มหามกุฏราชสันตติวงศ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส 

มหามกุฏราชสันตติวงศ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส 

พระราชโอรสพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ 

ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้านภวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย (ธิดาพระอินทอำไพ หรือพระอินทรอภัย คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าทัศไภย พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ) ประสูติเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๓๖๕ (นับแบบปัจจุบันตรงกับปีพุทธศักราช ๒๓๖๖)

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระองค์เป็นพระราชโอรสหนึ่งในสองพระองค์ที่ประสูตินอกเศวตฉัตร (อีกพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร) แรกประสูติมีพระยศที่หม่อมเจ้านพวงศ์

ในรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านภวงศ์ วรองค์อรรคมหามกุฎ ปรมุตมราโชรส ภายหลังทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิวลาส ได้ทรงกำกับกรมล้อมพระราชวัง และเมื่อกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธรสิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงกำกับกรมพระคลังมหาสมบัติ

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ สิริพระชันษา ๔๖ ปี พระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เป็นต้นราชสกุล นพวงศ์

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านพวงศ์ ‌กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ทรงมีพระนัดดาที่มี‌ชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้กับสังคม‌ไทย คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิร‌ญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ ชื่น นพวงศ์)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณ‌วงศ์ มีพระนามเดิมว่า หม่อมราชวงศ์ชื่น นพวงศ์ ‌เป็นโอรสในหม่อมเจ้าถนอม นพวงศ์ และหม่อม‌เอม (สกุลเดิม คชเสนี)

ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 22 ‌พ.ย. 2415 ภายในวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ‌กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ส่วนหม่อมเอมพระ‌ชนนีนั้น เป็นธิดาพระยาดำรงค์ราชพลขันธ์ (จุ้ย) ‌ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ผู้เป็น‌บุตรของเจ้าพระยามหาโยธานราธิบดีศรีพิชัยณรงค์ (พญาเจ่ง) ต้นสกุลคชเสนี พระองค์‌ประสูติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอม‌เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชนัดดาใน‌พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ‌ทรงเป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระ‌จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้ถวายตัวเป็นมหาด‌เล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหา‌วชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร โดยทำหน้าที่เป็น ‌คะเดท ทหารม้าในกรมทหารมหาดเล็กราช‌วัลลภ มีหน้าที่ตามเสด็จรักษาพระองค์

พระองค์บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบวร‌นิเวศวิหาร ได้ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมกับ‌สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ‌วโรรส ได้ทรงเข้าสอบไล่ครั้งแรกเมื่อปี 2433 ที่‌วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สอบไล่ได้เปรียญ 5 ‌ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ทรงอุปสมบทที่‌วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี 2435 สอบได้เปรียญ ‌7 ประโยค เมื่อปี 2437 ได้รับโปรดเกล้าฯ ตั้ง‌เป็นพระราชาคณะที่พระสุคุณคณาภรณ์

พระองค์ได้มีส่วนร่วมกับสมเด็จพระมหา‌สมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มาตั้งแต่‌ต้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า‌อยู่หัว มีพระราชประสงค์จะบำรุงการศึกษา‌มณฑลหัวเมือง ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหา‌สมณเจ้าให้ทรงเป็นผู้อำนวยการจัดการศึกษา มี‌การจัดพิมพ์แบบเรียนต่างๆ พระราชทานแก่‌พระภิกษุสงฆ์ไปไว้ใช้ฝึกสอน ให้ยกโรงเรียนพุทธ‌ศาสนิกชนในหัวเมืองทั้งปวงมารวมขึ้นอยู่ใน‌สมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพื่อจะได้เป็นหมวด‌เดียวกัน พระองค์ขณะที่ดำรงสมณศักดิ์พระสุ‌คุณคุณาภรณ์ ได้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑล‌จันทบุรี ต่อมาเมื่อปี 2455 ได้มีการออกพระราช‌บัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 อัน‌เป็นผลเนื่องมาจากการจัดการพระศาสนาและ‌การศึกษาในหัวเมือง พระองค์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น‌เจ้าคณะมณฑลจันทบุรี

ปี 2446 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชา‌คณะชั้นเทพที่พระญาณวราภรณ์

ปี 2455 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชา‌คณะชั้นธรรมในพระราชทินนามเดิม สมเด็จ‌พระวชิรญาณวงศ์

ปี 2464 ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เสมอพระ‌ราชาคณะชั้นธรรมพิเศษในพระราชทินนามเดิม

ปี 2467 ได้เป็นเจ้าคณะมณฑลอยุธยา

ปี 2471 โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จ‌พระราชาคณะในพระราชทินนามพิเศษ

ปี 2476 ทรงเป็นประธานมหาเถรสมาคม ‌บัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆ‌ราชเจ้า

ปี 2485 ทรงเป็นประธานคณะวินัยธรตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484

พระองค์ทรงเป็นแม่กองสอบไล่พระปริยัติ‌ธรรมหลายครั้ง ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่าง‌จังหวัด เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง‌ชินวรสิริวัฒน์ชราและอาพาธ ก็ได้ทรงมอบ‌หน้าที่เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ให้ทรงบัญชา‌การแทนเมื่อปี 2477 และเมื่อสมเด็จพระสังฆ‌ราชเจ้าฯ สิ้นพระชนม์เมื่อปี 2480 พระองค์ก็ได้‌ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตสืบต่อมาและให้ทรงจัดการปกครองคณะธรรมยุตที่สำคัญ‌หลายประการภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระ‌อริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพติสฺสเทโว) พระองค์ได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์‌ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ‌2488 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้า‌อยู่หัวอานันทมหิดล ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2499 ‌พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ‌ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระ‌อิสริยยศขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ในที่สมเด็จ‌พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ฯ สกล‌มหาสังฆปริณายก

เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าแล้ว ได้‌ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ให้ดียิ่งขึ้น ‌โดยจัดการปกครองคณะสงฆ์ทั้งสองนิกาย คือ ‌มหานิกาย และธรรมยุติกนิกาย เมื่อปี 2494 โดย‌ให้การปกครองส่วนกลาง คณะสังฆมนตรีคงบริหารรวมกัน แต่การปกครองบังคับบัญชาให้‌เป็นไปตามนิกาย และการปกครองส่วนภูมิภาค‌ให้แยกตามนิกาย

พระองค์ทรงเป็นพระราชอุปัชฌาจารย์‌พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จออกทรงผนวชเมื่อปี 2499 และในงานฉลองพุทธศตวรรษในประเทศไทย รัฐบาลสหภาพ‌พม่าได้ถวายสมณศักดิ์สูงสุดของพม่าคือ อภิธชมหารัฏฐคุรุ แด่พระองค์เมื่อปี 2500 ‌นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นผู้ถวายพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ ซึ่งประสูติ ณ วันจันทร์ที่ 28 ก.ค. 2495 ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร‌เทพรัตนสุดา ซึ่งประสูติ ณ วันเสาร์ที่ 2 เม.ย. ‌2498 ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ซึ่งประสูติ ณ วัน‌พฤหัสบดีที่ 4 ก.ค. 2500 ถวายพระนาม ‌พระพุทธนาราวันตบพิตร ที่ได้ทรงสถาปนาและ‌โปรดเกล้าฯ ให้นำมาเมื่อเสด็จฯ ถวายพุ่ม วันที่ ‌12 ก.ค. 2500 เพื่อประดิษฐานไว้ ณ พระปั้นหยา อันเป็นที่เสด็จประทับบำเพ็ญสมณ‌ปฏิบัติในระหว่างทรงผนวชของพระบาทสมเด็จ‌พระเจ้าอยู่หัว

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้ประชวรกระเสาะกระแสะ พระวรกายทรุดโทรมเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2492 อาศัยที่ได้ถวายการรักษาพยาบาลและประคับประคองเป็นอย่างดีอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับมีพระหฤทัยเข้มแข็งปล่อยวาง จึงทรงดำรงพระชนม์มาได้โดยลำดับ จนถึงเดือน ก.ค. 2501 จึงปรากฏพระอาการประชวรมาก มีพระโลหิตออกกับบังคลหนัก ต้องรีบนำเสด็จสู่ตึกสามัคคีพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ต่อมาในเดือน ก.ย. 2501 เริ่มปรากฏพระอาการเป็นอัมพาต แพทย์สันนิษฐานว่าเส้นพระโลหิตในสมองตีบตัน แต่ต่อมาพระอาการค่อยดีขึ้นบ้าง แล้วก็กลับทรุด ครั้นถึงเวลาหลังเที่ยงคืนของวันที่ 10 พ.ย. 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับหน้าพระแท่นบรรทมในห้องประชวร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 01.08 น. มีพระชนมายุ 85 พรรษา 11 เดือน 15 วัน

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงประกอบพระกรณียกิจทางด้านการพระศาสนาอย่างมากมาย โดยเฉพาะการฟื้นฟูและปรับปรุงกิจการของมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้ทรงจัดตั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบรรพชิตเป็นผู้ปฏิบัติงานอำนวยการต่างๆ เกี่ยวกับธุรการทั่วไปบ้าง เผยแผ่ปริยัติธรรมบ้างตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ปรับปรุงเจ้าหน้าที่คฤหัสถ์ วาง ระเบียบต่างๆ ให้เหมาะสมและตราสารมูลนิธิ ซึ่งได้จดทะเบียนครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2476 ในสมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (วัดราชบพิธ) ทรงเป็นนายกกรรมการ ได้จดทะเบียนแก้ไขอีกหลายคราว เมื่อปี 2493 ได้บัญญัติประมวลระเบียบบริหารมูลนิธิตามความในตราสาร สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงแสดงประสงค์ให้คฤหัสถ์เป็นผู้จัดการในเรื่องทรัพย์สินของมูลนิธิให้พระเป็นแต่ผู้ควบคุมเท่านั้น ตามควรแก่กรณี

ในด้านการบำรุงและอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ได้วางระเบียบบำรุงการศึกษา อบรม แก่สำนักเรียนต่างๆ รับอบรมนักเรียน ครู นักเรียนปกครอง ที่ส่งเข้ามาจากจังหวัดนั้นๆ ส่งครูออกไปสอนในสำนักเรียนที่ขาดครูบ้าง บำรุงสำนักเรียนต่างๆ ด้วยทุนและหนังสือตามสมควร กำหนดให้รางวัลเป็นการส่งเสริมสำนักเรียนที่จัดการศึกษาได้ผลดี

จัดตั้งหอสมุดมหามกุฏฯ (ตามคำสั่งวันที่ 29 ธ.ค. 2488) ตั้งสภาการศึกษามหามกุฏฯ เป็นรูปมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา (ตามคำสั่งวันที่ 30 ธ.ค. 2488) เปิดเรียนเป็นปฐมเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2489

ในด้านการเผยแพร่ ฟื้นฟูการออกหนังสือนิตยสารธรรมจักษุรายเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2476 จัดตั้งโรงเรียนพิมพ์มหามกุฏฯ ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 2478 จัดพิมพ์คัมภีร์พระธรรมเทศนาใช้กระดาษแทนใบลานเมื่อปี 2482 บัดนี้เรียกว่า“มหามกุฏเทศนา”จัดส่งพระไปทำการเผยแผ่ในส่วนภูมิภาคตามโอกาส

ในด้านต่างประเทศ ได้จัดส่งพระไปจำพรรษาที่ปีนัง ในความอุปถัมภ์ของ ญาโณทัย พุทธศาสนิกสมาคม เมื่อปี 2481-2482 ได้ส่งพระไปร่วมสมโภชฉลองพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุของพระสารีบุตรเถระ ตามคำเชิญของกัมพูชาเมื่อปี 2495 ได้ให้อุปการะส่วนหนึ่งแก่พระที่เดินทางไปสังเกตการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศอินเดียและลังกา เมื่อปี 2498

ทรงมีผลงานพระนิพนธ์ตั้งแต่ปี 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ชำระพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ แล้วโปรดให้จัดพิมพ์ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ทรงพระราชอุทิศพระกุศลถวาย สนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้ทรงชำระ 2 เล่ม

ทรงชำระอรรถกถาชาดก ที่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดให้ชำระพิมพ์ในโอกาสที่มีพระชนมายุ 60 พรรษาบริบูรณ์ รวม 10 ภาค ส่วนหนังสือทรงรจนา หรือที่บันทึกจากพระดำรัสด้วยมุขปาฐะ เป็นต้นว่า ศาสนาโดยประสงค์ พระโอวาทธรรมบรรยาย 2 เล่ม

ตายเกิด ตายสูญ ทีฆาวุคำฉันท์ ทศพิธราชธรรม พร้อมทั้งเทวดาทิสนอนุโมทนากถา และสังคหวัตถุ จักวรรดิวัตร และขัตติยพละ ถวายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ให้งานฉลองพระสุพรรณบัฏ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ปี 2493

พุทธศาสนาคติ คณะธรรมยุต พิมพ์ในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ปี 2500 บทความต่างๆ รวมพิมพ์เป็นเล่มตั้งชื่อว่า“ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องต้น”(พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา ปี 2501)

พระธรามเทศนา ทศพิธราชธรรม ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลปัจจุบัน พระธรรมเทศนาศราทธพรต ในคราวถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระโอวาทในโอกาสต่างๆ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราชเจ้าด้วย

พระธรรมเทศนา“วชิรญาณวงศ์เทศนา”รวม 55 กัณฑ์ คณะธรรมยุตพิมพ์เป็นเล่มมหามกุฏฯ พิมพ์เป็นคัมภีร์“มหามกุฏเทศนา”ในคราวพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เช่นกัน หลังจากที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สิ้นพระชนม์แล้ว ปัจจุบันนี้ทายาทแห่งราชสกุลนพวงศ์ ที่เป็นปราชญ์ราชบัณฑิตซึ่งคนไทยรู้จักดี คือ ศ.ม.ล.จิรายุ นพวงศ์


เรียบเรียง : ณัฐพล ชัยมั่น ภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี กรมศิลปากร และ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

อ้างอิง: ศิลปากร, กรม. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค.ลาดพร้าว, ๒๕๕๔.

https://www.posttoday.com/politics/161536

https://www.finearts.go.th/pranakornkeereemuseum/view/25413-มหามกุฏราชสันตติวงศ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ-กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส


_________


Prince Mahesawara Shivavilasa of the Mahamakut Royal Lineage

มหามกุฏราชสันตติวงศ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส

This AI-restored and creatively reimagined portrait depicts His Royal Highness Prince Mahesawara Shivavilasa(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส), whose original name was Mom Chao Naphawong (หม่อมเจ้านพวงศ์). He was the first-born son of King Mongkut (Rama IV) (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ), born to Chao Chom Manda Noi (เจ้าจอมมารดาน้อย), daughter of Phra Intharampa (Phra Inthara Aphai) (พระอินทอำไพ / พระอินทรอภัย), also known as Somdet Chao Fa Thatphai (สมเด็จฯ เจ้าฟ้าทัศไภย), a royal son of King Taksin the Great (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช).

Prince Naphawong was born on 6 March 1822 (reckoned according to the modern calendar as B.E. 2366 / 1823).

During the reign of King Phutthaloetla Naphalai (Rama II) (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ), he was one of only two royal sons born outside the White Umbrella (นอกเศวตฉัตร), the other being Prince Vishnunatha Niphaton (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร). At birth, he bore the rank of Mom Chao Naphawong.

Upon the accession of King Mongkut (Rama IV), he was elevated to Phra Chao Luk Ya Thoe Phra Ong Chao Naphawong Vorangkhath Mahamakut Paramuttarajoras (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านภวงศ์ วรองค์อรรคมหามกุฎ ปรมุตมราโชรส), and later granted the title Prince Mahesawara Shivavilasa (กรมหมื่นมเหศวรศิวลาส).

He was entrusted with the supervision of the Department of the Royal Palace Guard, and after the death of Prince Vishnunatha Niphaton, he assumed responsibility for the Royal Treasury Department (Krom Phra Khlang Maha Sombat).

Prince Mahesawara Shivavilasa passed away during the reign of Rama IV on 25 July 1867 (B.E. 2410), at the age of 46. His royal cremation was held at Sanam Luang, and he became the progenitor of the Naphawong Royal Lineage(ราชสกุลนพวงศ์).


His Eminence the Supreme Patriarch

Somdet Phra Sangharaja, Prince Vajirayanavong
(สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์)

Prince Mahesawara Shivavilasa’s most distinguished descendant was Somdet Phra Sangharaja, Prince Vajirayanavong (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์), born Mom Rajawongse Chuen Naphawong (หม่อมราชวงศ์ ชื่น นพวงศ์).

He was the son of Mom Chao Thanom Naphawong (หม่อมเจ้าถนอม นพวงศ์) and Mom Aem (née Khaseni) (หม่อมเอม สกุลเดิม คชเสนี). He was born on Friday, 22 November 1872 (B.E. 2415) within the palace of Prince Mahesawara Shivavilasa. His mother was the daughter of Phraya Damrong Ratchaphonlakhan (Chui) (พระยาดำรงราชพลขันธ์), son of Chao Phraya Mahayotha (Thoria) (เจ้าพระยามหาโยธา), himself the son of Chao Phraya Mahayothanaratthibodi Sriphichai Narong (Phaya Cheng) (เจ้าพระยามหาโยธานราธิบดีศรีพิชัยณรงค์ / พญาเจ่ง), progenitor of the Khaseni family (สกุลคชเสนี).

Born during the reign of King Chulalongkorn (Rama V) (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว), he was a royal great-grandson of King Mongkut (Rama IV) and a royal grandson of King Chulalongkorn. He later entered royal service as a page and cadet cavalry officer in the Royal Guard Regiment, serving under Crown Prince Vajirunhis(สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ).

He was ordained as a novice at Wat Bowonniwet Vihara, studying under Somdet Phra Maha Samana Chao, Prince Vajirananavarorasa (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส). He passed the Pali examination of five grades in 1890, while still a novice, and later attained seven grades in 1894, after his full ordination in 1892. He was subsequently appointed Phra Sukhun Khanaphon (พระสุคุณคณาภรณ์).

His ecclesiastical career progressed steadily, culminating in his appointment as Supreme Patriarch of Thailand (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า) on 31 January 1945, during the reign of King Ananda Mahidol (Rama VIII) (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล). In 1956, he served as Preceptor to King Bhumibol Adulyadej (Rama IX) (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) during His Majesty’s ordination.

In recognition of his extraordinary contributions, he was elevated in 1956 to the princely ecclesiastical title Somdet Phra Sangharaja, Prince Vajirayanavong, Sakon Mahasangha Parinayaka (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สกลมหาสังฆปริณายก).


Legacy

Somdet Phra Sangharaja Vajirayanavong devoted his life to the reform and strengthening of Thai Buddhism, particularly through the revitalisation of Mahamakut Buddhist University (มหามกุฏราชวิทยาลัย), the reorganisation of monastic administration, the promotion of Buddhist education, publication, and international religious exchange.

He passed away on 10 November 1958, at 01:08 hrs, at Chulalongkorn Hospital, aged 85 years, 11 months, and 15 days.

Among his lasting legacies is the continuation of the Naphawong lineage, whose modern representatives include the distinguished academic Professor M.L. Chirayu Naphawong (ศาสตราจารย์ ..จิรายุ นพวงศ์).


Compiled by:
Nattaphon Chaiman, Curator, Phra Nakhon Khiri National Museum, Fine Arts Department
and Wimolphan Peetathawatchai

Reference:
Fine Arts Department. Royal Lineages. 14th ed. Bangkok: SKS Printing, Lat Phrao, 2011.

_________


เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO


Next
Next

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ถ่ายโดย จอห์น ทอมสัน