พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘
พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องราชภูษิตาภรณ์และฉลองพระองค์ครุย ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ทรงพระมหามาลาเส้าสูง ทรงถือพระแสงฝักทองเกลี้ยงทรงญี่ปุ่น ฉายคราวประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘
ฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๗
“ฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์” ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นสีเขียว สีตามกำลังวันพระบรมราชสมภพ คือวันพุธ
ฉลองพระองค์บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ เป็นฉลองพระองค์สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีเสด็จเลียบพระนคร และพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน
เดิมฉลองพระองค์สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแต่ครั้งสมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ออกนามแต่เพียงว่า
“ฉลองพระองค์เครื่องต้นอย่างบรมราชาภิเษก”
ถึงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงปรากฏในหมายกำหนดการออกนามฉลองพระองค์สำรับนี้เป็นครั้งแรกว่า
“เครื่องพระราชภูษิตาภรณ์อย่างวันบรมราชาภิเษก”
เมื่อเสด็จเลียบพระนคร
และเปลี่ยนเป็นใช้ว่า
“เครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์” [เคฺรื่อง-บอ-รม-มะ-ราด-ชะ-พู-สิ-ตา-พอน]
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายผ้าพระกฐิน
ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อทรงฉลองพระองค์สำรับนี้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ออกนามว่า
“ฉลองพระองค์บรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์”
สิ่งที่น่าสนใจในพระบรมฉายาลักษณ์
๑. พระมาลาเส้าสูง
พระมาลาเส้าสูง “มาลา” เป็นศัพท์ที่เนื่องมาจากการนำดอกไม้มาประดับศีรษะ ภายหลังมีการประดิษฐ์โลหะมีค่าเป็นรูปดอกไม้ จึงเรียกเครื่องประดับศีรษะรวม ๆ ว่า มาลา มีทั้งชนิดมีปีกและไม่มีปีก
พระมาลาหรือหมวกมีทั้งทำด้วยผ้า หนังสัตว์ พระมาลาที่แสดงยศศักดิ์และเป็นเครื่องราชูปโภค เป็นชนิดมีปีก พระมาลาที่เคยทรงใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้แก่ พระมาลาเส้าสูง และพระมาลาเบี่ยง
พระมาลาเส้าสูง เป็นพระมาลาที่พับปีกขึ้นไว้ด้านข้าง มีสายทองกระหวัดรัดไว้ให้คงรูป ทรงสูงทำด้วยสักหลาด รอบองค์ประดับเกี้ยวทองคำลงยาฝังเพชร มีเกี้ยวยอด ด้านข้างมีขนนกการะวเก หรือพระยี่ก่าประดับ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
๒. พระปั้นเหน่งมรกตล้อมเพชร ในสมเด็จพระพันปีหลวง
พระปั้นเหน่งมรกตล้อมเพชร เป็นพระราชมรดกตกทอดสืบมาในพระราชวงศ์จักรี ใช้เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ ๗
ปั้นเหน่ง หรือหัวเข็มขัด ประดับด้วยมรกตโคลัมเบีย ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านสีเขียวสดใสและความบริสุทธิ์ ถือเป็นอัญมณีที่มีมูลค่าสูง ตัวเส้นเข็มขัดทำจากทองคำแท้ทั้งเส้น
๓. พระแสงฝักทองเกลี้ยงทรงญี่ปุ่น
พระแสงองค์นี้เป็นดาบไทยทรงญี่ปุ่น ฝักและด้ามทำด้วยทองคำประดับเพชร เป็นฝีพระหัตถ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตีขึ้นที่ชานชาลาพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯ ฟากตะวันออก เมื่อแรกสร้างทรงใช้เป็นพระแสงคู่พระหัตถ์อยู่ระยะหนึ่ง
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหลวงอิศเรศสุนทรเสด็จขึ้นอุปราชาภิเษกเป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล นอกจากจะได้พระราชทานเครื่องอิสริยยศอย่างอื่นตามโบราณราชประเพณีแล้ว ยังได้พระราชทานพระแสงองค์นี้ด้วย
ในรัชกาลต่อมา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงองค์นี้แด่สมเด็จพระบรมราชโอรส สืบทอดกันต่อ ๆ มา ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทวาวงศ์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
พระแสงองค์นี้เมื่อแรกสร้างในรัชกาลที่ ๑ เป็นฝักไม้ทารักดำ ครั้นเมื่อจะพระราชทานสมเด็จพระบรมราชโอรส ก็จะขูดรักดำทารักแดง แล้วจะกลับขูดรักแดงทารักดำอีก เมื่อสมเด็จพระบรมราชโอรสพระองค์นั้นขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว
ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนพินิตประชานาถ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าพระแสงองค์นี้เป็นพระแสงฝีพระหัตถ์สมเด็จพระปฐมบรมราชวงศ์ เป็นพระแสงสำคัญสำหรับพระบรมราชจักรีวงศ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หุ้มฝักด้วยทองคำ และพระราชทานนามว่า
“พระแสงฝักทองเกลี้ยง”
และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระแสงสำหรับแผ่นดิน และเป็นพระแสงองค์สำคัญเนื่องในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกองค์หนึ่ง
อ้างอิง
คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี. พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรวงศ์กับประชาชน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์, ๒๕๒๕.
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี. พระแสงราชศัสตราประจำเมือง. กรุงเทพฯ: บริษัท เกรท โปร กราฟฟิค จำกัด, ๒๕๓๙.
____________________________
His Majesty King Prajadhipok (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)
King of Siam, Rama VII of the Chakri Dynasty
His Majesty King Prajadhipok (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว), commonly known in the West as King Rama VII, was the seventh monarch of the Kingdom of Siam under the Chakri Dynasty. He ascended the throne on 26 November 1925 after the death of his brother, King Vajiravudh (Rama VI) and was later crowned on 25 February 1926.
Royal Portrait and Coronation Attire
The royal portrait shows His Majesty King Prajadhipok wearing the Boromchattiyachatra Phusitaphorn (ฉลองพระองค์เครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์) robe and full ceremonial attire. He is adorned with the Most Illustrious Order of the Nine Gems (นพรัตนราชวราภรณ์), wears a tall royal crown (พระมหามาลาเส้าสูง), and holds the gold-mounted Japanese style sword (พระแสงฝักทองเกลี้ยงทรงญี่ปุ่น) during the Royal Coronation Ceremony on 25 February 1926.
Boromchattiyachatra Phusitaphorn Ceremonial Robe
The Boromchattiyachatra Phusitaphorn is the king’s ceremonial robe worn on major state occasions, such as coronation, royal processions, and the Kathin Cloth Offering Ceremony.
In the reign of King Prajadhipok, the robe was green, corresponding to his day of birth (Wednesday).
The attire included a gold-trimmed ceremonial robe, sash of the Order of the Nine Gems, Chakri star, gold-woven trousers, and a belt with a central emerald-surrounded buckle.
The full dress also had royal boots and ceremonial footwear appropriate for the occasion.
Historically, coronation robes evolved from earlier periods and were first named in official use during the reign of King Vajiravudh. In later reigns, including that of King Bhumibol Adulyadej (Rama IX), they continued to be called Boromchattiyachatra Phusitaphorn.
Interesting Features in the Royal Portrait
1. Tall Royal Crown (พระมาลาเส้าสูง)
The royal crown (มาลา) traces its origin to floral head decorations. Royal crowns symbolize rank and ceremonial importance. The tall crown worn during the coronation had raised sides and was secured with gold-woven bands, richly decorated with enamel and embedded gems, with feathers (such as krawok or eagle feathers) to signify dignity and rank.
2. Emerald and Diamond Belt Buckle (พระปั้นเหน่งมรกตล้อมเพชร)
The emerald-surrounded diamond belt buckle is one of the royal jewels passed down within the Chakri Dynasty. The belt—made entirely of gold—is ornamented with a large Colombian emerald, a highly prized gemstone known for its vivid green color and purity. This piece is used as part of the ceremonial belt worn in coronation and other important royal events.
3. The Gold-Mounted Japanese Style Sword (พระแสงฝักทองเกลี้ยงทรงญี่ปุ่น)
The Gold-mounted Japanese style sword, known as Phra Saeng Fak Thong Klien (พระแสงฝักทองเกลี้ยง), is a ceremonial sword with a gold-decorated scabbard and handle studded with diamonds. According to tradition, the sword was originally crafted during the reign of King Rama I (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) and was initially a Thai sword before later being given Japanese form. Over generations, it was passed down to princes and used as a royal weapon and symbol of sovereignty.
In the reign of King Rama IV (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว), the sword’s scabbard was covered in gold and officially named พระแสงฝักทองเกลี้ยง. It remains an important part of the royal regalia, especially during coronation ceremonies.
____________________________
เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO