระเบน) or silk trousers. But the political transformation of พ.ศ. ๒๔๗๕, and the cultural mandates of Field Marshal Plaek Phibunsongkhram during World War II, accelerated Westernisation. The Raj Pattern became confined to ceremonial or elder attire, while Western suits and ties took precedence.

Ironically, during the 1960s–1970s, the West revived the standing-collar jacket under the name “Nehru Jacket”, popularised by The Beatles and James Bond films such as Dr. No (1962) and Octopussy (1983).

The Raj Pattern Jacket returned to Thai public life during the premiership of General Prem Tinsulanonda (พ.ศ. ๒๕๒๐–๓๐), influenced by Queen Sirikit’s (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) Thai National Dress initiative. King Bhumibol Adulyadej (รัชกาลที่ ๙) graciously provided a prototype for men’s wear, leading to the Cabinet’s resolution on ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๓ introducing the “Phra Ratchathan Shirt” (เสื้อพระราชทาน) as a formal alternative to Western suits.

This revived form embraced local handwoven textiles, turning the jacket into a symbol of national identity that supported regional economies while projecting a modern, culturally rooted appearance on the world stage.

A Cultural Statement Through Clothing

Today, the Raj Pattern Jacket stands as a testament to Siam’s negotiation between global modernity and local identity. It encapsulates the aspirations of a kingdom at the crossroads of East and West, and its appearance in portraits of royal children during King Chulalongkorn’s reign reflects a moment when fashion, politics, and cultural diplomacy converged.

The garment is therefore more than a relic of the past—it is a visual narrative of how Siam embraced modernity in a manner uniquely its own.

This article has been restructured and expanded while retaining the core content from the original essay by Phanchana Sunthornpipit (พันธุ์ชนะ สุนทรพิพิธ), published in GQ Thailand on ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๘, with added historical and fashion-context details for clarity and completeness.

เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ “เสื้อราชปะแตน”: ภาพสะท้อนความทันสมัยของสุภาพบุรุษสยาม (ตอนที่ ๒)

Next
Next

“เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” ทรงฉลองพระองค์ในชุดเครื่องแบบเต็มยศราชองครักษ์ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์