พระประวัติ พระนางเรือล่ม อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 โศกนาฏกรรมสู่ตำนานความศักดิ์สิทธิ์

พระประวัติ พระนางเรือล่ม อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 โศกนาฏกรรมสู่ตำนานความศักดิ์สิทธิ์

คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ ในฉลองพระองค์แบบขัติยนารี แบบเต็มยศ

กรณีสิ้นพระชนม์ของ “สมเด็จพระนางเรือล่ม” หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 ในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยเรือพระประเทียบล่มขณะกำลังเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอิน 

พระประวัติ “พระนางเรือล่ม” พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลำดับที่ 50 พระมารดาคือ สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ปีวอก พ.ศ. 2403 ณ พระบรมมหาราชวัง

ทรงถวายองค์เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 5 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 17 พรรษา ด้วยมีพระสิริโฉมงดงาม พระสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น “พระอัครมเหสี” และยังเป็นที่โปรดปรานสนิทเสน่หายิ่งกว่าพระอัครมเหสีองค์อื่น ๆ

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระราชธิดา พระองค์แรกเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ ขณะเสด็จฯ มายัง พระราชวังบางปะอินพระองค์ก็ทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน

เหตุสลดในวันนั้นเล่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้เรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ล่ม เนื่องเพราะเรือพระพันปีหลวง หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถบรมราชชนนี พันปีหลวงแล่นแซง ประกอบกับนายท้ายเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ เมาเหล้า ขาดสติในการควบคุมเรือ เรือจึงล่ม และทั้งที่พระองค์ก็ทรงว่ายน้ำได้ แต่เพราะความที่ทรงห่วงพระราชธิดา จึงต้องสิ้นพระชนม์ไปพร้อมกัน รวมทั้งพระพี่เลี้ยง รวมทั้งสิ้น 4 ศพ ที่จมอยู่ใต้ท้องเรือโดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย 

อุบัติเหตุครั้งร้ายแรงนี้เกิดจากความประมาทในการเดินเรือเป็นสาเหตุสำคัญ แต่กระนั้นยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือ ความเคร่งครัดในกฎมณเฑียรบาลที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งตระกูล กฎมณเฑียรบาลข้อนี้ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการช่วยเหลือ จนทำให้สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์พร้อมกับพระราชธิดาในที่สุด

ก่อนการเสด็จพระราชวังบางปะอินใน พ.ศ. 2423 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์  ทรงพระสุบิน (ฝัน) บอกเหตุในคืนก่อนวันสิ้นพระชนม์ว่า

พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอได้เสด็จไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะทรงพระราชดำเนินข้ามสะพาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอบังเอิญพลาดพลัดตกลงไปในน้ำ พระองค์ได้ทรงคว้าพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็ลื่นหลุดพระหัตถ์ไปอีก ทรงตามไขว่คว้าจนพระองค์เองตกลงไปในน้ำด้วย ทรงหวั่นในพระทัยอยู่เหมือนกันว่าพระสุบินนี้จะเป็นลางร้าย แต่สุดท้ายก็ได้ตามเสด็จไปตามพระราชประสงค์

อนุสรณ์แห่งความรักของในหลวงรัชกาลที่ 5

ความผูกพันที่รัชกาลที่ 5 ทรงมีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และพระราชธิดา นอกเหนือจากการเตรียมงานพระศพอย่างสมพระเกียรติแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสิ่งของถวายเป็นพระราชกุศลอย่างการหล่อพระพุทธรูปฉลองพระองค์ สร้างถาวรวัตถุ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงหลายแห่งที่ยังคงอยู่มาจนปัจจุบัน อาทิ โรงเรียนสุนันทาลัย อนุสาวรีย์ที่สวนสราญรมย์ อนุสาวรีย์ที่พระราชวังบางปะอิน อนุสาวรีย์ที่น้ำตกพลิ้ว จันทบุรี และพระเจดีย์ที่บางพูด นนทบุรี

เรื่องราวของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และรัชกาลที่ 5 สร้างความประทับใจแก่ราษฎร โดยเฉพาะเรื่องของความรักและการพลัดพราก ปัจจุบันศาลสมเด็จพระนางเจ้าฯ หลังใหม่ของวัดกู้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของพระองค์ ผู้คนที่มาสักการะยังศาลแห่งนี้มักมาด้วยความศรัทธาในสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่สามารถดลบันดาลให้สมความปรารถนาตามแต่ต้องการ พร้อมเสียงร่ำลือถึงอาถรรพ์ของดวงพระวิญญาณสตรีสูงศักดิ์ หรือ เด็กทารก โดยมักจะมีผู้นำดอกกุหลาบสีชมพูไปถวาย เพราะเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในความรัก

ประวัติ "วัดกู้"

วัดกู้ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบางพูด ในซอยปากเกร็ด 3 บริเวณริมน้ำหน้าวัดเป็นจุดที่เรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระมเหสีในรัชกาลที่ 5 ประสบอุบัติเหตุเรือล่มสิ้นพระชนม์ วัดนี้สร้างในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นศิลปะแบบมอญ

ภายในโบสถ์หลังเก่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบมอญ เป็นภาพเขียนสีน้ำมันเรื่องราวพุทธประวัติ วิหารประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่ ด้านข้างวิหารเป็นที่เก็บเรือพระที่นั่งของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ที่อับปางซึ่งชาวบ้านได้กู้ขึ้นมา มีพระตำหนักที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์ และเมื่อคราวเรือล่มได้อัญเชิญพระศพมาไว้ที่วัดนี้ชั่วคราว มีศาลพระนางเรือล่มซึ่งจำลองแบบจากศาลาจตุรมุขของพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ที่พระราชวังบางปะอิน

อย่างไรก็ตาม วัดกู้ นนทบุรี ที่มีการกล่าวขานว่า เป็นสถานที่กู้เรือพระศพและเรือพระที่นั่ง ซึ่งทางวัดได้จัดแสดงเรือโบราณลำหนึ่งในศาลเป็นหลักฐาน (ปัจจุบันศาลหลังนี้ได้ถูกรื้อและบูรณะเป็นศาลหลังใหม่เรียบร้อยแล้ว) ขณะเดียวกันผู้รู้ในท้องถิ่น คุณพิศาล บุญผูก ได้ให้ข้อมูลว่า

แท้จริงแล้วสถานที่เกิดเหตุอยู่ที่หน้าวัดเกาะพญาเจ่ง หรือวัดเกาะบางพูด เนื่องจากรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์ทรงระฆังภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสี่ทิศ ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง เพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ เจ้าฟ้าในพระครรภ์ และพระพี่เลี้ยงแก้ว

อีกทั้ง คำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่สืบต่อมาและบันทึกพระราชกิจรายวันในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังระบุว่า เรือพระที่นั่งล่มลงบริเวณหน้าวัดเกาะพญาเจ่ง มีการอัญเชิญพระบรมศพและพลิกเรือให้หงายขึ้นในบริเวณนั้น รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์เป็นพระราชอนุสาวรีย์ขึ้นยังตำแหน่งที่เกิดเหตุ มิได้กู้เรือขึ้นไว้บนฝั่งแต่อย่างใด เพราะทำเลวัดอยู่ห่างชายฝั่งมาก ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง

แต่จากเอกสาร ข้อเขียน และป้ายแสดงพระประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ปรากฏอยู่ในวัดกู้หลายแห่ง จึงทำให้มีแนวโน้มว่า มีการกู้ซากเรือขึ้นไว้บนบก รวมทั้งอัญเชิญพระศพขึ้นที่หน้าวัดกู้ แต่หากพิจารณาจากจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันแล้วจะพบว่า เรือพระประเทียบแค่เกยทรายจมลง สามารถกู้และนำกลับพระนครที่แห่งนั้นได้ทันที โดยไม่ต้องปล่อยให้เรือพระประเทียบล่องไปทางวัดกู้ที่อยู่เหนือขึ้นไป

________________________

The Life of “The Drowned Queen”: Tragedy, Devotion, and the Making of a Sacred Legend

The passing of “Somdet Phra Nang Ruea Lom” (สมเด็จพระนางเรือล่ม) – formally Queen Sunanda Kumariratana (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์), the Akkhara Mahaesi (อัครมเหสี, Principal Consort) of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama V) – remains one of the most poignant tragedies in Siamese history.
On 31 May 1880 (พ.ศ. 2423), Her Majesty and her daughter, Princess Kannabhorn Bejaratana (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์), perished when their royal barge capsized in the Chao Phraya River at Bang Phut (บางพูด), Pak Kret, Nonthaburi, while travelling to Bang Pa-In Palace (พระราชวังบางปะอิน).

Early Life of “The Drowned Queen”

Queen Sunanda Kumariratana (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์) was the 50th daughter of
King Mongkut (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama IV).
Her mother was Somdet Phra Piyamavadi Sri Bajarindra Mata (สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา), born Chao Chom Manda Piam (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม).

She was born on Saturday, 10 November 1860 (พ.ศ. 2403) in the Grand Palace.

At the age of 17, she was offered as consort to King Chulalongkorn and, owing to her celebrated beauty, intelligence, and gentle composure, was elevated to the rank of Akkhara Mahaesi (อัครมเหสี) – the principal queen consort, deeply loved and favoured above all others.

At 19, she gave birth to her first child, Princess Kannabhorn Bejaratana (เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์).
At the time of the river journey to Bang Pa-In in 1880, the Queen was five months pregnant with her second child.

The Tragic Day on the Chao Phraya River

Contemporary accounts recount that the Queen’s barge capsized when the vessel of Queen Sri Bajarindra (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง, later Queen Sri Bajarindra, the Queen Mother) overtook it.
Compounding the disaster, the helmsman of the Queen’s barge was reportedly intoxicated, losing control and causing the craft to overturn.

Although the Queen could swim, she remained with her daughter, unwilling to abandon the Princess.
Both drowned beneath the overturned hull—along with their attendants—making four deaths in total.

A second, devastating reason for the tragedy was the long-standing Palace Law of Ayutthaya (กฎมณเฑียรบาล), which strictly forbade commoners from touching the body of a royal consort on pain of execution.
Thus, bystanders were paralysed with fear; no one dared to rescue Her Majesty or the Princess.

The Queen’s Final Dream

On the night before their departure, Queen Sunanda dreamt that:

She and her daughter were crossing a bridge when the Princess slipped into the water. The Queen grasped her hand, but it slipped away; reaching for her again, Her Majesty herself fell into the water. The dream troubled her deeply, yet she proceeded with the journey out of royal duty.

The premonition proved heartbreakingly true.

King Rama V’s Monumental Grief and Memorial Works

The sorrow of King Chulalongkorn was profound.
To honour the Queen and Princess, he arranged funerary rites of the highest dignity and commissioned multiple memorial projects, many of which still stand today:

  • Sunandalai School (โรงเรียนสุนันทาลัย)

  • Monument at Saranrom Park (สวนสราญรมย์)

  • Monuments at Bang Pa-In Palace (พระราชวังบางปะอิน)

  • Monument at Phlio Waterfall, Chanthaburi (น้ำตกพลิ้ว)

  • The commemorative chedi at Bang Phut, Nonthaburi

Their tale of love, loss, and eternal devotion profoundly moved the Siamese public, shaping the Queen’s memory into both historical legacy and sacred legend.

Today, the newly rebuilt Shrine of Queen Sunanda (ศาลสมเด็จพระนางเจ้าฯ) at Wat Ku (วัดกู้) serves as a focal point of veneration.
Visitors commonly bring pink roses, believed to grant blessings in love, a tradition tied to the Queen’s enduring aura of purity and grace.

History of Wat Ku (วัดกู้)

Wat Ku, located along the Chao Phraya River at Bang Phut in Pak Kret, is traditionally cited as the place where the Queen’s royal barge was retrieved after the accident.
The temple, founded during the Thonburi period (สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี), is built in the Mon style.

Key features include:

  • a Mon-style ordination hall with historic mural paintings,

  • a reclining Buddha in the old vihāra,

  • and, formerly, the hull of the royal barge believed by locals to be Queen Sunanda’s—displayed until its recent reconstruction into a new shrine.

A pavilion modelled after the four-gable sala of Aisawan Thiphya-Asana Pavilion (พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์) at Bang Pa-In once served as a memorial structure.

Debates About the True Location of the Accident

Local historian Pisan Boonphook (พิศาล บุญผูก) offers an alternative view:

The actual site of the capsizing was Wat Ko Phaya Jeng (วัดเกาะพญาเจ่ง), not Wat Ku.
King Chulalongkorn ordered the construction of a chedi there—a bell-shaped stupa housing a Buddha image facing the four directions—in dedication to the Queen, Princess Kannabhorn Bejaratana, the unborn royal child, and the royal nurse Kaew.

Accounts from eyewitnesses and entries from the Royal Daily Chronicle (จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน) during the reign of King Rama V affirm that the barge overturned in front of Wat Ko Phaya Jeng, where the royal remains were first brought ashore and the vessel righted.

The King then commanded the building of a commemorative stupa at the precise location of the tragedy, indicating that the boat was recovered there, without drifting upstream toward Wat Ku.

Nevertheless, due to inscriptions, signage, and long-held narratives displayed within Wat Ku, many still believe the salvage occurred at that temple.
However, the formal chronicles record that the barge merely ran aground and sank in shallow waters, enabling recovery directly at the scene.

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ https://www.sanook.com/news/9114614/

เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO

Previous
Previous

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องประไพ พระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ‘ที่ไม่ทรงโปรด’

Next
Next

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดาราฯ และเข็มกลัดเพชร รูปโบ