สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า : กับความทุกข์ในพระราชหฤทัย

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า : กับความทุกข์ในพระราชหฤทัย

ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระรูปต้นฉบับทรงฉาย ในช่วงเวลางานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พ.ศ. 2405–2498) พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา ทรงเป็นเจ้านายที่ทรงพระเกียรติยศอย่างยิ่งพระองค์หนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4, พระอัครยาเจ้าในรัชกาลที่ 5, พระราชมารดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, สมเด็จพระอัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง 2 รัชกาล

เรื่องพระพลานามัยก็ทรงมีสุขภาพแข็งแรง และมีพระชนมายุยืนยาวถึง 6 แผ่นดิน หากตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ กลับทรงเผชิญ “การสูญเสีย” พระราชโอรส, พระราชธิดา, พระเจ้าลูกเธอที่ทรงอภิบาล เสมือน “บุตรบุญธรรม” และพระราชนัดดา ทั้งสิ้นถึง 13 พระองค์

การสูญเสียครั้งใหญ่ของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่ทราบกันแพร่หลายคือ การเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร อย่างกะทันหันด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2437 (หรือปฏิทินปัจจุบันคือ พ.ศ.2438) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา 

การเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นการสูญเสียพระราชโอรสพระองค์สำคัญยิ่งสร้างความสะเทือนพระราชหฤทัย สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงอยู่ในพระอาการเสียพระราชหฤทัยอย่างมากเป็นเวลาหลายเดือนจน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระวิตกว่าจะทรงพระประชวรและสวรรคตตามไปอีกพระองค์

ด้วยก่อนหน้านั้นพระองค์ทรงสูญเสียพระราชโอรสพระราชธิดาไปแล้วถึง 3 พระองค์

หากกรณีการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ยังมีผลต่อพระสถานภาพของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มิได้ทรงอยู่ฐานะพระอัครมเหสีต่อไปตามกฎมณเฑียรบาล 

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พร้อมกับสถาปนา สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี เป็นสมเด็จพระนางเจ้า พระอัครราชเทวี ในปีเดียวกัน และทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์เมื่อคราวที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป 

ขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเร่งให้สร้างพระตำหนักที่ศรีราชา เพื่อให้ใช้ประทับเพื่อรักษาพระวรกาย ด้วยสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงพระกันแสงเสมอยามทรงเห็นสถานที่ซึ่งพระราชโอรสพระราชธิดาเคยประทับอยู่ 

ระหว่างที่สมเด็จพระบรมราชเทวีประทับ ณ ตำหนักที่ศรีราชา ทางกรุงเทพฯ ก็ตระเตรียมประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงและพระราชทานเพลิงพระบรมศพและพระศพเจ้านายพร้อมกัน 6 พระองค์ใน พ.ศ.2443 (ตามปฏิทินปัจจุบัน พ.ศ.2444) เป็นพระราชโอรสและพระราชธิดาในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ 

ทว่า สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าสะเทือนพระราชหฤทัยเกินกว่าจะเสด็จฯ มาทรงร่วมพระราชพิธี ดังที่ หม่อมเจ้าหญิง จงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงบันทึกว่า

“งานพระเมรุเริ่มตั้งต้นด้วยการพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ก่อน เพราะทรงเป็นพระอุปัชฌาย์พระเจ้าอยู่หัว ในงานนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ไป ทราบแต่ว่าได้มีพระสงฆ์ตามพระศพมากที่สุด ว่าทรงวอก็มี ขึ้นแคร่ก็มี แม้จนคานหามก้มีตามด้วย เล่ากันว่าแลดูเหลืองไปหมดในบริเวณพระเมรุ

พระเมรุคราวที่ 2 พระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร วันที่ 21 มกราคม ร.ศ.119 ข้าพเจ้าได้ไปและจำได้ว่า ขบวนแห่เริ่มเดินตั้งแต่ 7 นาฬิกา ข้าพเจ้าต้องตื่นนอนตั้งแต่ก่อน 6 นาฬิกา แต่งตัวสีขาวไปนั่งอยู่หน้าพลับพลาก่อนโมงเช้า พระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศ ทหารประดับเครื่องราชอิศริยาภรณ์ทรงพระราชยานมาเทียบหน้าเกยขึ้นพลับพลา พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าและฝ่ายใน 

ขาดแต่สมเด็จพระพันวัสสาเพราะได้เสด็จไปประทับที่ศรีราชาเมื่อ ร.ศ.118 เพราะทรงได้รับความวิปโยคอย่างใหญ่หลวง นับตั้งแต่สมเด็จพระบรมโอรสสวรรคต เมื่อ พ.ศ.2437 พระชนมายุเพียง 16 พรรษา และต่อมาอีก 4 ปีคือในปี พ.ศ.2441 พระราชโอรสและพระราชธิดาก็สิ้นพระชนม์ลงอีกถึง 2 พระองค์ ในเวลาใกล้ๆ กัน เหตุนี้จึงต้องเสด็จไปประทับที่ศรีราชา ทรงพักรักษาพระองค์เนื่องจากทรงประชวรอยู่ราว 4 ปี จึงได้เสด็จกลับ ส่วนการพระเมรุนั้น สมเด็จพระพันปีหลวงจึงต้องทรงเป็นเจ้าภาพแทน ตลอดทุกพระเมรุ” 

พ.ศ.2472 สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าก็ทรงสูญเสียอีกครั้ง เมื่อ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช พระราชโอรส สิ้นพระชนม์จากการตรากตรำพระวรกาย ทั้งที่เพิ่งเสด็จกลับประเทศไทยพร้อมครอบครัวได้เพียง 1 ปีเท่านั้น 

พ.ศ.2481 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงวไลยอลงกรณ์ ซึ่งประชวรด้วยพระโรคพระวักกะพิการ ตั้งแต่ พ.ศ.2465 ก็สิ้นพระชนม์ 

นอกจากนี้พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 5 ที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงอภิบาลแต่ทรงพระเยาว์ เสมือน “บุตรบุญธรรม” อีก 3 พระองค์ ก็สิ้นพระชนม์ไปก่อนพระองค์

นอกจากนี้ในชั้น “พระราชนัดดา” พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน หากครั้งนี้มีการปิดมิให้ทรงทราบด้วยเพราะเกรงจะกระทบต่อพระราชหฤทัยของพระองค์ซึ่งมีพระชนมายุมากแล้ว

ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงตระหนักถึงมรณะเพราะเป็นสิ่งที่ทรงประสบเสมอมาแม้แต่บุคคลรอบพระองค์ที่จะให้ช่วยดูแลเมื่อถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ ทรงฝากไว้กับข้าหลวงคนสนิทหลายท่าน หากก็ถึงแก่กรรมบ้าง ถึงชีพิตักษัยบ้าง ไปก่อนพระองค์ทั้งสิ้น 

เขียนโดย วิภา จิรภาไพศาล

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_3873590

____________________________

Her Majesty Queen Sri Savarindira, the Queen Grandmother: A Life Marked by Devotion and Quiet Sorrow

The AI-restored image presented here portrays Her Majesty Queen Sri Savarindira, the Queen Grandmother (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) during the period of national mourning for His Majesty King Chulalongkorn (Rama V). The original photograph was taken amid the deep solemnity of the royal funeral, a moment that reflected not only the grief of the nation but also the private sorrows borne by the Queen herself.

Born Princess Sawangwatthana (พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา) in 1862, she was the 27th daughter of King Mongkut (Rama IV) and Princess Consort Piam (Thai: สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา). Her life spanned six reigns, and she emerged as a quietly influential figure within the royal court — a woman whose dignity and endurance shaped her legacy as the revered Queen Grandmother.

Throughout her long life, Her Majesty occupied several significant roles within the Chakri dynasty:

  • a royal daughter in the reign of King Rama IV;

  • a queen consort in the reign of King Rama V;

  • the mother of the first Crown Prince of Rattanakosin, Prince Maha Vajirunhis (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ); and

  • the Queen Grandmother to two kings — King Ananda Mahidol (Rama VIII) and King Bhumibol Adulyadej (Rama IX).

Her health remained robust, and she lived a remarkable ninety-three years. Yet behind this longevity lay a lifetime marked by profound personal loss.

A Mother’s Grief: The Loss of the Crown Prince

The death of the Crown Prince, Prince Maha Vajirunhis, on 4 January 1895 from typhoid fever at the age of sixteen, was the most devastating tragedy of her life. Contemporary accounts describe the Queen as being overwhelmed by grief for many months. King Chulalongkorn himself worried that her sorrow might lead to a fatal decline.

This was not the first, nor would it be the last, of her bereavements. Before losing the Crown Prince, she had already endured the deaths of three of her own children.

The passing of the Crown Prince also changed her formal status at court. Under the Palace Law of Succession, she could no longer remain the principal queen consort once another prince — in this case Prince Vajiravudh (later King Rama VI) — was appointed Crown Prince. Accordingly, King Chulalongkorn elevated Queen Saovabha Phongsri (Thai: สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) to the position of Queen Consort and later Regent during his European tour.

Retreat to Sri Racha: A Sanctuary from Grief

Grief weighed so heavily upon Queen Sri Savarindira that King Chulalongkorn ordered the construction of a seaside residence in Sri Racha, a place where she could recover away from painful memories in Bangkok. She wept each time she passed locations associated with her lost children, and the change of environment was deemed vital for her health.

During her residence in Sri Racha, preparations were underway in Bangkok for an extraordinary royal cremation ceremony in 1900 (R.S. 119 / 1901), which honoured six royal individuals — including three of her own children:

  • Crown Prince Maha Vajirunhis,

  • Prince Siridhaj Sangkas (กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์), and

  • Princess Sirabhorn Sobhon (เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ).

Her grief was so profound that she could not bring herself to attend. Princess Chongchitthra Thon (M.C. Jongjitthra Diskul) recorded eyewitness accounts of the ceremonies, noting the Queen’s absence and her prolonged mourning in Sri Racha.

Further Losses in Later Life

Tragedy continued to follow her into old age.

  • In 1934 (2472), she lost her beloved adopted son, Prince Mahidol Adulyadej (สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช), father of Kings Rama VIII and Rama IX.

  • In 1938 (2481), Princess Valaya Alongkorn (เจ้าฟ้าหญิงวไลยอลงกรณ์), another of her cherished daughters, succumbed to chronic kidney disease after years of illness.

  • She also outlived three princely children from the reign of King Rama V whom she had raised as if they were her own.

  • Most painfully, in 1946, she unknowingly outlived her royal grandson King Ananda Mahidol (Rama VIII), whose sudden death was concealed from her for fear of breaking her heart.

Repeated bereavement became a constant shadow in her life. Many of the attendants whom she entrusted with her final wishes predeceased her. She bore these losses with quiet fortitude.

A Legacy of Strength, Compassion, and Endurance

Despite such profound sorrow, Queen Sri Savarindira devoted herself tirelessly to public service. She became a patron of healthcare and modern nursing in Siam, and her commitment culminated in the founding of the Queen Savang Vadhana Institute, a living testament to her compassion.

Her life — marked by grace, endurance, and unspoken heartbreak — remains one of the most moving royal narratives of the Rattanakosin era. By the time she passed away in 1955, she had lived through the reigns of six kings and had become a symbol of continuity and resilience.

Today, she is remembered not only as the Queen Grandmother, but as a woman of immense emotional strength — a figure whose public duty never wavered, even as she carried private grief throughout her long life.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand

Previous
Previous

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร องค์ต้นราชสกุลรังสิต

Next
Next

งานสังสรรค์ในสวนยามบ่าย – ศิลปะการแต่งกายสไตล์อาร์ตเดโคในสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ ด้วย Google’s Nano Banana Pro