History of Fashion
การออกแบบแฟชั่นด้วย AI สำหรับแฟชั่นสมัยต้นรัชกาลที่ ๖
การออกแบบแฟชั่นด้วย AI สำหรับแฟชั่นสมัยต้นรัชกาลที่ ๖
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำมาถึงจุดที่เราสามารถรังสรรค์อดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การออกแบบแฟชั่นหรือการออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับภาพยนตร์ด้วย AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างประวัติศาสตร์กับความสร้างสรรค์ร่วมสมัย วันนี้ผมอยากพาทุกคนไปรู้จักกับกระบวนการออกแบบภาพแฟชั่นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายสมัยต้นรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของสังคมสยามทั้งในด้านวัฒนธรรมและความงาม
แฟชั่นกรุงเทพฯ ยุค 1960s (พ.ศ. 2510): สะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมไทยและตะวันตก
แฟชั่นกรุงเทพฯ ยุค 1960s (พ.ศ. 2510): สะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมไทยและตะวันตก
แรงบันดาลใจของคอลเล็กชัน AI นี้มาจากความหลงใหลในเสน่ห์ของวงการภาพยนตร์ไทยใน ทศวรรษ 1960 (พุทธศักราช 2503-2512) ซึ่งเป็นยุคที่แฟชั่นของไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีเอกลักษณ์ ด้วยอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่ผสมผสานกับรากเหง้าไทยอย่างงดงาม วงการภาพยนตร์ไทยในยุคนั้นเป็นตัวแทนของความงามและสไตล์การแต่งกาย โดยมีดาราดังอย่าง เพชรา เชาวราษฎร์ และ อรัญญา นามวงศ์ เป็นไอคอนด้านแฟชั่นที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบความงามของผู้หญิงไทย
เพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่สมจริงของแฟชั่นยุค 60s ขึ้นมาใหม่ผ่าน AI ผมได้ฝึกโมเดล LoRA โดยใช้ภาพถ่ายจากนิตยสารและภาพยนตร์เก่าของไทยในการสร้างสรรภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด รายละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทรงผม การแต่งหน้า ผ้า และสไตล์ของภาพถ่าย ถูกออกแบบมาให้สะท้อนถึงยุคสมัยอย่างแท้จริง เป้าหมายของคอลเล็กชันนี้คือการสร้างภาพถ่ายในสไตล์วินเทจ ให้ดูเหมือนภาพถ่ายในนิตยสารของสมัยนั้น
คอลเล็กชัน AI นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทดลองด้านศิลปะ แต่เป็นการแสดงความเคารพต่อมรดกทางแฟชั่นและภาพยนตร์ไทยในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด รูปแบบของแฟชั่นไทยในยุค 1960s เป็นผลลัพธ์ของการหลอมรวมระหว่างความคลาสสิกของไทยและความทันสมัยจากโลกตะวันตก ซึ่งยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบแฟชั่นและคนรักแฟชั่นจนถึงปัจจุบัน
ในทศวรรษ 1960 หรือ ช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2503-2512 ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของความเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสังคม การเมือง และวัฒนธรรม กรุงเทพฯ ในเวลานั้นเป็นศูนย์กลางของความทันสมัยที่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตกอย่างรวดเร็ว ภายใต้รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ (รัชกาลที่ 9) ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2489 จนถึง พ.ศ. 2559 ในช่วงเวลานี้ประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้กระแสแฟชั่นตะวันตกแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ไทยก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนเองผ่านแฟชั่นที่ปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น
ทศวรรษ 1960 ถือเป็นยุคทองของภาพยนตร์ไทย หนังไทยเฟื่องฟูและกลายเป็นสื่อสำคัญที่เผยแพร่กระแสแฟชั่นใหม่ไปทั่วประเทศ ดาราภาพยนตร์อย่าง เพชรา เชาวราษฎร์ อรัญญา นามวงศ์ รุจน์ รณภพ และมิตร ชัยบัญชา เป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยม และเป็นแบบอย่างด้านแฟชั่นให้แก่ผู้ชมทั่วประเทศ
แฟชั่นกางเกง “พลัสโฟร์” (Plus Four) ในราชวงศ์ไทยและแฟชั่นโลก
แฟชั่นกางเกง “พลัสโฟร์” (Plus Four) ในราชวงศ์ไทยและแฟชั่นโลก
หลังจากโพสต์ในหัวข้อแฟชั่นกางเกง “พลัสโฟร์” (Plus Four) เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมได้ทำการค้นคว้าเพิ่มเติมและบูรณะภาพถ่ายหลายภาพ ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI เหล่านี้คือพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 และ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ในขณะที่ทรงพระเยาว์ ประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อีกทั้งหนึ่งในพระบรมฉายาลักษณ์ยังปรากฏ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อยู่ในภาพด้วย
ทั้งสองพระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยกางเกง “พลัสโฟร์” ซึ่งเป็นแฟชั่นยอดนิยมในยุคนั้น โดยมี เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ (ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร) เป็นผู้นำกระแสในช่วงทศวรรษ 1920 (ปลายรัชกาลที่ 6) และแพร่หลายทั้งในยุโรปและอเมริกา
แฟชั่นกางเกง “พลัสโฟร์” (Plus Four) ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์และแฟชั่นโลก
แฟชั่นกางเกง “พลัสโฟร์” (Plus Four) ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์และแฟชั่นโลก
ในบรรดาภาพถ่ายที่ได้รับการบูรณะจากโครงการฟื้นฟูพระรูปเจ้านายไทยผู้เคยไปทรงศึกษาที่โรงเรียนแฮร์โรว์ มีอยู่ภาพหนึ่งที่สะท้อนความรุ่งเรืองของแฟชั่นโลกในทศวรรษ 1920 ได้อย่างเด่นชัด คือภาพของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์ บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ในช่วง พ.ศ. 2469–2472 (ค.ศ. 1926–1929) ฉลองพระองค์ด้วยกางเกง “พลัสโฟร์” (Plus Four) ซึ่งเป็นแฟชั่นที่กำลังฮิตอย่างยิ่งในยุคนั้น โดยมี เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งสหราชอาณาจักร) เป็นผู้นำกระแส จนกลายเป็นที่นิยมทั้งในยุโรปและอเมริกา
ความนิยมของกางเกงพลัสโฟร์ไม่ได้เสื่อมคลายไปอย่างรวดเร็ว หากแต่ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องเข้าสู่ทศวรรษ 1930 ดังจะเห็นได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ของ สมเด็จพระเจ้าอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ขณะยังทรงพระเยาว์ เมื่อครั้งประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภาพนี้ถ่ายในปี ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2477–2478) และเก็บรักษาอยู่ใน LIFE Photo Collectionแสดงให้เห็นว่าพระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์ด้วยกางเกงพลัสโฟร์เช่นเดียวกัน สะท้อนความต่อเนื่องของแฟชั่นสมัยใหม่ที่พระบรมวงศ์ชั้นสูงของไทยได้ทรงรับไว้
ความแพร่หลายของแฟชั่นนี้ยังสะท้อนให้เห็นในภาพถ่ายสำคัญอีกภาพหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465) เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดเสด็จประพาสตะวันออกไกล โดยได้เสด็จเยือนประเทศญี่ปุ่น และเสด็จไปยัง โตเกียวกอล์ฟคลับ (Tokyo Golf Club) ที่นั่นมีภาพถ่ายร่วมกับ มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ (ต่อมาคือจักรพรรดิโชวะ) ทั้งสองพระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยกางเกงพลัสโฟร์ในสไตล์สปอร์ตอันทันสมัย การเสด็จเยือนครั้งนี้ซึ่งรวมถึงอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และญี่ปุ่น ช่วยเผยแพร่ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำแฟชั่นระดับโลกของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดไปทั่วภูมิภาค
คำว่า Plus Four หมายถึงกางเกงที่ยาวเลยเข่าออกไปสี่นิ้ว แตกต่างจาก Plus Two, Plus Eight และกางเกงแบบ Knickerbocker ดั้งเดิม กางเกงพลัสโฟร์ถูกเผยแพร่ในอเมริกาโดยเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดระหว่างการเสด็จเยือนทางการทูตในปี ค.ศ. 1924 (พ.ศ. 2467) และกลายเป็นที่นิยมในฐานะแฟชั่นที่สะท้อนความผ่อนคลายและความเป็นอิสระในยุคแจ๊ซ กางเกงชนิดนี้มักสวมคู่กับถุงเท้าอาร์ไกล์ (argyle socks) เนกไทผ้าไหม เสื้อเชิ้ต และเสื้อสเวตเตอร์ อีกทั้งยังมีการสวมเป็นสูทเต็มชุด ดังเช่นที่นักดนตรีชื่อดัง หลุยส์ อาร์มสตรอง (Louis Armstrong) เคยสวมใส่
เดิมทีพลัสโฟร์ออกแบบมาเพื่อการกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง โดยนิยมสวมเป็นส่วนหนึ่งของชุด Norfolk suit ตัดเย็บด้วยผ้าทวีดหรือผ้าลายตาราง เหมาะกับสภาพอากาศหนาวชื้นของอังกฤษ ต่อมากางเกงชนิดนี้ก็กลายเป็นแฟชั่นในตัวเอง ไม่จำกัดอยู่แค่การล่าสัตว์หรือเล่นกีฬาอีกต่อไป
กางเกงพลัสโฟร์ยังถูกทำให้เป็นอมตะในวัฒนธรรมสมัยนิยมผ่านตัวละคร ตินติน (Tintin) ของนักเขียนการ์ตูน แอร์เช่ (Hergé) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก พาลเล ฮูลด์ (Palle Huld) เด็กหนุ่มชาวเดนมาร์กผู้เดินทางรอบโลกในปี ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2471) เพื่อรำลึกถึงวรรณกรรม Around the World in 80 Days ของ ฌูล เวิร์น (Jules Verne) และแต่งกายด้วยพลัสโฟร์ตลอดการเดินทาง
ทุกวันนี้ พลัสโฟร์ยังคงปรากฏในโลกของกีฬากอล์ฟมากที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงภาพลักษณ์แห่งความสปอร์ตและความรื่นรมย์กลางแจ้ง กางเกงทรงพองและถุงเท้าลายตารางกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคที่แฟชั่นเชื่อมโยงกับเสรีภาพ และยังเป็นที่ระลึกถึงช่วงเวลาที่เจ้านายฝ่ายตะวันตกและตะวันออก — ตั้งแต่ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์ บริพัตร ไปจนถึง สมเด็จพระเจ้าอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 — ต่างก็ทรงรับเอาสไตล์อันทันสมัยของกางเกงพลัสโฟร์ไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่ากางเกงพลัสโฟร์ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในอดีต เพราะในโลกแฟชั่นร่วมสมัย Ralph Lauren ได้หยิบยกกางเกงพลัสโฟร์กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันสุภาพบุรุษฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ค.ศ. 2025 (พ.ศ. 2568) ยืนยันว่ากางเกงชนิดนี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกที่ถูกตีความใหม่อยู่เสมอในรันเวย์ระดับโลก
พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕ ผลงานของ ร้านโรเบิร์ต เลนซ์ สิงคโปร์
พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕ ผลงานของ ร้านโรเบิร์ต เลนซ์ สิงคโปร์
ภาพถ่ายคอลเลกชันนี้เป็น พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI
ผมได้บูรณะไว้สองรูปแบบ ได้แก่ แบบคงเค้าเดิมตามพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับ และแบบที่เปลี่ยนฉากหลังเป็นลวดลายเปลือกหอยมุกทั้งหมด ซึ่งผมเห็นว่าสวยงามและช่วยขับภาพให้ดูสดใส มีมิติเพิ่มขึ้น
พระบรมฉายาลักษณ์นี้เป็นผลงานของ ร้านโรเบิร์ต เลนซ์ (Robert Lenz & Co, Photographer) ณ เมืองสิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ (ค.ศ. 1896) โดยสามารถสังเกตตราประทับของร้านได้ที่มุมซ้ายด้านล่างของภาพ ซึ่งพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษว่า ROBERT LENZ & CO PHOTOGRAPHER และด้านขวาซึ่งเลือนลางอ่านได้ว่า SINGAPORE
โรเบิร์ต เลนซ์ เป็นช่างภาพชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียง เขาเคยเข้ามารับจ้างถ่ายรูปในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๗ (ค.ศ. 1894) ดังปรากฏหลักฐานในโฆษณาหนังสือพิมพ์ บางกอกไตมส์ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๓๙ (ค.ศ. 1896) หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับจากการเสด็จประพาสชวาและเสด็จถึงกรุงเทพฯ แล้ว เขาได้เปิดสาขาร้านถ่ายรูปขึ้นที่กรุงเทพฯ กลายเป็นหนึ่งในร้านถ่ายรูปที่หรูหราและทันสมัยที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีเกียรติประวัติในการฉายพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕ และถ่ายภาพเจ้านายชั้นสูงไว้อย่างมากมาย ด้วยฝีมืออันประณีต
ในพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับนี้ยังมี ลายพระหัตถ์ ระบุว่า
“จุฬาลงกรณ์ ปร. ให้ลูกชายโตมหาวชิราวุธ วันที่ ๑๖ กันยายน รัตนโกสินทรศก (๒๙ ปี ในรัชกาล) ๑๑๕”
“ลูกชายโต” ในที่นี้คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
สันนิษฐานว่าพระบรมฉายาลักษณ์นี้ถ่ายเมื่อคราวที่รัชกาลที่ ๕ เสด็จถึงสิงคโปร์ใหม่ ๆ ในเดือนพฤษภาคม ก่อนจะเสด็จต่อไปยังเกาะชวา หลักฐานจากหนังสือ “ระยะทางเที่ยวชวากว่าสองเดือน” ซึ่งบันทึกกำหนดการเสด็จระบุว่า วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ได้เสด็จไป “ถ่ายรูปที่มิสเตอร์เลนส์” อันสอดคล้องกับพระบรมฉายาลักษณ์ชุดนี้อย่างชัดเจน
สำหรับ ฉลองพระองค์ นี้ เป็นแฟชั่นบุรุษในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1890 ซึ่งอยู่ในยุควิกตอเรียตอนปลาย เสื้อเชิ้ตเป็นแบบ ปกแข็ง (imperial collar) สวมคู่กับ ผ้าผูกคอ (necktie) ส่วนชุดเป็น สูทลำลองแบบสามชิ้น (lounge suit) ซึ่งเริ่มได้รับความนิยมในหมู่ชายหนุ่มสมัยใหม่ในขณะนั้น แต่เดิมชุดสูทลักษณะนี้ใช้สำหรับสวมใส่อยู่ภายในบ้าน แทนการสวม morning dress หรือ frock coat ที่ถือว่าทางการเกินไป ด้วยคุณลักษณะที่สวมใส่ง่ายและสะดวกต่อการเดินทาง จึงทำให้สูทแบบ lounge suitv กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ลักษณะของเสื้อสูทสมัยวิกตอเรียจะตัวยาวลงมาถึงสะโพก มีปกเสื้อค่อนข้างสูง และเป็นแบบ notch lapel ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของสูทสมัยใหม่ที่เราสวมใส่กันในปัจจุบัน
ในพระหัตถ์ซ้ายทรงถือ พระมาลาแบบฮอมเบิร์ก (Homburg hat) ซึ่งเป็นที่นิยมในราชสำนักยุโรปและสุภาพบุรุษชั้นสูง หมวกชนิดนี้มีเอกลักษณ์ที่ รอยพับกลาง (centre crease) และ ริบบิ้นผ้ากรอสเกรน (grosgrain ribbon) โดยทั่วไปนิยมสวมกับ lounge suit ในเวลากลางวัน แต่ในยุคเอ็ดเวิร์เดียน ขุนนางและนักการทูตก็มักสวมคู่กับ frock coat ได้เช่นกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความสุขุม สง่างาม และการรับรู้ภาพลักษณ์ในระดับนานาชาติ อันเป็นการผสานระหว่างธรรมเนียมดั้งเดิมกับโลกสมัยใหม่
หมวกฮอมเบิร์ก มีที่มาที่เมือง บาดฮอมเบิร์ก (Bad Homburg) ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นเมืองสปาและแหล่งพักตากอากาศของราชวงศ์และชนชั้นสูงยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หมวกสไตล์นี้ถูกนำเสนอแก่ เจ้าชายอัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด มกุฎราชกุมารแห่งสหราชอาณาจักร (ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7) ระหว่างการเสด็จเยือนเมืองบาดฮอมเบิร์กในทศวรรษ 1860 โดยได้รับเป็นของกำนัลจากราชสำนักเยอรมนี เมื่อพระองค์ทรงสวมหมวกนี้กลับสู่อังกฤษ จึงทำให้หมวกฮอมเบิร์กกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่ขุนนาง นักการทูต และสุภาพบุรุษชั้นสูง
ความนิยมดังกล่าวยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์อังกฤษกับราชวงศ์เยอรมันอย่างใกล้ชิด สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงมีเชื้อสายเยอรมันและพระราชโอรส-พระราชธิดาหลายพระองค์ก็ทรงสมรสเข้ากับเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งรัฐเยอรมัน อีกทั้ง พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ก็ทรงมีพระประยูรญาติใกล้ชิดกับ จักรพรรดิเยอรมัน วิลเฮล์มที่ 2 ทำให้หมวกฮอมเบิร์กมิใช่เพียงแฟชั่นสุภาพบุรุษ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติและการทูตราชวงศ์ยุโรป
สำหรับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเลือกสวมหมวกชนิดนี้จึงมิได้เป็นเพียงการติดตามรสนิยมสากล หากแต่เป็น กลยุทธ์เชิงสุนทรียะ (strategic aesthetic) ที่สะท้อนพระวิสัยทัศน์ทางการทูต พระองค์ทรงเข้าใจว่าการแต่งกายแบบตะวันตกในยุคที่คำว่า “ความศิวิไลซ์” ถูกนิยามโดยสายตาชาวตะวันตก มิได้หมายถึงการเลียนแบบแฟชั่นเท่านั้น แต่คือ การประกาศตัวตนของสยาม ว่าเป็นชาติอารยะ ทันสมัย และยืนอยู่ในระดับเดียวกับมหาอำนาจ ผ่านการใช้แฟชั่นเป็น ภาษาทางการทูต เพื่อต้านทานแรงกดดันจากลัทธิล่าอาณานิคม
นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์ยังมองว่า การเสด็จประพาสชวาใน พ.ศ. ๒๔๓๙ (ค.ศ. 1896) ถือเป็นเสมือน “การซ้อมใหญ่” (dress rehearsal) ก่อนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) เนื่องจากในการเสด็จครั้งนั้น ข้าราชบริพารและเจ้านายที่ตามเสด็จล้วนต้อง ฝึกฝนการแต่งกายแบบยุโรป การใช้เครื่องแต่งกายอย่างถูกกาลเทศะ และการวางพระองค์ในพิธีการสากล เสมือนเป็นการทดลองและเตรียมความพร้อมให้ทุกพระองค์และทุกคนที่ตามเสด็จคุ้นเคยกับแบบแผนของโลกตะวันตก เมื่อถึงคราวเสด็จยุโรปจริงในปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและคณะจึงสามารถแสดงออกถึงความเป็นสมัยใหม่ได้อย่างมั่นใจและสง่างาม
แผ่นฟิล์มกระจกโบราณเผยโฉมเจ้าชายไทยผู้เคยศึกษา ณ โรงเรียนแฮร์โรว์ กรุงลอนดอน
แผ่นฟิล์มกระจกโบราณเผยโฉมเจ้าชายไทยผู้เคยศึกษา ณ โรงเรียนฮาร์โรว์ กรุงลอนดอน
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเล็คชั่นนี้ คือพระรูปของพระองค์เจ้า และหม่อมเจ้าชาย หลายพระองค์ ผู้เคยศึกษา ณ โรงเรียนฮาร์โรว์ กรุงลอนดอน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖
ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕, พ.ศ. ๒๓๙๖–๒๔๕๓ / ค.ศ. 1853–1910) เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทรงวางรากฐานการปฏิรูปประเทศ พระองค์มิได้มุ่งเพียงด้านการปกครองและการทหาร แต่ยังทรงให้ความสำคัญต่อ การศึกษา อย่างยิ่ง พระราชโอรสและพระราชนัดดาหลายพระองค์ได้รับการส่งไปศึกษายังทวีปยุโรป หนึ่งในสถาบันชั้นนำที่ราชสำนักสยามเลือกก็คือ โรงเรียนฮาร์โรว์ (Harrow School) กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ และเป็นสถานศึกษาของชนชั้นสูงอังกฤษ
จินตภาพแห่งวิถีชีวิตยามว่างในราชสำนักสยามปลายรัชกาลที่ ๕
แฟชั่นในฐานะการทูต
ทั้งเสื้อลูกไม้แขนพองของสตรีและเสื้อราชปะแตนของบุรุษในภาพนี้ ล้วนมิใช่เพียง “แฟชั่น” หากแต่เป็น ภาษาทางการทูต ที่สะท้อนการประกาศความทันสมัยและอธิปไตยของสยามต่อสายตาชาติตะวันตก การผสมผสานแฟชั่นตะวันตกกับการแต่งกายไทยมิได้เพียงตอบรับกระแสสมัยนิยม แต่ยังเป็นกลยุทธ์เชิงวัฒนธรรมที่ทำให้สยามยืนหยัดอยู่ในโลกสมัยใหม่อย่างสง่างาม
ดังนั้น ฉากสมมุติแห่งการพักผ่อนบนสนามหญ้าพระบรมมหาราชวังที่เห็นนี้ จึงมิใช่เพียงภาพงดงามในเชิงศิลป์ หากยังสะท้อนบทบาทของแฟชั่นในฐานะเครื่องมือแสดงอำนาจ สถานะ และการเจรจาทางวัฒนธรรมในสยาม ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
เสื้อราชปะแตน: เรื่องเล่าของสัญลักษณ์การแต่งกายสุภาพบุรุษไทย
เสื้อราชปะแตน: เรื่องเล่าของสัญลักษณ์การแต่งกายสุภาพบุรุษไทย
ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ นำเสนอภาพสุภาพบุรุษสยามในช่วงรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๗ แต่งกายด้วย “เสื้อราชปะแตน” ที่ถูกต้องตามแบบแผนดั้งเดิม เสื้อชนิดนี้ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย เรียบง่าย ใส่ง่าย ไม่มีการเสริมไหล่หรือใช้เส้นใยสังเคราะห์เช่นที่เห็นในปัจจุบัน และยังเป็นรากฐานของเสื้อคอตั้งแบบแมนดาริน (Mandarin Collar) ซึ่งภายหลังรัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานต้นแบบให้พัฒนาเป็น “เสื้อพระราชทาน” ที่รัฐบาลประกาศให้ใช้แทนชุดสากลเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2523 พร้อมแนวคิดให้ใช้ผ้าท้องถิ่นแต่ละภูมิมาตัดเย็บ ส่งผลให้เกิดเสื้อสุภาพบุรุษไทยที่มีสีสันและลวดลายสดใหม่ไม่เคยมีมาก่อน การบูรณะภาพถ่ายครั้งนี้จึงไม่เพียงบันทึกแฟชั่นในอดีต แต่ยังสะท้อนพัฒนาการทางสังคมและการเมืองที่แฝงอยู่ในประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกายไทย
การกำเนิด: ความคิดใหม่ในโลกเก่า
เสื้อ Raj-Pattern หรือที่กลายเสียงมาเป็น “เสื้อราชปะแตน” เกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๕ หลังเสด็จกลับจากการประพาสอินเดียใน พ.ศ. ๒๔๑๕ พระองค์ทรงตระหนักถึงข้อจำกัดของการแต่งกายแบบตะวันตกที่เต็มไปด้วยชั้นเชิ้ต เสื้อนอก และเนกไท ซึ่งไม่เหมาะกับอากาศร้อนชื้นของสยาม หากยังคงต้องการภาพลักษณ์อันทันสมัยและเป็นสากลเพื่อแสดงต่อชาติตะวันตก การสร้าง “เครื่องแบบสุภาพบุรุษแบบใหม่” จึงเป็นสิ่งจำเป็น
เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) จึงนำต้นแบบจากช่างตัดเสื้อชาวกัลกัตตาขึ้นทูลเกล้าฯ ลักษณะเสื้อคือคอตั้ง แขนยาว ติดกระดุมห้าเม็ด ตัดจากผ้าฝ้ายสีขาว สวมง่าย สบาย และดูเป็นทางการ ชื่อ “Raj-Pattern” มาจากการผสมคำ Raj/Raja (ราชา) กับ Pattern (แบบ) ก่อนจะเพี้ยนเสียงมาเป็น “ราชปะแตน” ในที่สุด
แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves) ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440)
แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves) ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) และการเข้ามาในราชสำนักสยาม (ตอนที่ 2)
พระรูปที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ สร้างสรรค์ด้วย หลักคู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
ต้นกำเนิดในปารีส: การเปลี่ยนผ่านจากแฟชั่นแขนเสื้อทรงแขนหมูแฮม
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปลายทศวรรษ 1890 แฟชั่นสตรีในยุโรปถึงจุดสูงสุดของ แขนเสื้อทรงแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve / Gigot Sleeve) ซึ่งขยายใหญ่เป็นพิเศษในราว ค.ศ. 1895–1896 (พ.ศ. 2438–2439) แต่เมื่อถึง ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) รูปทรงดังกล่าวเริ่มลดขนาดลง ดีไซเนอร์ในปารีสจึงนำเสนอความละเอียดอ่อนแบบใหม่ คือ การออกแบบ แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves) โดยการนำลูกไม้หรือผ้าซ้อนเป็นชั้น ๆ เป็นระบาย แล้วไล่ระดับลงมาตามหัวไหล่และต้นแขน
สไตล์ใหม่นี้ปรากฏในนิตยสารแฟชั่นฝรั่งเศส เช่น La Mode Illustrée (ค.ศ. 1897 / พ.ศ. 2440) ซึ่งชี้ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านจากความอลังการของแขนเสื้อทรงแขนหมูแฮมไปสู่ความอ่อนหวานโรแมนติก อันจะปูทางสู่แฟชั่นยุคเอ็ดเวิร์ด (Edwardian Fashion) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือช่วงรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย
การเผยแพร่เข้าสู่ราชสำนักสยาม
ในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Chulalongkorn, Rama V, 1853–1910 / พ.ศ. 2396–2453) เสด็จฯ ประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ใน ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่แขนเสื้อแฟชั่นแบบใหม่กำลังเผยโฉมที่ปารีส สันนิษฐานได้ว่าพระองค์อาจทรงจัดหาชุดแฟชั่นหรือตัดเย็บเสื้อผ้าล่าสุดจากฝรั่งเศสเพื่อพระราชทานแก่เจ้านายฝ่ายในและพระราชธิดาในราชสำนัก
การนำแฟชั่นใหม่นี้เข้าสู่ราชสำนักไทยจึงมิใช่เพียงการติดตามสมัยนิยม หากแต่เป็น สัญลักษณ์แห่งความเป็นสมัยใหม่ (Modernity) และการเชื่อมโยงกับราชสำนักยุโรป การสวมใส่เสื้อผ้าลูกไม้วิคตอเรียทรงแขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น จึงกลายเป็นการแสดงสถานะและพระบารมีของพระราชสำนักสยาม และฝ่ายใน ในสายตานานาชาติ
ตัวอย่างเจ้านายฝ่ายใน ในราชสำนักสยาม ที่ทรงฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้ในแบบแฟชั่นวิคตอเรียตอนปลายด้วยแขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น พระรูปนี้ คาดว่าฉายในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) หรือหลังจากนั้น
เราสามารถอ่านภาพได้จากการคำนวนอายุของ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร พระองค์ประสูต พ.ศ. ๒๔๒๐ ในพระรูปนี้พระองค์มีพระชันษา ประมาณ ๒๐ ปี และประวัติศาสตร์แฟชั่นของการสร้างสรรค์แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นมาและเป็นที่นิยมในปารีส ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ช่วยให้เราให้สามารถกำหนดอายุของพระรูปนี้ได้อย่างไรแม่นยำ
เจ้านายฝ่ายในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ (จากซ้าย): พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงรัตนโกสินทร, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบันบัวผัน, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ และสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ (Princess Puangsoi Sa-ang, 1866–1950 / พ.ศ. 2409–2493)
พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (King Mongkut, Rama IV, 1804–1868 / พ.ศ. 2347–2411) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเที่ยง (Chao Chom Manda Tieng Rojanadis) และเป็นพระเชษฐภคินีร่วมบิดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ลูกไม้พร้อม แขนเสื้อซ้อนชั้นระบาย (Manches à volants superposés / Tiered Flounce Sleeves)ตกแต่งด้วยริบบิ้นสีพาสเทล แสดงถึงการที่เจ้านายฝ่ายในระดับสูงรับอิทธิพลแฟชั่นปารีสอย่างรวดเร็วสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร (Princess Suddha Dibyaratana, 1877–1922 / พ.ศ. 2420–2465)
พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี (Queen Sukhumala Marasri, 1861–1927 / พ.ศ. 2404–2470) เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ทรงฉลองพระองค์ที่ปรากฏมี แขนเสื้อลูกไม้ซ้อนชั้น คาดแพรสะพายแพร แสดงถึงการผสมผสานแฟชั่นปารีสกับสัญลักษณ์ชั้นสูงของสยามเจ้าจอมมารดาชุ่ม ไกรฤกษ์ (Chao Chom Manda Chum Krairoek, 1869–1911 / พ.ศ. 2412–2454) ธิดาของพระมงคลรัตนราชมนตรี (Phraya Mongkolrat Rajamontri, ช่วง ไกรฤกษ์) สวมชุดลูกไม้พร้อม ชั้นระบายพริ้วบนหัวไหล่ ตอกย้ำภาพลักษณ์แห่งความสง่างาม และเป็นการสะท้อนว่าไม่เพียงแต่เจ้าฟ้า แต่แม้แต่เจ้าจอมก็ต่างมีโอกาสได้สวมใส่แฟชั่นใหม่เช่นกัน
เจ้าจอมมารดาโหมด บุนนาค (Chao Chom Manda Mod Bunnag, 1863–1932 / พ.ศ. 2406–2475) ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (Chao Phraya Surawongwaiwat, Worn Bunnag, 1829–1882 / พ.ศ. 2372–2425) สวมเสื้อแบบ แขนเสื้อแบบซ้อนชั้น ประกอบกับการห่มแพรปัก (Phrae Pak) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (Order of Chula Chom Klao, 1873 / พ.ศ. 2416) การแต่งกายนี้เป็นการหลอมรวมแฟชั่นตะวันตกเข้ากับเอกลักษณ์ไทย
ความหมายทางวัฒนธรรม
การรับเอาแขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้นเข้าสู่ราชสำนักสยามใน ค.ศ. 1897–1898 (พ.ศ. 2440–2441) มีความสำคัญดังนี้:
1. เป็นสัญลักษณ์แห่งความทันสมัย (Modernity): ราชสำนักสยามแสดงความเทียบเท่าราชสำนักยุโรป
2. เป็นเครื่องหมายแห่งพระบารมีและพระราชไมตรี: อนุมานว่าเสื้อเหล่านี้อาจเข้ามาพร้อมกับการพระราชทานเสื้อผ้าตามแฟชั่นยุโรป
3. การดัดแปลงอย่างไทย: แม้แบบแผนจะมาจากปารีส แต่การสวมใส่ควบคู่กับแพรปัก เครื่องราชฯ ผ้านุ่งโจงกระเบน และเครื่องประดับไทย ทำให้เกิด “แฟชั่นราชสำนักสยาม” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
กล่าวโดยสรุป แขนเสื้อแบบระบายซ้อนชั้น Manches à volants superposés (Tiered Flaunce Sleeves) จากปารีสในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นในราชสำนักสยามอย่างรวดเร็ว และเป็นหลักฐานสำคัญของการผสมผสานระหว่าง แฟชั่นยุโรป และ อัตลักษณ์ไทย ภายใต้พระบารมีแห่งรัชกาลที่ 5
Fashion History: Tiered Sleeves of 1897 and Their Entry into Siamese Court Dress
European Origins: The Decline of the Gigot
By the mid-1890s, women’s fashion in Europe had reached the height of the leg-of-mutton sleeve (or gigot sleeve), which swelled to exaggerated proportions in 1895–1896. By autumn 1897, however, the sleeve silhouette began to soften. Designers in Paris introduced a new refinement: tiered flounces or graduated volant sleeves, where layers of lace, ribbon, or fabric were stacked to create a decorative cascade over the upper arm. This style, often described in French fashion journals such as La Mode Illustrée, was called “manches à volants superposés” and offered a lighter, more ornate alternative to the collapsing gigot.
The effect was feminine and romantic, perfectly suited to evening and formal dress. Paired with high lace collars and lavish use of Valenciennes lace, silk foulard, or batiste, these sleeves heralded the transition from the monumental 1890s to the softer Edwardian aesthetic.
Transmission to Siam: The Royal Court of Bangkok
The same year this sleeve fashion took hold, King Chulalongkorn (Rama V) undertook his second European tour (1897). His visit coincided precisely with the Paris autumn season when these new sleeves were introduced. It is highly plausible that the King, well aware of the prestige of French couture and keen to modernise Siamese court life, acquired gowns or textiles reflecting this latest European taste as gifts for his consorts and daughters. Such gestures had precedent: European fashion houses, including Worth, Paquin, and Doucet, regularly supplied garments for Asian royalty.
By late 1897 and early 1898, photographic evidence suggests that Siamese court ladies began adopting this tiered sleeve style, reinterpreted through local tastes, court etiquette, and the integration of royal insignia such as the Chula Chom Klao order and phrae pak (embroidered silk shawls).
An example of a royal lady of the Inner Court of Siam wearing late Victorian lace fashion with tiered flounce sleeves. This portrait is estimated to have been taken in 1897 (B.E. 2440) or shortly thereafter.
The dating of the image can be determined by calculating the age of Princess Suddha Dibyaratana, Krom Luang Sri Ratanakosin (born 1877 / B.E. 2420). In this portrait, she appears to be about twenty years old. Together with the history of fashion—specifically the creation and popularisation of tiered flounce sleeves (manches à volants superposés) in Paris in 1897—this allows us to date the photograph with considerable accuracy.
Identified Figures in the Portrait
Royal ladies of the Inner Court during the reign of King Chulalongkorn (Rama V), from left to right:
Princess Napapornprapha, Krom Luang Thip Rattanakiritkulini
Princess Pradit Sari
Princess Suddha Dibyaratana, Krom Luang Ratanakosin
Princess Busaban Bua Phan
Princess Puangsoi Sa-ang
Queen Sukhumala Marasri, the Queen Consort
Princess Puangsoi Sa-ang (1866–1950 / B.E. 2409–2493)
Daughter of King Mongkut (Rama IV, 1804–1868 / B.E. 2347–2411) by Chao Chom Manda Tieng Rojanadis. She was the elder half-sister of King Chulalongkorn. In this portrait, she wears lace with tiered flounce sleeves (manches à volants superposés) trimmed with pastel ribbons, reflecting how quickly the highest-ranking Inner Court ladies absorbed Parisian fashions.Princess Suddha Dibyaratana, Krom Luang Sri Ratanakosin (1877–1922 / B.E. 2420–2465)
Daughter of King Chulalongkorn (Rama V) and Queen Sukhumala Marasri (1861–1927 / B.E. 2404–2470). She is dressed in lace with layered sleeves, wearing a sash across her shoulder, symbolising the fusion of Parisian fashion with Siamese markers of noble rank.Chao Chom Manda Chum Krairoek (1869–1911 / B.E. 2412–2454)
Daughter of Phraya Mongkolrat Rajamontri (Chueng Krairoek). She wears a lace gown with flounced sleeves cascading at the shoulders, emphasising grace and refinement, showing that not only princesses but also royal consorts could partake in new fashion trends.Chao Chom Manda Mod Bunnag (1863–1932 / B.E. 2406–2475)
Daughter of Chao Phraya Surawongwaiwat (Worn Bunnag, 1829–1882 / B.E. 2372–2425). She is depicted in a gown with tiered sleeves, combined with a Phrae Pak (royal embroidered sash) and the Order of Chula Chom Klao (founded 1873 / B.E. 2416). Her attire demonstrates the blending of Western fashion with uniquely Siamese court traditions.
Cultural Significance
The adoption of tiered sleeves in Siam in 1897–1898 underscores how quickly fashion innovations in Paris resonated across the globe. For Siam, these sleeves symbolised:
Modernity: aligning Siamese court culture with European royal courts.
Royal prestige: gifts from King Chulalongkorn’s European tour would have signalled his care for his consorts and daughters, while placing them in the forefront of cosmopolitan fashion.
Adaptation: while the forms were European, the integration of Thai jewellery, orders, and textiles created a distinct Siamese version of the style.
Thus, the “manches à volants superposés” of Paris became, within months, part of the visual language of Siamese monarchy, captured in portraits of the kingdom’s most illustrious women.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand
ภาพถ่ายประชุมเจ้าประเทศราช พ.ศ. ๒๔๔๐
ภาพถ่ายประชุมเจ้าประเทศราช พ.ศ. ๒๔๔๐
การค้นพบ บูรณะ และความหมายทางประวัติศาสตร์
ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเลกชันนี้ บันทึกเหตุการณ์ประชุมเจ้าประเทศราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ เนื่องในโอกาสรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากเสด็จนิวัติกลับจากการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ภาพดังกล่าวถือเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า เนื่องจากเป็นภาพเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในประเทศไทย
การค้นพบและการเก็บรักษา
ภาพถ่ายนี้ถูกค้นพบโดยคุณพีระพงศ์ มณีรัตน์ จากราชสกุล ณ น่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และได้มอบต้นฉบับให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ เพื่อเก็บรักษาเป็นสมบัติของชาติและเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการศึกษาในอนาคต
คู่สีสวัสดิรักษา “วันศุกร์ – นุ่งเมฆคราม ห่มจันทร์” และวัน “วันพิพิธภัณฑ์ไทย”
คู่สีสวัสดิรักษา “วันศุกร์ – นุ่งเมฆคราม ห่มจันทร์” และวัน “วันพิพิธภัณฑ์ไทย”
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นของสตรีฝ่ายในราชสำนักสยาม สมัยรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐–๒๔๔๐ / ค.ศ. 1890s) โดยออกแบบให้สอดคล้องกับ คู่สีสวัสดิรักษา ของวันศุกร์ คือ “วันศุกร์ นุ่งเมฆคราม ห่มจันทร์” (นุ่งผ้าสีน้ำเงิน ห่มผ้าสีเหลือง)
ในทศวรรษ 1890 (พ.ศ. 2433–2442) แฟชั่นแขนเสื้อพองทรงหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำยุค โดยเฉพาะราว พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) แขนเสื้อขยายพองโตถึงที่สุด มักจับคู่กับคอร์เซ็ตรัดแน่นและกระโปรงทรงเอไลน์ที่เน้นสัดส่วนเว้าส่วนโค้งตามอุดมคติความงามแบบวิกตอเรีย
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพฤหัสบดี คือ “วันพฤหัสบดี นุ่งเสม ห่มตองอ่อน” (นุ่งผ้าสีแสด ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพฤหัสบดี คือ “วันพฤหัสบดี นุ่งเสม ห่มตองอ่อน” (นุ่งผ้าสีแสด ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพฤหัสบดี นุ่งเสม ห่มตองอ่อน” (นุ่งผ้าสีแสด ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพุธ นุ่งเขียวดิน ห่มจำปา” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีเหลือง)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพุธ นุ่งเขียวดิน ห่มจำปา” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีเหลือง)
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันพุธ คือ “วันพุธ นุ่งเขียวดิน ห่มจำปา” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีเหลือง)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอังคาร คือ “นุ่งโศก ห่มพวงอังกาบ” (นุ่งผ้าสีเขียวอ่อน ห่มผ้าสีม่วงอ่อน)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอังคาร คือ “นุ่งโศก ห่มพวงอังกาบ” (นุ่งผ้าสีเขียวอ่อน ห่มผ้าสีม่วงอ่อน)
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอังคาร คือ “นุ่งโศก ห่มพวงอังกาบ” (นุ่งผ้าสีเขียวอ่อน ห่มผ้าสีม่วงอ่อน)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันจันทร์ คือ “นุ่งนกพิราบ ห่มจำปาแดง” (นุ่งผ้าสีนกพิราบนำ้เงินหม่น ห่มผ้าสีบานเย็น)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันจันทร์ คือ “นุ่งนกพิราบ ห่มจำปาแดง” (นุ่งผ้าสีนกพิราบนำ้เงินหม่น ห่มผ้าสีบานเย็น)
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันจันทร์ คือ “นุ่งนกพิราบ ห่มจำปาแดง” (นุ่งผ้าสีนกพิราบนำ้เงินหม่น ห่มผ้าสีบานเย็น)
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี
ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี (Corrado Feroci) | มหาวิทยาลัยศิลปากร | กรุงเทพ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ภาพต้นฉบับถ่ายโดย อาจารย์อวบ สาณะเสน
วันที่ 15 กันยายน ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวัน ศิลป์ พีระศรี คือวันเกิดของศาสตราจารย์ชาวอิตาลี ผู้สร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร
ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย เขาคือผู้ที่เดินทางข้ามนํ้าข้ามทะเลมาไกลเพื่ออุทิศชีวิตให้กับศิลปะในชาติเล็กๆ ของเอเชีย ซึ่งท่านเป็นเจ้าของวลีดังอย่าง พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว และ ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น
เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิส พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๕
เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิส พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๕
ภาพถ่ายที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ขณะทรงฉายร่วมกับพระมารดา เจ้าจอมมารดาทับทิม โรจนดิศ โดยภาพดังกล่าวถ่ายขึ้นในราวเดือนเมษายนถึงกันยายน พ.ศ. ๒๔๔๑ เวลานั้นพระองค์มีพระชันษา ๒๒ ปี ส่วนเจ้าจอมมารดาทับทิมมีอายุ ๔๑ ปี
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พ.ศ. ๒๔๑๙–๒๔๕๗ / ค.ศ. 1876–1914) สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ ๓๗ ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล “จิรประวัติ” พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) จึงทรงเป็นพระเชษฐาร่วมเจ้าจอมมารดากับ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ต้นราชสกุลวุฒิชัย อีกทั้งยังมีเครือญาติฝ่ายพระมารดาเชื่อมโยงกับราชสกุลกมลาศน์ ชยางกูร และดิศกุล ซึ่งล้วนสืบสายพระโลหิตในรัชกาลที่ ๔
เจ้าจอมมารดาทับทิม (๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ – ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๑) ทรงเป็นหนึ่งในพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ ท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) ผู้เป็นตาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และขรัวยายอิ่ม ซึ่งสืบตระกูลบุญเรือง ต้นวงศ์ขุนนางฝ่ายในผู้ดำรงตำแหน่งหลวงวังตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอาทิตย์ คือ “นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีแดง)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอาทิตย์ คือ “นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีแดง)
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันอาทิตย์ คือ “นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ” (นุ่งผ้าสีเขียว ห่มผ้าสีแดง) และจินตนาการถึงการแต่งตัวของฝ่ายใน ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทย
คู่สีประจำวันแบบสวัสดิรักษา วันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
ภาพที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นการจินตนาการแฟชั่นใน ราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงปลายรัชกาล (พ.ศ. 2430–2440 / ค.ศ. 1890s) ซึ่งเป็นยุคที่เสื้อแขนหมูแฮม (Leg-of-Mutton Sleeve) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในราชสำนักฝ่ายใน ผมได้ออกแบบให้เข้ากับ สีสวัสดิรักษา ของวันเสาร์ คือ “นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก” (นุ่งผ้าสีม่วง ห่มผ้าสีเขียวอ่อน)
เสื้อทรงแขนหมูแฮมในยุควิกตอเรียและอิทธิพลต่อราชสำนักไทย
เสื้อทรงแขนหมูแฮม: สัญลักษณ์แห่งแฟชั่นวิกตอเรีย
แขนหมูแฮมถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของแฟชั่นปลายศตวรรษที่ 19 ลักษณะเด่นคือความพองโตบริเวณต้นแขนที่ค่อย ๆ แคบลงจนแนบชิดข้อมือ ช่วยสร้างภาพเงา (silhouette) ที่สง่างามและโดดเด่น ดีไซน์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟชั่นยุคโรแมนติกทศวรรษ 1830 ก่อนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงปลายยุควิกตอเรีย
ในทศวรรษ 1890 (พ.ศ. 2433–2442) แขนหมูแฮมกลายเป็นสัญลักษณ์แฟชั่นเฉพาะยุค โดยเฉพาะราว ค.ศ. 1895 (พ.ศ. 2438) ที่แขนเสื้อพองโตมากที่สุด เสื้อแขนหมูแฮมมักจับคู่กับคอร์เซ็ตรัดแน่นและกระโปรงทรงเอไลน์ ซึ่งเน้นสัดส่วนเว้าส่วนโค้งตามอุดมคติความงามในยุคนั้น
การผสมผสานแฟชั่นตะวันตกกับราชสำนักสยาม
ในรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) สยามอยู่ระหว่างการปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย โดยรับทั้งวัฒนธรรมและแฟชั่นตะวันตกเข้ามาอิทธิพลเหล่านี้แผ่ถึง ราชสำนักฝ่ายใน ซึ่งสตรีในราชสำนักได้ปรับใช้แฟชั่นวิกตอเรียร่วมกับการแต่งกายไทยดั้งเดิม จนเกิดเป็นสไตล์เฉพาะตัว
เสื้อแขนหมูแฮมถูกนำมาสวมคู่กับโจงกระเบน กลายเป็นรูปแบบการแต่งกายที่สง่างามและแตกต่าง แขนเสื้อพองโตช่วยขับความสง่า ในขณะที่โจงกระเบนยังสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย การตัดเย็บมักใช้ผ้าไหมชั้นดี พร้อมงานปักละเอียดที่ผสมผสานลวดลายตะวันตกกับศิลปะไทยได้อย่างกลมกลืน
มรดกแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
แม้แขนหมูแฮมจะเป็นแฟชั่นที่อยู่ในกระแสเพียงช่วงสั้น ๆ ของประวัติศาสตร์ยุควิกตอเรีย แต่กลับมีอิทธิพลต่อการแต่งกายในราชสำนักไทยอย่างน่าจดจำในทศวรรษ 1890 แฟชั่นจึงมิใช่เพียงเรื่องความงาม หากยังเป็นสื่อกลางแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการสะท้อนยุคสมัย
การนำเทคโนโลยี AI มาช่วยฟื้นฟูและจินตนาการแฟชั่นแขนหมูแฮมในบริบทของราชสำนักไทย ช่วยอนุรักษ์และถ่ายทอดมรดกแฟชั่นนี้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และชื่นชมต่อไป
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี
ภาพที่สร้างสรรค์และบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้เป็นพระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) ชายาพระองค์แรก ซึ่งผมได้สร้างสรรค์ให้สวยสมจริงจากพระรูปต้นฉบับขาวดำ พร้อมกับฉากหลังในวังมหานาค
จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช มีพระนามเดิมว่าพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช กรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช (๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๙ – ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ สิริพระชันษา ๓๘ ปี) (ค.ศ. ๑๘๗๖–๑๙๑๔)
พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๑๘ ในรัชกาลที่ ๕ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาทับทิม (ธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)) ทรงมีพระกนิษฐาและพระกนิษฐภาดาร่วมพระมารดาเดียวกัน ๓ พระองค์ ได้แก่
๑. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช (พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช)
๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย
๓. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร (พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ)
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศเดนมาร์ก ได้เข้ารับราชการในกองทัพบกและกระทรวงกลาโหม ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ, ปลัดกองทัพบก, เสนาธิการทหารบก และเสนาบดีกระทรวงกลาโหม พระองค์ทรงเป็น จอมพลพระองค์ที่สองของกองทัพบกสยาม
เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕) ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษเสือป่า กองมณฑลนครไชยศรี อีกทั้งยังทรงเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งกองบินทหารบก หลังจากทรงหารือกับ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ถึงความจำเป็นที่สยามควรมีเครื่องบินไว้ใช้ป้องกันประเทศเช่นเดียวกับอารยประเทศ กองบินทหารบกดังกล่าวต่อมาได้พัฒนาเป็น กองทัพอากาศไทย
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ทรงแต่งเครื่องยศขุนตำรวจเอกในกรมพระตำรวจเป็นกรณีพิเศษ
พระองค์ทรงได้รับพระราชทาน วังมหานาค เป็นที่ประทับร่วมกับเจ้าจอมมารดาทับทิม และทรงเป็นต้นราชสกุล “จิรประวัติ”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) (25 ธันวาคม พ.ศ. 2426 - 11 ธันวาคม พ.ศ. 2445) เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2441 มีพระโอรสและพระธิดาธิดา คือ
1. หม่อมเจ้าหญิงวิมลปัทมราช จิรประวัติ (17 พฤษภาคม พ.ศ. 2442 - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508)
2. หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดี จิรประวัติ (16 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 - 28 มีนาคม พ.ศ. 2519)
3. หม่อมเจ้าประสบศรีจิรประวัติ จิรประวัติ (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 - 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483)
4. หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม
และหลังจากที่ชายาพระองค์แรกได้สิ้นชีพตักษัยลง จึงทรงเสกสมรสใหม่กับหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ จิรประวัติ (ราชสกุลเดิม : โสณกุล) เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2447 ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ (14 เมษายน พ.ศ. 2431 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482) เป็นพระขนิษฐาร่วมพระบิดามารดาเดียวกันกับหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี โดยเสด็จในกรมหลวงนครไชยศรีและหม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ทรงมีพระโอรสด้วยกัน 2 องค์ คือ
1. หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ (9 มกราคม พ.ศ. 2449 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2506)
2. หม่อมเจ้าขจรจิรพันธ์ จิรประวัติ (16 ตุลาคม พ.ศ. 2455 - 15 สิงหาคม พ.ศ. 2514) (เนื่องจากประสูติที่เมืองนอกจึงทรงมีพระนามลำลองว่าท่านชายนอก)
ฉลองพระองค์ของกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช คือเครื่องแบบขาว สังกัดกรมปลัดทัพบกในกรมเสนาธิการทหารบก และหม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี นุ่งก้ามปู ห่มดินแดงเทศ สีสวัสดิรักษาประจำวันอาทิตย์
ธรรมเนียม “การทรงกรม” ตามยุคสมัย
“อิสริยยศ” คือพระยศที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว แบ่งออกเป็น ๒ รูปแบบคือการเลื่อนพระยศ เช่น เลื่อนพระยศจากชั้นพระองค์เจ้าเป็นเจ้าฟ้า และการ “ทรงกรม” ซึ่งการทรงกรมนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา การทรงกรมเป็นพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แก่เชื้อพระวงศ์เพื่อเป็นพระเกียรติยศเนื่องจากได้ช่วยเหลืองานราชการแผ่นดิน
“การทรงกรม” ของเจ้านายปรากฏครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา คือ การตั้งกรมขึ้นใหม่ต่างพระเนตรพระกรรณตามพระนามทรงกรมของเจ้านายพระองค์นั้น มีขุนนางเป็นเจ้ากรมตามอิสริยยศนั้น เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฉัตร กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ เจ้ากรมของท่านคือ หมื่นสุรินทรรักษ์ เป็นต้น มีปลัดกรม สมุห์บัญชี และไพร่พลในสังกัดกรม การทรงกรมเป็นพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แก่เชื้อพระวงศ์เพื่อเป็นพระเกียรติยศเนื่องจากได้ช่วยเหลืองานราชการแผ่นดิน
“การทรงกรม” แบ่งเป็น ๕ ชั้น ดังนี้
๑. ”กรมพระยา”(อ่านว่า กฺรม-พระ-ยา) หรือ “กรมสมเด็จพระ” (อ่านว่า กฺรม-สม-เด็ด-พระ) สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง
๒. “กรมพระ”(อ่านว่า กฺรม-มะ-พระ) สำหรับพระราชทานวังหน้า วังหลัง สมเด็จพระเจ้าพี่ยา/น้องยา/พี่นาง/น้องนางเธอ
๓. “กรมหลวง”(อ่านว่า กฺรม-มะ-หลวง) สำหรับพระราชทานเจ้าฟ้าชั้นใหญ่
๔. “กรมขุน”(อ่านว่า กฺรม-มะ-ขุน) สำหรับพระราชทานเจ้าฟ้าชั้นเล็ก
๕. “กรมหมื่น”(อ่านว่า กฺรม-มะ-หมื่น) สำหรับพระราชทานพระองค์เจ้า
ภายหลังจากที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาส ทำให้การทรงกรมของเจ้านายเป็นเพียงการเฉลิมพระเกียรติยศเจ้านายพระองค์นั้นให้สูงขึ้น ไม่มีการตั้งกรมขึ้นใหม่แต่อย่างใด
และพระองค์มีพระราชนิยมจากการเฉลิมพระยศในต่างประเทศ โดยการนำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม เช่น Prince of Wales ของสหราชอาณาจักร จึงมีพระบรมราชวินิจฉัยนำชื่อเมืองในสยามมาทรงกรมให้เจ้านาย เช่น กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นต้น
“การทรงกรม” โดยใช้ธรรมเนียมนำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม แบบนี้เรื่อยมาจนถึงจนถึงล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๙
พอมาถึงแผ่นดินรัชกาลปัจจุบัน การสถาปนา “การทรงกรม” แก่พระบรมวงศ์ เป็นการหวนคืนไปใช้พระราชธรรมเนียมแบบเดิม คือ พระเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ใช้การเฉลิมพระยศ “การทรงกรม” แบบเดิมแทนที่นำชื่อเมืองมาต่อท้ายพระนาม แบบรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระองค์สุดท้ายที่มีการทรงกรมแบบหลังนี้ คือ “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์”
เจ้านายที่ได้รับการสถาปนาพระยศ “การทรงกรม” ในรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้
๑. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี “กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี”
๒. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี “กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ”
๓. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี “กรมหมื่นสุทธนารีนาถ”
รวมทั้งการกลับมาใช้ “กรมสมเด็จพระ” ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดเหนือพระบรมวงศ์ทั้งปวง ที่มีการเริ่มใช้ครั้งแรกในช่วงรัชกาลที่ ๓ จนกระทั่งเลิกใช้ไปในช่วงรัชกาลที่ ๖ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า” โดยยังทรงพระอิสริยยศ “กรมสมเด็จพระ” และ “สยามบรมราชกุมารี” ตามที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ
“ฝ่ายหน้า” หมายถึง เจ้านายพระองค์นั้นเป็นผู้ชาย
“ฝ่ายใน” หมายถึง เจ้านายพระองค์นั้นเป็นผู้หญิง
ขอบคุณข้อมูลธรรมเนียม “การทรงกรม” จากเพจโบราณนานมา
____________________________________________
Prince of Nakhon Chaisi Suradet and Mom Chao Pravassawasdi
This restored and AI-enhanced portrait depicts H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช] and Mom Chao Pravassawasdi Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ] (née Sonakul [โสณกุล]), his first consort. The portrait has been recreated in colour from the original black-and-white image, with the background of Wang Mahanak Palace [วังมหานาค].
Field Marshal H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi was born Prince Chirapravati Voradej [พระองค์เจ้าจิรประวัติวงศ์วรเดช] on 7 November 1876 (B.E. 2419) and passed away on 4 February 1913 (B.E. 2456), aged 37. He was the 18th son of King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว], by Chao Chom Manda Thapthim [เจ้าจอมมารดาทับทิม], daughter of Phraya Upphanttrikamart (Dit Rojanadis) [พระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ)].
His full siblings were:
H.R.H. Prince Chirapravati Voradej, Prince of Nakhon Chaisi [พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช]
H.R.H. Princess Prawetsaworasamai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประเวศวรสมัย]
H.R.H. Prince Vudhijaya Chalermlabh, Prince of Singha Vikrom Kriangkrai [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร, พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ]
After completing his education in Denmark, Prince Chirapravati Voradej entered the service of the Siamese Army and the Ministry of Defence, holding key posts such as Director of the Department of Military Operations, Deputy Commander-in-Chief of the Army, Chief of the General Staff, and finally Minister of Defence. He became the second Field Marshal of the Siamese Army.
On 10 April R.S. 131 (A.D. 1912), he was appointed Commander of the Special Division of the Wild Tiger Corps (Sua Pa) for Nakhon Chaisi. He was also instrumental in establishing the Army Aviation Corps, after consultations with his younger half-brother H.R.H. Prince Purachatra Jayakara, Prince of Kamphaeng Phet [สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ], then Chief of the General Staff, on the necessity for Siam to acquire military aircraft like other modern nations. This corps later developed into the Royal Thai Air Force.
On 11 November 1911 (B.E. 2454), he was elevated to the rank of H.R.H. Prince of Nakhon Chaisi [พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช] with a noble title rank of 15,000 rai and was exceptionally authorised to wear the uniform of a Grand Commissioner of the Royal Police Department.
He resided at Wang Mahanak Palace [วังมหานาค], together with his mother Chao Chom Manda Thapthim, and became the founder of the Chirapravati Family [ราชสกุลจิรประวัติ].
Prince Chirapravati Voradej married Mom Chao Pravassawasdi Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงประวาศสวัสดี จิรประวัติ](née Sonakul [โสณกุล], 25 December 1883 – 11 December 1902) on 12 August 1898 (B.E. 2441). They had the following children:
M.C. Vimala Badamaraj Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงวิมลปัทมราช จิรประวัติ] (17 May 1899 – 3 February 1965)
M.C. Nivas Svasti Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดี จิรประวัติ] (16 July 1900 – 28 March 1976)
M.C. Prasobsri Chirapravati [หม่อมเจ้าประสบศรี จิรประวัติ] (8 November 1901 – 19 November 1940)
Unnamed daughter [หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม], who died in infancy.
After the death of his first consort, Prince Chirapravati Voradej remarried on 28 April 1904 (B.E. 2447) to Mom Chao Sumornmalya Chirapravati [หม่อมเจ้าหญิงสุมนมาลย์ จิรประวัติ] (née Sonakul [โสณกุล], 14 April 1888 – 21 February 1939), the younger sister of his first consort. They had two sons together:
M.C. Nidasanadhorn Chirapravati [หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ] (9 January 1906 – 3 March 1963)
M.C. Khachorn Chirabandha Chirapravati [หม่อมเจ้าขจรจิรพันธ์ จิรประวัติ] (16 October 1912 – 15 August 1971), who was nicknamed Than Chai Nok [ท่านชายนอก] as he was born abroad.
In this portrait, Prince Chirapravati Voradej is depicted wearing his white uniform as Deputy Commander of the Army General Staff. Mom Chao Pravassawasdi is dressed in a khamphu skirt (ก้ามปู) with a din daeng thet (ดินแดงเทศ) shawl, the auspicious colour combination for Sunday according to Siamese tradition.
The Custom of Krom Titles in Siam
In Siamese tradition, a royal title known as “Krom” (กรม) was a form of isriyayot (อิสริยยศ) — a noble dignity conferred by the King. This was distinct from ordinary promotion in rank. The practice of granting Krom titles dates back to the reign of King Narai the Great of Ayutthaya [สมเด็จพระนารายณ์มหาราช] in the 17th century, and was bestowed upon princes and princesses as an honour for their service to the realm.
Originally, the King would establish a new “Krom” — effectively a household or office under the prince’s name — with courtiers, officials, accountants, and retainers under his command. For example, Prince Chat [พระองค์เจ้าฉัตร] was styled Krom Muen Surinrak [กรมหมื่นสุรินทรรักษ์], with officials of that “Krom” holding corresponding titles.
Levels of Krom Titles
The hierarchy of Krom titles had five principal levels, in ascending order of prestige:
Krom Muen (กรมหมื่น) – usually granted to a Phra Ong Chao (พระองค์เจ้า, prince or princess of lower rank).
Krom Khun (กรมขุน) – typically granted to junior Chao Fa (เจ้าฟ้า, princes of higher birth).
Krom Luang (กรมหลวง) – granted to senior Chao Fa of importance, often entrusted with major state or military responsibilities.
Krom Phra (กรมพระ) – a higher dignity, often for princes or princesses close to the throne, such as the Front Palace (วังหน้า) or Rear Palace (วังหลัง).
Krom Phraya (กรมพระยา) or Krom Somdet Phra (กรมสมเด็จพระ) – the highest rank of Krom, reserved for the most senior royals, equivalent in dignity to a Grand Duke or Archduke in Europe.
Evolution of the Custom
During the reign of King Chulalongkorn (Rama V) [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว], after the abolition of slavery, Krom titles became largely honorific. The King adopted the European practice of adding the name of a city or province to princely titles (as in “Prince of Wales”). Thus Siamese princes became styled, for example:
Krom Luang Ratchaburi Direkrit [กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์]
Krom Phra Kamphaengphet Akkarayothin [กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน]
Krom Luang Phitsanulok Prachanat [กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ]
This system of appending a city name to a Krom title continued up to King Bhumibol Adulyadej (Rama IX). The last to receive such a title was H.R.H. Princess Galyani Vadhana [สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา], styled Krom Luang Naradhiwas Rajanagarindra [กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์].
In the present reign, the King has revived the older custom of granting Krom as a direct elevation of dignity, without using the name of a city. Recent examples include:
H.R.H. Princess Chulabhorn Walailak [สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์], titled Krom Phra Srisavangavadhana Vorakhattiya Rajanari [กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี]
H.R.H. Princess Bajrakitiyabha Narendira Debyavati [สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี], titled Krom Luang Rajasarinisiri Pachara Maha Vajra Rajadhita [กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา]
H.H. Princess Soamsawali [พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี], titled Krom Muen Suddhanarinatha [กรมหมื่นสุทธนารีนาถ]
Furthermore, the highest form, “Krom Somdet Phra” (กรมสมเด็จพระ), once discontinued after the reign of King Vajiravudh (Rama VI), has been revived. This was bestowed upon H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn [สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า], styled Somdet Phra Kanitthathirat Chao, Krom Somdet Phra Theprat Ratchasuda, Siam Borommarajakumari [สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี].
Notes
Phai Nai (ฝ่ายใน) = female member of the royal family
Phai Na (ฝ่ายหน้า) = male member of the royal family
Thus, “Krom” titles were Siam’s closest equivalent to European dukedoms or archdukedoms, combining honour, symbolic administrative identity, and social prestige.
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand