จากทรงผม “A La Pompadour” ถึง ทรงผม “โซขุฮัตสึ” (束髪): การเดินทางของทรงผมแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (ตอนที่ 3)

จากทรงผม “A La Pompadour” ถึง ทรงผม “โซขุฮัตสึ” (束髪): การเดินทางของทรงผมแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (ตอนที่ 3)

ผลงานชุดนี้เป็นคอลเลกชันที่สร้างขึ้นด้วยการลงสีและบูรณะด้วย AI จากการศึกษาภาพถ่ายเก่าในเอกสารจดหมายเหตุเกี่ยวกับหญิงชาวล้านนา โดยเฉพาะหญิงชาวเชียงใหม่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วย ทรงผมทรงญี่ปุ่น และรูปแบบการแต่งกายที่ผมเรียกว่า สไตล์ล้านนาเอ็ดเวิร์เดียน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเสื้อแบบตะวันตกกับผ้าซิ่นแบบล้านนา โดยแฟชั่นลักษณะนี้เริ่มได้รับความนิยมในช่วงปลายรัชกาลที่ 5

เมื่อแฟชั่นข้ามวัฒนธรรมผ่านทรงผมของแม่ญิงล้านนา

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (พ.ศ. 2440–2453 หรือ ค.ศ. 1897–1910) แฟชั่นของสตรีชั้นสูงในสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในเรื่อง ทรงผม ซึ่งสะท้อนอิทธิพลจากราชสำนักยุโรปและญี่ปุ่นอย่างน่าสนใจ ทรงผมที่หญิงสาวนิยมในยุคนี้มีลักษณะเกล้ามวยสูงเหนือท้ายทอย หรือทรงผมแบบเกล้ามวยพองสูง (Upswept Hair) เป็นสัญลักษณ์ของความงามสมัยใหม่ ทรงผมนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความงาม แต่เป็นกระจกสะท้อนการรับอารยธรรมจากต่างประเทศ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นของผู้หญิงล้านนาในเวลาต่อมา

ต้นธารจากฝรั่งเศสสู่ญี่ปุ่น: จากทรงผม “A La Pompadour” ถึง ทรงผม “โซขุฮัตสึ” (束髪)

จุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจเกิดจากราชสำนักฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 ในยุคศิลปะแบบ Rococo กับทรงผมที่ชื่อว่า "A La Pompadour" ซึ่งตั้งชื่อตาม มาดาม เดอ ปงปาดูร์ (Madame de Pompadour, ค.ศ. 1721–1764) พระสนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงผมนี้เน้นการตีผมให้สูง พอง และมีรูปทรงหรูหรา กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมีรสนิยมของผู้หญิงในสังคมชั้นสูงในยุโรปในช่วงเวลานั้น

ต่อมา ในช่วง ยุคเมจิของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1868–1912) ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศและรับอิทธิพลตะวันตก ทรงผมแบบ “โซขุฮัตสึ (束髪)” ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจจากทรงปงปาดูร์ของฝรั่งเศส แล้วปรับให้เหมาะกับผมหญิงญี่ปุ่น เป็นการเกล้ามวยสูงที่ทันสมัยและแสดงถึงการศึกษาและความก้าวหน้า

กระแสทรงผมปงปาดูร์ในโลกตะวันตก: จากฝรั่งเศสสู่ Gibson Girl

ในช่วงเวลาเดียวกัน — ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับ ยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน (Edwardian Era, ค.ศ. 1901–1910) ในอังกฤษและยุโรป — ทรงผมแบบ A La Pompadour ก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในหมู่หญิงสาวชนชั้นกลางและสูงในโลกตะวันตก ผ่านภาพลักษณ์ของ Gibson Girl ซึ่งเป็นตัวแทนของ “หญิงทันสมัย” ในอเมริกาและยุโรป ทรงผมของ Gibson Girl เน้นการเกล้าผมให้พองและสูง ด้วยปริมาตรที่งามสง่าและเป็นธรรมชาติ ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากทรง Pompadour ของศตวรรษก่อน

ภาพวาดของ Charles Dana Gibson ที่สร้างภาพหญิงสาวอเมริกันผู้มั่นใจ ทันสมัย และมีความคิดเป็นของตนเอง ยิ่งตอกย้ำให้ทรงผมแบบนี้กลายเป็นแฟชั่นหลักทั่วโลกตะวันตกในเวลานั้น และมีอิทธิพลมาไกลถึงทวีปเอเชียรวมถึงสยาม โดยเฉพาะในหมู่สตรีผู้ที่มีการศึกษาและอยู่ในสังคมเมืองหลวง

สำหรับทรงผมทรงนี้ในสยาม ผู้ที่นำทรงผมนี้มาเผยแพร่ในสยามคาดว่าคือ นางยะสุอิ เท็ตสึ (Tetsu Yasui, 安井てつ) ครูหญิงชาวญี่ปุ่นผู้บุกเบิกการศึกษาสตรีสมัยใหม่ในสยาม โดยในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) เธอได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นให้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อดำรงตำแหน่ง อาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียนราชินี ซึ่งถือเป็นโรงเรียนสตรีชั้นนำของสยามในยุคนั้น

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านภาษา วัฒนธรรม และอากาศที่แตกต่างจากบ้านเกิด แต่ยะสุอิ เท็ตสึได้ทุ่มเทสอนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนหญิงด้วยความเข้มงวดและความเมตตา พร้อมทั้งปลูกฝังวินัย ความรู้สมัยใหม่ และแบบแผนการวางตัวแบบสตรีมีการศึกษา รวมถึงภาพลักษณ์ภายนอกอันสง่างาม

หนึ่งในสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับนักเรียนและข้าราชบริพารฝ่ายใน คือ ทรงผมแบบ “โซขุฮัตสึ” (束髪) ซึ่งเธอเกล้าไว้อย่างเรียบร้อยและหรูหราทุกวัน ทรงผมแบบนี้แสดงถึงความเป็นหญิงทันสมัย การศึกษา ความสะอาดเรียบร้อย และความนอบน้อมตามแบบฉบับญี่ปุ่น กลายเป็นแบบอย่างให้บรรดานักเรียนหญิง และแพร่หลายมาถึงราชสำนักฝ่ายใน

อีกหนึ่งหลักฐานที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเผยแพร่วัฒนธรรมทรงผมแบบญี่ปุ่นในราชสำนักไทย คือเรื่องราวของท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา (พ.ศ. 2429–2511) ซึ่งเคยเป็นข้าหลวงของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 ท่านเป็นหนึ่งในนักเรียนไทยรุ่นแรกที่ได้รับพระราชทานทุนให้เดินทางไปศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2446 เพื่อไปเรียนวิชาปักสะดึง และวาดเขียนแบบญี่ปุ่น โดยออกเดินทางพร้อมกับนายโทคิชิ มาซาโอะ หรือที่คนไทยเรียกว่านายเมาเซา และภริยา หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาราว 4 ปี ท่านผู้หญิงขจรกลับมาสู่ราชสำนักไทย พร้อมนำวัฒนธรรมหลายอย่างจากญี่ปุ่นกลับมาด้วย หนึ่งในนั้นคือแบบแผนการทำผมที่ได้รับความนิยมในราชสำนักสยามช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในหมู่ข้าหลวงและสตรีชั้นสูง ซึ่งมีลักษณะคล้ายทรงโซขุฮัตสึของญี่ปุ่น เรื่องราวเหล่านี้ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสืองานศพของท่านผู้หญิงขจร ถือเป็นอีกแหล่งอ้างอิงสำคัญที่ยืนยันบทบาทของท่านในฐานะผู้ถ่ายทอดทรงผมแบบญี่ปุ่นในราชสำนักสยามยุคนั้น

พระราชชายาเจ้าดารารัศมี: แม่หญิงล้านนาผู้นำแฟชั่น

พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลที่ ๕ มีฐานะเป็นเจ้าหญิงล้านนา จากเชียงใหม่ ได้เข้ารับราชการในราชสำนักสยามพร้อมกับข้าราชบริพารหญิงจากเชียงใหม่และล้านนา ในช่วงที่ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ พระองค์ทรงรับอิทธิพลทรงผมแบบมวยสูงที่เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่สตรีในวัง และพระองค์ทรงปรับนำมาใช้ทั้งส่วนพระองค์และในหมู่ข้าหลวงฝ่ายในที่อยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์ และแฟชั่นทรงผมแบบเกล้ามวยพองสูงนี้ก็แพร่อิทธิพลไปถึงเชียงใหม่ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและแฟชั่นในหัวเมืองเหนือ

ขอขอบพระคุณเพจเฟซบุ๊ก “ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม”

ที่กรุณาแบ่งปันข้อมูลอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมราชสำนักสยาม แฟชั่น และทรงผมของสตรี ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่โลกสมัยใหม่

From “A La Pompadour” to “Sokuhatsu” (束髪): The Journey of Lanna Women’s Hairstyles in the Late Reign of King Chulalongkorn  (Part 3)

This collection was created through AI-assisted colourisation and enhancement, based on archival photographs of Lanna women—particularly those from Chiang Mai—dating from the late 19th to early 20th century. These women are notable for their Japanese-influenced hairstyles and the style of dress I refer to as Lanna Edwardian style, a fusion of Western blouses with traditional northern tubular skirts (sinh tuae). This fashion trend became popular during the later years of King Chulalongkorn’s reign.

When Fashion Crosses Cultures: The Hairstyles of Lanna Women

In the late reign of King Chulalongkorn (1897–1910), the fashion of upper-class Siamese women began to change noticeably, especially in terms of hairstyles, which reflected the growing influence of both European and Japanese royal courts. Women’s hair during this period was often styled into upswept chignons—a voluminous bun placed high on the back of the head—symbolising modern feminine beauty. These hairstyles were not merely aesthetic; they mirrored Siam’s adoption of foreign civilisations and would eventually become part of the fashionable identity of Lanna women.

From France to Japan: From “A La Pompadour” to “Sokuhatsu” (束髪)

The origins of this inspiration can be traced back to 18th-century France during the Rococo period, with the hairstyle known as “A La Pompadour”, named after Madame de Pompadour (1721–1764), the chief mistress of King Louis XV. This style emphasised elevated, voluminous hair arranged in a luxurious silhouette and became a symbol of aristocratic taste among Europe’s upper classes.

Later, during Japan’s Meiji era (1868–1912), a period marked by the country’s opening to Western influence, the “Sokuhatsu” (束髪) hairstyle emerged. Inspired by the Pompadour, it was adapted to suit Japanese women’s hair and came to symbolise modernity, education, and progress through its elegant upswept form.

The Pompadour Craze in the West: From France to the Gibson Girl

At the same time—in the early 20th century, during the Edwardian era (1901–1910) in Britain and Europe—the Pompadour style saw a revival among middle- and upper-class women in the West through the image of the Gibson Girl. This character, created by illustrator Charles Dana Gibson, embodied the “modern woman” of America and Europe: confident, fashionable, and independent.

The Gibson Girl hairstyle, with its graceful, natural volume, was directly influenced by the earlier Pompadour style. These illustrations helped popularise the hairstyle across the Western world—and the influence eventually extended to Asia, including Siam, particularly among educated women and those in urban royal circles.

Tetsu Yasui: The Japanese Educator Who Introduced the Hairstyle to Siam

The person widely believed to have introduced this hairstyle to Siam was Tetsu Yasui (安井てつ), a pioneering Japanese educator in women’s modern education. In 1904, she was appointed by Japan’s Ministry of Education to serve as the first principal of Rajini School, one of Siam’s premier girls’ schools at the time.

Despite the challenges of language, climate, and cultural differences, Tetsu Yasui diligently taught mathematics and English, instilling discipline, modern knowledge, and an image of graceful femininity among her students. Her own refined appearance—including her immaculate Sokuhatsu hairstyle—left a lasting impression on both students and royal courtiers. The hairstyle came to symbolise modernity, learning, cleanliness, and Japanese propriety, and soon became a role model for young women, spreading to the Siamese inner court.

Princess Dara Rasmi: The Lanna Fashion Icon at the Siamese Court

Princess Dara Rasmi, a Lanna princess from Chiang Mai and consort of King Chulalongkorn, played a pivotal role in bridging cultures. While residing at the Siamese court, she adopted the high chignon hairstyle that was becoming popular among palace women and introduced it to the ladies-in-waiting under her care. This fashionable hairstyle eventually spread to Chiang Mai—then the cultural heart of northern Siam—and became a signature of modern Lanna femininity.

With sincere thanks to the Facebook page “ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม” (History of the Kingdom of Siam) for generously sharing valuable information about royal court culture, fashion, and women’s hairstyles during this transformative period in Siamese history.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI

Previous
Previous

เมื่อทรงผมกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม: การสานต่ออัตลักษณ์ล้านนาเอ็ดเวิร์เดียนผ่านภาพถ่ายลงสีด้วย AI

Next
Next

ผ้าซิ่นกับอัตลักษณ์ใหม่ของสตรีไทย: แฟชั่นหลังสงครามครั้งที่ 1 และกระแสพระราชนิยมในรัชกาลที่ 6 (ตอนที่ 2)