พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี

คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในแฟชั่นแบบเต็มยศในราชสำนักฝ่ายใน

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประสูติแต่เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ และเป็นเหลนของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 5 พระองค์ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จ.ศ. 1230 ตรงกับวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเรียกพระองค์ว่า "เจ้าหนู" พระเจ้าน้องทั้งหลายทรงเรียกว่า "พี่หนู" และชาววังเรียกว่า "เสด็จพระองค์ใหญ่"

พระองค์มีพระขนิษฐาที่ประสูติร่วมพระมารดาอีก 2 พระองค์ ซึ่งมีพระนามที่คล้องจองกัน ได้แก่ ศรีวิไลยลักษณ์ สุวพักตร์วิไลยพรรณ และบัณฑรวรรณวโรภาษ

พระองค์เป็นพระเจ้าลูกเธอที่ประสูติตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 4 ประทับอยู่ ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ ภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อหม่อมแพใกล้จะคลอดพระหน่อ จึงต้องหาสถานที่คลอดนอกพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากตามพระราชประเพณีนั้น นอกจากจะประสูติพระราชโอรสและพระราชธิดาแล้ว จะให้หญิงใดคลอดลูกภายในพระบรมมหาราชวังไม่ได้ โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดวังนันทอุทยาน พระราชทานให้เป็นสถานที่ในการคลอดพระหน่อ

หม่อมแพทรงครรภ์เพียง 7 เดือนก็ประสูติพระหน่อก่อนกำหนด เมื่อประสูตินั้นพระองค์ยังอยู่ในถุงน้ำคร่ำ ทำให้หมอเข้าใจว่าพระองค์คงสิ้นพระชนม์ จึงให้หาหม้อขนันจะเอาใส่ไปถ่วงน้ำตามประเพณี แต่เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ขรัวตาอยากรู้ว่าเป็นพระองค์หญิงหรือพระองค์ชายจึงให้ฉีกถุงน้ำคร่ำออก พบว่ายังหายพระทัยอยู่ จึงช่วยกันประคบประหงมเลี้ยงดูจนสามารถมีพระชนม์อยู่ได้ต่อมา หม่อมแพและพระธิดาจึงย้ายกลับเข้ามาประทับ ณ พระตำหนักสวนกุหลาบตามเดิม เมื่อแรกประสูตินั้นพระองค์มีพระอิสริยยศที่ หม่อมเจ้าศรีวิไลยลักษณ์ ต่อมา เมื่อพระราชบิดาขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พระองค์จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิกัลยาวดี

ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ทรงเป็นที่โปรดปรานและไว้วางพระราชหฤทัยของพระราชบิดาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งเรียกพระองค์ว่าเป็น “ลูกคู่ทุกข์คู่ยาก” อันเป็นคำที่สะท้อนถึงความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างพระบิดากับพระราชธิดาในช่วงเวลาที่ยากลำบากของการเปลี่ยนแปลงประเทศ พระองค์ทรงเติบโตขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง ท่ามกลางขนบธรรมเนียมอันเคร่งครัดของฝ่ายใน แต่ก็ได้รับการอบรมให้ทรงมีความรู้ ความเข้าใจในกิจการบ้านเมืองและหน้าที่ของสตรีชั้นสูงในราชสำนัก

ด้วยความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระราชบิดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ทรงได้รับมอบหมายให้ดูแลพระขนิษฐาที่ยังทรงพระเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงได้รับพระราชทานเกียรติให้เป็นผู้ “สั่งพระขนิษฐาให้เป็นสาว” ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญตามขนบธรรมเนียมฝ่ายในของราชสำนักสยาม การที่สตรีฝ่ายในจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่วัยสาวได้นั้น ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้ทรงเกียรติในราชสำนักก่อน ซึ่งการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมอบหมายหน้าที่นี้ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี จึงแสดงถึงความไว้วางพระราชหฤทัยอย่างสูงสุด

นอกจากบทบาทในราชสำนัก พระองค์ยังทรงมีส่วนสำคัญในกิจการสาธารณกุศลของแผ่นดิน โดยทรงดำรงตำแหน่ง อุปนายิกาสภาอุณาโลมแดง (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “สภากาชาดไทย”) ร่วมกับเจ้านายฝ่ายในพระองค์อื่น ๆ พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และผู้เจ็บป่วย เป็นการปฏิบัติพระกรณียกิจที่สะท้อนถึงพระทัยอันเปี่ยมด้วยเมตตาและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

มื่อครั้งโสกันต์ เมื่อปี พ.ศ. 2446  พระราชบิดาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีที่เขาไกรลาสจำลอง เช่นเดียวกับเจ้านายในพระยศชั้นเจ้าฟ้า และยังพระราชทานพระอิสริยยศด้วยการทรงกรมเสมอด้วยพระราชธิดาที่มีพระอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้า โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี นับเป็นพระเจ้าลูกเธอชั้นพระองค์เจ้าพระองค์เดียวในรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าต่างกรม ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดและหายากยิ่งในราชประเพณี

อย่างไรก็ตาม หลังจากการสถาปนาเพียงหนึ่งปี พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2447 สิริพระชันษา 36 ปี การสิ้นพระชนม์ของพระองค์นับเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงในราชสำนัก เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นที่รักของทั้งพระราชบิดาและเจ้านายฝ่ายใน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพอย่างสมพระเกียรติ ณ วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร พระอารามหลวงประจำพระราชวังบางปะอิน โดยโปรดให้ตั้งพระศพใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลที่พระราชวังบางปะอินเป็นเวลาหลายวัน เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศแด่พระราชธิดาผู้ทรงเป็นที่รักอย่างหาที่สุดมิได้

การพระศพดำเนินไปตามโบราณราชประเพณี โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษานวล เพื่อทรงแสดงออกถึงความอาลัยในพระราชธิดาพระองค์นี้ เช่นครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็เคยทรงพระภูษาขาว ในงานพระศพเจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทรเทพ พระเจ้าลูกเธอที่ทรงรักยิ่ง ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า “ลูกคนนี้รักมากต้องนุ่งขาวให้”

______________________

Princess Borom Wong Ther, Krom Khun Suphanphakawadi
(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี)

This collection of images, restored and creatively re-imagined through AI technology, presents the portrait of Princess Borom Wong Ther, Krom Khun Suphanphakawadi (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี) in full formal Inner Court attire of the Siamese royal court (ราชสำนักฝ่ายใน).

Princess Suphanphakawadi was the first royal daughter (พระราชธิดาพระองค์แรก) of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) born to Chao Khun Phra Prayurawongse (เจ้าคุณพระประยุรวงศ์), and a great-granddaughter of Somdet Chao Phraya Borom Maha Si Suriyawong (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) of the Bunnag family, who served as Regent during the early years of King Chulalongkorn’s reign.

She was born on Friday, 5th waxing moon, 9th lunar month, Year of the Dragon, Samritsok, Ch.S. 1230 (วันศุกร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะโรง สัมฤทธิศก จ.ศ. ๑๒๓๐), corresponding to 24 July 1868 (๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๑).

King Chulalongkorn affectionately called her “Nong Nhoo” (เจ้าหนู), her younger royal siblings called her “Phi Nhoo” (พี่หนู), and palace attendants referred to her as “Sadej Phra Ong Yai” (เสด็จพระองค์ใหญ่).

She had two younger sisters of the same mother whose names were poetically paired:
Sriwilailaks (ศรีวิไลยลักษณ์)
Suwaphakwilaiyaphan (สุวพักตร์วิไลยพรรณ)
Banthawonworophat (บัณฑรวรรณวโรภาษ)

Princess Suphanphakawadi was born while King Chulalongkorn still held the title Somdet Phra Chao Luk Ya Ther (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ) during the reign of King Mongkut (Rama IV). She resided at Suan Kulap Pavilion (พระตำหนักสวนกุหลาบ) within the Grand Palace (พระบรมมหาราชวัง).

When Mhom Pae (หม่อมแพ) was nearing childbirth, a place outside the Grand Palace had to be arranged because, by royal convention (พระราชประเพณี), no woman other than consorts bearing royal offspring was permitted to give birth inside the palace. King Mongkut granted Wang Nanthautayan (วังนันทอุทยาน) as the childbirth residence.

Mhom Pae delivered prematurely at seven months. The infant was born still enclosed in the amniotic sac (ถุงน้ำคร่ำ), leading the attendants to believe she had been stillborn. They prepared a pot for the customary burial (หม้อขนัน). But Chao Phraya Surawong Waiwat (เจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์), the Princess’s maternal grandfather, wished to know the child’s sex and ordered the sac to be opened. To their astonishment, the child was still breathing (ยังหายพระทัยอยู่), and she was carefully revived and nursed.

Mother and daughter later returned to reside once more at Suan Kulap Pavilion. At birth, she held the rank of Mhom Chao Sriwilailaks (หม่อมเจ้าศรีวิไลยลักษณ์). After her father ascended the throne, she was elevated to Phra Chao Luk Ther Phra Ong Chao Sriwilailaks Sunthornsakkadikalaya (พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิกัลยาวดี).

From a young age, Princess Suphanphakawadi was profoundly cherished by the King, who often referred to her as his “child who shared every hardship” (ลูกคู่ทุกข์คู่ยาก) — a touching expression reflecting the deep bond between father and daughter during a period of intense national transformation.

She grew up within the highly regulated environment of the Inner Court (ฝ่ายใน) but received an upbringing that prepared her for responsibilities befitting a high-ranking royal woman (สตรีชั้นสูงในราชสำนัก).

Because of the King’s complete trust in her, she was entrusted with caring for her younger sisters, especially the honour of “initiating younger princesses into womanhood” (สั่งพระขนิษฐาให้เป็นสาว) — a significant role in the traditions of the Inner Court. According to custom, young princesses could only be formally acknowledged as entering womanhood upon approval by a respected senior lady. That King Chulalongkorn entrusted this responsibility to Princess Suphanphakawadi demonstrates his exceptional confidence in her.

Beyond royal duties, she played a meaningful role in public welfare. She served as Deputy President of the Red Unalom Society (อุปนายิกาสภาอุณาโลมแดง) — the organisation that later became the Thai Red Cross Society (สภากาชาดไทย). She devoted herself to assisting the poor and the sick, embodying compassion and responsibility toward the broader society.

During her Sokan ceremony (พิธีโสกันต์) in 1903 (พ.ศ. ๒๔๔๖), King Chulalongkorn ordered the ceremony to be held on the Mount Kailasa replica (เขาไกรลาสจำลอง), a privilege typically reserved for princesses of chao fa (เจ้าฟ้า) rank. He further elevated her to the rank of Krom Khun (กรมขุน), granting her the title Krom Khun Suphanphakawadi (กรมขุนสุพรรณภาควดี) — making her the only “Phra Ong Chao” (พระองค์เจ้า) in the Fifth Reign to be granted a Krom title, an exceedingly rare honour in the royal tradition (ราชประเพณี).

Tragically, just one year after her elevation, she passed away on 26 October 1904 (๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๗) at the age of 36 (สิริพระชันษา ๓๖ ปี). Her death was a profound loss to the royal family, for she was deeply loved by both the King and the ladies of the Inner Court.

King Chulalongkorn ordered that her cremation be conducted with full honours at Wat Niwet Thammaprawat (วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร), the royal temple of Bang Pa-In Palace (พระราชวังบางปะอิน). The royal pyre was placed beneath the sacred Sri Maha Bodhi tree (ต้นพระศรีมหาโพธิ์), and days of royal merit-making were held at Bang Pa-In in her memory — a testament to the King’s boundless affection.

The funeral rites followed ancient royal tradition. King Chulalongkorn donned white mourning cloth (พระภูษานวล), mirroring the precedent of King Rama I (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ), who once wore white in mourning for his beloved daughter, Princess Krom Khun Si Sunthorn Thep (เจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทรเทพ), saying:

“For this child I love so dearly, I must wear white.”
(ลูกคนนี้รักมาก ต้องนุ่งขาวให้)

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

ฟื้นคืนชีพภาพถ่ายโบราณล้านนาในสีสัน: ภาพถ่ายของหลวงอนุสารสุนทรกิจผ่านการลงสีด้วย AI

Next
Next

“ทูลกระหม่อมแก้ว” คือใคร ทำไมรัชกาลที่ ๕ ทรงเคารพและเอาพระทัยใส่อย่างยิ่ง?