พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี - “เสด็จอธิบดี”

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี - “เสด็จอธิบดี”

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี (อ่านว่า ทิบ-พะ-ยะ-รัด-กิ-ริด-กุ-ลิ-นี) (๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๗ - ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑) หรือที่เรียกกันว่า เสด็จอธิบดี ทรงเป็นอธิบดีหญิงพระองค์แรกของสยาม เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๗ เป็นพระขนิษฐาร่วมพระมารดาในสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๗ มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดาเดียวกัน ๔ พระองค์ ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าแดง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเขียว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน และสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี

ในฐานะที่เป็นพระโสทรกนิษฐาของ "เสด็จพระนาง" (ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี) พระองค์เจ้านภาพรประภาจึงประทับอยู่ในตำหนักเดียวกัน พร้อมกับพระมารดาคือเจ้าคุณจอมมารดาสำลี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นอกจากนี้ยังทรงสนิทสนมกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถอีกด้วยในฐานะที่ทรงเป็น "พระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก" เช่นกัน โดยเฉพาะกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ นั้นนอกจากจะทรงวิสาสะกันในฐานะเจ้าพี่เจ้าน้องแล้ว ยังทรงรับผิดชอบบริหารงานราชการฝ่ายในร่วมกัน และได้ทรงเลี้ยงดูพระราชโอรสพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา (ซึ่งก็นับว่าเป็นพระราชภาติยะของพระองค์ทั้งสองฝ่าย) คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถึงขนาด "ทูลกระหม่อมเอียด" รับสั่งว่า "หากไม่ติดเกรงพระทัยทูลกระหม่อมชาย อยากจะทูลเชิญเสด็จน้ามาประทับอยู่ด้วยกัน

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี ทรงเป็นขัตติยราชนารีที่มากด้วยความสามารถในหลายด้าน มีพระนิสัยร่าเริง สนุกสนานเฮฮา มีพระอัธยาศัยที่งดงาม ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตลอดจนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในเรื่องใดๆ ก็ตามก็จะปฏิบัติได้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดีในทุกเรื่อง

ครั้งถึงปี ๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณขึ้นในพระบรมมหาราชวัง พระองค์ก็ทรงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอุปนายกหอพระสมุดตั้งแต่แรกเริ่ม นอกจากจะทรงอุทิศเวลาให้กับงานอย่างจริงจังแล้ว พระองค์ยังต้องนำเงินส่วนพระองค์มาใช้สอยในการเลี้ยงรับรองทั้งในเวลาปกติและโอกาสพิเศษต่างๆ ด้วยเพราะงานหอพระสมุดเป็นงานการกุศล แม้จะทรงประสบปัญหาในทางการเงินบ้างก็มิได้ทรงปริปากให้ผู้ใดเดือดร้อน จนภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้วางระเบียบใหม่ โดยให้เบิกเงินหลวงแทนเพื่อคลายความเดือดร้อนขององค์อุปนายกฯ หอพระสมุดนี้เป็นแนวความคิดของบรรดาพระราชโอรสพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบรมราชชนก ต่อมาในปี ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นหอพระสมุดสำหรับพระนคร แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “หอสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” เป็นที่มาของหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน

ในเดือน เม.ย. ๒๔๓๖ ได้มีการก่อตั้งสภาอุณาโลมแดงขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสยาม โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งสภาชนนี พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (พระยศขณะนั้น) ทรงเป็นสภานายิกา ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เป็นเลขานุการิณี และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาฯ ทรงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการิณี วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสภาอุณาโลมแดงหรือสภากาชาดไทยในปัจจุบันนั้น ต้องการที่จะช่วยบรรเทาทุกข์แก่บรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับฝรั่งเศส อันเนื่องมาจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่ชายแดนไทยด้านแม่น้ำโขง ซึ่งคนไทยรู้จักกันดีในชื่อ “วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒”

เมื่อวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๖–๒๔๓๗ ค่อยคลี่คลายลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริเห็นสมควรเสด็จพระราชดำเนินไปเจริญทางพระราชไมตรี และทำความรู้จักคุ้นเคยกับประมุขของประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปด้วยพระองค์เอง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ จึงเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งแรก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอรรครราชเทวี เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ส่วนราชการภายในพระบรมมหาราชวังนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระเจ้าน้องนางเธอสองพระองค์ คือ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา และพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ ให้ทรงช่วยดูแลราชการฝ่ายในทั้งหมดภายในพระราชวังหลวง เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณท้าววรจันทร์ด้วย

พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม กอปรด้วยเชาวน์ปฏิภาณ ทรงสามารถจัดการงานทั้งปวงได้เรียบร้อยสมกับเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรปแล้ว โปรดให้เพิ่มอำนาจหน้าที่การบังคับบัญชาราชการฝ่ายในมากขึ้น จนในที่สุดทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ทรงดำรงตำแหน่ง "อธิบดีกรมโขลน” ขึ้นอยู่ในสังกัดกระทรวงวัง เรียกกันเป็นสามัญว่า “อธิบดีฝ่ายใน” พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา จึงเป็นสตรีไทยพระองค์แรกที่ทรงรับราชการอย่างบุรุษจนได้เป็นอธิบดี และซึ่งชาววังทั่วไปในขณะนั้นต่างออกพระนามว่า “เสด็จอธิบดี” ด้วยความเคารพยำเกรง แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงยกย่องและตรัสเรียกเสด็จอธิบดีในบางครั้งเช่นกัน ร่ำลือกันว่าผู้คนเกรงกลัว "เสด็จอธิบดี" เสียยิ่งกว่า "สมเด็จที่บน” (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) เสียอีก

โขลน เป็นพนักงานสตรี สังกัดกรมโขลน มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาต่อเนื่องมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ทำหน้าที่คล้ายตำรวจนครบาลของพระราชสำนักฝ่ายหน้า กรมโขลน สังกัดกระทรวงวัง มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ตั้งแต่นายซึ่งเป็นชั้นต่ำสุด แล้วจึงถึงจ่า ชั้นสูงสุด คือ “หลวงแม่เจ้า” ทั้งหมดมีอธิบดีกรมโขลนเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ที่ทำการหรือกองรักษาการกรมโขลน อยู่ชั้นล่างของพระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร เรียกว่า ศาลากรมโขลน เครื่องแบบพนักงานโขลนที่ใช้ทั่วไปคือ นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนสีน้ำเงินกรมท่า สวมเสื้อขาวคอกลมผ่าอกกระดุม ๕ เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ มีผ้าห่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวอีกผืนหนึ่งห่มเป็นสไบเฉียงไหล่ซ้าย

โขลน มีหน้าที่สำคัญคือ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัย คอยดูแลกวดขันให้ทุกคนปฏิบัติตามขนบประเพณีที่อยู่ในขอบเขตของกฎมณเฑียรบาล แม้โขลนจะเป็นชาววัง แต่ก็อยู่ในลำดับต่ำสุด จากการแบ่งกลุ่มชาววังออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มชั้นสูง ได้แก่ เจ้านาย และพระบรมวงศานุวงศ์, กลุ่มชั้นกลาง ได้แก่ บุตรหลานเสนาบดี หรือคหบดีที่ถวายตัวกับเจ้านายตำหนักต่างๆ, กลุ่มชั้นต่ำ ได้แก่ ข้าทาสบริวารที่ต้องใช้แรงงาน รวมทั้ง โขลน แต่เพราะหน้าที่รักษากฎระเบียบธรรมเนียมวังของโขลน ทำให้โขลนมีอำนาจในการว่ากล่าวคนทำผิด หรือพลั้งเผลอทำผิดขนบประเพณีวัง ซึ่งโขลนจะใช้วิธีว่ากล่าวอบรมสั่งสอนต่อหน้าธารกำนัล ทำให้ได้รับความอับอาย ชาววังจึงเกรงกลัวโขลน ไม่อยากมีเรื่องราวด้วย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ยังทรงดำรงตำแหน่งอธิบดี บัญชาราชการฝ่ายใน และในตอนปลายรัชสมัยทรงรับหน้าที่เป็นผู้แทนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลในวันฉัตรมงคล ในฐานะพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ อันนับเป็นเกียรติยศสูงสุดอีกประการหนึ่ง

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ได้ทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินในตำแหน่งอธิบดีบัญชาราชการฝ่ายในสืบมาถึง ๓ รัชกาล เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ให้ทรงกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี นับเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เพียงหนึ่งในสี่พระองค์ที่ได้ทรงกรม หนึ่งในสองพระองค์ที่ทรงกรมขณะมีพระชนม์ชีพ และพระองค์เดียวที่ได้รับการสถาปนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี เคยกราบบังคมทูลลาออกจากราชการ แต่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงพระอนุญาต จึงทรงรับราชการเรื่อยมาจนถึงการปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระองค์จึงได้เสด็จลี้ภัยตามสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระภาคิไนย ไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย ในระหว่างที่ประทับรถไฟ ทรงดำริว่าที่เมืองบันดุงจะหาหมากเสวยได้ลำบาก หากยังจะเสวยหมากอยู่อีกจะเป็นภาระและยุ่งยากนัก ด้วยความเด็ดเดี่ยวในพระทัย จึงทรงโยนเชี่ยนหมากทิ้งตรงชายแดนไทย-มาเลเซีย นับแต่นั้นมาก็ไม่เสวยหมากอีกเลย แม้เมื่อเหตุการณ์สงบและเสด็จกลับมาเมืองไทยและประทับที่วังสวนผักกาดแล้วก็ตาม เมื่อมีพระชันษาสูงขึ้น พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีรับสั่งให้สร้างตำหนักเล็กอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อเสด็จอธิบดีจะได้ไปประทับและพระองค์ก็เสด็จไปประทับอยู่ที่นั้นตราบสิ้นพระชนม์

เมื่อคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี ในฐานะที่เป็นพระบรมวงศ์ฝ่ายในที่มีพระชันษามากเป็นอันดับที่สองรองจากสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งมีพระชนมายุมากแล้ว พระองค์จึงทรงร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี พระขนิษฐาต่างพระมารดา เป็นผู้ลาดพระที่ถวายในคราวนั้นด้วย

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ สิริพระชันษา ๙๔ ปี และดำรงตำแหน่งเป็นองค์กุลเชษฐ์ต่อจากสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานเพลิงพระศพเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร

_______________________

Her Royal Highness Princess Nappapornprapah, Princess Thipphayaratnigiridakulini – “Sadej Athibodi”

(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี – “เสด็จอธิบดี”)

Her Royal Highness Princess Thipphayaratnigiridakulini (read: Thip–pa–ya–rat–ki–rit–ku–li–ni) (born on 13 May 1864 – died on 19 July 1958), widely known in the Royal Household as “Sadej Athibodi” (เสด็จอธิบดี), was the first woman in Siamese history to serve as a Director-General. She was a daughter of His Majesty King Mongkut (Rama IV) (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) and Chao Khun Chom Manda Samli (เจ้าคุณจอมมารดาสำลี). Born on 13 May 1864, she was a younger full sister of Her Majesty Queen Sukhumala Marasri (สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี), the Queen Consort.

Her birth name was Princess Nappapornprapah (พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา). She was a daughter of King Mongkut (Rama IV) and Chao Khun Chom Manda Samli, born on 13 May 1864. She had four elder full siblings:

  • Prince Daeng (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าแดง)

  • Prince Khiao (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเขียว)

  • Princess Busabong Boekban (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน)

  • Her Majesty Queen Sukhumala Marasri (สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี)

As a younger full sister of Queen Sukhumala Marasri (then holding the title Phra Nang Chao Sukhumala Marasri, Royal Consort), Princess Nappapornprapah resided in the same palace compound, together with their mother, Chao Khun Chom Manda Samli; Her Royal Highness Princess Suddhatipparat (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์); and His Royal Highness Prince Paribatra Sukhumbandhu (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์), Prince of Nakhon Sawan.

She was also closely acquainted with Her Majesty Queen Sri Savarindira, the Queen Grandmother (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า), and Her Majesty Queen Saovabha Phongsri (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ), both of whom, like her, belonged to the group of “younger royal children”. Princess Nappapornprapah was particularly close to Queen Saovabha Phongsri; apart from their sibling-like intimacy, they also shared responsibilities in the administration of the Inner Court. Moreover, she helped raise one of Queen Saovabha’s sons—His Royal Highness Prince Asdang Dejavudh, Prince of Nakhon Ratchasima (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา). Prince Asdang once remarked:
“If it were not for my respect for Father, I would have invited Aunt to live with me.”

Princess Nappapornprapah possessed many admirable qualities: she was capable, cheerful, sociable, and refined. She was trusted deeply by His Majesty King Chulalongkorn (Rama V) (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว), Queen Sri Savarindira, and Queen Saovabha Phongsri. Any responsibility entrusted to her was carried out with utmost diligence and success.

In 1890 (พ.ศ. ๒๔๓๒), King Chulalongkorn established the Vajiranana Library (หอพระสมุดวชิรญาณ) in the Grand Palace. Princess Nappapornprapah was appointed as one of its first Deputy Directors. She devoted herself wholeheartedly to the institution, often using her personal funds to host events and provide hospitality, as the library was regarded as a charitable endeavour. Only later did the King order a restructuring that allowed state funds to be used for the library’s expenses. The library had been conceived by the children of King Mongkut as a memorial to their father, and in 1899 (พ.ศ. ๒๔๔๒) it became the Vajiranana National Library—the precursor to today’s National Library of Thailand.

In April 1893 (เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๖), the Red Unalom Society (สภาอุณาโลมแดง), predecessor of the Thai Red Cross Society, was founded. Queen Savang Vadhana (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา) served as President; Queen Saovabha Phongsri (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) as Vice-President; and Lady Plian Pasakornwong (ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์) as Secretary. Princess Nappapornprapah was appointed Assistant Secretary. The organisation was formed to provide relief for soldiers injured during the Franco–Siamese conflict—known in Thai history as the R.S.112 Crisis (วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒).

After the crisis eased in 1896–1897 (พ.ศ. ๒๔๓๖–๒๔๓๗), King Chulalongkorn decided to undertake a state visit to Europe. During his first European tour in 1897 (พ.ศ. ๒๔๔๐), he appointed Queen Saovabha Phongsri as Regent (ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน). The internal affairs of the Inner Court were entrusted to two princesses:

  • Princess Nappapornprapah (พระองค์เจ้านภาพรประภา)

  • Princess Puang Soi Sa-ang (พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์)

They were to support Chao Chom Waad (ท้าววรจันทร์), who oversaw palace discipline.

Princess Nappapornprapah performed her duties with integrity and remarkable capability. After the King’s return from Europe, her authority in the Inner Court increased. Ultimately, she was appointed Director-General of the Kholon Department (อธิบดีกรมโขลน), under the Ministry of the Palace—thus becoming the first Siamese woman to hold such a post, equivalent to a senior civil position traditionally held by men. She became widely known as “Sadej Athibodi”(เสด็จอธิบดี), a title spoken with equal parts reverence and awe. It was said in the palace that people feared “Sadej Athibodi” more than they feared even the Regent, Queen Saovabha herself.

The Kholon (โขลน) were female palace guards whose origins dated back to Ayutthaya. They performed duties similar to a palace police force under the Inner Court. The department was hierarchical, from basic officers (nai) to ja (sergeant), with the highest rank being Luang Mae Chao (หลวงแม่เจ้า). Their headquarters, the Sala Krom Kholon (ศาลากรมโขลน), stood beneath Phra Thinang Niphatpong Thaworn Wichit (พระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร). Their uniform consisted of a dark blue jong kraben (โจงกระเบน), a white collarless blouse with five buttons, and a white shoulder cloth worn across the left shoulder.

The Kholon were responsible for enforcing palace rules and ensuring order. Although they were ranked among the lowest of the palace groups, their authority to reprimand those who violated palace regulations made them greatly feared.

During the reign of King Vajiravudh (Rama VI) (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว), Princess Nappapornprapah continued as Director-General of the Inner Court. In his later years, she represented the female Royal Household in delivering congratulations during the Coronation Anniversary ceremonies—one of the highest honours given to a senior royal lady.

In the reign of King Prajadhipok (Rama VII) (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว), the King noted that Princess Nappapornprapah had loyally served as Director-General of the Inner Court across three reigns. As a result, he elevated her to the rank of Krom Luang Thipphayaratnigiridakulini (กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี). She was one of only four daughters of King Mongkut who received a krom rank, one of only two who received it during their lifetime, and the only one elevated during the reign of King Prajadhipok.

Princess Thipphayaratnigiridakulini once requested retirement, but the King refused. She continued to serve until the Siamese Revolution of 1932 (พ.ศ. ๒๔๗๕), after which she went into exile with her nephew, Prince Boripat Sukhumphan (เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต), to Bandung in the Dutch East Indies. While travelling by train, she reflected that finding betel nut in Bandung would be troublesome; and with characteristic decisiveness, she threw her chean mak (เชี่ยนหมาก) away at the Thai–Malayan border—never again chewing betel for the rest of her life.

Upon returning to Thailand after political tensions eased, she resided at Suan Pakkad Palace (วังสวนผักกาด). In her later years, His Majesty King Bhumibol Adulyadej (Rama IX) (พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช) arranged for a small residence to be built for her at Chulalongkorn Hospital so she could receive care more easily, and she lived there until her passing.

During the Coronation of King Bhumibol Adulyadej, Princess Thipphayaratnigiridakulini, then the second most senior female royal after Queen Sri Savarindira, joined Princess Pradisathasari (พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี) in performing the ceremonial act of spreading the royal carpet.

Princess Thipphayaratnigiridakulini passed away on 19 July 1958 (พ.ศ. ๒๕๐๑) at the age of 94. She succeeded Queen Sri Savarindira as the kulachet (องค์กุลเชษฐ์), the senior-most female royal of the dynasty. Her cremation took place on 26 October 1958 at Wat Thepsirintrawat (วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร).

เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักไทย: แฟชั่นราตรีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖

Next
Next

พระราชชายา เจ้าดารารัศมี และแฟชั่นเอ็ดเวอร์เดียน–ล้านนา: การผสมผสานทางวัฒนธรรม