ผ้าซิ่นกับอัตลักษณ์ใหม่ของสตรีไทย: แฟชั่นหลังสงครามครั้งที่ 1 และกระแสพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6 (ตอนที่ 2)

ผ้าซิ่นกับอัตลักษณ์ใหม่ของสตรีไทย: แฟชั่นหลังสงครามครั้งที่ 1 และกระแสพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6 (ตอนที่ 2)

คอลเลกชัน AI ชุดนี้สร้างขึ้นจากการฝึกโมเดล Flux LoRA โดยเฉพาะ ผมได้เติมสีสันสดใส การลงรักปิดทอง ลวดลายดอกไม้ และองค์ประกอบของดอกไม้บาน เพื่อสะท้อนจิตวิญญาณแห่งยุคอาร์ตนูโว โดยเฉพาะเฉดสีทองและสีเข้มอิ่มตัวที่ถ่ายทอดความงามอันหลากสีสันของยุคนั้น ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่อาร์ตเดโคอย่างมั่นใจ นี่คือตีความใหม่ที่ทั้งสดชื่นและสนุกสนาน เพื่อเฉลิมฉลองความกล้าแสดงออกทางศิลปะในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น

อาร์ตนูโว (Art Nouveau) เป็นขบวนการทางศิลปะที่วางรากฐานให้กับอาร์ตเดโค (Art Deco) ในเวลาต่อมา โดยอาร์ตเดโคเน้นเส้นสายที่เฉียบคม รูปทรงเรขาคณิต สีสันจัดจ้าน และความหรูหราทันสมัย ต่างจากความอ่อนช้อยพลิ้วไหวของอาร์ตนูโว ช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านนี้สอดคล้องกับต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 จนถึงปลายรัชกาลในปี พ.ศ. 2468 ซึ่งเป็นยุคที่สยามเริ่มรับอิทธิพลจากศิลปะและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของยุโรปอย่างเต็มตัว ทั้งในเชิงศิลปกรรม การออกแบบ และแฟชั่นของชนชั้นสูง

ในช่วงกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6, พ.ศ. 2458–2463) (ค.ศ. 1915–1920) แฟชั่นของสตรีชั้นสูงในสยามมีการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับกระแสโลก สไตล์หลังสงครามค่อย ๆ ผสมผสานเข้ากับแฟชั่นปลายยุค Teens (1915–1919) ซึ่งถือเป็นช่วงปลายของศิลปะแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ซึ่งคาบเกี่ยวกับกระบวนการศิลปะแบบอาร์ตเดโค (Art Deco) ที่กำลังเป็นที่นิยมในต้นทศวรรษ 1920 สไตล์ดังกล่าวเน้นความเรียบง่าย เส้นสายที่เป็นทรงกระบอก เอวต่ำลง และกระโปรงที่มีความยาวสั้นขึ้นจากเดิม ไม่กรอมเท้าอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของแฟชั่นสากลที่ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความคล่องตัวและความสะดวกสบายของสตรีในชีวิตประจำวัน

ผ้าซิ่น - จากการถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมต่างถิ่นสู่สัญลักษณ์ของความเป็นไทย

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5, พ.ศ. 2411–2453) ผ้าซิ่นถูกมองว่าเป็นวัตถุจากต่างวัฒนธรรมซึ่งสวมใส่โดยผู้หญิงจากภูมิภาคที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ เช่น ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งยังถูกมองว่าเป็นพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์กลางความเจริญ สตรีในกรุงเทพฯ นิยมสวมโจงกระเบนและตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่ม ขณะที่ผู้หญิงที่สวมผ้าซิ่นมักจะไว้ผมยาวและเกล้ามวย

เจ้าดารารัศมี พระราชชายา ทรงเป็นเจ้าจอมจากเชียงใหม่ที่นำผ้าซิ่นเข้าสู่ราชสำนัก แม้จะทรงสวมใส่เฉพาะในเขตพระราชฐานส่วนพระองค์ แต่ก็เป็นที่รู้จักในฐานะหญิงล้านนาผู้รักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่นไว้ได้อย่างมั่นคง การสวมใส่ผ้าซิ่นของพระองค์จึงช่วยส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นล้านนาในราชสำนักกรุงเทพฯ และเป็นสัญลักษณ์ของการธำรงความหลากหลายทางวัฒนธรรมภายใต้สถาบันกษัตริย์

การเปลี่ยนผ่านของผ้าซิ่นสู่อัตลักษณ์ประจำชาติ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในอัตลักษณ์ของแต่ละประเทศ หลายจักรวรรดิใหญ่ เช่น ออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ล่มสลาย ส่งผลให้รัฐชาติใหม่ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความพยายามสร้างเอกภาพทางวัฒนธรรม กระแส ชาตินิยม (nationalism) จึงกลายเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความภาคภูมิใจและการรวมตัวของประชาชนในแต่ละประเทศ ผ่านภาษา ประวัติศาสตร์ เครื่องแต่งกาย และพิธีกรรม

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายประเทศในยุโรปพยายามสร้างความภาคภูมิใจในชาติผ่านการแต่งกายเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในออสเตรียและเยอรมนี ชุดพื้นเมืองอย่าง เดียร์นเดิล (Dirndl) และ เลเดอร์โฮเซน (Lederhosen) กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ประจำชาติ ขบวนการนี้เกิดขึ้นจากความพยายามฟื้นฟูจิตสำนึกทางวัฒนธรรม หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิและการเปลี่ยนแปลงพรมแดนในยุโรป โดยเฉพาะในออสเตรีย วิกเตอร์ ฟอน เกรามบ์ (Viktor von Geramb) ได้ส่งเสริมการนำชุดพื้นเมืองมาปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมร่วมสมัย เพื่อฟื้นฟูความเป็นออสเตรียหลังจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลาย

เช่นเดียวกัน ในเวลส์ ชุดพื้นเมืองเวลส์ ซึ่งเคยเป็นชุดพื้นบ้านของสตรีในชนบท เริ่มได้รับการยอมรับให้เป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติ ในช่วงทศวรรษ 1880 องค์ประกอบบางอย่างของชุดพื้นเมืองถูกนำมาปรับใช้ให้เป็นชุดประจำชาติ ซึ่งใช้สวมใส่ในโอกาสสำคัญ เช่น การเสด็จเยือนของราชวงศ์และงานประจำปีของเวลส์ (Eisteddfodau) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เด็กหญิงเริ่มนิยมใส่ชุดนี้ในวันนักบุญเดวิด (Saint David’s Day) และปัจจุบันชุดดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติของเวลส์

กระแสเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการการเคลื่อนไหวทั่วโลกที่ใช้เครื่องแต่งกายเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นเอกภาพและความภาคภูมิใจในชาติ โดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

ในบริบทของสยาม แม้ไม่ได้เข้าร่วมรบโดยตรง แต่การเข้าร่วมสงครามในนามสัมพันธมิตรใน พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) ภายใต้การนำของรัชกาลที่ 6 ก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง การส่งทหารอาสาไปร่วมรบในยุโรป และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ชนะสงคราม ทำให้สยามมีสถานะเทียบเท่าชาติอารยะในเวทีโลก แต่ในขณะเดียวกัน ภายในประเทศก็มีความพยายามสร้าง “ไทยสมัยใหม่” ขึ้นควบคู่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสยามมีอารยธรรมเป็นของตนเอง ไม่ใช่เพียงผู้รับวัฒนธรรมตะวันตกเท่านั้น

สำหรับบริบทนี้ กระแสชาตินิยมของรัชกาลที่ 6 จึงมีบทบาทสำคัญ ทั้งในด้านภาษา วรรณกรรม กีฬา (เช่น ฟุตบอลและลูกเสือ) ตลอดจนแฟชั่น พระองค์ทรงใช้เครื่องแต่งกายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเป็นไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมให้สตรีชั้นสูงหันกลับมานิยม ผ้าซิ่น ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นของผู้หญิงต่างภูมิภาค กลายเป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนอัตลักษณ์ร่วมของสตรีสยามทั้งชาติ

ในอดีต ผ้าซิ่นเป็นเครื่องแต่งกายที่แพร่หลายในหมู่สตรีชาวล้านนา อีสาน และลาว โดยถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นนอกกระแสหลักของกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ้าซิ่นเริ่มค่อย ๆ แทรกซึมเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงในพระนคร และได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับกระแสชาตินิยมที่แพร่หลายไปทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองผ่านเครื่องแต่งกายและวิถีชีวิต

สำหรับสยาม กระแสชาตินิยมดังกล่าวสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนผ่านความนิยมใหม่ใน “ผ้าซิ่น” ซึ่งเริ่มถูกมองว่าเป็นเครื่องแต่งกายที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชาติ จากที่เคยเป็นเพียงเอกลักษณ์ของหญิงจากภูมิภาคต่างจังหวัด ผ้าซิ่นค่อย ๆ แทนที่โจงกระเบนในหมู่สตรีชั้นสูงในกรุงเทพฯ การเปลี่ยนแปลงนี้มิใช่เพียงการรับเอาสิ่งเก่าให้กลับมานิยมใหม่ หากแต่เป็นการนิยามภาพลักษณ์ของ “สตรีสยามยุคใหม่” ให้สอดคล้องกับทั้งแนวคิดชาตินิยมและมาตรฐานความงามของโลกสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย ความสง่างาม และอัตลักษณ์ท้องถิ่น

ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของเครื่องแต่งกาย รูปแบบการไว้ผมของสตรีไทยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สตรีในยุครัชกาลที่ 6 เริ่มละทิ้งทรงผมสั้นแบบ “ดอกกระทุ่ม” ซึ่งนิยมอย่างแพร่หลายในยุครัชกาลที่ 5 แล้วหันมาไว้ผมยาวและจัดแต่งให้เข้ากับแฟชั่นตะวันตก การจับคู่ผมยาวดัดลอนกับเสื้อทรงหลังสงครามที่มีชายเสื้อยาวขึ้น ผ้าซิ่น ถุงน่องสีขาว และรองเท้าส้นสูง สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของหญิงไทยยุคเปลี่ยนผ่าน ลุคนี้ถือเป็นต้นแบบของแฟชั่นยุค 1920 ซึ่งเน้นความคล่องตัว ความสง่างาม และความกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมไทยกับสากล

จุดเปลี่ยนแปลงการสวมผ้าซิ่นแบบพระราชนิยม

การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของ ผ้าซิ่น เกิดขึ้นเมื่อ หม่อมเจ้าวรรณวิมล วรวรรณ ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็น พระวรกัญญาปทาน ได้นำ ผ้าซิ่น มาใช้เป็นชุดประจำวันในขณะที่อาศัยอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดาในรัชกาลที่ 6 เมื่อพระองค์ได้รับการหมั้นหมายกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ ผ้าซิ่น เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น แม้การหมั้นจะไม่นานนัก และพระองค์ใช้ชีวิตที่เหลือในพระบรมมหาราชวัง แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทรงชื่นชมการแต่งกายของพระวรกัญญาปทาน ส่งผลให้ ผ้าซิ่น กลายเป็นแฟชั่นพระราชนิยมในหมู่สตรีชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ

แม้ว่า ผ้าซิ่น จะกลายเป็นที่นิยมในราชสำนัก แต่แนวคิดเรื่องแฟชั่นตะวันตกยังคงมีอิทธิพลอย่างมาก ใน วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2463 (1920) หนังสือพิมพ์ไทยได้เผยแพร่บทความที่สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างแฟชั่นไทยและตะวันตก โดยชักชวนให้สตรีไทยนุ่ง ผ้าซิ่น แทนการสวมกระโปรงแบบตะวันตก พร้อมระบุว่า:

“หนังสือพิมพ์ไทย ฉบับวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2463 เขียนชักชวนให้สตรีนุ่งผ้าซิ่น อย่า ‘ดัดจริต’ นุ่งกระโปรงฝรั่ง เพราะพระราชินีในอนาคตคือ พระวรกัญญาปทาน ได้ทรงนำนุ่งผ้าซิ่นขึ้นแล้ว”

คำว่า “อย่าดัดจริต” สะท้อนถึงทัศนคติเชิงลบต่อการแต่งกายแบบตะวันตก และสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดชาตินิยมของรัชกาลที่ 6 ซึ่งเน้นเสริมสร้างอัตลักษณ์ไทย การที่พระวรกัญญาปทานเลือกนุ่งผ้าซิ่น จึงทำให้ผ้าซิ่นกลายเป็นเครื่องแต่งกายที่มีความหมายทางวัฒนธรรมและเป็นที่ยอมรับในระดับสูง

สไตล์ที่ปูทางสู่แฟชั่นยุค 1920

แม้ว่าช่วงเวลานี้ยังไม่ใช่ยุคของแฟชั่นสไตล์ Art Deco โดยตรง แต่รูปแบบเสื้อผ้าและการแต่งกายของสตรีสยามในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 นับเป็น ต้นแบบของแฟชั่นยุค 1920 การเปลี่ยนจาก ผ้าซิ่นยาวสู่ผ้าซิ่นสั้น และจาก ผมสั้นทรงดอกกระทุ่มไปสู่ผมยาวดัดลอน เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ flapper style ในช่วงต้นทศวรรษ 1920

ภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วย AI นี้ ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของแฟชั่นที่กำลังพัฒนา แสดงให้เห็นถึงสตรีไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่ โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนเองไว้ การผสมผสานระหว่างการไว้ผมยาว การสวมเสื้อเบลาส์สไตล์ตะวันตก และผ้าซิ่นที่ปรับเข้ากับยุคสมัย เป็นสไตล์ที่ปูทางไปสู่แฟชั่นในยุคถัดไป ขณะเดียวกันก็ยังคงแสดงถึงอิทธิพลของแฟชั่นตะวันตกที่ค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาในสังคมไทย

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI

Previous
Previous

จากทรงผม “A La Pompadour” ถึง ทรงผม “โซขุฮัตสึ” (束髪): การเดินทางของทรงผมแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (ตอนที่ 3)

Next
Next

ฟื้นคืนชีพภาพถ่ายโบราณล้านนาในสีสัน: ภาพถ่ายของหลวงอนุสารสุนทรกิจผ่านการลงสีด้วย AI