สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร องค์ต้นราชสกุลรังสิต

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร องค์ต้นราชสกุลรังสิต

“ให้มาเป็นลูกแม่กลาง”

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งทรงอุ้ม ‘พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์’ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร องค์ต้นราชสกุลรังสิต) พระราชโอรสในพระองค์ ที่ประสูติแต่ ‘เจ้าจอมมารดาเนื่อง’ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 เพื่อไปพระราชทานแก่ ‘สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี’ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) พร้อมมีพระราชดำรัสข้างต้น

เนื่องด้วยหลัง ‘พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์’ ประสูติได้เพียง 12 วัน เจ้าจอมมารดาเนื่องก็ถึงแก่อนิจกรรม ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 จึงทรงพระราชทานพระราชโอรสแก่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี นับแต่นั้นมา พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ก็เปรียบเสมือนดังพระราชโอรสในพระครรโภทรของ ‘สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า’

พระองค์ทรงเลี้ยงดูและทรงรักพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ดังพระราชโอรสของพระองค์เอง ดังเคยมีพระราชหัตถเลขาถึง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในรัชกาลที่ 8 ความตอนหนึ่งว่า "กรมขุนชัยนาทฯ เท่ากับเป็นลูกฉันแท้ๆ ฉันเลี้ยงมาตั้งแต่ 12 วัน หลังจากที่หม่อมราชวงศ์หญิงวายชนม์..."

ครั้งหนึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถึงขั้นทรงต้องติดคุก ทำให้ สมเด็จศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงโทมนัสยิ่ง ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า "ฉันตายแล้ว ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงท่านได้อย่างไร ท่านอุ้มมาพระราชทานฉันกับพระหัตถ์เองทีเดียว เมื่อ 12 วันแท้ๆ"

และทรงรับสั่งกับ พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) ว่า "เขาจะแกล้งฉันให้ตาย... ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ลูกตายไม่ได้น้อยใจช้ำใจเหมือนครั้งนี้เลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าเป็นธรรมดาของโลก ครั้งนี้ทุกข์ที่สุดที่จะทุกข์แล้ว"

สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มิได้เป็นที่รักเพียงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเท่านั้น หากทรงเป็นที่เคารพรักของพระราชนัดดาในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอีกด้วย ดังพระนิพนธ์บางส่วนใน ‘สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์’ ที่ทรงปรารภไว้ในหนังสือเรื่อง ‘ไปเมืองนอกครั้งแรก ร.ศ. ๑๑๘’ ความว่า

"นอกจากนี้ ยังมีความยินดีอันเป็นส่วนตัวซึ่งเกิดจากความรู้สึกภูมิใจว่าข้าพเจ้าเป็นหลานสนิทของพระองค์สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอนู่หัว รัชกาลที่ ๕ และเจ้าจอมมารดาเนื่อง สนิทวงศ์ พระมารดาได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อท่านมีพระชนม์เพียง ๑๒ วัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุ้มมาพระราชทานแก่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทฯ จึงทรงเป็นโอรสองค์หนึ่งของสมเด็จย่าข้าพเจ้า พระโอรสพระองค์อื่นของสมเด็จย่านอกจากทูลกระหม่อมพ่อแล้ว ล้วนสิ้นพระชนม์เมื่อยังไม่ถึง ๒๐ พรรษาทุกพระองค์ ท่านจึงเป็นเสมือน "เสด็จลุง" แท้จริงของข้าพเจ้า"

อนึ่ง ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์’ ทรงสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ณ เมืองฮัสเบอรสตัด ประเทศเยอรมนี ใน พ.ศ. 2442 จากนั้นทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก โดยมีพระประสงค์ที่จะศึกษาวิชาแพทย์ แต่ในระยะแรกทรงศึกษาวิชากฎหมาย ตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 ต่อมาจึงทรงเปลี่ยนไปศึกษาวิชาการศึกษา และยังทรงเข้าศึกษาวิชาที่เกี่ยวกับการแพทย์บางอย่างเป็นการส่วนพระองค์กับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้นด้วย

หลังทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่ ‘พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร’ เมื่อ พ.ศ. 2457 โดยทรงรับราชการตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลองกระทรวงศึกษาธิการ และทรงจัดตั้งวิชาแพทย์ปรุงยาขึ้นในโรงเรียนราชแพทยาลัย ตามที่ ‘สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ’ ได้ทรงปรารภเกี่ยวกับการขาดแคลนแพทย์ปรุงยาในกองทัพ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเภสัชกรรม ในปี พ.ศ. 2476 พระองค์ได้รับการเชิดชูพระเกียรติเป็นพระบิดาของวิทยาศาสตร์เภสัชกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งระหว่างที่ทรงเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนราชแพทยาลัยเมื่อ ทรงปรับปรุงหลักสูตรการเรียนให้ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการพยาบาลผดุงครรภ์ ซึ่งในสมัยนั้นยังนิยมใช้การแพทย์แผนโบราณ คลอดบุตรโดยหมอตำแยกันอยู่

ทรงส่งเสริมให้ข้าราชบริพารในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เข้าเรียนต่อหลักสูตรของศิริราชพยาบาล ให้สนใจศึกษาวิชาแพทย์และพยาบาลแผนปัจจุบันให้มากขึ้น และทรงปลูกฝังความนิยมในการเรียนแพทย์ให้เป็นที่แพร่หลาย จัดการศึกษาในโรงเรียนแพทย์ให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นผู้โน้มน้าว ‘สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช’ ให้ทรงสนพระทัยวิชาการแพทย์ด้วย

และดังได้กล่าวไปข้างต้นว่า ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม พระองค์ทรงถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในกบฏพระยาทรงสุรเดช ทำให้ทรงถูกคุมขังที่เรือนจำบางขวาง รวมทั้งถูกถอดออกจากฐานันดรศักดิ์ แต่ได้มีการประกาศสถาปนาพระอิสริยยศฐานันดรศักดิ์ตามเดิม เมื่อ พ.ศ. 2487 ในสมัยรัฐบาลของ นายควง อภัยวงศ์

หลังจากนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญหลายคราว อาทิ ทรงดำรงตำแหน่งองคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว / ตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย / ตำแหน่งองคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว / ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ฯลฯ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร สิ้นพระชนม์ที่วังถนนวิทยุ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2494 ด้วยพระโรคหืดและโรคพระหทัยวาย สิริพระชันษา 66 ปี 4 เดือน เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ดำรงพระชนม์ชีพอยู่เป็นพระองค์สุดท้าย และมีพระชันษายืนที่สุด

ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร สิ้นพระชนม์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเกียรติยศขึ้นใหม่เป็น

“สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร
จุฬาลงกรณราชวโรรส สยามสุขบทบุรัสการี
เมตตาสีตลหฤทัย อาชชวมัททวัธยาศัยสุจารี
วิวิธเมธีวงศาธิราชสนิท นวมริศรสุมันตนบิดุล
ติรตนคุณสรณาภิรักษ์ ประยุรศักดิธรรมิกนาถบพิตร”

พร้อมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงเป็นต้นราชสกุล “รังสิต” และได้ทรงเสกสมรสกับหม่อมเอลิซาเบท รังสิต ณ อยุธยา สตรีชาวเยอรมัน มีพระโอรส ๒ องค์ และพระธิดา ๑ องค์ ได้แก่

๑. หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต
๒. หม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิต
๓. ท่านหญิงจารุลักษณ์กัลยาณี บูรณะนนท์

ที่มาเพจ: รักษ์ราชย์

https://www.facebook.com/royalist.siam

_________________________

Somdet Phra Chao Borommawong Thoe Pra Ong Chao Rangsit Prayurasakdi, Krom Phraya Chai Nat Narenthon (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร)

“Come to be the middle mother’s child”

This was the royal utterance of His Majesty King Chulalongkorn (Rama V) when he lifted Prince Rangsit Prayurasakdi (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร), his son by Chao Chom Manda Nueng, born on 12 November B.E. 2428 (1885). The prince was then offered to Queen Savang Vadhana (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) — then holding that title — with that royal utterance.

Because Prince Rangsit Prayurasakdi passed of his mother within just twelve days of his birth, King Chulalongkorn bestowed the child on Queen Savang Vadhana. From that moment he was treated as though he were a royal son of the queen (พระครรโภทร).

The prince was nurtured and loved by the queen as though her own child. This is evidenced by a letter addressed by Queen Savang Vadhana to Prince Adiṭṭhaya Aphā (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา), Chair of the Regency Council in the reign of King Rama VIII, in which she wrote: “Krom Khun Chai Nat., is truly my child. I have brought him up since twelve days after the death of Mom Rajawongse Nueng...”

On one occasion, Somdet Phra Chao Borommawong Thoe Krom Phraya Chai Nat Narenthon was maligned by the government in the post-1932 political era and even imprisoned. Queen Savang Vadhana was deeply distressed and uttered: “I have died already; how can I go to pay homage to the Phra Buddha Chula Lom? He [King Chulalongkorn] himself lifted him in his arms for me when he was twelve days old.” She also said to General Phraya Phichai Yenthrayothin (Amu Inthrayothin): “They will torment me until I die… I do not know what it is for me to remain alive. A child may die and not feel the hurt of bitterness like this, for there are matters of broken heart as are the ways of the world. This time I suffer the most that one may suffer.”

Somdet Phra Chao Borommawong Thoe Krom Phraya Chai Nat Narenthon was not only beloved by Queen Savang Vadhana, but also respected and loved by her royal grandchildren. For example, in her memoir “First Foreign Trip R.S. 118”, H.R.H. Princess Galyani Vadhana Krom-Luang Naradhiwas (สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) wrote: “Additionally, there was a personal delight which arose from the feeling of pride that I am the close niece of Somdet Krom Phraya Chai Nat Narenthon… He therefore is like a true ‘uncle’ of mine.”

Furthermore, Prince Rangsit Prayurasakdi pursued his secondary education in Halberstadt and Germany in B.E. 2442 (1900). He then studied at Heidelberg University, originally intending to study medicine, but initially studying law at his father’s insistence. Later he changed to educational studies and privately studied medical‐related subjects with professors at the university.

Upon his return to Siam in B.E. 2456 (1913), King Vajiravudh (Rama VI) graciously appointed him as “Phra Ong Yaya Thewe” Krom Muen Chai Nat Narenthon in B.E. 2457 (1914), assigning him to serve as Assistant Secretary of the Ministry of Education. He founded the Faculty of Pharmacy (originally the School of the Royal Medical College) which in B.E. 2476 (1933) was renamed the School of Pharmacy. He is recognised as the “Father of Pharmaceutical Science of Thailand”.

He also promoted women and palace officials of Queen Savang Vadhana to study at Siriraj Hospital and advocated for modern medical education. Additionally he persuaded H.R.H. Prince Mahidol Adulyadej (สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช) to take an interest in medical science.

As mentioned above, in the era of Field-Marshal Plaek Phibunsongkhram, he was accused of involvement in the Phaya Song Suradet rebellion, imprisoned at Bangkwang Prison, and had his noble rank stripped. His titles were restored in B.E. 2487 (1944) under the government of Phraya Khuang Apaiwong.

Subsequently, Somdet Phra Chao Borommawong Thoe Krom Phraya Chai Nat Narenthon held many important posts: Member of the Privy Council under King Rama VI, Director-General of the Department of University Affairs, Member of the Privy Council under King Rama VII, and President of the Regency Council during King Bhumibol Adulyadej’s (Rama IX) reign.

He passed away at the palace on Wireless Road (Wang Thanon Witthayu) on 7 March B.E. 2494 (1951) from asthma and heart failure at the age of 66 years 4 months. He was the last surviving royal son of King Chulalongkorn (Rama V) and the longest-living of them.

After his passing, King Bhumibol Adulyadej (Rama IX) graciously conferred upon him the posthumous title:
Somdet Phra Chao Borommawong Thoe Krom Phraya Chai Nat Narenthon Chulalongkorn Ratchawororot Siam Sukh-Bot Burasakari Metta Sithalharuethai Achchawa Mattavadhya Saisujari Wiwith Methewongsa Thiraj Sanim Nauwumisorusumantan Bidun Tritan Khun Saranaphirak Prayurasakti Thammik­nath Baphit

He was the progenitor of the Rangsit family (ราชสกุลรังสิต), having married Elisabeth Rangsit na Ayudhaya (née Scharnberger) (หม่อมเอลิซาเบท รังสิต ณ อยุธยา) of German origin. They had two sons and one daughter:

  1. Mom Chao Piyarangsit Rangsit (หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต)

  2. Mom Chao Sanidh Prayurasakdi Rangsit (หม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิต)

  3. Than Ying Charulaksana Kalyani Burananont (ท่านหญิงจารุลักษณ์กัลยาณี บูรณะนนท์)

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand

Previous
Previous

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และจี้เพรชชิ้นใหญ่ (ตอนที่ ๒)

Next
Next

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า : กับความทุกข์ในพระราชหฤทัย