History of Fashion

Lupt Utama Lupt Utama

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และครอบครัว

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และครอบครัว

คอลเลกชันพระรูปที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ ถ่ายทอดภาพครอบครัวของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และพระชายา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิตนฤมล พร้อมด้วยพระธิดาองค์แรก พระองค์เจ้ามยุรฉัตร ซึ่งประสูติเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ (ค.ศ. 1905)

กระบวนการสร้างสรรค์เริ่มต้นจากการลงสีพระรูปต้นฉบับขาวดำ ซึ่งคาดว่าถ่ายไว้ราว พ.ศ. ๒๔๕๐ ขณะนั้นพระองค์เจ้ามยุรฉัตรมีพระชันษาประมาณ ๒ ปี กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินมีพระชันษา ๒๕ ปี และพระองค์เจ้าประภาวสิตนฤมลมีพระชันษา ๒๒ ปี ทำให้ภาพดังกล่าวสะท้อนความงดงามของครอบครัวหนุ่มสาวในช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงความผูกพันอันอบอุ่นในชีวิตส่วนพระองค์ของเจ้านายชั้นสูงแห่งกรุงสยาม

ในการตีความเชิงสร้างสรรค์ครั้งนี้ ได้เพิ่มให้มีการปรับฉลองพระองค์ของกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินให้เป็นชุดราชปะแตน แทนเครื่องแบบทหารที่เรามักจะเห็นในพระรูปต่างๆ เพื่อนำเสนอบรรยากาศที่ผ่อนคลายและร่วมสมัย สอดคล้องกับพระบุคลิกที่เปี่ยมด้วยความก้าวหน้าและทันสมัย พร้อมทั้งได้เลือกให้ฉากหลังเป็นวังบ้านดอกไม้ อันเป็นวังประทับของพระองค์เอง การเลือกสรรนี้ไม่เพียงช่วยเชื่อมโยงพระรูปให้อยู่ในบริบทประวัติศาสตร์ที่แท้จริง หากยังถ่ายทอดร่องรอยแห่งความสง่างามและวิถีชีวิตของราชสำนักสยามในช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ ได้อย่างสวยงาม

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน

กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน

ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเล็คชั่นี้ เป็นพระรูปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และพระชายา  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิตนฤมล 

คอลเล็คชันนี้ผมตั้งใจสร้างสรรค์เป็นพิเศษ โดยออกแบบและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ทั้งหมดให้มีความสมจริงและเป็นสามมิติราวกับภาพถ่ายจริง และผมได้เพิ่มบริบทในฉากหลังของภาพให้ใกล้เคียงกับยุคสมัยของพระรูปต้นฉบับ รูปฉลองพระองค์จอมพลกองทัพสยามแบบเต็มยศ และชุดทหารสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ผมได้ทำการสร้างสรรค์ให้เป็นพระรูปแบบเต็มตัวจากเดิมที่บางส่วนได้ขาดหายไป ผมหวังว่าการสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์

กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร (23 มกราคม พ.ศ. 2425 – 14 กันยายน พ.ศ. 2479) เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาวาด ดำรงตำแหน่งองคมนตรี แม่ทัพภาคที่ ๑ พระองค์แรก จเรทหารช่าง ผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง และเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ทั้งยังทรงริเริ่มการค้นหาปิโตรเลียมในประเทศสยาม และทรงเป็นต้นราชสกุลฉัตรชัย


เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ยุบรวมกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงคมนาคม จึงโปรดให้กรมหลวงกำแพงเพชรฯ รับตำแหน่งผู้รั้งเสนาบดีกระทรวงคมนาคมและพาณิชยการ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ จนถึงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ จึงทรงตั้งเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม และทำการในตำแหน่งผู้บัญชาการรถไฟหลวงแห่งกรุงสยามด้วย ต่อมา วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ โปรดให้เลื่อนเป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ประชาธิบดินทรเจษฎภาดา ปิยมหาราชวงศ์วิศิษฎ์ อเนกยนตรวิจิตรกฤตยโกศล วิมลรัตนมหาโยธาธิบดี ราชธุรันธรีมโหฬาร พาณิชยการคมนาคม อุดมรัตนตรัยสรณธาดา มัททวเมตตาชวาศรัย ฉัตรชัยดิลกบพิตร ทรงศักดินา ๑๕,๐๐๐ และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเป็นอภิรัฐมนตรีในวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ทรงเป็นองคมนตรีในสมัยรัชกาลที่ ๗ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๕

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นสไตล์อาร์ตเดโคในนครลำปาง ในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนปลาย ถึงรัชกาลที่ 7 ตอนต้น (ยุค 1920s)

แฟชั่นสไตล์อาร์ตเดโคในนครลำปาง ในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนปลาย ถึงรัชกาลที่ 7 ตอนต้น (ยุค 1920s)

คอลเลกชันภาพจาก AI ชุดนี้สร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ Nano-banana โดยอ้างอิงภาพถ่ายเก่าในด้านทรงผม เสื้อผ้า ผ้าซิ่น และฉากหลัง เพื่อนำมาผสมผสานจนเกิดเป็นภาพแฟชั่นที่สะท้อนบรรยากาศของนครลำปางในทศวรรษ 1920 ซึ่งเป็นทศวรรษที่เชื่อมระหว่างสมัยช่วงปลายรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2453–2468) ถึงต้นรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468–2477) บรรยากาศของแฟชั่นสไตล์อาร์ตเดโคที่แพร่เข้าสู่สยามในเวลานี้ ได้เดินทางมาถึงหัวเมืองเหนือ พร้อมกับความเจริญที่เข้ามาถึงลำปาง เมืองที่รถไฟสายเหนือมาถึงเป็นแห่งแรกในภูมิภาค เมืองเขลางค์นครได้กลายเป็นศูนย์กลางความเจริญแห่งล้านนา

ความรุ่งเรืองของลำปางในฐานะเมืองสำคัญแห่งล้านนา ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ แต่มีรากฐานจากตระกูลผู้ปกครองที่แข็งแกร่ง คือ ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน “ทิพย์จักร” หรือ “เจ้าเจ็ดตน”  ซึ่งสืบสายมาจาก เจ้าพ่อทิพย์ช้าง ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งลำปางในฐานะ พระญาสุลวลือไชย และสายสกุลของท่านได้แผ่ขยายออกไปปกครองนครสำคัญของล้านนา ได้แก่ ลำปาง เชียงใหม่ และลำพูน ต่อมาเมื่อสยามเริ่มฟื้นตัวในสมัยกรุงธนบุรี เจ้ากาวิละ (หนึ่งในเชื้อสายเจ็ดตน) ได้ร่วมมือกับพระเจ้าตากสินมหาราชในการขับไล่พม่าออกจากล้านนา นำมาซึ่งการฟื้นฟูเชียงใหม่และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างล้านนากับสยาม ดังนั้น “ตระกูล ณ ลำปาง” จึงไม่เพียงเป็นผู้ปกครอง แต่ยังเป็น เสาหลักทางการเมืองและวัฒนธรรม ที่ทำให้ลำปางกลายเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและคงความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของล้านนา

เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 ลำปางกลายเป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมไม้สัก บริษัทค้าไม้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะอังกฤษ เข้ามาตั้งสำนักงานและทำการค้าในพื้นที่ การส่งออกไม้สักสร้างความมั่งคั่งมหาศาล และทำให้เมืองนี้กลายเป็นที่รวมของพ่อค้า ขุนนาง และชาวต่างชาติ

การมาถึงของ ทางรถไฟสายเหนือ ซึ่งสิ้นสุดที่สถานีรถไฟนครลำปางใน พ.ศ. 2459 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ไม่เพียงอำนวยความสะดวกด้านการค้า แต่ยังทำให้ลำปางกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคม ผู้คนจากกรุงเทพฯ และต่างประเทศสามารถเดินทางมาถึงได้โดยตรง พร้อมนำวัฒนธรรมและแฟชั่นสมัยใหม่เข้ามาสู่เมือง

เมื่อก้าวสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 ลำปางก็แปรเปลี่ยนอีกครั้งจากนครกึ่งอิสระเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจด้วย อุตสาหกรรมไม้สักบริษัทค้าไม้จากยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ เข้ามาตั้งสำนักงานและสร้างความมั่งคั่งให้กับเมือง การมาถึงของ ทางรถไฟสายเหนือเมื่อ พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) ยิ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะลำปางกลายเป็นปลายทางของรถไฟก่อนจะต่อไปเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) รถไฟนำทั้งสินค้า การค้า ความคิดสมัยใหม่ และแฟชั่นจากกรุงเทพฯ และต่างประเทศมาสู่ล้านนาโดยตรง

หนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดของลำปางในช่วงนี้คือ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้านครลำปางองค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร (ครองนคร พ.ศ. 2441–2465) พระองค์ทรงพัฒนานครในหลายด้าน โดยเฉพาะการศึกษา พระพุทธศาสนา และสาธารณประโยชน์

เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตทรงเล็งเห็นว่า การศึกษาที่มีอยู่ในวัดไม่เพียงพอต่อการพัฒนาบ้านเมือง จึงเป็นผู้ริเริ่มนำระบบโรงเรียนแบบสมัยใหม่เข้ามาในลำปางเมื่อ พ.ศ. 2447 และต่อมาได้สละราชทรัพย์ซื้ออาคารเพื่อสร้าง โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โดยมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเปิดอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2448 การสนับสนุนเช่นนี้ทำให้ลำปางกลายเป็นเมืองการศึกษาที่สำคัญของภาคเหนือ พระองค์ยังได้รับพระราชทานนามสกุล “ณ ลำปาง” ใน พ.ศ. 2457 ซึ่งตอกย้ำสถานะของสายราชตระกูลนี้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ปกครองที่สำคัญของล้านนา

แฟชั่นสไตล์ Art Deco ในสยามเริ่มปรากฏชัดเจนตั้งแต่ทศวรรษ 1920s ในสมะยรัชกาลที่ 6 ตอนปลาย และเบ่งบานอย่างเต็มที่ในรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468–2477) ตอนต้น

แฟชั่นสไตล์นี้เป็นที่แพร่หลายในนครลำปาง โดยมีหลักฐานจากภาพถ่ายของครอบครัวเจ้าผู้ครองนคร และคหบดีสำคัญของลำปาง เสื้อผ้าในยุคนี้เป็นเสื้อทรงตรงเอวตำ่ และนิยมใส่กับผ้าซื่นที่ตีนซิ่นสูงขึ้นไปอยู่ในระดับกลางหน้าแข็ง ซึ่งเป็นความยาวกระโปรงตามสมัยนิยมจากโลกตะวันตก และมักจะนิยมสวมถุงน่องและร้องเท้าแบบ t-bar หรือ Mary Jane ส่วนเครื่องประดับ มักจะสวมสร้อยไข่มุกยาวหลายชิ้นด้วยกัน และทรงผมแบบลอนเปียก ดังนั้นแฟชั่นอาร์ตเดโคในนครลำปางจึงมิใช่เพียงแฟชั่นตามสมัยนิยม แต่เป็นภาพสะท้อนของการเดินทางของความเจริญสู่หัวเมืองเหนือ

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี (๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ – ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๙) พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา

ท่ามกลางพระราชธิดาน้อยใหญ่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้านิภานภดล ทรงเป็นพระราชธิดาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรักและทรงสนิทชิดเชื้อที่สุด พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ เดิมทรงพระนามว่า “พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้านิภานภดล” ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น “เจ้าฟ้า” และภายหลังรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น “กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี”

ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกพระราชธิดาพระองค์นี้ว่า “หญิงเล็กนิภา” ส่วนชาววังเรียกด้วยความรักใคร่ว่า “สมเด็จหญิงน้อย” พระนามที่สะท้อนความอบอุ่นและความผูกพันใกล้ชิด

สิ่งที่ทำให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้านิภานภดลทรงมีความพิเศษเหนือพระราชธิดาพระองค์อื่น คือความใกล้ชิดกับพระราชบิดา พระองค์ทรงดำรงตำแหน่ง ราชเลขานุการิณี สนองพระเดชพระคุณในราชกิจสำคัญ พระสติปัญญาและพระปรีชาสามารถเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดสนทนาและแลกเปลี่ยนความรู้กับพระราชธิดาพระองค์นี้อยู่เสมอ

เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระราชธิดาอย่างต่อเนื่อง รวม ๔๓ ฉบับ ความยาวกว่า ๑,๘๕๐ หน้า พระราชหัตถเลขาเหล่านี้ภายหลังได้ถูกรวบรวมเป็น หนังสือ “ไกลบ้าน” ผลงานที่มีความสำคัญยิ่งในวรรณคดีไทยสมัยใหม่ กรมศิลปากรเป็นผู้ครอบครองลิขสิทธิ์และตีพิมพ์เผยแพร่ และได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งบันทึกการเดินทาง วรรณกรรม และเอกสารประวัติศาสตร์ จัดอยู่ใน “หอคอยแห่งเกียรติยศของวรรณคดีไทย” (pantheon of Thai literature)

สำหรับการศึกษาทางประวัติศาสตร์แฟชั่น “ไกลบ้าน” นับเป็น แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ ที่สะท้อนให้เห็นการฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในโอกาสต่าง ๆ อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นฉลองพระองค์ในยามเสด็จประพาส หรือในพระราชพิธี ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใช้ เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองและการทูต เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของ “สยามอารยะ” ท่ามกลางกระแสการล่าอาณานิคมในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙

พระองค์ทรงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า การแต่งพระองค์แบบยุโรปมิได้เป็นเพียงเรื่องของรสนิยม แต่ยังเป็น เครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์ของชาติ (self-representation) ให้สยามปรากฏแก่สายตานานาประเทศในฐานะรัฐที่ทันสมัยและศิวิไลซ์ ดังนั้น ประโยชน์ของการแต่งพระองค์มิได้อยู่ที่พระเกียรติคุณส่วนพระองค์เท่านั้น หากยังสะท้อนถึงเกียรติภูมิของสยามในเวทีโลกด้วย

สำหรับผมเอง หนังสือ “ไกลบ้าน” เป็นทั้ง ส่วนหนึ่งของ การทบทวนวรรณกรรม และฐานข้อมูลวิจัย ที่สำคัญ ในงานวิจัยระดับปริญญาญาโท ที่ Royal College of Art ในสาขาวิชา History of Design เอก ประวัติศาสตร์แฟชั่นในยุคอาณานิคม และต่อมาผมได้ทำการวิจัยระดับปริญญาเอกในหัวข้อเดียวกันเป็นเวลาอีก ๑ ปีที่ SOAS การบรรยายเกี่ยวกับฉลองพระองค์และเหตุการณ์ที่เดี่ยวข้องกับเครื่องแต่งกายในพระราชหัตถเลขาเหล่านี้ช่วยให้ผมทำความเข้าใจบทบาทของแฟชั่นในฐานะ เครื่องมือทางการเมือง การทูต และการสร้างภาพลักษณ์ของชาติ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ได้อย่างชัดเจน

“ไกลบ้าน” จึงไม่เพียงแต่เป็นบันทึกความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างพระราชบิดากับพระราชธิดาอย่างสมเด็จฯ เจ้าฟ้านิภานภดล หากยังเป็นเอกสารที่เปิดให้เห็นพลวัตของแฟชั่น อำนาจ และการเมืองระหว่างประเทศของสยามในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดฉบับหนึ่ง

ภายหลังการสวรรคตของพระราชบิดา สมเด็จฯ เจ้าฟ้านิภานภดลทรงก่อตั้ง โรงเรียนนิภาคาร และทรงดำรงตำแหน่งทั้งผู้บริหารและอาจารย์ เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาแก่สตรีไทย แต่พระชนมชีพของพระองค์ก็มิได้ราบรื่น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ พระองค์เสด็จลี้ภัยไปยังเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย และสิ้นพระชนม์ ณ ที่นั้น เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘ สิริรวมพระชันษา ๔๙ ปี

สมเด็จฯ เจ้าฟ้านิภานภดลจึงทรงได้รับการจดจำในฐานะ “พระราชธิดาคู่พระทัย” ของรัชกาลที่ ๕ และยังทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งพระสติปัญญา ความจงรักภักดี และพระวิริยะอุตสาหะในการส่งเสริมการศึกษาสตรีไทย ขณะเดียวกัน “ไกลบ้าน” ที่ทรงเกี่ยวเนื่องกับพระองค์ก็ยังคงได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานวรรณกรรมชั้นครู ทั้งในมิติของความสัมพันธ์ครอบครัว วรรณคดี และในฐานะหลักฐานการเมืองวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นบทบาทของแฟชั่นในการธำรงเอกราชของสยามตราบจนปัจจุบัน

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และแฟชั่นราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และแฟชั่นราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา

เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระโสทรเชษภคินีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทำให้พระองค์ทรงเป็นปฐมบรมราชินีนาถของประเทศไทย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์สภานายิกา สภากาชาดไทยพระองค์แรกอีกด้วย

สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ และแฟชั่นแบบราชสำนักในรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (สมัยวิกตอเรียตอนปลาย)

พระฉายาลักษณ์ในคอลเลกชันนี้ ต้นฉบับถ่ายโดย Robert Lenz ที่สตูดิโอที่สิงคโปร์ (ภาพชุดนี้มีหลายภาพในอริยาบทที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งมุมกล้องที่หลากหลาย และหลังจากนั้น Robert Lez เข้ามาเปิดกิจการการถ่ายรูปที่กรุงเทพ ตามคำเชิญของรัชกาลที่ ๕) ก่อนการเสด็จพระราชดำเนินพร้อมรัชกาลที่ 5 ไปยังเกาะชวาในปี ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) หนึ่งปีก่อนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งใหญ่ พระฉายาลักษณ์ต้นฉบับเป็นรูปถ่ายขาวดำที่มีข้อจำกัดหลายประการ จึงต้องอาศัยทั้งการบูรณะและการสร้างสรรค์ใหม่เพื่อให้เห็นรายละเอียดของฉลองพระองค์ และเครื่องราชอิศริยาภรณ์ ในแฟชั่นสไตล์ผสมผสานกับตะวันตกในยุควิกตอเรียตอนปลาย

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุคนี้คือ แขนเสื้อทรงขาแกะ (Gigot sleeves) หรือ “แขนหมูแฮม” (Leg-of-mutton sleeves) ซึ่งมีขนาดใหญ่มากในช่วงกลางทศวรรษ 1890s ก่อนจะลดขนาดลงในช่วงปลายทศวรรษ ซึ่งทำให้สามารถกำหนดอายุภาพไว้ในราวปี 1896 ได้อย่างแม่นยำ

ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ที่ปรากฏในพระฉายาลักษณ์นี้สะท้อนการแต่งกายแบบผสมผสานร่วมกับแฟชั่นร่วมสมัยกับแฟชั่นวิกตอเรียช่วงปลายทศวรรษ 1890s

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และแฟชั่นตะวันตกในปลายศตวรรษที่ 19

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และแฟชั่นตะวันตกในปลายศตวรรษที่ 19

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา

เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระโสทรเชษภคินีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทำให้พระองค์ทรงเป็นปฐมบรมราชินีนาถของประเทศไทย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์สภานายิกา สภากาชาดไทยพระองค์แรกอีกด้วย

สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ และแฟชั่นสตรีสมัยวิกตอเรียตอนปลาย

พระฉายาลักษณ์ทั้งสามภาพในคอลเลกชันนี้ คาดว่าเป็นการฉายเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินพร้อมรัชกาลที่ 5 ไปยังเกาะชวาในปี ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) หนึ่งปีก่อนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งใหญ่ พระฉายาลักษณ์ต้นฉบับเป็นรูปถ่ายขาวดำที่มีข้อจำกัดหลายประการ จึงต้องอาศัยทั้งการบูรณะและการสร้างสรรค์ใหม่เพื่อให้เห็นรายละเอียดของฉลองพระองค์สไตล์ตะวันตกในยุควิกตอเรียตอนปลาย

ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุคนี้คือ แขนเสื้อทรงกิกอต (Gigot sleeves) หรือ “แขนหมูแฮม” (Leg-of-mutton sleeves) ซึ่งมีขนาดใหญ่มากในช่วงกลางทศวรรษ 1890s ก่อนจะลดขนาดลงในช่วงปลายทศวรรษ ซึ่งทำให้สามารถกำหนดอายุภาพไว้ในราวปี 1896 ได้อย่างแม่นยำ

ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ที่ปรากฏในพระฉายาลักษณ์ทั้งสามสะท้อนความร่วมสมัยกับแฟชั่นวิกตอเรียช่วงปลายทศวรรษ 1890s

  • พระฉายาลักษณ์ที่ ๑ ฉลองพระองค์ชุดราตรีเต็มยศ ประดับดิ้นทอง ลูกไม้ และสายสะพาย พร้อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์

  • พระฉายาลักษณ์ที่ ๒ ฉลองพระองค์ชุดกลางวันลายดอกไม้พร้อมหมวก ประดับด้วยเครื่องประดับสุภาพสตรีแบบวิกตอเรีย

• • พระฉายาลักษณ์ที่ ๓ ฉลองพระองค์สีชมพูอ่อนในบรรยากาศสบาย ๆ พร้อมพระราชโอรสทรงชุดกลาสีเรือ sailor suit

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นสตรีล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕

แฟชั่นสตรีล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕

คอลเลกชันภาพที่สร้างสรรค์ด้วยการเทรนโมเดล AI ชุดนี้เป็นการสร้างสรรค์วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีล้านนา โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก ภาพถ่ายในประวัติศาสตร์ทั้งหมดสามภาพ ซึ่งบันทึกไว้ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ผสมผสานกับคอลเล็คชั้นภาพถ่ายแฟชั่นล้านนาในปัจจุปัน คอลเลกชันนี้ผสมผสาน ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล เพื่อให้เห็นถึง ความงดงามของสตรีและผ้าทอแบบล้านนา

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ สตรีล้านนานิยมสวม ผ้าแถบ สำหรับพันรอบอก หรือพาดเฉียงไหล่ในแบบสะหว้ายแหล้ง ผ้าซิ่นที่นิยม เป็นซิ่นทอที่มีลวดลายทางขวาง เรียกว่าซิ่นต๋า โดยอาจมี ตีนจก (คือผ้าที่บริเวณส่วนปลายของผ้าซิ่นประกอบด้วยผ้าที่มีลวดลายที่ทอด้วยวิธีจก หรือควักเส้นด้ายพิเศษสีต่างๆมาผูกมัดขัดกับเส้นอื่นเป็นลวดลายแบบต่างๆ) หรือ ตีนลวด (ลวดลายที่ทอขึ้นมาพร้อมกับผืนผ้าโดยไม่มีการเย็บต่อ) ในช่วงฤดูหนาว ผ้าตุ๊ม หรือ ผ้าคลุมไหล่ มักถูกนำมาใช้เพื่อให้ความอบอุ่น โดยยังคงไว้ซึ่งความงดงามและความสะดวกสบายในแบบล้านนา

วิวัฒนาการของการทอผ้าซิ่นล้านนา: จากซิ่นต่อตีนต่อเอวสู่ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน

ซิ่นต่อตีนต่อเอวโบราณ: ซิ่นล้านนาแบบดั้งเดิม ทอแยกเป็นสามส่วน แล้วจึงนำมาเย็บประกอบเป็นผืนเดียวกัน ได้แก่

* หัวซิ่น: ส่วนบนติดกับเอว มักเป็นผ้าสีพื้นหรือมีลวดลายเล็กน้อย

* ตัวซิ่น: ส่วนหลักของซิ่น มักเป็นลายขวางหรือลวดลายที่แตกต่างจากหัวซิ่น

* ตีนซิ่น: ส่วนล่างของซิ่น อาจเป็น ตีนจก หรือเป็น ตีนซิ่นที่ทำจากผ้าสีพื้น เช่น สีดำ เพื่อเสริมความทนทาน

ก่อนมีการพัฒนากี่กระตุก ผ้าซิ่นต้องทอเป็นชิ้นเล็กๆ และเย็บต่อกัน เนื่องจากขนาดหน้ากว้างของกี่ทอยังมีข้อจำกัด

ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน: ในสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 การพัฒนากี่กระตุกทำให้สามารถทอผ้าซิ่นได้ เต็มผืนโดยไม่ต้องเย็บต่อ ซิ่นลักษณะนี้เรียกว่า ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน ซึ่งมีข้อดีคือ:

* ไม่มีรอยต่อ ระหว่างหัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น

* ลวดลายสามารถทอเป็นผืนเดียวกันได้ โดยไม่ต้องเย็บประกอบ

* ผ้าซิ่นมีความทนทานมากขึ้น เนื่องจากทอเป็นชิ้นเดียว

* กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดระยะเวลาและแรงงานในการเย็บตัด

AI กับการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย – ศักยภาพและข้อจำกัด

คอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง ศักยภาพของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในการช่วยสร้างภาพจำลองสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย โดยเฉพาะ แฟชั่นล้านนาในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้รับการถ่ายทอดผ่านการผสมผสาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล

AI สามารถ รังสรรค์ภาพอดีตขึ้นใหม่ได้อย่างแม่นยำในแง่ของรูปทรง เสื้อผ้า และสไตล์การแต่งกาย ทำให้เราเห็นโครงสร้างโดยรวมของ ซิ่นต๋า ผ้าแถบ และการห่มผ้าแบบสะหว้ายแหล้ง อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า AI จะสามารถถ่ายทอดภาพรวมของแฟชั่นล้านนาออกมาได้ดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการ จับรายละเอียดที่ซับซ้อนของงานสิ่งทอไทย โดยเฉพาะ ลวดลายตีนจก ซึ่งมักมีลวดลายเล็กละเอียดและซับซ้อนเกินไปสำหรับแบบจำลอง AI ในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าในกระบวนการพัฒนา เราจะใช้การ ฝึก LoRA (Low-Rank Adaptation) เพื่อปรับแต่งโมเดลให้เข้าใจองค์ประกอบของแฟชั่นไทยมากขึ้น แต่ ฐานข้อมูลที่ AI ใช้ในการฝึกฝนยังคงมีพื้นฐาน (base model) จากชุดข้อมูลตะวันตกเป็นหลัก ทำให้บางครั้ง AI ยังไม่สามารถ ถ่ายทอดรายละเอียดเชิงวัฒนธรรมแบบเฉพาะของไทยได้อย่างครบถ้วน เช่น ลายตีนจกที่มีความละเอียดสูง หรือเทคนิคการทอแบบพื้นเมือง ความท้าทายนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยฟื้นฟูและศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการแปลความหมายของรายละเอียดที่ซับซ้อนและลึกซึ้งในเชิงวัฒนธรรม แต่วิธีที่ช่วยแก้ปัญหาคือการนำภาพผ้าซิ่นไปแก้และ Upscale แล้วตีนจกจะออกมาเหมือนทอด้วยดิ้นเงินดิ้นทองได้ครับ

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้ลดทอนคุณค่าของ AI ในการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่น แต่กลับเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับองค์ความรู้จากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอไทย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด AI อาจเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องอาศัย องค์ความรู้ดั้งเดิมและการตีความของมนุษย์ เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และถูกนำเสนออย่างแม่นยำในยุคดิจิทัล

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าพิมพิสาร ณ น่าน เจ้าเมืองเทิงคนสุดท้าย และ แม่เจ้าสุตินา

เจ้าพิมพิสาร เจ้าเมืองเทิงคนสุดท้าย และ แม่เจ้าสุตินา

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ เจ้าพิมพิสาร เจ้าเมืองเทิงคนสุดท้าย และ แม่เจ้าสุตินา ชายา ปกครองเมืองเทิงตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๐๐ จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๓

จากรายงานการปกครองนครน่าน ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) โดยพระยาสุนทรนุรักษ์ ข้าหลวงนครน่าน ระบุว่า นครน่านมีหัวเมืองขึ้น ๔๕ เมือง แบ่งเป็นเมืองที่เจ้าเป็นผู้ปกครอง ๔ เมือง ได้แก่
๑. เมืองเชียงของ (ริมแม่น้ำโขง)
๒. เมืองเทิง (ตั้งอยู่น้ำอิง)
๓. เมืองเชียงคำ (ตั้งอยู่น้ำลาว)
๔. เมืองเงิน (ตั้งอยู่น้ำเงิน)

เมืองเทิง ปัจจุบันคืออำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เจ้าเมืองคนสุดท้ายคือ เจ้าพิมพิสาร (เจ้าตุ้ย) บุตรของ เจ้ามหาวงษ์ เจ้าเมืองน่านองค์ที่ ๖๑ (ครองเมือง พ.ศ. ๒๓๘๑–๒๓๙๔)

เชื้อสาย

เจ้ามหาวงษ์ เป็นบุตรของเจ้ามหาพรหมเมืองเทิง กับเจ้านางเลิศ หลานเจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์ เจ้าเมืองน่านองค์ที่ ๕๑

บุตรของเจ้ามหาวงษ์กับแม่เจ้ายอด (ชายาเอก):
๑. เจ้าน้อยอินปัน – ภายหลังเลื่อนเป็นเจ้าราชบุตรและเจ้าบุรีรัตน์
๒. เจ้าคำเครื่อง – เลื่อนเป็นพระยาวังขวา มีธิดาคือแม่เจ้าศรีโสภา สมรสกับเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าเมืองน่านองค์ที่ ๖๔
๓. เจ้าน้อยเมือง

บุตรของเจ้ามหาวงษ์กับเจ้าแป๋งเฮือน (ชายารอง):
๑. เจ้าพิมพิสาร (เจ้าตุ้ย) – ต่อมาเลื่อนเป็นเจ้าเมืองเทิง สมรสกับ แม่เจ้าสุตินา มีบุตร ๒ คน คือ

  • เจ้าน้อยอินทร์เมือง

  • เจ้าบัวเขียว

เจ้าพิมพิสารปกครองเมืองเทิงตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๐๐ จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๓

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าราชวงศ์ (สุริยะ ณ น่าน) แต่งกายอย่างชาวลื้อ

เจ้าราชวงศ์ (สุริยะ ณ น่าน) แต่งกายอย่างชาวลื้อ

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้เป็นภาพของ เจ้าราชวงศ์สุริยะ ณ น่าน เมื่อปี พ.ศ. 2428 (ค.ศ. 1885) ขณะดำรงตำแหน่ง อุปราช แห่งนครน่าน ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนขึ้นเป็น พระเจ้าสุริยะพงษ์ผริตเดชฯ เจ้านครน่าน ในเวลาต่อมา ท่านเป็นพันธมิตรที่ภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ในการต่อสู้กับพวกฮ่อ

เจ้าราชวงศ์สุริยะปรากฏในเครื่องแต่งกายแบบชาวลื้อ ประกอบด้วยผ้าโพกศีรษะ ผ้าพาดบ่า การนุ่งโจงกระเบน และประดับดอกไม้ไหวที่หูข้างขวา ท่านนั่งบนเสื่อและพิงหมอนสามเหลี่ยมใบใหญ่ที่ปักลายช้างอย่างวิจิตร รอบกายมีเครื่องใช้และ เครื่องเชี่ยนหมาก กระโถน และหีบหมาก รวมถึงภาชนะเงินลายและเครื่องเขิน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงฐานันดรศักดิ์ของท่านในราชสำนักล้านนา (อ้างอิง: Silken Threads, Lacquer Thrones, Lan Na Court Textiles – River Books)

เหตุการณ์กบฏฮ่อและความเกี่ยวข้องกับนครน่าน

พ.ศ. 2394 “ฮ่อ” หรือกองกำลังชาวจีนที่ต่อต้านราชวงศ์แมนจู ได้ก่อการกบฏขึ้นในนาม กบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว เพื่อปลดปล่อยตนเองออกจากการปกครองของราชวงศ์ชิง แต่เมื่อถึง พ.ศ. 2405 การลุกฮือล้มเหลว พวกไท่ผิงจึงแตกพ่ายและต้องหลบหนีไปซ่อนตัวตามป่าเขาในจีนตอนใต้ ทั้งมณฑลยูนนาน ฝูเจี้ยน กวางสี กวางตุ้ง และเสฉวน บางส่วนหลบหนีเข้ามายังตังเกี๋ย

ต่อมา พวกฮ่อภายใต้การนำของ “ปวงนันชี” ซึ่งใช้ธงเหลืองเป็นสัญลักษณ์ ได้ซ่องสุมกำลังที่ทุ่งไหหิน และออกปล้นสะดมหมู่บ้านเมืองต่าง ๆ ในดินแดนสิบสองจุไทและเมืองพวน ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของราชอาณาจักรสยาม แม้ฝ่ายสยามจะทำการปราบปรามหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ

การศึกปราบฮ่อในรัชกาลที่ 5

พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดกองทัพตามแบบยุโรปขึ้นไปปราบฮ่อ โดยแบ่งเป็นสองกองทัพ คือ

  1. กองทัพฝ่ายใต้ – มีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็นแม่ทัพ ยกไปปราบฮ่อในแคว้นเมืองพวน ตั้งกองบัญชาการที่เมืองหนองคาย และมอบหมายให้พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค) ยกทัพหน้าไปตีค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ แต่พวกฮ่อแตกพ่ายหนีเข้าเขตญวน กองทัพไทยจึงรื้อค่ายเชียงคำเสีย

  2. กองทัพฝ่ายเหนือ – มีเจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) เป็นแม่ทัพ ยกกำลังออกจากกรุงเทพฯ พร้อมอาวุธสมัยใหม่ เช่น ลูกแตก (ลูกระเบิด) และปืนกลที่คล่องตัวกว่าปืนใหญ่ นอกจากช้าง ม้า โค ลา และฬ่อแล้ว กองทัพได้ชุมนุมที่เมืองพิชัย ก่อนเดินทัพต่อไปยังเมืองน่าน แล้วเข้าสู่หลวงพระบาง และเคลื่อนกำลังสู่แคว้นหัวพันห้าทั้งหก หลังจากปราบฮ่อที่นั่นแล้วจึงยกไปตีสิบสองจุไท จนสำเร็จราบคาบใน พ.ศ. 2429 และกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2430

บทบาทของนครน่าน

เมื่อกองทัพหลวงเดินทัพผ่านเมืองน่าน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาสุราภรณ์มงกุฎสยาม ชั้นที่ 1 แก่ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครน่าน โดยมีเจ้าหมื่นไวยวรนาถ แม่ทัพ เป็นผู้เชิญมามอบให้

เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ยังได้ถวายช้างศึกจำนวน 100 เชือก พร้อมเสบียงอาหารและกองกำลังทหารเมืองน่าน เพื่อร่วมรบกับกองทัพหลวงในการศึกครั้งสำคัญนี้ด้วย

สรุปความสำคัญของภาพถ่าย

ภาพถ่ายต้นฉบับนี้คือ เจ้าราชวงศ์สุริยะ ณ น่าน เมื่อครั้ง พ.ศ. 2428 ถ่ายโดยกองทัพหลวงสยามในคราวปราบฮ่อ ท่านแต่งกายอย่างชาวลื้อ นั่งพิงหมอนสามเหลี่ยมปักลายช้าง พร้อมเครื่องใช้ประดับเกียรติยศ ภาพนี้ไม่เพียงเป็นหลักฐานด้านแฟชั่นและวัฒนธรรมของราชสำนักล้านนา แต่ยังเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนบทบาทสำคัญของนครน่านและราชวงศ์ ณ น่าน ในการสนับสนุนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในศึกปราบฮ่อ

การบูรณะและความท้าทาย

ภาพถ่ายนี้นับเป็นหนึ่งในภาพที่ท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากต้นฉบับมีคุณภาพค่อนข้างมืด รายละเอียดหลายส่วนไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน จึงจำเป็นต้องอาศัยความรู้ด้านวัฒนธรรมวัตถุของล้านนาเข้ามาช่วยตีความสิ่งของ เครื่องใช้ และสภาพแวดล้อมในภาพ ก่อนจะนำมาสร้างสรรค์ใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทของยุคสมัย

การบูรณะภาพเก่าเช่นนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการใช้ AI เติมสีสัน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใส่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์และความถูกต้องของรายละเอียดลงไป เพื่อให้ AI เข้าใจทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องแต่งกาย ลวดลายปักบนหมอนสามเหลี่ยม เครื่องเชี่ยนหมาก หรือภาชนะเงิน รวมไปถึงโทนสีที่เหมาะสมกับบริบทในสมัยนั้น ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยทั้งความรู้เชิงลึก จินตนาการสร้างสรรค์ และความพิถีพิถัน เพื่อถ่ายทอดภาพที่สมจริงที่สุดในเชิงศิลปะและประวัติศาสตร์

Chao Ratchawong (Suriya Na Nan — สุริยะ ณ น่าน) in Tai Lue Attire

This photograph, restored using AI technology, depicts Chao Ratchawong Suriya Na Nan (เจ้าราชวงศ์สุริยะ ณ น่าน) in 1885 (BE 2428), when he served as Uparaj (Viceroy) of Nan before being elevated by royal command to become Phra Chao Suriyapong Paritdej (พระเจ้าสุริยะพงษ์ผริตเดชฯ), Ruler of Nan. He was a loyal ally of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama V) in the campaigns against the Haw.

Chao Ratchawong Suriya is shown in Tai Lue ceremonial attire, consisting of a turban cloth, a sash draped across his shoulder, a chong kraben (โจงกระเบน), and flowers adorning his right ear. He is seated on mats, leaning against a large triangular cushion elaborately embroidered with elephant motifs. Surrounding him are regalia and accoutrements, including a betel set (เครื่องเชี่ยนหมาก), spittoon (กระโถน), and betel chest (หีบหมาก), as well as silver vessels with niello decoration and repoussé designs. These objects symbolise his honour and status within the Lan Na (ล้านนา) court.
(Reference: Silken Threads, Lacquer Thrones, Lan Na Court Textiles – River Books)

The Haw Rebellion and Its Connection to Nan

In 1851 (BE 2394), the “Haw” (ฮ่อ), Chinese forces opposed to the Manchu dynasty, rose in revolt as the Taiping Tianguo Rebellion (กบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว), seeking liberation from Qing rule. By 1862 (BE 2405), the uprising was crushed, and the Taiping remnants fled into hiding across the mountains of southern China—in Yunnan (ยูนนาน), Fujian (ฝูเจี้ยน), Guangxi (กวางสี), Guangdong (กวางตุ้ง), and Sichuan (เสฉวน)—while some crossed into Tonkin (ตังเกี๋ย).

Later, under the leadership of Puan Nanchi (ปวงนันชี), who used a yellow flag as their emblem, the Haw regrouped at the Plain of Jars (ทุ่งไหหิน). From there, they launched raids across towns and villages in the region of Sipsong Chu Tai (สิบสองจุไท) and Xieng Khouang (เมืองพวน), which at that time lay within the suzerainty of Siam (สยาม). Despite repeated suppression campaigns, the Haw threat remained unresolved.

The Campaigns Against the Haw in the Reign of King Rama V

In 1885 (BE 2428), King Chulalongkorn (รัชกาลที่ 5) ordered the formation of European-trained armies to suppress the Haw, divided into two fronts:

  1. The Southern Army – Commanded by Prince Prachak Silpakom (กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม), who advanced into Xieng Khouang (เมืองพวน). Headquarters were established at Nong Khai (หนองคาย), and Phra Amorn Visaisoradet (พระอมรวิไสยสรเดช, โต บุนนาค) led the vanguard to attack the Haw camp at Thung Chiang Kham (ทุ่งเชียงคำ). The Haw were defeated and retreated into Annamese territory, after which the Siamese dismantled the camp.

  2. The Northern Army – Commanded by Chao Muen Waiworanart (เจ้าหมื่นไวยวรนาถ, เจิม แสง-ชูโต). The forces departed Bangkok with modern weaponry, including grenades (ลูกแตก) and machine guns (ปืนกล) that were more mobile than traditional artillery. Alongside elephants, horses, oxen, mules, and donkeys, the army assembled at Phichai (เมืองพิชัย), then marched to Nan (เมืองน่าน), Luang Prabang (หลวงพระบาง), and into Hua Phan Tang Hok (หัวพันห้าทั้งหก). After subduing the Haw there, they advanced into Sipsong Chu Tai (สิบสองจุไท), achieving decisive victory by 1886 (BE 2429). The forces returned to Bangkok on 7 June 1887 (BE 2430).

The Role of Nan

As the royal army passed through Nan, King Chulalongkorn (รัชกาลที่ 5) bestowed the Knight Grand Cordon of the Most Illustrious Order of the Crown of Siam (First Class) – เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาสุราภรณ์มงกุฎสยาม ชั้นที่ 1upon Chao Anantaworaritdet (เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ), Ruler of Nan, with the decoration delivered by Commander Chao Muen Waiworanart (เจ้าหมื่นไวยวรนาถ).

Chao Anantaworaritdet also contributed significantly to the campaign, providing 100 war elephants, supplies, and a contingent of Nan soldiers to support the royal forces in this decisive war against the Haw.

The Significance of the Photograph

This original photograph of Chao Ratchawong Suriya Na Nan (เจ้าราชวงศ์สุริยะ ณ น่าน), taken in 1885 during the Siamese royal army’s Haw campaign, shows him in Tai Lue dress, seated against an elephant-embroidered triangular cushion and surrounded by ceremonial regalia. It is not only a valuable record of Lan Na (ล้านนา) court fashion and culture but also a historical testament to the crucial role of Nan (น่าน) and the Na Nan (ณ น่าน) dynasty in supporting King Chulalongkorn (รัชกาลที่ 5) during the suppression of the Haw.

Restoration and Challenges

This photograph is considered one of the most challenging to restore, as the original was rather dark and many details were indistinct. It required knowledge of Lanna (ล้านนา) material culture to interpret the objects, furnishings, and environment within the image before recreating them in line with the historical context of the period.

The restoration of such an old photograph was therefore far more than simply adding colour through AI. It was a process of embedding accurate historical knowledge and contextual details, enabling the AI to interpret every element—whether the attire (เครื่องแต่งกาย), the embroidered patterns on the triangular cushion (ลวดลายปักบนหมอนสามเหลี่ยม), the betel set (เครื่องเชี่ยนหมาก), or the silver vessels (ภาชนะเงิน). Even the colour tones had to be carefully chosen to reflect the era. This demanded expertise, creative imagination, and meticulous attention to detail in order to render an image that is authentic both artistically and historically.

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO 

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63

พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63

ในพระรูปที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ ปรากฏเครื่องราชอิสริยาภรณ์ซึ่งพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ได้ทรงรับพระราชทาน ดังต่อไปนี้

  • พุทธศักราช 2440 — เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)

  • พุทธศักราช 2444 — เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.)

ทั้งนี้ สันนิษฐานว่าพระรูปต้นฉบับที่ได้รับการบูรณะดังกล่าว ได้ฉายในราวพุทธศักราช 2444 เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหล่านี้ และภายหลังในปีเดียวกัน พระองค์ยังได้ทรงรับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) (ฝ่ายหน้า) อีกด้วย


พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63 และองค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 – 5 เมษายน พ.ศ. 2461) เป็นพระโอรสองค์ที่สองในพระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 และทรงเป็นพระนัดดา (หลานปู่) ในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 พระองค์ทรงเป็นพระเชษฐาต่างเจ้ามารดากับเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 ชาวเมืองน่านเรียกพระองค์โดยลำลองว่า พระเจ้าน่าน

พระองค์ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเลื่อนพระเกียรติยศขึ้นเป็น พระเจ้าประเทศราชองค์ที่ 7 (18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 – 5 เมษายน พ.ศ. 2461) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) นับเป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์น่านที่ได้รับพระอิสริยยศสูงสุดในฐานะพระเจ้านครน่าน และทรงเป็นพระเจ้าประเทศราชล้านนาองค์สุดท้าย อีกทั้งยังเป็นพระเจ้าประเทศราชล้านนาเพียงพระองค์เดียวที่ได้รับพระราชทานมหามงกุฎจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

ศิราภรณ์แบบบองโด (Bandeau) และการปรับใช้ในแฟชั่นของราชสำนักสยาม (ตอนที่ 1)

ศิราภรณ์แบบบองโด (Bandeau) และการปรับใช้ในแฟชั่นของราชสำนักสยาม

ภาพถ่ายที่ผ่านการสร้างสรรค์ด้วยการเทรนโมเดล AI คอลเลกชันนี้ สะท้อนถึงช่วงการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นสตรีในสยามจากสมัยรัชกาลที่ ๕ สู่รัชกาลที่ ๖ โดยในคอลเลกชันนี้ผมออกแบบให้แฟชั่นเป็นสไตล์ Late Edwardian และ Early Teens ซึ่งอยู่ในช่วงรัชกาลที่ ๖ ตอนกลาง เราสามารถสังเกตแฟชั่นสไตล์ Early Teens ได้จากเสื้อลูกไม้คอต่ำแบบตะวันตก แขนเสื้อที่สั้นขึ้นมาอยู่ประมาณใต้ข้อศอก และมักเป็นแขนเสื้อที่กว้างหรือมีระบาย ตลอดจนเครื่องประดับสไตล์ Art Nouveau ที่เต็มไปด้วยลวดลายและความอ่อนช้อยของดอกไม้และเถาวัลย์ และสิ่งหนึ่งที่ถือเป็น signature ของแฟชั่นในยุคนี้คือที่คาดหน้าผาก หรือสายคาดศีรษะ หรือที่เรียกว่า “บองโด (Bandeau)” ซึ่งทำจากวัสดุหลากหลาย ตั้งแต่ริบบิ้นที่เรียบง่าย ไปจนถึงงานเครื่องเพชรและอัญมณีมีค่า

ต้นกำเนิดของบองโดในยุโรป

บองโด (Bandeau) เป็นศิราภรณ์ประเภทสายคาดศีรษะหรือที่คาดผม ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานในยุโรป เริ่มปรากฏครั้งแรกในอิตาลีสมัยยุคกลางและสมัยเรอเนสซองส์ และกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงยุครีเจนซีและจอร์เจียน (ราว ค.ศ. 1825–1835) โดยนิยมทำเป็นเส้นเรียงอัญมณีหรือมุก คาดผ่านหน้าผาก และมัดหรือใช้กิ๊บเหน็บไว้ที่ด้านหลังของทรงผม ช่วงแรกมักใช้ริบบิ้น แต่ต่อมาก็พัฒนาเป็นการออกแบบด้วยโลหะและอัญมณีมีค่าในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับเทียร่า (tiara)

เมื่อเข้าสู่สมัยเอ็ดเวิร์เดียน (ราว ค.ศ. 1901–1910 หรือสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย) บองโดได้ถูกยกระดับให้วิจิตรบรรจงยิ่งขึ้น คาร์เทียร์ (Cartier) และบุชเชอรอง (Boucheron) ต่างผลิตบองโดประดับเพชรและมุกในรูปแบบที่อ่อนช้อยคล้ายโบ ริบบิ้น หรือมาลัยดอกไม้ สอดคล้องกับลักษณะของเครื่องประดับสไตล์เอ็ดเวิร์เดียนที่เน้นความอ่อนหวานและพลิ้วไหว ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะอาร์ตนูโว (Art Nouveau) แม้ว่าในช่วงแรกบองโดจะยังไม่โดดเด่นเทียบเทียร่า แต่ภายหลังในสมัยอาร์ตเดโค (ทศวรรษ 1920, สมัยรัชกาลที่ ๖) บองโดได้กลายเป็นสัญลักษณ์แฟชั่นของยุคสมัยนั้น

บองโดในสยาม: จากอิทธิพลยุโรปสู่ราชสำนักสยาม

บองโดเริ่มเข้าสู่ราชสำนักสยามในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๑๑–๒๔๕๓) และเป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยรัชกาลที่ ๖ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พ.ศ. ๒๔๕๓–๒๔๖๘) เมื่อสตรีชั้นสูงทั้งเจ้านายฝ่ายใน พระภรรยาเจ้า และสตรีชั้นสูงในราชสำนัก เริ่มรับแบบการแต่งกายตะวันตกสำหรับงานพระราชพิธีและงานสังคมชั้นสูง เพื่อสะท้อนถึงความเป็นสมัยใหม่ของสยามและการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมสากล

บองโดในราชสำนักสยามมักปรากฏร่วมกับทรงผมสไตล์เอ็ดเวิร์เดียน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทรงผมสไตล์รอคโคโคแบบ “A La Pompadour” หรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า “โซขุฮัตสึ” (束髪) วิธีการทำผมทรงนี้คือการเกล้าผมสูงและตีให้พองด้านข้างและด้านบน พร้อมทั้งมีมวยผมด้านหลังศีรษะ ซึ่งเหมาะแก่การคาดบองโด มีทั้งแบบที่ทำจากอัญมณีหรือมุกที่เรียบหรู และแบบผ้าซาตินหรือผ้าลูกไม้ เพื่อเสริมให้เข้ากับเสื้อลูกไม้หรือเสื้อแพรคอต่ำและแขนสามส่วน ซึ่งเป็นแฟชั่นนิยมของสตรีชั้นสูงในยุคนั้น พร้อมทั้งเครื่องประดับตะวันตก เช่น ช็อกเกอร์ สร้อยมุกยาว และเข็มกลัด

ภาพแฟชั่น AI Collection นี้ แสดงให้เห็นสตรีชั้นสูงสวมบองโดประดับเพชร มุก หรืออัญมณีอย่างสง่างาม เข้าคู่กับเสื้อลูกไม้และเครื่องประดับจากยุโรปที่มีลักษณะเป็นโบและมาลัยดอกไม้ ทำให้เห็นถึงการผสมผสานของความหรูหราสไตล์เอ็ดเวิร์เดียนกับรสนิยมสยามได้อย่างลงตัว

ความต่อเนื่องสู่ทศวรรษ 1920 และสมัยรัชกาลที่ ๗

ความนิยมในบองโดมิได้สิ้นสุดลงพร้อมสมัยเอ็ดเวิร์เดียน ตรงกันข้าม ในทศวรรษ 1920 บองโดกลับกลายเป็นแฟชั่นที่โดดเด่นอย่างยิ่งในยุคอาร์ตเดโค และยังคงได้รับความนิยมในสยามด้วย จากที่เคยใช้คู่กับผมเกล้าสูงในสมัยก่อน บองโดกลับเข้ากันได้อย่างลงตัวกับทรงผมบ็อบสั้น ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่เจ้านายสตรีและสตรีชั้นสูงในช่วงรัชกาลที่ ๖ ตอนปลาย ต่อเนื่องไปจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ ตอนต้น (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๗)

บองโด เครื่องประดับ และความเป็นสมัยใหม่ของสยาม

บองโดมิได้เป็นเพียงเครื่องประดับศีรษะ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความเป็นสากล และสถานะทางสังคม ในคอลเลกชันก่อนหน้านี้ ผมได้นำเสนอภาพถ่ายต้นฉบับลงสีของเจ้านายฝ่ายในและพระภรรยาเจ้า ซึ่งเป็นแฟชั่นในแบบเดียวกัน ในภาพเหล่านั้นมีบองโดปรากฏควบคู่กับช็อกเกอร์ สร้อยมุกยาว และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างความสง่างามแบบสยามกับแฟชั่นแบบสากล และภาพเหล่านั้นได้กลายมาเป็นดาต้าเซ็ตในการฝึกฝนโมเดล AI สำหรับคอลเลกชันนี้

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย) พ.ศ. 2433–2448 เจ้าหลวงเมืองเชียงรายคนสุดท้าย

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ พระยารัตนาณาเขต (เจ้าหลวงเมืองไชย) พ.ศ. 2433–2448 เจ้าหลวงเมืองเชียงรายคนสุดท้าย

เจ้าหลวงเมืองเชียงราย (ยุคพันธุมติรัตนอาณาเขต): ตอน เจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าหลวงเมืองเชียงรายองค์ที่ 1 สายราชตระกูลเจ้าเจ็ดตน

ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ยกทัพมาปราบปรามขับไล่ข้าศึกพม่าทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ แต่ไม่สำเร็จเด็ดขาด ครั้นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งราชวงศ์จักรี พ.ศ. 2347 กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราช ยกกองทัพขึ้นมาขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนได้สำเร็จ ให้เผาเมืองเสียสิ้น กวาดต้อนเอาผู้คนพลเมือง 23,000 ครอบครัว แบ่งเป็น 5 ส่วน โดยให้ไปอยู่เมืองเชียงใหม่ นครลำปาง นครน่าน เมืองเวียงจันทน์ และลงมายังกรุงเทพฯ บางส่วนให้ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองสระบุรี เมืองราชบุรีบ้าง

หลังจากที่ได้กวาดต้อนเอาผู้คนพลเมืองให้ไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ แล้ว เชียงแสนจึงกลายเป็นเมืองร้าง ทำให้นับแต่นั้นมา หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองเชียงแสนได้ขาดหายไประยะหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วมักกล่าวถึงเมืองเชียงใหม่ที่เป็นศูนย์กลางของล้านนาในยุคนั้น โดยมีตระกูลเจ้าเจ็ดตนปกครอง ซึ่งเกี่ยวพันกับการทำศึกสงครามกับพม่า บางครั้งก็ถูกพม่ารุกราน บางครั้งก็ยกทัพไปตีหัวเมืองขึ้นของพม่าและกวาดต้อนผู้คนลงมาด้วย ได้แก่ พวกไทยใหญ่ ไทยเขิน เป็นต้น

พ.ศ. 2386 ในรัชกาลที่ 3 ได้มีการจัดตั้งเมืองเชียงรายฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นกำลังช่วยเหลือเชียงใหม่ป้องกันภัยจากพม่า โดยมีฐานะเป็นเมืองบริวารของเชียงใหม่ พระเจ้ามโหตรประเทศ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ได้ให้ญาติพี่น้อง อันมีเจ้าหลวงธรรมลังกาเป็นเจ้าหลวงเมืองเชียงราย เจ้าอุ่นเรือนเป็นพระยาอุปราช เจ้าคำแสนเป็นพระยาราชวงศ์ เจ้าชายสามเจ้าพูเกี๋ยงเป็นพระยาราชบุตร และพระยาบุรีรัตน์ มีราษฎรถูกกวาดต้อนมาจากหัวเมืองขึ้นของพม่าในสมัย “เก็บผักใสซ้า เก็บข้าใส่เมือง” พร้อมด้วยพ่อค้าที่เป็นคนพื้นเมืองของไพร่เมือง 4 เมือง คือ เมืองเชียงตุง เมืองพยาก เมืองเลน และเมืองสาด ประมาณ 1,000 ครอบครัว ขึ้นมาตั้งสร้างบ้านเมือง

ตามข้อมูลเรียบเรียงจากอาจารย์ ปริญญา กายสิทธิ์ ระบุว่า

“เมื่อเจ้าหลวงธรรมลังกานำคณะผู้บุกเบิกมาฟื้นฟูเมืองเชียงราย โดยนำราษฎร 1,000 ครัวเรือนมาจากเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าออกเดินทางตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2386 หลังฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว การเดินทางพร้อมทั้งครัวเรือนจำนวนมากคงใช้เวลาเดินทางประมาณ 20–25 วัน
เมื่อเดินทางมาถึงเชียงรายในราวต้นเดือนมกราคม จึงได้แผ้วถางบ้านเมืองที่ถูกทิ้งร้างไปนานถึง 40 ปี คณะบุกเบิกได้สำรวจพื้นที่เพื่อหาชัยภูมิที่ตั้งเมืองเชียงราย
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2386 เมื่อการถางเมืองแล้วเสร็จ ได้ทำเสาระเนียดค่ายตามแนวกำแพงเมืองเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม ขุดคูเมืองล้อมรอบ จึงได้สร้างคุ้มน้อย หอนอนให้เจ้านายผู้ปกครอง และบ้านเรือนของราษฎร ได้อัญเชิญพระเสตังคมณี พระพุทธรูปองค์สำคัญจากเชียงใหม่ตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี พระเจ้ามังราย พร้อมทั้งนิมนต์พระสงฆ์ 108 รูป เดินทางมายังเมืองเชียงราย บรรดาเจ้านายนำราษฎรเข้าภายในกำแพงเมือง และเข้าสู่วัดพระสิงห์เป็นแห่งแรก ที่เลือกเป็นชัยภูมิสร้างเมืองเชียงราย

ประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ. 2386 ได้กำหนดพิธี “แฮกเมืองเชียงราย” ที่วัดเจ็ดยอด เมื่อวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 (เหนือ) กระทำการบูชาเทพาอารักษ์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และบุรพกษัตริย์บรรดาเจ้านายผู้ปกครองเมืองเชียงรายในอดีต ตลอดเวลา 3 วัน พระสงฆ์ 108 รูปสวดพระพุทธมนต์เป็นชัยมงคล จนถึงวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 (เหนือ) เวลา 8.00 น.

เจ้าหลวงธรรมลังกา พร้อมทั้งเจ้านายเจ้าขุน หามเสลี่ยงพระเสตังคมณี ขันธรรม และท้องตรา ประกาศพระบรมราชโองการตั้งเมืองเชียงราย เลียบเมือง เข้าเมืองทางประตูสรี ซึ่งเป็นทิศศรีเมืองเชียงราย ผ่านกองเมือง ถนนสายหลักมุ่งสู่วัดพระสิงห์

เจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าอุปราช และเจ้าราชวงศ์ พร้อมใจกันอัญเชิญพระครูบาปวรปัญญาขึ้นเป็นสังฆนายกเมืองเชียงราย และอาราธนาพระครูอริยะเป็นเจ้าสังฆาธิการวัดพระสิงห์ เป็นครูบาของบ้านเมืองต่อไป พิธีแฮกเมืองหรือการสถาปนาเมืองเชียงรายจึงสำเร็จสมบูรณ์ทุกประการ

ตามคติโบราณของการสร้างบ้านแปงเมือง เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองและความร่มเย็นเป็นสุข การเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม การกำหนดชะตาเมือง และการกำหนดพื้นที่ตาม “ระบบทักษา” เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการจำลองจักรวาลมายังพื้นที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาล “เมืองหรือเวียง” จึงเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ การกำหนดทิศและประตูเมืองมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ระยะแรกเมืองเชียงรายยังไม่มีขอบเขตชัดเจน ไม่มีกำแพงเมือง มีแต่ระเนียดไม้ที่เจ้าหลวงธรรมลังกาให้ใส่ “ต้ายเมือง” หรือการสร้างลำเวียงเป็นปราการชั่วคราว

“คุ้มเจ้าหลวง” เป็นสัญลักษณ์แห่งศูนย์กลางอำนาจ ในสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา ไม่มีเอกสารใดระบุว่าตั้งอยู่แห่งใด แต่สันนิษฐานจากการเลือกวัดพระสิงห์เป็นชัยภูมิมงคลแห่งแรก จึงน่าจะเป็นไปได้ว่าคุ้มเจ้าหลวงตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันออกของวัดพระสิงห์ คือบริเวณศาลากลางหลังแรกของเชียงราย

ในช่วงเวลานั้นได้มีชาวตะวันตกเดินทางมายังเชียงราย คือ คาร์ล บ็อค เดินทางมาถึงเชียงราย พ.ศ. 2424 หลังการตั้งเมืองเชียงราย 38 ปี ในบันทึกของคาร์ล บ็อค ได้กล่าวถึงสภาพบ้านเมืองว่า “เมืองเชียงรายเป็นราชธานีซ่อมซ่อ” ไม่มีร่องรอยของเมืองที่เคยเป็นราชธานีมาก่อน ไม่มีบ้านหรือปราสาทราชวังเลย บ้านของเจ้านายและบ้านของชาวนาก็สร้างแบบเดียวกัน ต่างกันแต่ขนาดและวัสดุที่ใช้ ตลอดจนฝีมือช่างก่อสร้างบ้างเท่านั้น จากบันทึกดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ในระยะแรกของการฟื้นฟูเมืองเชียงราย บรรดาเจ้านายและราษฎรมุ่งสร้างบ้านเมือง ทำงานสาธารณะ บูรณะวัดวาอาราม ก่อกำแพง ขุดลำเหมือง สร้างฝายทดน้ำ โดยมิได้เกณฑ์แรงงานราษฎรมาสร้างคุ้มเจ้าหลวงหรือคุ้มน้อยให้ใหญ่โตเพื่อประโยชน์ส่วนตน

หากพิจารณาจากภาพลายเส้นที่คาร์ล บ็อค เขียนภาพคุ้มเจ้าราชสีห์ คงอนุมานได้ว่าคุ้มเจ้าหลวงธรรมลังกาคงไม่แตกต่างกันมากนัก

ปี พ.ศ. 2390 หลังการตั้งเมืองได้ 4 ปี เจ้าหลวงธรรมลังกาจึงให้ผู้คนเริ่มก่อกำแพงเมืองด้วยอิฐแทนระเนียดไม้ จนถึง พ.ศ. 2404 แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ กระทั่ง พ.ศ. 2407 เจ้าหลวงธรรมลังกาก็ถึงแก่พิราลัย”

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

พระยาประเทศอุดรทิศ (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายแห่งเมืองพะเยา

พระยาประเทศอุดรทิศ (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายแห่งเมืองพะเยา

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ พระยาประเทศอุดรทิศ (เจ้าน้อยมหาไชย ศีติสาร) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายแห่งเมืองพะเยา ผมได้บูรณะภาพถ่ายขาวดำที่เสียหายไปเป็นส่วนมากให้กลับมาเป็นภาพสีที่มีชีวิต โดยทำออกมาเป็นสองเวอร์ชัน ทั้งในวัยหนุ่มและวัยชรา

เจ้าน้อยมหาไชย เป็นราชบุตรของเจ้าเมืองแก้วบุรีรัตน์หรือเมืองแก้วขัติยะ เจ้าหลวงพะเยาองค์ที่ 3 ส่วนพระมารดาไม่ปรากฏนามแน่ชัด ภายหลังเมื่อปี พ.ศ. 2448 เจ้าหนานไชยวงศ์ ศีติสาร เจ้าหลวงพะเยาองค์ที่ 6 และพระเชษฐาของเจ้าน้อยมหาไชย ได้ถึงแก่พิราลัย ในรัชกาลที่ 5 จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าน้อยมหาไชย ซึ่งดำรงตำแหน่งพระยาอุปราชอยู่ในขณะนั้น ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น พระยาประเทศอุดรทิศ เจ้าหลวงพะเยาหรือเจ้าเมืองพะเยาสืบแทน

ในปีเดียวกันนั้น มีการยุบเลิกการปกครองระดับเมืองจากพื้นที่จังหวัดพะเยา (ซึ่งขณะนั้นมีเพียง 2 อำเภอคือ พะเยาและงาว) มาเป็นระดับอำเภอ โดยให้อำเภอพะเยาขึ้นตรงกับจังหวัดเชียงราย และอำเภองาวขึ้นกับจังหวัดลำปาง ข้าหลวงประจำจังหวัดพะเยาที่มีอยู่เดิม คือ หลวงศรีสมรรถการ ก็ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่น ส่วนตำแหน่งนายอำเภอพะเยา ให้พระยาประเทศอุดรทิศรักษาการอีกตำแหน่งหนึ่งควบคู่ไปด้วย

พระยาประเทศอุดรทิศปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายอำเภออยู่หลายปี จนถึง พ.ศ. 2456 จึงกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ หลวงสิทธิประศาสน์ (คลาย บุษยบรรณ) มาดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอพะเยาคนแรกอย่างเป็นทางการ นับแต่นั้นพระยาประเทศอุดรทิศจึงดำรงเพียงตำแหน่งเจ้าหลวงพะเยา ซึ่งเป็นเพียงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ไม่มีอำนาจปกครองโดยตรงอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะรัฐบาลสยามได้ปฏิรูประบบการปกครองเป็นเทศาภิบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2442 อำนาจของเจ้าหลวงในการปกครองบ้านเมืองจึงถูกยกเลิก และเจ้าหลวงรวมถึงเชื้อสายเจ้านาย ถูกกำหนดสถานะให้เป็นเพียงข้าราชการที่รับเงินเดือนประจำจากรัฐบาลสยาม

เมื่อบทบาททางการปกครองถูกจำกัดลง พระยาประเทศอุดรทิศจึงหันมาทำธุรกิจส่วนตัว เช่น สร้างห้องแถวให้เช่า สร้างตลาด และในปี พ.ศ. 2465 เมื่อถนนสายลำปาง–เชียงรายสร้างเสร็จ ก็ได้เปิดบริการรถโดยสารรับ–ส่งระหว่างตัวเมืองพะเยากับบ้านแม่ต๋ำ โดยเก็บค่าโดยสารคนละ 1–2 สตางค์ ในช่วงนั้นกำลังมีการก่อสร้างพระวิหารวัดพระเจ้าตนหลวง รถรับ–ส่งดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านแม่ต๋ำที่เดินทางมาทำงาน นอกจากนี้ พระยาประเทศอุดรทิศยังมีบทบาทสำคัญร่วมกับ ครูบาศรีวิชัย ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเจ้าตนหลวงเมื่อปีเดียวกัน

เมื่อเข้าสู่วัยชรา พระยาประเทศอุดรทิศล้มป่วยด้วยโรคฝีฝักบัวที่กลางหลัง และมีภาวะแทรกซ้อนจนทำให้อาการทรุดหนักและถึงแก่พิราลัยในเวลาต่อมา (ปีที่ถึงแก่พิราลัยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2467–2469) ภายหลังการสิ้นชีวิตของท่าน ตำแหน่งเจ้าหลวงพะเยาก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เนื่องจากกฎหมายปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. 2469 กำหนดว่า หากตำแหน่งเจ้าเมืองว่างลง จะไม่แต่งตั้งขึ้นใหม่อีกต่อไป และหากเจ้าเมืองใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะคงสถานะรับเงินเดือนจากรัฐบาลจนถึงแก่พิราลัย

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ แห่งเมืองแพร่

เจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ แห่งเมืองแพร่

เจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ ธิดาลำดับที่ 2 ของ เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ กับ แม่เจ้าบัวไหล แห่งเมืองแพร่

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ เจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ ธิดาลำดับที่ 2 ของ เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ กับ แม่เจ้าบัวไหล

สองภาพแรกเป็นภาพถ่ายฟิล์มกระจกของเจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ ซึ่งคาดว่าน่าจะถ่ายที่สตูดิโอในกรุงเทพฯ

ภาพถ่ายที่สามเป็นภาพฟิล์มกระจก ผู้ที่นั่งอยู่ในภาพคือ แม่เจ้าบัวไหล ราชเทวี ชายาของเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ เจ้าเมืองแพร่องค์สุดท้าย โดยมีธิดาคือเจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ ยืนอยู่ข้าง ๆ การแต่งกายของทั้งสองเป็นแบบหญิงล้านนาดั้งเดิม คือ สวมเสื้อแขนยาว ห่มสไบเฉียง (สะไบสว้ายแหลง) และนุ่งผ้าซิ่น โดยแม่เจ้าบัวไหลนุ่ง ผ้าซิ่นต๋ามะนาว ส่วนเจ้าเวียงชื่นนุ่ง ผ้าซิ่นต๋าต่อ ตีนจกยกดิ้นทอง ภาพนี้ถ่ายที่ด้านหน้าคุ้มหลวงนครแพร่

คำถามคือ เหตุใดเจ้าเวียงชื่นกับสวามี เจ้าราชวงศ์ (เจ้าน้อยบุญศรี บุตรรัตน์) จึงต้องปลิดชีพด้วยการดื่มยาพิษภายในคุ้มเจ้าราชวงศ์ (ปัจจุบันถูกรื้อแล้ว) ในเมื่อเจ้านายองค์อื่น ๆ ได้รับเพียงโทษถอดยศศักดิ์และถูกนำไปกักบริเวณที่กรุงเทพฯ

หลักฐานหลายชิ้นระบุว่า เจ้าราชวงศ์ซึ่งเป็นบุตรเขยลำดับที่ 2 รองจากเขยใหญ่ เจ้าอุปราช (เจ้าน้อยเสาร์ วราราช สวามีเจ้า กาบคำ) มีบทบาทสำคัญในการช่วยบริหารราชการเมืองแพร่ เนื่องจากเจ้าอุปราชถึงแก่อนิจกรรม ทำให้ตำแหน่งและบทบาทของเจ้าราชวงศ์โดดเด่นขึ้น และได้รับความไว้วางใจจากเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ ถูกวางตัวให้เป็น ว่าที่เจ้าหลวงองค์ต่อไป

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ กบฏเงี้ยว เจ้าราชวงศ์และเจ้าเวียงชื่นจึงถูกทางการสยามเพ่งเล็งเป็นพิเศษว่าอาจมีส่วนรู้เห็นหรือให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏ

หลังการปราบกบฏเสร็จสิ้นในต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2445 เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ได้ลี้ภัยตนเองไปอยู่เมืองหลวงพระบางและสิ้นพระชนม์ที่นั่น

ฝ่ายเจ้าเวียงชื่นกับสวามีเลือกที่จะดื่มยาพิษพร้อมกันจนถึงแก่กรรม มิยอมให้ถูกจับกุม ถอดยศ หรือริบทรัพย์สิน นับเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะรักษาศักดิ์ศรีของตนเองไว้ แม้จะถูกประณามว่าเป็นกบฏ แต่ก็เป็น ผู้แพ้ที่ยังคงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวและทระนง

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าน้อยบุญศรี บุตรรัตน์ และเจ้าอินทร์แปลง เทพวงศ์ แห่งเมืองแพร่

เจ้าน้อยบุญศรี บุตรรัตน์ และเจ้าอินทร์แปลง เทพวงศ์ จากเมืองแพร่

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของ พระยาราชวงศ์ (บุญศรี บุตรรัตน์) หรือ เจ้าน้อยบุญศรี ผู้ซึ่งนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของภาพถ่าย เป็นสามีของ เจ้าเวียงชื่น เทพวงศ์ ธิดาของเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ (พระยาพิริยวิไชย) เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของเมืองแพร่ ส่วนบุคคลที่นั่งทางขวามือของภาพถ่ายคือ เจ้าอินทร์แปลง เทพวงศ์ หรือ เจ้าอินทร์แปง ราชโอรสองค์เดียวของเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ (เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ 22) กับ แม่เจ้าบัวไหล เทพวงศ์ ชายาเอก ทั้งนี้เจ้าอินทร์แปลงมีบุตรหนึ่งคนคือ เจ้าอินทรเดช เทพวงศ์ หรือ โชติ แพร่พันธุ์ นักเขียนผู้ใช้นามปากกา ยาขอบ

ภาพนี้ถ่าย ณ คุ้มเดิมของเจ้าแม่บัวไหล เทพวงศ์ โดยการแต่งกายของทั้งสองบุคคลสะท้อนถึงแฟชั่นบุรุษชนชั้นสูงในยุครัชกาลที่ ๕ ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกและขยายเข้าสู่ล้านนา พระยาราชวงศ์ (เจ้าน้อยบุญศรี) สวมเสื้อเชิ้ตแบบตะวันตก ผูกเนกไท สวมเสื้อสูทสีอ่อนทับคู่กับโจงกระเบน ถุงเท้า และรองเท้าหนัง ส่วนเจ้าอินทร์แปลง เทพวงศ์ สวมเสื้อสูททับเสื้อชั้นในพร้อมผูกเนกไท และสวมโจงกระเบนเช่นกัน โดยมีหมวกวางอยู่ด้านล่างประกอบฉาก ทั้งสองแบบแผนการแต่งกายดังกล่าวเป็นที่นิยมในเวลานั้น และสะท้อนอิทธิพลจากกรุงเทพฯ รวมถึงอิทธิพลจากผู้คนในบังคับอังกฤษทางฝั่งพม่า และฝรั่งเศสทางฝั่งลาว

นอกจากนี้ ภายในภาพยังมีเครื่องตกแต่งประกอบฉากที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและศิลปหัตถกรรม เช่น หมอนปักลวดลายงดงาม ขันหมากทำจากเครื่องเขินพร้อมชุดเครื่องหมากเงิน ขันเงินพร้อมพานรอง และกระโถนปากแตร ซึ่งช่วยขับเน้นบรรยากาศและฐานะของบุคคลในภาพอย่างชัดเจน

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้านางล้านนา ธิดาเจ้าเมืองแพร่คนสุดท้าย (ราว พ.ศ. 2448–2458)

เจ้านางล้านนา ธิดาเจ้าเมืองแพร่คนสุท้าย (ราว พ.ศ. 2448–2458)

ภาพถ่ายต้นฉบับนี้คือรูปหมู่ของธิดาทั้งห้าคนในบรรดาเจ็ดคนของ เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่พระองค์สุดท้าย กับ แม่เจ้าบัวไหล ทั้งหมดแต่งกายด้วย ผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นคำดิ้นเงิน คู่กับเสือลูกไม้สไตล์ตะวันตก แสดงถึงอิทธิพลแฟชั่นช่วงปลายสมัยเอ็ดเวิร์เดียนต่อเนื่องสู่สมัย “ทีนส์แฟชั่น” (Teens Fashion) โดยเสื้อที่สวมตัดเย็บให้มีคอลดลง แขนเสื้อกว้างพลิ้ว และเกล้าผมสูงแบบสมัยนิยมในราว พ.ศ. 2448–2458 ซึ่งตรงกับปลายรัชกาลที่ 5 และต้นรัชกาลที่ 6

จากซ้ายไปขวา:

  1. เจ้ากาบคำ

  2. เจ้าเวียงชื่น

  3. เจ้าสุพรรณวดี (ยืน)

  4. เจ้ายวงคำ

  5. เจ้าหอมนวล

👑 โอรส–ธิดาของเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ และแม่เจ้าบัวไหล มีทั้งหมด 7  คน ได้แก่

  1. เจ้ากาบคำ สมรสกับ เจ้าอุปราช (เจ้าน้อยเสาร์ วราราช)

  2. เจ้าเวียงชื่น สมรสกับ เจ้าราชวงศ์ (เจ้าน้อยบุญศรี บุตรรัตน์)

  3. เจ้าสุพรรณวดี สมรสกับ เจ้าราชบุตร (เจ้ายอดฟ้า ณ น่าน) โอรส พระเจ้าสุริยพงษ์ ผริตเดช ต่อมาถูกลดตำแหน่งเป็นเจ้าราชดนัย

  4. เจ้ายวงคำ สมรสกับ พระไชยสงคราม (จอน เตมิยานนท์)

  5. เจ้ายวงแก้ว สมรสกับ พระยามานิตย์ราชมนัส

  6. เจ้าหอมนวล สมรสกับ พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์)

  7. เจ้าอินทร์แปลง เทพวงศ์ มีภรรยา 3 คน คือ

    • นางจ้อย มีบุตร 1 คน คือ นายโชติ แพร่พันธุ์ หรือ ยาขอบ นักเขียนนวนิยายชื่อดัง

    • เจ้าคำเกี้ยว วงศ์พระถาง

    • เจ้าเทพเกษร ณ น่าน ธิดา พระเจ้าสุริยพงษ์ ผริตเดช

ภาพต้นฉบับ จากคอลเลกชัน Karl Siegfried Döhring (1879–1941) เก็บรักษาไว้ที่ Museum Fünf Kontinente (Museum of Five Continents, Munich, Germany)

Lanna Princesses, Daughters of the Last Ruler of Phrae (c.1905–1915)

This original group portrait depicts five daughters of Chao Piriyathepwong (เจ้าพิริยเทพวงศ์), the last ruler of Phrae, and Mae Chao Bualai Thepwong (แม่เจ้าบัวไหล ราชเทวี). They are dressed in exquisite Lanna brocade tube skirts (ซิ่นตีนจกยกดิ้นคำดิ้นเงิน) paired with lace blouses, reflecting late Edwardian and early Teens fashion. The style marks a departure from the high-neck Edwardian silhouette, instead embracing lower necklines, wide flowing sleeves, and upswept hairstyles fashionable between 1905–1915, during the late reign of King Chulalongkorn (Rama V) and the early reign of King Vajiravudh (Rama VI).

From left to right:

  1. Chao Kab Kham (เจ้ากาบคำ)

  2. Chao Wiang Chuen (เจ้าเวียงชื่น)

  3. Chao Suphanwadi (เจ้าสุพรรณวดี) (standing)

  4. Chao Yuang Kham (เจ้ายวงคำ)

  5. Chao Hom Nuan (เจ้าหอมนวล)

The seven children of Chao Piriyathepwong and Mae Chao Bualai were:

  1. Chao Kab Kham (เจ้ากาบคำ) – married Chao Uparaj (เจ้าน้อยเสาร์ วราราช)

  2. Chao Wiang Chuen (เจ้าเวียงชื่น) – married Chao Ratchawong (เจ้าน้อยบุญศรี บุตรรัตน์)

  3. Chao Suphanwadi (เจ้าสุพรรณวดี) – married Chao Ratchabut (เจ้ายอดฟ้า ณ น่าน), son of King Suriya Phong Pharitadet (พระเจ้าสุริยพงษ์ ผริตเดช) of Nan; later demoted to the rank of Chao Ratchadanai

  4. Chao Yuang Kham (เจ้ายวงคำ) – married Phra Chai Songkhram (พระไชยสงคราม, จอน เตมิยานนท์)

  5. Chao Yuang Kaew (เจ้ายวงแก้ว) – married Phraya Manit Ratchamanas (พระยามานิตย์ราชมนัส)

  6. Chao Hom Nuan (เจ้าหอมนวล) – married Phraya Ratchadamrong (พระยาราชดำรง, ผล ศรุตานนท์)

  7. Chao In Plaeng Thepwong (เจ้าอินทร์แปลง เทพวงศ์) – had three wives:

    • Nang Choi (นางจ้อย), with one son: Choti Phraepan (โชติ แพร่พันธุ์), later known as “Yakhob (ยาขอบ)”, a famous novelist

    • Chao Kham Kiao Wongphra Thang (เจ้าคำเกี้ยว วงศ์พระถาง)

    • Chao Thep Kesorn Na Nan (เจ้าเทพเกษร ณ น่าน), daughter of King Suriya Phong Pharitadet (พระเจ้าสุริยพงษ์ ผริตเดช) of Nan

Original photograph is From the Karl Siegfried Döhring Collection (1879–1941), preserved at the Museum Fünf Kontinente (Museum of Five Continents, Munich, Germany)

#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO 

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แม่เจ้าบัวไหล เทพวงศ์ ชายาของเจ้าเมืองแพร่ คนสุดท้าย

แม่เจ้าบัวไหล เทพวงศ์ ชายาของเจ้าเมืองแพร่ คนสุดท้าย

ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI นี้ คือภาพของ แม่เจ้าบัวไหล หรือ บัวไหล เทพวงศ์ ชายาคนที่สองของ เจ้าพิริยเทพวงษ์ อดีตเจ้าผู้ครองเมืองแพร่ และยังเป็นย่าของ โชติ แพร่พันธุ์ หรือ ยาขอบ นักประพันธ์นวนิยายชื่อดังแห่งสยาม ภาพถ่ายต้นฉบับนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณพีระพงศ์ มณีรัตน์ ซึ่งเก็บรักษาไว้อย่างดีและคมชัด

ในภาพนี้ เจ้าแม่บัวไหล ติดแพรแถบและดารา ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) ฝ่ายใน ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเมื่อ พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ภาพจึงสันนิษฐานว่าถ่ายขึ้นในปีเดียวกันเพื่อเป็นที่ระลึกถึงการได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ และน่าสนใจที่สไตล์การแต่งกายในภาพยังสะท้อนแฟชั่นตะวันตกของยุคสมัยนั้นอย่างชัดเจน

แฟชั่นวิคตอเรียนตอนปลายสู่เอ็ดเวิร์เดียนตอนต้น

ช่วงทศวรรษ 1890s เป็นยุคที่แขนเสื้อทรง Gigot sleeves หรือที่นิยมเรียกว่า “แขนหมูแฮม” (Leg-of-mutton sleeves) มีขนาดพองฟูจนถึงจุดสูงสุดกลางทศวรรษ และค่อย ๆ ลดรูปลงเป็นแขนเสื้อตุ๊กตาในช่วงปลายทศวรรษ เสื้อที่แม่เจ้าบัวไหลสวมใส่จึงเป็นไปตามกระแสนี้พอดี—แสดงถึงการรับแฟชั่นตะวันตกเข้าสู่ล้านนาอย่างสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ ผ้าซิ่น ที่แม่เจ้าบัวไหลสวม เป็น ซิ่นเยียรบับต่อเชิงตีนจก ซึ่งต่างจากซิ่นลายทางหรือซิ่นต๋าที่สตรีล้านนานิยมสวมใส่ในชีวิตประจำวัน การเลือกผ้าซิ่นชนิดนี้สะท้อนทั้งฐานะและรสนิยมของสตรีผู้เป็นชายาเจ้าผู้ครองเมือง

ชีวิตและบทบาทของแม่เจ้าหลวง

แม่เจ้าบัวไหลเกิดเมื่อ พ.ศ. 2390 ที่เมืองน่าน เป็นธิดาคนเล็กของ เจ้าไชยสงคราม (เชื้อสายเจ้าเจ็ดตนเมืองพะเยา) กับ อิ่นคำ ภรรยาชาวยอง บัวไหลเติบโตขึ้นในวัฒนธรรมล้านนา ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเจ้านายสตรี และต่อมาเสกสมรสเป็นชายาคนที่สองของเจ้าพิริยเทพวงษ์ ทั้งสองมีบุตรรวม 7 คน

แม่เจ้าบัวไหลเคยปฏิบัติราชการแทนสามีในช่วงที่เจ้าพิริยเทพวงษ์ไม่อยู่เมืองแพร่ จนได้รับการขนานนามว่า แม่เจ้าหลวง เป็นสตรีที่มีบทบาทสูงในราชสำนักท้องถิ่น และได้รับการยกย่องจาก กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่าเป็น “ผู้หญิงดีในเมืองลาวเฉียง”

วิกฤติและบั้นปลายชีวิต

ภายหลังเหตุการณ์ กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ (พ.ศ. 2445) เจ้าพิริยเทพวงษ์ถูกปลดออกจากตำแหน่งและลี้ภัยไปหลวงพระบาง ส่วนแม่เจ้าบัวไหลถูกริบเครื่องราชฯ และควบคุมตัวลงมากรุงเทพฯ พร้อมบุตรธิดา โดยอยู่ในความดูแลของกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเวลา 4–5 ปี ก่อนจะได้รับพระราชทานอนุญาตให้กลับภูมิลำเนา ในบั้นปลาย แม่เจ้าบัวไหลพำนักกับบุตรสาว คุณหญิงหอมนวล ราชเดชดำรง ที่เชียงราย และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 2475 รวมอายุได้ 85 ปี

ศิลปะงานปักและเกียรติยศ

แม่เจ้าบัวไหลมีชื่อเสียงในฐานะสตรีผู้มีฝีมือเย็บปักถักร้อย ได้รับการถ่ายทอดจากมารดาอิ่นคำ แม่เจ้าบัวไหลถวายผลงานหลายชิ้นแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่โปรดปรานถึงขั้นโปรดเกล้าฯ ให้จัด ห้องบัวไหล ขึ้นโดยเฉพาะในพระบรมมหาราชวัง หนึ่งในผลงานสำคัญคือ ผ้าปักไหมคำตัวอักษรธรรมล้านนา บนพระคัมภีร์ยาวต่อเนื่องกันหลายแผ่น สร้างขึ้นตั้งแต่อายุ 23 ปี ปัจจุบันยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดพระบาทมิ่งเมือง และเคยได้รับการพิจารณาเสนอเป็น มรดกความทรงจำแห่งโลก

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

เจ้าพิริยเทพวงษ์: เจ้าเมืองแพร่คนสุดท้ายและบาดแผลทางประวัติศาสตร์

เจ้าพิริยเทพวงษ์: เจ้าเมืองแพร่คนสุดท้ายและบาดแผลทางประวัติศาสตร์

เจ้าเมืองแพร่ น้อยเทพวงษ์ หรือเจ้าพิริยเทพวงษ์ เป็นเจ้าเมืองแพร่องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์แสนซ้าย ผู้ครองเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสยามยุคปฏิรูปการปกครองสู่รัฐสมัยใหม่ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นต้นสกุล “เทพวงศ์” อันสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ชีวิตและการขึ้นครองเมือง

น้อยเทพวงษ์ ประสูติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2379 เป็นราชโอรสองค์ที่สี่ในพระยาพิมพิสารราชา เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ 26 กับแม่เจ้าธิดาเทวี (ชายาองค์ที่ 2) มีพี่น้องร่วมมารดา 3 องค์ ได้แก่ แม่เจ้าไข แม่เจ้าเบาะ และแม่เจ้าอินทร์ลงเหลา

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2421 น้อยเทพวงษ์ได้รับแต่งตั้งเป็น พระยาอุปราชเมืองแพร่ และหลังการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาในปี พ.ศ. 2429 พระยาอุปราชก็ว่าราชการแทน จนในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น เจ้าเมืองแพร่ ได้รับพระราชทานนามยศว่า พระยาพิริยวิไชย อุดรพิไสยวิผารเดช บรมนฤเบศร์สยามมิศร์ สุจริตภักดี เจ้าเมืองแพร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2443 ได้รับการเลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพิริยเทพวงษ์ เจ้านครเมืองแพร่

บทบาทด้านการศึกษา

เจ้าพิริยเทพวงษ์ทรงสนองพระบรมราโชบายด้านการศึกษา โดยเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนในเมืองแพร่ เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 และได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลที่ 5 ว่า โรงเรียนเทพวงษ์ ภายหลังได้รับยกฐานะเป็น “โรงเรียนตัวอย่างเมืองแพร่” และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนพิริยาลัย อันเป็นอนุสรณ์ถึงเจ้าพิริยเทพวงษ์และเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เหตุการณ์กบฏเงี้ยวเมืองแพร่

บาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองแพร่คือ กบฏเงี้ยว พ.ศ. 2445 ซึ่งเป็นการก่อความวุ่นวายโดยชาวไทใหญ่หรือเงี้ยวที่เข้ามาทำมาหากินและมีการซ่องสุมกำลัง จนนำไปสู่การบุกปล้นเมืองแพร่เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2445 เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าราชการส่วนกลางหลายรายถูกสังหาร และบ้านเมืองเสียหายย่อยยับ

เจ้าพิริยเทพวงษ์ถูก กล่าวหาอย่างหนักว่ามีส่วนรู้เห็นหรือสมคบกับกบฏเงี้ยว เนื่องจากหลักฐานบางอย่าง เช่น คำให้การของพยานฝ่ายราชการและชาวบ้าน ส่อแสดงถึงความใกล้ชิดกับหัวหน้าเงี้ยว แม้ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระราชดำรัสว่า การจลาจลครั้งนั้นอาจเป็นผลจากแรงกดดันภายนอก เช่น ฝรั่งเศส มากกว่าจะเป็นแผนการของเจ้าหลวงแพร่เอง แต่ข้อกล่าวหาและแรงกดดันทางการเมืองก็ทำให้พระองค์ไม่อาจหลีกพ้นความรับผิดชอบได้

การลี้ภัยและบั้นปลายชีวิต

หลังเหตุการณ์กบฏเงี้ยว รัฐบาลสยามได้ถอดยศบรรดาศักดิ์และประกาศให้เจ้าพิริยเทพวงษ์กลับคืนสู่ฐานะไพร่ เรียกว่า “น้อยเทพวงษ์” ท่านจึงลี้ภัยไปยังเมืองหลวงพระบาง โดยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าชีวิตวังหน้าแห่งหลวงพระบาง ซึ่งพระราชทานตำแหน่งกำนันบ้านเชียงแมนให้ดำรงชีพ พร้อมกับยกหลานสาวชื่อ นางจันหอม เป็นชายา

น้อยเทพวงษ์ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่หลวงพระบาง จนถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2455 สิริอายุ 76 ปี การสิ้นชีวิตของท่านมีรายงานถึงราชการสยาม แต่ไม่ได้มีการแสดงความเห็นหรือดำเนินการใด ๆ

มรดกและความทรงจำ

เจ้าพิริยเทพวงษ์ถือเป็นเจ้าเมืองแพร่องค์สุดท้าย ก่อนที่ระบบการปกครองหัวเมืองแบบจารีตจะถูกแทนที่ด้วยระบบเทศาภิบาลของสยาม เหตุการณ์กบฏเงี้ยวแม้จะเป็นความทรงจำอันเจ็บปวด แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของบ้านเมืองในยุคเปลี่ยนผ่าน

มรดกที่ท่านฝากไว้คือการส่งเสริมการศึกษา โรงเรียนพิริยาลัย จังหวัดแพร่ ซึ่งยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงชื่อของเจ้าพิริยเทพวงษ์กับประวัติศาสตร์เมืองแพร่และพระบรมราโชบายด้านการศึกษาในรัชกาลที่ 5

ในพระรูปเป็นเครื่องแต่งกายเต็มยศของข้าราชการพลเรือนฝ่ายหน้า ปักดิ้นทองลายกนกนาคทอง ประดับด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.) (ดารามหาสุราภรณ์)

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์

ภาพที่สร้างสรรค์และบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI คอลเลกชันนี้เป็นพระรูปของ “จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์” หมายถึงเชื้อสายราชสกุลที่สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) หรือที่รู้จักกันในนาม “ราชสกุลวงศ์” หรือ “ราชสกุลในรัชกาลที่ ๕” โดยทั่วไปแล้วจะหมายถึงพระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕ และเชื้อสายของพระองค์ที่ได้สถาปนาเป็นราชสกุลต่าง ๆ คำว่า “ราชสันตติวงศ์” ในที่นี้จึงหมายถึงสายตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งในกรณีนี้คือรัชกาลที่ ๕

AI Fashion Lab ตั้งใจสร้างสรรค์และบูรณะฉลองพระองค์ของทุกพระองค์ให้เป็นสไตล์ตะวันตกสมัยวิกตอเรียและเอ็ดเวิร์เดียน—เพื่อสะท้อนถึงพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก ทั้ง ๑๖ พระองค์ ทุกพระองค์ล้วนทรงดำรงตำแหน่งสำคัญในด้านต่างๆเพื่อพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ท่ามกลางการรุกรานของลัทธิล่าอาณานิคมจากตะวันตก และทรงมีคุณูปการต่อประเทศไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ผมได้เลือกใช้ “สีประจำวันประสูติ” ของแต่ละพระองค์ในการสร้างสรรค์ภาพเพื่อถวายพระเกียรติ

Read More
Lupt Utama Lupt Utama

แฟชั่นแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง

แฟชั่นแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง

คอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้เป็นการสร้างสรรค์วัฒนธรรมการแต่งกายของแม่ญิงล้านนา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากภาพถ่ายในประวัติศาสตร์และสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เข้ากับบริบทสมัยใหม่ ภาพถ่ายต้นฉบับซึ่งบันทึกไว้ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ คอลเลกชันนี้ผสมผสานความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล เพื่อให้เห็นถึงความงดงามของแม่ญิงและผ้าทอแบบล้านนา

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แม่ญิงล้านนานิยมสวม ผ้าแถบ สำหรับพันรอบอก หรือพาดเฉียงไหล่ในแบบ สะหว้ายแหล้ง ส่วนผ้าซิ่นที่นิยมคือ ซิ่นต๋า ผ้าทอที่มีลวดลายทางขวาง ซึ่งอาจมี ตีนจก (ลวดลายที่ทอด้วยวิธีจก ใช้เส้นด้ายสีต่าง ๆ มาผูกขัดกันเป็นลาย) หรือ ตีนลวด (ลายที่ทอขึ้นมาพร้อมผืนผ้าโดยไม่ต้องเย็บต่อ) ในช่วงฤดูหนาวนิยมใช้ ผ้าตุ๊ม หรือผ้าคลุมไหล่เพื่อเพิ่มความอบอุ่น โดยยังคงไว้ซึ่งความงดงามและความสะดวกสบายในแบบล้านนา

วิวัฒนาการของการทอผ้าซิ่นล้านนา: จากซิ่นต่อตีนต่อเอวสู่ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน

ซิ่นต่อตีนต่อเอวโบราณ: ซิ่นล้านนาแบบดั้งเดิมทอแยกเป็นสามส่วนแล้วเย็บประกอบเข้าด้วยกัน ได้แก่

  • หัวซิ่น: ส่วนบนติดกับเอว มักเป็นผ้าสีพื้นหรือมีลวดลายเล็กน้อย

  • ตัวซิ่น: ส่วนหลักของซิ่น มักเป็นลายขวางหรือลายที่ต่างจากหัวซิ่น

  • ตีนซิ่น: ส่วนล่างของซิ่น อาจเป็น ตีนจก หรือผ้าสีพื้น เช่น สีดำ เพื่อความทนทาน

ก่อนมีการพัฒนากี่กระตุก ผ้าซิ่นต้องทอเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเย็บต่อกัน เนื่องจากข้อจำกัดของหน้ากว้างกี่ทอ

ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน: ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ ถึงรัชกาลที่ ๗ เมื่อกี่กระตุกถูกพัฒนาขึ้น ทำให้สามารถทอผ้าซิ่นเต็มผืนโดยไม่ต้องเย็บต่อ ซิ่นชนิดนี้เรียกว่า ซิ่นแบบลวดหัวลวดตีน ซึ่งมีข้อดีคือ

  • ไม่มีรอยต่อระหว่างหัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น

  • ลวดลายทอเป็นผืนเดียวกันได้โดยไม่ต้องเย็บ

  • ผ้าซิ่นมีความทนทานมากขึ้นเพราะทอเป็นชิ้นเดียว

  • กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพ ประหยัดแรงงานและเวลา

AI กับการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย – ศักยภาพและข้อจำกัด

คอลเลกชันภาพถ่ายที่สร้างขึ้นด้วย AI นี้สะท้อนศักยภาพของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการจำลองภาพเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย โดยเฉพาะแฟชั่นแม่ญิงล้านนาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ถ่ายทอดผ่านการผสมผสานหลักฐานประวัติศาสตร์เข้ากับศิลปะดิจิทัล

AI สามารถสร้างภาพอดีตขึ้นมาใหม่ได้อย่างแม่นยำในเชิงรูปทรง เสื้อผ้า และสไตล์การแต่งกาย ทำให้เราเห็นโครงสร้างโดยรวมของ ซิ่นต๋า ผ้าแถบ และการห่มแบบ สะหว้ายแหล้ง ได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดในการถ่ายทอดรายละเอียดที่ซับซ้อนของสิ่งทอไทย โดยเฉพาะลวดลาย ตีนจก ที่มีความละเอียดเกินกว่าที่ AI ปัจจุบันจะสร้างสรรค์ได้ครบถ้วน

แม้ว่าในการพัฒนาจะมีการฝึก LoRA (Low-Rank Adaptation) เพื่อปรับให้โมเดลเข้าใจองค์ประกอบของแฟชั่นไทยมากขึ้น แต่ฐานข้อมูลหลักที่ใช้ยังเป็นข้อมูลตะวันตก จึงทำให้ AI บางครั้งไม่สามารถสะท้อนรายละเอียดทางวัฒนธรรมเฉพาะของไทยได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ลาย ตีนจก หรือเทคนิคทอพื้นเมือง ความท้าทายนี้สะท้อนว่า แม้ AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูและศึกษาประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย แต่ก็ยังต้องพึ่งพาองค์ความรู้ดั้งเดิมและการตีความของมนุษย์ เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และถูกนำเสนออย่างถูกต้องในยุคดิจิทัล

Read More