History of Fashion
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ พร้อมทั้งพระเจ้าลูกเธอทั้งสามพระองค์
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์กับพระเจ้าลูกเธอทั้งสามพระองค์
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์กับพระเจ้าลูกเธอทั้งสามพระองค์ ซึ่งมีพระนามที่คล้องจองกัน ได้แก่ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ (กรมขุนสุพรรณภาควดี), พระองค์เจ้าสุวพักตร์วิไลยพรรณ และ พระองค์เจ้าบัณฑรวรรณวโรภาษ ในแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง ประมาณพุทธศักราช ๒๔๒๐–๓๐ (ค.ศ. 1880s)
พระรูปจาก ซ้ายไปขวา พระองค์เจ้าสุวพักตร์วิไลยพรรณ, พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ (กรมขุนสุพรรณภาควดี), เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ และ พระองค์เจ้าบัณฑรวรรณวโรภาษ
เราจะเห็นได้ว่า ทุกพระองค์ทรงสไบแพรจีบแบบพับครึ่งให้แคบลง พร้อมกับเสื้อลูกไม้ที่ประดับไปด้วยโบทั้งตัว และนุ่งโจงกระเบน ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง หรือสมัย Belle Epoque ก่อนที่จะวิวัฒนาการต่อมาเป็น “แพรสะพาย” และ “แพรปัก” ในช่วงปลายรัชสมัย
สิ่งที่โดดเด่นในพระรูปเหล่านี้คือ เข็มกลัดเพชรและอัญมณีลวดลายพฤกษาและดอกไม้ ที่ประดับอยู่บนผ้าสไบแพรจีบ ซึ่งช่วยขับเน้นความงามให้แก่ทั้งเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายอย่างกลมกลืน สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมอันประณีตละเมียดละไมของแฟชั่นราชสำนักสยามในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ — ยุคแห่งการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบตะวันตกและเอกลักษณ์ของความงามแบบสยามอย่างลงตัว
๑. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี
เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประสูติแต่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ และเป็นเหลนของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ ๕ พระองค์ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะโรง สัมฤทธิศก จ.ศ. ๑๒๓๐ ตรงกับวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเรียกพระองค์ว่า "เจ้าหนู" พระเจ้าน้องทั้งหลายทรงเรียกว่า "พี่หนู" และชาววังเรียกว่า "เสด็จพระองค์ใหญ่"
ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ทรงเป็นที่โปรดปรานและไว้วางพระราชหฤทัยของพระราชบิดาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งเรียกพระองค์ว่าเป็น “ลูกคู่ทุกข์คู่ยาก” อันเป็นคำที่สะท้อนถึงความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างพระบิดากับพระราชธิดาในช่วงเวลาที่ยากลำบากของการเปลี่ยนแปลงประเทศ พระองค์ทรงเติบโตขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง ท่ามกลางขนบธรรมเนียมอันเคร่งครัดของฝ่ายใน แต่ก็ได้รับการอบรมให้ทรงมีความรู้ ความเข้าใจในกิจการบ้านเมืองและหน้าที่ของสตรีชั้นสูงในราชสำนัก
ด้วยความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระราชบิดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ทรงได้รับมอบหมายให้ดูแลพระขนิษฐาที่ยังทรงพระเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงได้รับพระราชทานเกียรติให้เป็นผู้ “สั่งพระขนิษฐาให้เป็นสาว” ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญตามขนบธรรมเนียมฝ่ายในของราชสำนักสยาม การที่สตรีฝ่ายในจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่วัยสาวได้นั้น ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้ทรงเกียรติในราชสำนักก่อน ซึ่งการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมอบหมายหน้าที่นี้ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี จึงแสดงถึงความไว้วางพระราชหฤทัยอย่างสูงสุด
พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ สิริพระชันษา ๓๖ ปี การพระศพดำเนินไปตามโบราณราชประเพณี โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษานวล เพื่อทรงแสดงออกถึงความอาลัยในพระราชธิดาพระองค์นี้ เช่นครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็เคยทรงพระภูษาขาว ในงานพระศพเจ้าฟ้ากรมขุนศรีสุนทรเทพ พระเจ้าลูกเธอที่ทรงรักยิ่ง ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า “ลูกคนนี้รักมากต้องนุ่งขาวให้”
๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุวพักตร์วิไลยพรรณ
ประสูติ วันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ พระราชธิดาพระองค์ที่ ๑๐ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าคุณพระประยูรวงศ์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเรียกพระองค์ว่า "พี่กลาง"
พระองค์เจ้าสุวพักตร์วิไลยพรรณ สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ณ ตำหนักในสวนสุนันทา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ สิริพระชันษา ๕๗ ปี
พระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร
๓. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัณฑรวรรณวโรภาษ
ประสูติ วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๘ เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๑๗ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ พระองค์เจ้าบัณฑรวรรณวโรภาษ ชาววังออกพระนามว่า “เสด็จองค์เล็ก”
พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ ขณะพระชันษา ๑๕ ปี พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ในแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง ประมาณพุทธศักราช ๒๔๒๐ (ค.ศ. 1880)
เราจะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงสไบแพรจีบแบบพับครึ่งให้แคบลง พร้อมกับเสื้อลูกไม้ที่ประดับไปด้วยโบทั้งตัว และนุ่งโจงกระเบน ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง หรือสมัย Belle Epoque ก่อนที่จะวิวัฒนาการต่อมาเป็น “แพรสะพาย” และ “แพรปัก” ในช่วงปลายรัชสมัย
สิ่งที่โดดเด่นในพระรูปเหล่านี้คือ เข็มกลัดเพชรและอัญมณีลวดลายพฤกษาและดอกไม้ ที่ประดับอยู่บนผ้าสไบแพรจีบ ซึ่งช่วยขับเน้นความงามให้แก่ทั้งเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายอย่างกลมกลืน สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมอันประณีตละเมียดละไมของแฟชั่นราชสำนักสยามในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ — ยุคแห่งการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบตะวันตกและเอกลักษณ์ของความงามแบบสยามอย่างลงตัว
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประสูติแต่เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ และเป็นเหลนของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 5 พระองค์ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 9 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จ.ศ. 1230 ตรงกับวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสเรียกพระองค์ว่า "เจ้าหนู" พระเจ้าน้องทั้งหลายทรงเรียกว่า "พี่หนู" และชาววังเรียกว่า "เสด็จพระองค์ใหญ่"
“วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”
“วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”
25 พฤศจิกายน 2568 ครบรอบ 100 ปี รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ
“วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” หรือที่รู้จักกันว่า “วันวชิราวุธ” และ “วันลูกเสือไทย” ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤศจิกายนของทุกปี อันเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ หรือ “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระองค์
พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจสำคัญนานัปการ ทั้งด้านการคมนาคม การบริหารราชการแผ่นดิน ศิลปวัฒนธรรม และวรรณคดี อีกทั้งยังทรงเป็นผู้สถาปนากิจการเสือป่าและลูกเสือไทย เพื่ออบรมเยาวชนและประชาชนให้มีความรู้ ความมีระเบียบวินัย ความเสียสละ ความสามัคคี และความพร้อมในการดูแลป้องกันตนเอง ตลอดจนสังคมและชุมชนของตน ภายใต้คติพจน์อันทรงคุณค่าแห่งลูกเสือคือ
“เสียชีพอย่าเสียสัตย์”
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า
AI Fashion Lab
แฟชั่นสไตล์อาร์ตเดโคในสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ ด้วย Nano Banana Pro (ตอนที่ ๒)
แฟชั่นสไตล์อาร์ตเดโคในสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ ด้วย Nano Banana Pro (ตอนที่ ๒)
ศิลปะการแต่งกายสไตล์อาร์ตเดโคในชีวิตประจำวันในสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ ด้วย Google’s Nano Banana Pro
คอลเลกชันนี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อทดสอบศักยภาพของ Google’s Nano Banana Pro ซึ่งเป็นโมเดลล่าสุดของ Google สำหรับการสร้างภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยใช้ image prompt จากคอลเลกชันแฟชั่นสตรีและบุรุษยุคอาร์ตเดโคที่ลุพธ์เคยออกแบบไว้แล้วเป็นฐานต้นแบบ ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความคมชัด ความสมจริง และความแม่นยำที่เหนือกว่า Nano Banana รุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน ทั้งที่รุ่นก่อนก็มีคุณภาพสูงอยู่แล้ว รุ่น Pro นี้สามารถถ่ายทอดคาแรกเตอร์ได้อย่างครบถ้วน มีความละเอียดสูงจนแทบไม่จำเป็นต้องอัปสเกลเพิ่มเติม อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมวัตถุ (material culture) ของไทยได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ภาพที่สร้างขึ้นมีความถูกต้องตามบริบท และสะท้อนอัตลักษณ์แบบไทยร่วมสมัยได้อย่างงดงาม
นอกจากนี้ Nano Banana Pro ยังสามารถถ่ายทอดองค์ประกอบแบบไทยได้ดียิ่ง—ไม่ว่าจะเป็นขนมไทย เช่น ทองหยอด ฝอยทอง และขนมชั้นในชุดน้ำชายามบ่าย, การร้อยพวงมาลัย, หรือการจำลองถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง และบรรยากาศของกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ได้อย่างน่าอัศจรรย์
แฟชั่นที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้ถ่ายทอดสไตล์อาร์ตเดโค (Art Deco) ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗, พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๗) ผ่านจินตนาการของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในกรุงเทพฯ โดยผสานเสน่ห์ของแฟชั่นตะวันตกยุคอาร์ตเดโคเข้ากับความละเมียดละไมของวัฒนธรรมไทยร่วมยุคได้อย่างกลมกลืน
ในระดับสากล แฟชั่นอาร์ตเดโคแห่งทศวรรษ 1920—ซึ่งมักเรียกกันว่า Flapper Fashion—โดดเด่นด้วยซิลูเอตที่พลิกจากยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง เน้นรูปลักษณ์ที่ยาว โปร่ง และคล่องตัว ลดการพึ่งพาคอร์เซ็ต เสื้อผ้าสตรีนิยมแขนกุดหรือแขนสั้น เอวต่ำ ตกแต่งด้วยลวดลายเรขาคณิต ผ้าปักดิ้น เลื่อม และลูกปัดที่สะท้อนแสงเป็นประกาย ทรงผมสั้นประดับด้วยคลื่นแบบ Marcel Wave และคาดศีรษะด้วยแถบโลหะ เพชร พลอย หรือขนนก ซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยในยุคแจ๊ซ
เมื่อกระแสแฟชั่นนี้แพร่เข้าสู่สยาม การแต่งกายแบบอาร์ตเดโคถูกปรับให้เข้ากับอัตลักษณ์ไทยได้อย่างกลมกลืน เสื้อแขนกุดหรือเสื้อปักเลื่อมตามแบบตะวันตกถูกจับคู่กับผ้าซิ่นทรงกระบอกยาวระดับกลางน่อง สวมคู่กับถุงน่องและรองเท้าส้นสูง เครื่องประดับอย่างสร้อยไข่มุกหรือชายระบายลูกปัดช่วยขับให้ลุคดูโก้หรูและร่วมสมัย ขณะเดียวกันยังคงความอ่อนช้อยและสำรวมแบบสตรีไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคม
บรรยากาศของคอลเลกชันนี้ถ่ายทอดชีวิตของผู้คนในสยามยุคต้นรัชกาลที่ ๗ ผ่านฉากกิจกรรมกลางวันสุดละเมียดละไม ไม่ว่าจะเป็นการจิบน้ำชายามบ่ายริมเจ้าพระยาที่มีวัดอรุณอยู่เบื้องหลัง การจัดชุดขนมไทยอย่างทองหยอด ฝอยทอง และขนมชั้นวางเคียงกาน้ำชา ไปจนถึงการร้อยพวงมาลัยมะลิท่ามกลางสวนร่มรื่นในเรือนเก่าแบบโคโลเนียล ภาพแต่ละฉากล้วนสะท้อนเสน่ห์แบบไทยร่วมสมัยที่ผสานกลิ่นอายอาร์ตเดโคได้อย่างงดงาม—ตั้งแต่ทรงผมมาร์เซลเวฟ สร้อยไข่มุกยาวหลายชั้น เสื้อแขนกุดปักดิ้น ไปจนถึงผ้าซิ่นที่ขับให้ซิลูเอตแบบฟลัปเปอร์โดดเด่นยิ่งขึ้นในบริบทไทย
ในฉากท้องถนนและย่านการค้า—ซึ่งดัดแปลงจากภาพอ้างอิงของถนนฝั่งพระนคร—โมเดล Nano Banana Pro สามารถจินตนาการอาคารเรือนไม้ชั้นสองแบบสมัยรัชกาลที่ ๖–๗ รถลาก พ่อค้าแม่ค้า และรถยนต์โบราณอย่าง Ford Model T ได้อย่างสมจริง ราวกับเป็นภาพถ่ายจริงจากยุคทศวรรษ 1920 ที่มีชีวิตชีวา ตัวแบบสตรีและบุรุษเดินเล่นสนทนาท่ามกลางสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป—ทั้งวัดและเรือนไม้ทรงไทยประยุกต์—ซึ่งล้วนช่วยสะท้อนความวิจิตรแบบสยามในช่วงกึ่งศตวรรษแห่งความทันสมัย
รายละเอียดของการแต่งกายก็สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง สุภาพสตรีแต่งกายด้วยเสื้อแขนกุดผ้าไหมปักลายดอกไม้ โทนเขียว ลิ้นจี่ กุหลาบ และน้ำเงิน เข้าคู่กับผ้าซิ่นตีนจกยกดิ้นทอง สวมถุงน่องสีงาช้างและรองเท้าคัตชูมีสายแบบ Mary Jane ซึ่งเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ขณะที่บุรุษแต่งกายเสื้อราชปะแตนสีขาว โจงกระเบนแพรสีเขียว น้ำเงิน หรือม่วง พร้อมหมวกเฟโดราหรือหมวกโบ๊ทเตอร์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แสดงถึงความประณีตของรสนิยมชนชั้นนำในสยามช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒
องค์ประกอบทั้งหมด เช่นแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านใบเฟิร์นในสวน สนามหญ้าเขียวขจี เงาสะท้อนของแม่น้ำเจ้าพระยา เสียงหัวเราะของหนุ่มสาวระหว่างจิบน้ำชา และฉากเมืองที่มีรถลากกับรถยนต์จอดเคียงกัน ช่วยเติมเต็มจินตนาการ “ความร่วมสมัยแบบไทย” ที่สมบูรณ์ ระหว่างความหรูหราแบบอาร์ตเดโคและความอ่อนช้อยของวิถีชีวิตแบบไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และจี้เพรชชิ้นใหญ่ (ตอนที่ ๒)
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงอุ้มสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะทรงพระเยาว์ ทรงประดับพระองค์ด้วยและจี้เพรชชิ้นใหญ่ ที่ทรงโปรด
บริบททางประวัติศาสตร์และแฟชั่น (La Belle Époque แห่งสยาม)
พระฉายาลักษณ์องค์นี้คาดว่าถ่ายราว ทศวรรษ 1880s (พ.ศ. ๒๔๒๓–๒๔๒๕) ซึ่งตรงกับยุค La Belle Époque ของยุโรป และ The Gilded Age ของสหรัฐอเมริกา—ยุคที่ศิลปะ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีกำลังเฟื่องฟู ขณะเดียวกันสยามในรัชกาลที่ ๕ อยู่ท่ามกลางกระบวนการปฏิรูปบ้านเมืองเพื่อรักษาเอกราชในยุคอาณานิคม
อิทธิพลจากแฟชั่นตะวันตกสมัยวิกตอเรีย
ในยุโรป ยุคนี้เป็นช่วงนิยม bustle gown หรือ “กระโปรงโครงหางกระรอก” เสริมด้านหลังและประดับลูกไม้หรูอย่างวิจิตร ความนิยมนี้มีอิทธิพลเข้าสู่ราชสำนักสยาม โดยเจ้านายฝ่ายในนำแรงบันดาลใจจากวิกตอเรียมาตัด เสื้อเข้ารูปแบบ Victorian bodice ตกแต่ง scalloped lace บริเวณคอและปลายแขน แต่ลดระดับการใช้คอร์เซ็ตให้สอดคล้องกับอากาศร้อนชื้นในกรุงเทพฯ
การผสมผสานแฟชั่นตะวันตกกับอัตลักษณ์ไทย
เสื้อเข้ารูปแบบวิกตอเรียถูกจับคู่กับ
โจงกระเบนผ้ายกไหม
สไบแพรอัดกลีบ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสตรีชั้นสูงในราชสำนักช่วงปลายรัชกาลที่ ๔–ต้นรัชกาลที่ ๕
สไบแพรอัดกลีบ ตัดเย็บจากผ้าแพรจีน อัดในรางไม้จนเป็นกลีบพับซ้อนคล้ายพัดจีน ทิ้งชายยาวด้านหลัง และนิยมอบร่ำด้วยกำยานในหีบไม้หรือหีบหนัง เพื่อให้ผ้ามีกลิ่นหอมเมื่อสวมใส่ เครื่องแต่งกายลักษณะนี้จึงเป็น “แฟชั่นผสมผสาน” ระหว่างสยามและยุโรปที่งดงามอย่างยิ่ง
จี้เพรชชิ้นใหญ่: เอกลักษณ์เครื่องประดับของพระองค์
ในพระฉายาลักษณ์องค์นี้ จะเห็นว่า พระองค์ทรงประดับจี้เพรชชิ้นใหญ่ ซึ่งห้อยกับสร้อยพระศอ เป็นเครื่องประดับที่พบสม่ำเสมอในพระฉายาลักษณ์ช่วงต้นรัชกาล สะท้อนว่าเป็นเครื่องประดับที่ทรงโปรดอย่างเด่นชัด
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร องค์ต้นราชสกุลรังสิต
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร องค์ต้นราชสกุลรังสิต
“ให้มาเป็นลูกแม่กลาง”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งทรงอุ้ม ‘พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์’ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร องค์ต้นราชสกุลรังสิต) พระราชโอรสในพระองค์ ที่ประสูติแต่ ‘เจ้าจอมมารดาเนื่อง’ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 เพื่อไปพระราชทานแก่ ‘สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี’ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) พร้อมมีพระราชดำรัสข้างต้น
เนื่องด้วยหลัง ‘พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์’ ประสูติได้เพียง 12 วัน เจ้าจอมมารดาเนื่องก็ถึงแก่อนิจกรรม ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 จึงทรงพระราชทานพระราชโอรสแก่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี นับแต่นั้นมา พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ก็เปรียบเสมือนดังพระราชโอรสในพระครรโภทรของ ‘สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า’
พระองค์ทรงเลี้ยงดูและทรงรักพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ดังพระราชโอรสของพระองค์เอง ดังเคยมีพระราชหัตถเลขาถึง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในรัชกาลที่ 8 ความตอนหนึ่งว่า "กรมขุนชัยนาทฯ เท่ากับเป็นลูกฉันแท้ๆ ฉันเลี้ยงมาตั้งแต่ 12 วัน หลังจากที่หม่อมราชวงศ์หญิงวายชนม์..."
ครั้งหนึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถึงขั้นทรงต้องติดคุก ทำให้ สมเด็จศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงโทมนัสยิ่ง ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า "ฉันตายแล้ว ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงท่านได้อย่างไร ท่านอุ้มมาพระราชทานฉันกับพระหัตถ์เองทีเดียว เมื่อ 12 วันแท้ๆ"
และทรงรับสั่งกับ พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) ว่า "เขาจะแกล้งฉันให้ตาย... ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ลูกตายไม่ได้น้อยใจช้ำใจเหมือนครั้งนี้เลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าเป็นธรรมดาของโลก ครั้งนี้ทุกข์ที่สุดที่จะทุกข์แล้ว"
สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร มิได้เป็นที่รักเพียงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเท่านั้น หากทรงเป็นที่เคารพรักของพระราชนัดดาในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าอีกด้วย ดังพระนิพนธ์บางส่วนใน ‘สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์’ ที่ทรงปรารภไว้ในหนังสือเรื่อง ‘ไปเมืองนอกครั้งแรก ร.ศ. ๑๑๘’ ความว่า
"นอกจากนี้ ยังมีความยินดีอันเป็นส่วนตัวซึ่งเกิดจากความรู้สึกภูมิใจว่าข้าพเจ้าเป็นหลานสนิทของพระองค์สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอนู่หัว รัชกาลที่ ๕ และเจ้าจอมมารดาเนื่อง สนิทวงศ์ พระมารดาได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อท่านมีพระชนม์เพียง ๑๒ วัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุ้มมาพระราชทานแก่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทฯ จึงทรงเป็นโอรสองค์หนึ่งของสมเด็จย่าข้าพเจ้า พระโอรสพระองค์อื่นของสมเด็จย่านอกจากทูลกระหม่อมพ่อแล้ว ล้วนสิ้นพระชนม์เมื่อยังไม่ถึง ๒๐ พรรษาทุกพระองค์ ท่านจึงเป็นเสมือน "เสด็จลุง" แท้จริงของข้าพเจ้า"
อนึ่ง ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์’ ทรงสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ณ เมืองฮัสเบอรสตัด ประเทศเยอรมนี ใน พ.ศ. 2442 จากนั้นทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก โดยมีพระประสงค์ที่จะศึกษาวิชาแพทย์ แต่ในระยะแรกทรงศึกษาวิชากฎหมาย ตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 ต่อมาจึงทรงเปลี่ยนไปศึกษาวิชาการศึกษา และยังทรงเข้าศึกษาวิชาที่เกี่ยวกับการแพทย์บางอย่างเป็นการส่วนพระองค์กับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้นด้วย
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า : กับความทุกข์ในพระราชหฤทัย
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า : กับความทุกข์ในพระราชหฤทัย
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระรูปต้นฉบับทรงฉาย ในช่วงเวลางานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พ.ศ. 2405–2498) พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา ทรงเป็นเจ้านายที่ทรงพระเกียรติยศอย่างยิ่งพระองค์หนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4, พระอัครยาเจ้าในรัชกาลที่ 5, พระราชมารดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, สมเด็จพระอัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง 2 รัชกาล
เรื่องพระพลานามัยก็ทรงมีสุขภาพแข็งแรง และมีพระชนมายุยืนยาวถึง 6 แผ่นดิน หากตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ กลับทรงเผชิญ “การสูญเสีย” พระราชโอรส, พระราชธิดา, พระเจ้าลูกเธอที่ทรงอภิบาล เสมือน “บุตรบุญธรรม” และพระราชนัดดา ทั้งสิ้นถึง 13 พระองค์
การสูญเสียครั้งใหญ่ของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ที่ทราบกันแพร่หลายคือ การเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร อย่างกะทันหันด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2437 (หรือปฏิทินปัจจุบันคือ พ.ศ.2438) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา
การเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นการสูญเสียพระราชโอรสพระองค์สำคัญยิ่งสร้างความสะเทือนพระราชหฤทัย สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงอยู่ในพระอาการเสียพระราชหฤทัยอย่างมากเป็นเวลาหลายเดือนจน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระวิตกว่าจะทรงพระประชวรและสวรรคตตามไปอีกพระองค์
งานสังสรรค์ในสวนยามบ่าย – ศิลปะการแต่งกายสไตล์อาร์ตเดโคในสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ ด้วย Google’s Nano Banana Pro
งานสังสรรค์ในสวนยามบ่าย – ศิลปะการแต่งกายสไตล์อาร์ตเดโคในรัชสมัยต้นรัชกาลที่ ๗ ด้วย Google’s Nano Banana Pro
คอลเลกชันนี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อทดสอบศักยภาพของ Google’s Nano Banana Pro ซึ่งเป็นโมเดลล่าสุดของ Google ในการสร้างภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยใช้ image prompt จากคอลเลกชันแฟชั่นสตรีและบุรุษยุคอาร์ตเดโคที่เคยออกแบบไว้แล้วเป็นฐานต้นแบบ ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความคมชัด สมจริง และความแม่นยำที่เหนือกว่า Nano Banana รุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน ทั้งที่รุ่นก่อนก็มีคุณภาพในระดับสูงอยู่แล้ว รุ่น Pro นี้สามารถสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์ มีความละเอียดสูงจนแทบไม่ต้องนำไปอัปสเกลเพิ่มเติมอีกต่อไป
แฟชั่นที่ปรากฏในคอลเลกชันนี้ถ่ายทอดความหรูหราของสไตล์อาร์ตเดโค (Art Deco) ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗, พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔๗๗) ผ่านจินตนาการของงานสังสรรค์ในสวนยามบ่าย ซึ่งผสานเสน่ห์ของแฟชั่นตะวันตกยุคอาร์ตเดโคเข้ากับความละเมียดละไมของวัฒนธรรมไทยในช่วงเวลานั้นอย่างงดงาม
แฟชั่นอาร์ตเดโคแห่งทศวรรษ 1920 ซึ่งมักเรียกกันว่า “แฟชั่นฟลัปเปอร์ (Flapper Fashion)” โดดเด่นด้วยซิลูเอตที่พลิกโฉมไปจากยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง สรีระถูกเน้นให้ดูยาว โปร่ง และลดการพึ่งพาคอร์เซ็ต เสื้อผ้าสตรีเป็นแบบแขนกุดหรือแขนสั้น เอวต่ำ ตกแต่งด้วยลายเรขาคณิต ผ้าปักดิ้น เลื่อม และลูกปัดวาวระยับ ทรงผมสั้นประดับด้วยคลื่นแบบ “มาร์เซลเวฟ (Marcel Wave)” และคาดศีรษะด้วยแถบโลหะ เพชรพลอย หรือขนนกอันอ่อนช้อย เป็นสัญลักษณ์เด่นของยุคนั้น
เมื่อกระแสแฟชั่นนี้แพร่เข้าสู่สยาม การแต่งกายแบบอาร์ตเดโคถูกปรับให้เข้ากับความเป็นไทยได้อย่างกลมกลืน เสื้อแขนกุดหรือเสื้อปักเลื่อมสไตล์อาร์ตเดโคถูกจับคู่กับผ้าซิ่นทรงกระบอกยาวระดับกลางน่อง สวมร่วมกับถุงน่องและรองเท้าส้นสูง ขณะที่เครื่องประดับอย่างสร้อยไข่มุกหรือชายระบายลูกปัดช่วยให้ลุคดูร่วมสมัย โก้หรู และยังคงกลิ่นอายความอ่อนช้อยแบบสตรีไทยในยุคเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรม
บรรยากาศของงานสังสรรค์กลางสวนยามบ่ายนี้นำเสนอการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมไทย เช่น ฉากวัดหรือเรือนไทยที่ตั้งอยู่เบื้องหลัง ช่วยเสริมภาพลักษณ์สยาม ขณะที่เครื่องเล่นแผ่นเสียง เฟอร์นิเจอร์หวาย และการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นของทศวรรษ 1920 สะท้อนให้เห็นถึงความทันสมัยที่สยามกำลังโอบรับในยุคนั้น ทำให้ภาพรวมเป็นงานเลี้ยงที่สะท้อนทั้งความศิวิไลซ์และความเป็นไทยร่วมยุคได้อย่างงดงาม
ในส่วนของแฟชั่นบุรุษ สุภาพบุรุษในช่วงทศวรรษ 1920 นิยมสวมสูทสามชิ้นพร้อมเสื้อกั๊ก ปกแหลม (peak lapel) และเนกไท ใช้โทนสีอ่อนเหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้ง หมวกโบ๊ตเตอร์ (Boater Hat) ถือเป็นเครื่องแต่งกายสำคัญที่ช่วยสร้างบุคลิกแบบสุภาพชนยุคใหม่ หมวกชนิดนี้มีต้นกำเนิดในอังกฤษและฝรั่งเศสกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ใช้ในการพายเรือและกิจกรรมสันทนาการ ก่อนจะเฟื่องฟูในทศวรรษ 1920 และแพร่หลายไปทั่วโลก รวมถึงในสยาม โดยกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามแบบสมัยใหม่ และปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในละครย้อนยุคเพื่อบ่งบอกบรรยากาศแห่งยุคแจ๊ซ
บรรยากาศโดยรวมของคอลเลกชันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามบ่าย สนามหญ้าเขียวขจี คู่หนุ่มสาวเต้นรำอย่างอ่อนหวาน ผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ แลกเปลี่ยนบทสนทนา จิบแชมเปญ และหัวเราะอย่างเป็นกันเอง เสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงช่วยเสริมอารมณ์ให้ภาพของงานเลี้ยงในสวนดูสมจริงและมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันผ้าไหมไทยที่สะท้อนแสงเป็นประกายเฉดทอง เขียว ม่วง และแดง ช่วยเชื่อมยุคอาร์ตเดโคเข้ากับความงามแบบไทยอย่างไร้รอยต่อ
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และแฟชั่น 1920s
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และแฟชั่น 1920s
พระรูปที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI ของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เปิดพื้นที่ให้เราได้มองเห็นพัฒนาการของแฟชั่นบุรุษในช่วงทศวรรษ 1920 อย่างชัดเจน ผ่านสายตาของเจ้านายผู้ทรงศึกษาในต่างประเทศ ภาพเหล่านี้สันนิษฐานว่าถ่ายในช่วงรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ ตรงกับห้วงเวลาที่พระบรมราชชนกเสด็จพระราชดำเนินระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปเพื่อทรงศึกษาและรับการรักษาพระอาการประชวร พระองค์เสด็จไปรักษาพระวักกะพิการที่เมืองไฮเดลเบิร์กในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลประสูติ จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและทรงสำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์เกียรตินิยมในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ก่อนเสด็จนิวัตกลับสยามในปีถัดมา สภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไปมาระหว่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และการเดินเรือไกล ส่งผลให้เครื่องแต่งกายที่ทรงเลือกสวมใส่มีความหลากหลายและสะท้อนบริบททางวัฒนธรรมของโลกตะวันตกในยุคนั้นอย่างเด่นชัด
ในพระรูปช่วงต้นทศวรรษ 1920 พระบรมราชชนกทรงฉลองพระองค์ด้วย เสื้อปกคอแข็งแบบ butterfly-wing ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแฟชั่นบุรุษยุคนี้ คอเสื้อชนิดนี้ทำจากผ้าลินินแข็งรีดจนตั้ง และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเป็นระเบียบแบบแผนในยุคเอ็ดเวิร์ดเดียน พระองค์ทรงฉลองพระองค์ ชุดสูทสามชิ้นแบบ single-breasted ที่มีแนวเสื้อยาว ช่วงไหล่เป็นธรรมชาติ และทรงเส้นเรียวงามตามแบบฉบับบุรุษชั้นสูงในยุคนั้น พร้อมถือ หมวกฟางแบบ boater ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฤดูร้อน ชีวิตนักศึกษา และกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ ของสุภาพบุรุษ ภาพลักษณ์นี้สะท้อนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของแฟชั่น ที่ยังคงความประณีตแบบเดิม แต่ก็กำลังเคลื่อนสู่ความผ่อนคลายและทันสมัยมากขึ้น
เมื่อพิจารณาพระรูปในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนยิ่งขึ้น คอเสื้อแบบถอดได้เริ่มเสื่อมความนิยมลง และถูกแทนที่ด้วย ปกคอเสื้อแบบนุ่ม ที่สวมใส่ง่ายคล่องตัวกว่า พระบรมราชชนกทรงเปลี่ยนมาสวม หมวกเฟโดร่า ซึ่งทำจากสักหลาดเนื้อนุ่มและมีปีกโค้งตามรูป ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษยุคใหม่และเหมาะกับภูมิอากาศหนาวในยุโรปและอเมริกา พระองค์ยังทรงสวม เสื้อคลุมหนาวแบบ greatcoat และ ulster coat แบบมีเข็มขัด ซึ่งเป็นเสื้อโค้ตประจำฤดูหนาวในยุคนั้น ผลิตจากขนสัตว์ทอหนาเพื่อกันลมขณะเดินทาง
แม้รายละเอียดเล็ก ๆ จะเปลี่ยนตามกาลเวลา แต่พระบรมราชชนกยังคงทรงฉลองพระองค์ ชุดสูทสามชิ้น อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหัวใจของแฟชั่นบุรุษตลอดทศวรรษ 1920 ในช่วงปลายทศวรรษ กางเกงเริ่มมี การพับปลายกางเกง (turn-ups) ตัวเสื้อสั้นลงเล็กน้อย และเนื้อผ้าอย่างขนสัตว์ ฟลานเนล และทวีดได้รับความนิยมมากขึ้น พระพักตร์และพระเกศาที่ทรงจัดอย่างเรียบง่าย ประกอบกับเครื่องประดับอย่างเนคไทและถุงมือหนัง ล้วนสะท้อนความประณีตและกาลเทศะของเจ้านายฝ่ายหน้าผู้กำลังสร้างชีวิตใหม่ในโลกตะวันตกที่กำลังก้าวสู่ความทันสมัย
ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ก็ทรงฉลองพระองค์ตามกระแสแฟชั่นสตรีปลายทศวรรษ 1920 อย่างครบถ้วน ทั้งเสื้อคลุมขนสัตว์ หมวกทรงคลอชประดับโบว์ และถุงมือที่เหมาะกับการเดินทาง เครื่องแต่งกายของพระองค์ช่วยเสริมการตอบรับแฟชั่นตะวันตกของเจ้านายสยามผู้กำลังเปิดโลกทัศน์สู่สากล
โดยสรุป พระรูปชุดนี้ไม่เพียงแค่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญของพัฒนาการแฟชั่นยุค 1920 จากปกคอเสื้อแบบแข็ง หมวกโบ๊ตเตอร์ และเสื้อสูททรงยาวในช่วงต้นทศวรรษ สู่ปกคอเสื้อแบบนุ่ม หมวกฟีดอร่า และเสื้อโค้ตแบบมีเข็มขัดในช่วงปลายทศวรรษ ฉลองพระองค์ของพระบรมราชชนกสะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญจากความเป็นทางการในยุคเอ็ดเวิร์ดเดียนไปสู่ความทันสมัยของศตวรรษที่ ๒๐ และยังเป็นภาพสะท้อนของอัตลักษณ์เจ้านายสยาม ผู้ทรงอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมตะวันตกและความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคนั้นอย่างสง่างาม
สมเด็จย่าใหญ่ กับ ทูลหม่อมอาหญิง และ ทูลหม่อมอาแดง
“สมเด็จย่าใหญ่ กับ ทูลหม่อมอาหญิง และ ทูลหม่อมอาแดง”
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงฉายร่วมกับพระราชธิดาและพระราชโอรส สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ณ พระตำหนักจิตรดา (ภายในวังปารุสก์) งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
สมเด็จย่าใหญ่ กับ ทูลหม่อมอาหญิง และ ทูลหม่อมอาแดง
"...สมเด็จย่าใหญ่ พี่สาวท้องเดียวกันกับย่า เวลานั้นประทับอยู่ที่วังสระปทุม และท่านมีลูกที่ยังทรงพระชนม์อยู่ ๒ พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่า ทูลหม่อมอาหญิง ทูลหม่อมอาหญิงนั้นประทับอยู่ประจำที่พญาไทกับย่าของข้าพเจ้า และท่านเรียกย่าของข้าพเจ้าว่า เสด็จแม่ และกลับเรียกแม่แท้ๆ ของท่านว่า เสด็จป้า อันดูออกจะยุ่งเหยิงมาก ความจริงเป็นเพราะบรรดาลูกๆ ของสมเด็จย่าใหญ่รวมทั้งทูลหม่อมลุงองค์ใหญ่ (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ) ก็ได้พากันสิ้นพระชนม์ไปแต่ยังทรงพระเยาว์เป็นส่วนมาก ทูลหม่อมอาหญิงจึงเลยมาเปลี่ยนเป็นลูกของย่าเสียแทน เมื่อข้าพเจ้ายังเด็กๆ อยู่จำได้ว่าทูลหม่อมอาหญิงนั้น ท่านทั้งงามทั้งเก๋ ข้าพเจ้าชอบไปเฝ้าท่านบ่อยๆ ท่านทรงมีห้องประทับอยู่ทางอีกด้านหนึ่งของตำหนักพญาไท ท่านมีหนังสืออังกฤษประกอบรูปเป็นอันมาก ซึ่งข้าพเจ้าชอบดู และเพราะข้าพเจ้าอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ท่านจึงทรงแปลและอธิบายถึงรูปต่างๆ ให้ข้าพเจ้าฟังเสมอ
ทูลหม่อมอาหญิงท่านทรงมีน้องชายเหลืออยู่พระองค์เดียว คือสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่า ทูลหม่อมอาแดง ทูลหม่อมอาแดงทรงได้รับการศึกษาอย่างแปลกมาก คือชั้นต้นถูกส่งไปประเทศอังกฤษไปเข้าโรงเรียนมัธยมกินนอนแฮร์โรว์ (Harrow School) เมื่อออกจากแฮร์โรว์แล้ว แทนที่จะอยู่ศึกษาที่อังกฤษต่อไป ท่านถูกส่งไปเยอรมนี และได้เข้าโรงเรียนนายเรือจนได้เป็นนายทหารเรือ พอท่านจะได้เริ่มสนุกในการเป็นนายทหารเรือเยอรมัน ก็ต้องออกจากกองทัพเรือ เพราะมหายุทธสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้บังเกิดขึ้น ทูลหม่อมอาแดงทรงเคยเล่าว่า เมื่อสงครามเกิดขึ้นใหม่ ท่านได้ถูกจับเอาเสียด้วย เพราะท่านยังทรงแต่งเครื่องแบบนายทหารเรือเยอรมัน จึงถูกหาว่าเป็นจารบุรุษญี่ปุ่น ท่านว่าเวลาที่เขาพาท่านขึ้นรถยนต์ไปโรงพัก ท่านต้องประทับกลางระหว่างนายตำรวจสองคน ซึ่งต่างคนต่างก็มีปืนพกจี้ติดอยู่กับพระองค์ท่านตลอดเวลา ท่านถูกขังอยู่โรงพัก แต่ได้ถูกปล่อยต่อเมื่อได้ติดต่อกับสถานทูตไทยได้สำเร็จ..."
ข้อความบางตอนจากหนังสือ "เกิดวังปารุสก์" พระนิพนธ์ใน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
Thank you เพจ ย้อนความหลังครั้งอดีต
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และแฟชั่นราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และแฟชั่นราชสำนักในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระโสทรเชษภคินีอีก 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทำให้พระองค์ทรงเป็นปฐมบรมราชินีนาถของประเทศไทย และเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์สภานายิกา สภากาชาดไทยพระองค์แรกอีกด้วย
สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ และแฟชั่นแบบราชสำนักในรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย (สมัยวิกตอเรียตอนปลาย)
ฉลองพระองค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ที่ปรากฏในพระฉายาลักษณ์นี้สะท้อนการแต่งกายแบบผสมผสานร่วมกับแฟชั่นร่วมสมัยกับแฟชั่นวิกตอเรียช่วงปลายทศวรรษ 1890s ลักษณะเด่นของแฟชั่นยุคนี้คือ แขนเสื้อทรง “แขนหมูแฮม” (Leg-of-mutton sleeves) ซึ่งมีขนาดใหญ่มากในช่วงกลางทศวรรษ 1890s ก่อนจะลดขนาดลงในช่วงปลายทศวรรษ ซึ่งทำให้สามารถกำหนดอายุภาพไว้ในราวปี 1894-1897 ได้อย่างแม่นยำ
ในทศวรรษ 1890 (พ.ศ. 2433–2442) แฟชั่น แขนเสื้อทรงหมูแฮม กลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของยุค โดยเฉพาะราว พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) ที่แขนเสื้อพองโตถึงจุดสูงสุด มักจับคู่กับ คอร์เซ็ตรัดแน่น และ กระโปรงทรงเอไลน์ (A-line) ซึ่งเน้นสัดส่วนเว้าโค้งตามอุดมคติความงามแบบวิกตอเรีย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) สยามอยู่ระหว่างกระบวนการปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัยวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มมีบทบาทในราชสำนักฝ่ายใน สตรีฝ่ายในจึงนำแฟชั่นแบบวิกตอเรียมาปรับให้กลมกลืนกับการแต่งกายไทยดั้งเดิม จนเกิดเป็น รูปแบบแฟชั่นเฉพาะของราชสำนักสยาม
เสื้อแขนหมูแฮม จึงถูกนำมาสวมคู่กับ โจงกระเบน กลายเป็นการแต่งกายที่ทั้งสง่างามและโดดเด่น แขนเสื้อพองโตช่วยเพิ่มความโอ่อ่าสง่างาม ขณะที่โจงกระเบนยังสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย การตัดเย็บมักใช้ ผ้าไหมชั้นดี และ งานปักลวดลายที่ผสมผสานศิลปะแบบตะวันตกกับลายไทยอย่างประณีต
การรับแฟชั่นตะวันตกเข้าสู่ราชสำนักในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จึงมิได้เป็นเพียงการติดตามกระแสนิยม หากแต่เป็น สัญลักษณ์ของความเป็นสมัยใหม่ (Modernity) และการเชื่อมโยงกับราชสำนักยุโรป การสวมเสื้อผ้าลูกไม้วิกตอเรียทรงแขนหมูแฮมจึงเปรียบเสมือน การแสดงพระเกียรติยศ พระบารมี และภาพลักษณ์แห่งความศิวิไลซ์ของราชสำนักสยาม ในสายตานานาประเทศ
เทคนิคการบูรณะภาพถ่ายโบราณ
เทคนิคการบูรณะและการลงสีภาพถ่ายโบราณ
หลายคนมักถามผมเกี่ยวกับเทคนิคการบูรณะและการลงสีภาพถ่ายโบราณของผม ว่าทำไมภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นจึงดู “แม่นยำ” หรือ “ใกล้เคียงของจริง” อย่างยิ่ง ทั้งที่ต้นฉบับเป็นภาพขาว–ดำไม่มีข้อมูลสีหลงเหลืออยู่เลย ความจริงแล้ว ความแม่นยำนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่าง เทคนิค greyscale ที่ใช้วิเคราะห์ระดับความสว่างของภาพ, ความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น, ความเข้าใจเรื่อง สิ่งทอ การย้อมสีในแต่ละยุค, รวมถึง ความรู้ด้านเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญ และสายสะพาย ซึ่งมีโทนและรูปแบบเฉพาะตัวตามข้อกำหนดราชสำนัก ผมจึงสามารถตีความโทนสีจากระดับสว่าง–เข้มในภาพต้นฉบับได้อย่างสัมพันธ์กับหลักฐาน ไม่ใช่การเลือกสีแบบเดา ๆ หรือใช้ความรู้สึกส่วนตัว
เทคนิค greyscale ในการค้นหาค่าสีจากภาพถ่ายขาว–ดำนั้น อาศัยการวิเคราะห์ระดับความสว่างของแต่ละพิกเซล (luminance) เพื่อคาดเดาว่าส่วนที่สว่าง–กลาง–เข้มอาจสอดคล้องกับสีใดในโลกจริง โดยไม่สามารถรู้ “สีจริง” ได้แน่นอน เนื่องจากภาพขาว–ดำไม่มีข้อมูลเฉดสี (hue) อยู่เลย แต่เก็บเฉพาะความเข้มของแสงเท่านั้น นักอนุรักษ์ภาพและผู้ทำงานด้านประวัติศาสตร์แฟชั่นจึงต้องพิจารณาร่วมกับความรู้เรื่องความไวของฟิล์มแต่ละยุค เช่น ฟิล์ม orthochromatic ที่มองสีแดงเป็นดำ หรือฟิล์ม panchromatic ที่ให้ผลใกล้เคียงสายตามนุษย์มากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมสีบางสีจึงปรากฏคล้ำหรือสว่างกว่าความเป็นจริงในภาพขาว–ดำ
อย่างไรก็ตาม การใช้ greyscale เพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำหนดค่าสีได้อย่างแม่นยำ จึงจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลประกอบจากประวัติศาสตร์ แฟชั่นของยุคสมัย วัสดุจริงที่นิยมใช้ รวมถึงอัญมณี เครื่องแต่งกาย และบริบททางวัฒนธรรมของช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อให้การลงสีหรือการบูรณะภาพมีความสมเหตุสมผลทางประวัติศาสตร์มากที่สุด กระบวนการนี้จึงเป็น “การตีความเชิงวิชาการผสานศิลปะ” มากกว่าการชี้สีจริง และมักใช้ควบคู่กับ AI เพื่อสร้างภาพสีที่สะท้อนความเป็นไปได้สูงสุดตามหลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันครับ.
ในปัจจุบันมีเครื่องมือ AI สำหรับการบูรณะและลงสีภาพถ่ายโบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Google Nano Banana, Google Nano Banana Pro, Flux Kontext Pro และ Max, หรือ Seedream 4 ซึ่งแต่ละระบบต่างมีข้อดี–ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ผู้บูรณะจำเป็นต้องทดลองใช้อย่างรอบคอบ ทั้งในแง่ความแม่นยำของรายละเอียด สีผ้า โทนผิว แสง รวมถึง “สไตล์” ที่แต่ละเอนจินถนัด เพราะแม้ AI จะช่วยให้เราสามารถฟื้นคืนภาพขาว–ดำให้กลับมาเป็นภาพสีที่ชัดเจนและมีลักษณะร่วมสมัยได้ แต่ความสำเร็จของงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเครื่องมือเพียงอย่างเดียว
ในขณะเดียวกัน วิธีที่เรา “เขียนพรอมป์ต์” เพื่อบูรณะภาพถ่ายก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เราจำเป็นต้องอธิบายองค์ประกอบทุกส่วนอย่างละเอียดที่สุด—ตั้งแต่ผ้า สี เครื่องประดับ เงา แสง พื้นหลัง ไปจนถึงบริบททางประวัติศาสตร์—เพราะ “ความแม่นยำทางประวัติศาสตร์” กับ “จินตนาการเชิงศิลป์” ต้องเดินควบคู่กันเสมอ แทนที่จะเพียงสั่งให้ AI บูรณะและลงสีภาพ เราต้องกำกับระบบด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และมีหลักฐานรองรับ เพื่อให้ AI สร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและสมเหตุสมผลที่สุด นี่คือหัวใจของการบูรณะภาพถ่ายโบราณในยุค AI อย่างแท้จริงครับ
ประสบการณ์การทำงานของผมเองก็มีบทบาทในการกำหนดคุณภาพของผลงานเช่นกัน ผมทำงานเป็น นักออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับภาพยนตร์และโทรทัศน์ในลอนดอนมากว่า 25 ปี ผ่านงานทั้งในกองถ่ายและในแผนกออกแบบ ได้สัมผัสผ้า โครงสร้างเสื้อผ้า เทคนิคการตัดเย็บ และการสร้างลุคตามยุคสมัยอย่างตรงจุด นอกจากนี้ ผมยังสำเร็จการศึกษาด้าน ประวัติศาสตร์การออกแบบและประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย ซึ่งทำให้ผมเข้าใจทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ เมื่อนำมาผสานกับเทคโนโลยี AI กระบวนการบูรณะและลงสีภาพจึงมีทั้งความแม่นยำทางประวัติศาสตร์และความละเมียดละไมในเชิงสุนทรียศาสตร์แบบงานดีไซน์มืออาชีพ
สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด คือแรงสนับสนุนจากผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามเพจ AI Fashion Lab ทุกครั้งที่ผมพบรายละเอียดที่ยังไม่แน่ใจ—เช่น สีของผ้า เครื่องประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือองค์ประกอบแฟชั่นเฉพาะยุค—ผมจะขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์แฟชั่นซึ่งร่วมแบ่งปันความรู้มาโดยตลอด ความละเอียดลึกซึ้งของข้อมูลที่ทุกท่านมอบให้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผลงานบูรณะของผมมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ และคงไว้ซึ่งความงามตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ครับ.
แม้ผมจะยึดข้อมูลจำเพาะของยุคสมัยอย่างเคร่งครัด การลงสีภาพขาว–ดำก็ยังต้องอาศัย artistic licence ในการเชื่อมช่องว่างที่หลักฐานไม่สามารถให้คำตอบได้ ผมพิจารณาทั้งแฟชั่นสมัยวิกตอเรีย–เอ็ดเวิร์ดเดียน–Teens–Art Deco ที่ส่งอิทธิพลต่อราชสำนักสยาม โทนสีผ้าไทยในแต่ละรัชสมัย ลักษณะการเล่นแสงของโลหะ เพชร พลอย รวมถึงคุณลักษณะของฟิล์มถ่ายภาพยุคเก่า ดังนั้น ผลงานบูรณะของผมจึงออกมาในรูปแบบที่ แม่นยำที่สุดเท่าที่หลักฐานจะเอื้อ พร้อมผสานมุมมองเชิงศิลป์และความรู้เชิงออกแบบ เพื่อให้ภาพเก่า “กลับมามีชีวิต” อย่างสง่างามและเคารพต้นฉบับที่สุดครับ.
“เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” มกุฎราชกุมารองค์แรกของไทย
“เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” มกุฎราชกุมารองค์แรกของไทย ที่ รัชกาลที่ 5 ทรงรักมาก
ผู้เขียน ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2568 ศิลปวัฒนธรรม
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มกุฎราชกุมารองค์แรกของไทย รัชกาลที่ 5 ทรงรักมาก
รู้หรือไม่ว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร” หรือพระนามเดิม “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” พระราชโอรสองค์โตใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็น “มกุฎราชกุมาร” องค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี ทั้งยังเป็นพระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งที่ทรงสนิทชิดเชื้อกับพระราชบิดา
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศเป็นพระราชโอรสองค์โตในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีขาน สัมฤทธิศก จ.ศ. 1240 หรือเทียบให้ตรงกับวันเดือนปีปัจจุบัน คือ วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2421
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศถือเป็นพระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งที่ รัชกาล 5 ทรงรักและห่วงใยอย่างมาก
เหตุที่พูดเช่นนั้น เป็นเพราะว่าเมื่อพระองค์เจริญพระชันษาได้ 3 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อที่นาและสวนทางทิศตะวันออกของพระนคร เพื่อพระราชทานแก่พระองค์ และโปรดฯ ให้สร้างวังขึ้น
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีลงสรงสนานเฉลิมพระปรมาภิไธย สถาปนาพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็น สมเด็จพระบรมโอรสธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ณ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2429
การสถาปนาดังกล่าว เริ่มต้นครั้งแรกในรัชสมัยนี้ จึงทำให้พระองค์เป็นสยามมกุฎราชกุมารองค์แรกของไทย
นอกจากนี้แล้ว พระองค์ยังเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระราชบิดา เพราะหลายครั้งหลายหนพระองค์ได้เสด็จไปทรงประกอบพระราชกรณียกิจแทน ไม่ว่าจะเป็น เสด็จออกรับฎีกาที่ราษฎรทูลเกล้าฯ ถวาย หรือพระราชพิธีหรือพิธีสำคัญต่าง ๆ รวมถึงเสด็จพระราชดำเนินติดตามพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปหลายพื้นที่
ครั้งรัชกาลที่ 5 ทรงมีแผนจัดการทหารบกและทหารเรือให้มีระเบียบแบบแผน ก็โปรดฯ มอบตำแหน่งผู้บัญชาการทั่วไป ให้เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พร้อมให้ตราพระราชบัญญัติตั้งกรมทหารควบคู่ไปด้วย เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์
เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์จึงทรงสนิทกับพระราชบิดาเป็นอย่างมาก โดยครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ลงหนังสือพิมพ์วชิรญาณถึงพระราชบิดาไว้ว่า…
“รักใครจะรักแม้น ชนกนารถ
รักบ่ออยากจะคลาศ สักน้อย
รักใดจะมิอาจ เทียมเท่า ท่านนา
รักยิ่งมิอยากคล้อย นิราศแคล้วสักวัน”
ทว่าความสุขกลับอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร เพราะเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ฉศก จุลศักราช 1256 ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2437 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ก็สวรรคต เนื่องด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย ซึ่งขณะนั้นพระองค์มีพระชันษาเพียง 16 ปี เท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเสียพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง จนปรากฏข้อความในพระราชหัตถเลขาว่า
“…ลูกชายอันเป็นที่รักยิ่ง เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มกุฎราชกุมาร อันฉันได้ตั้งใจประคับประคองป้องกันทำนุบำรุงมาโดยลำดับ จนถึงได้ตั้งแต่งไว้ในที่สำคัญเช่นนี้ มามีอันตรายโดยเร็วพลัน ให้ยังเกิดทุกข์โทมนัสอันแรงกล้า ในเวลาเมื่อกำลังที่จะเจริญด้วยไวยแลอายุ ทั้งความรู้ที่ได้เล่าเรียนอันเป็นที่มั่นหมายใจว่าคงจะเปนผู้ที่มีความรู้แลอัธยาไศรยสามารถอาจจะปกป้องวงษ์ตระกูลสืบไว้
การซึ่งได้คิดได้จัดเพื่อจะให้เปนความเจริญแก่ลูกอันเปนที่รัก กับทั้งหวังว่าจะให้เปนประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง โดยที่จะให้เปนผู้อุดหนุนแลป้องกันอันตราย มาลี้ลับดับไปโดยเร็วพลันเช่นนี้ จึ่งเปนที่ทุกข์ร้อนอันยิ่งใหญ่ ไม่สามารถที่จะพรรณาได้…”
ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระบรมศพพระองค์ ไว้ที่ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไว้ทุกข์ 1 เดือน และทรงให้มีพระราชกุศลทุก ๆ 7 วันนับตั้งแต่สวรรคต
จากนั้นจึงพระราชทานเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมณฑป วัดบวรสถานสุทธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้า ก่อนจะนำพระบรมอัฐิไปประดิษฐาน ที่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ประสูติแต่ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2427
ภาพต้นฉบับเหล่านี้คาดว่าถ่ายที่อังกฤษ ขณะเสด็จประทับรักษาพระโรคพระวักกะพิการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ (ค.ศ. ๑๙๒๒) ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ ทั้งนี้สามารถสังเกตได้จากฉลองพระองค์แบบ Art Deco และพระเกศาทรงลอนคลื่นซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนั้น
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ทรงเป็นพระโสทรกนิษฐภคินี (น้องสาวร่วมบิดามารดา) ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และทรงเป็นพระโสทรเชษฐภคินี (พี่สาวร่วมบิดามารดา) ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ชาววังออกพระนามพระองค์ว่า “ทูลกระหม่อมฟ้าหญิง” หรือบ้างก็ออกพระนามพระองค์ว่า “ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงแหม่ม” ด้วยพระองค์ทรงไว้พระเกศายาว ไม่ได้เกล้าพระเมาฬี และทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดกระโปรงแบบตะวันตกตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เมื่อพระชนมายุ 37 ชันษา พระอาการประชวรของพระองค์เริ่มฉายชัด ปรากฏหลักฐานระบุว่า พ.ศ. 2464 (บ้างก็ว่า พ.ศ. 2465) พระองค์ทรงประชวรพระโรค พระวักกะพิการ (ไตวาย)
สมเด็จฯ พระบรมราชชนก จึงเสด็จกลับจากสหรัฐอเมริกา และกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เพื่อเชิญเสด็จพระโสทรเชษฐภคินีไปรักษาพระองค์ในยุโรป
คณะที่ตามเสด็จคราวนั้น นอกจากพระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ทั้ง 2 พระองค์แล้ว ยังมี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตนจาตุรนต์, พระยาชนินทรภักดี (ปลี่ยน หัสดิเสวี), ม.จ.สุภาภรณ์ ไชยันต์, คุณพัว สุจริตกุล (ต่อมาคือท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมณเฑียร)
เมื่อเสด็จประทับยังโรงพยาบาลในประเทศอังกฤษ แพทย์ได้ผ่าตัดพระวักกะออกข้างหนึ่ง จากนั้นพระพลานามัยของพระองค์ก็ค่อยๆ ฟื้น ทรงพระสำราญดีขึ้น ทรงแต่งพระองค์งดงามด้วยเฟอร์และพระมาลา เป็นที่ชื่นชมยินดีของคณะผู้ตามเสด็จและข้าในพระองค์ถ้วนหน้า
พระวิมาดาเธอฯ กรมพระสุทธาสินีนาฏ และเข็มกลัดเพชรลวดลายพฤกษา
พระวิมาดาเธอฯ กรมพระสุทธาสินีนาฏ และเข็มกลัดเพชรลวดลายพฤกษา
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ในแฟชั่นสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง ราวพุทธศักราช ๒๔๒๐ (ค.ศ. 1880) ภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นนี้เป็นการจินตนาการองค์เครื่องประดับและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อสะท้อนความงดงามของแฟชั่นในยุครัชกาลที่ ๕ ตอนกลางอย่างมีศิลปะ
พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านการปรุงอาหารเป็นอย่างยิ่ง แม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วเกือบร้อยปี แต่สูตรอาหารสำรับพระวิมาดาเธอฯ ก็ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน อีกประการคือ พระองค์ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม
เราจะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงสไบแพรจีบแบบพับครึ่งให้แคบลง พร้อมกับเสื้อลูกไม้ที่ประดับไปด้วยโบทั้งตัว และนุ่งโจงกระเบน ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง หรือสมัย Belle Epoque ก่อนที่จะวิวัฒนาการต่อมาเป็น “แพรสะพาย” และ “แพรปัก” ในช่วงปลายรัชสมัย
สิ่งที่โดดเด่นในพระรูปเหล่านี้คือ เข็มกลัดเพชรและอัญมณีลวดลายพฤกษาและดอกไม้ ที่ประดับอยู่บนผ้าสไบแพรจีบ ซึ่งช่วยขับเน้นความงามให้แก่ทั้งเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายอย่างกลมกลืน สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมอันประณีตละเมียดละไมของแฟชั่นราชสำนักสยามในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ — ยุคแห่งการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบตะวันตกและเอกลักษณ์ของความงามแบบสยามอย่างลงตัว
พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
พระวิมาดาเธอฯ กรมพระสุทธาสินีนาฏ
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ทรงเป็นหนึ่งในพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านการปรุงอาหารเป็นอย่างยิ่ง แม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วเกือบร้อยปี แต่สูตรอาหารสำรับพระวิมาดาเธอฯ ก็ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน อีกประการคือ พระองค์ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม ปรากฏในคำชมของเจ้าจอมสดับ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าจอมที่รัชกาลที่ 5 โปรดปรานยิ่งท่านหนึ่ง
พระวิมาดาเธอฯ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ทรงมีพระนามแรกประสูติว่า หม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์ ทรงเป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับหม่อมจีน ประสูติเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2405
ขณะทรงพระเยาว์ ประทับอยู่ที่วังพระบิดา โดยมี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร หรือที่ชาววังขานพระนามเฉลิมพระเกียรติว่า “ทูลกระหม่อมแก้ว” เป็นผู้อภิบาล
พระองค์ทรงมีพระโสทรเชษฐภคินี 2 พระองค์ คือ หม่อมเจ้าบัว ลดาวัลย์ และ หม่อมเจ้าปิ๋ว ลดาวัลย์ เมื่อทุกพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้นก็ได้เข้ารับราชการฝ่ายในเป็นพระอรรคชายาเธอในรัชกาลที่ 5 ทั้ง 3 พระองค์ โดยทรงเป็นพระภรรยาเจ้าชั้นหลานหลวง (ด้วยทรงเป็นพระราชนัดดาในพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนๆ)
หม่อมเจ้าบัว มีพระอิสริยยศเป็น พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค กรมขุนอรรควรราชกัลยา, หม่อมเจ้าปิ๋ว มีพระอิสริยยศเป็น พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ และหม่อมเจ้าสาย มีพระอิสริยยศเป็น พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ
พระอรรคชายาเธอฯ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ ทรงมีหน้าที่ควบคุมดูแลห้องพระเครื่องต้น ของเสวยคาวหวาน ทั้งยังทรงก่อตั้งโรงเลี้ยงเด็กขึ้นเป็นแห่งแรกในสยาม ที่ตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง เป็นการอุทิศพระกุศลประทาน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี ภัทรวดีราชธิดา พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 5 ที่ประสูติแต่พระอรรคชายาเธอฯ ที่สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2432 สิริพระชันษา 5 ปี
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระอรรคชายาเธอฯ ขึ้นเป็นพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
ประกาศ เลื่อนเจ้าคุณจอมมารดาแพ ขึ้นเป็นเจ้าคุณพระประยูรวงศ์
ราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921)
ประกาศ เลื่อนเจ้าคุณจอมมารดาแพ ขึ้นเป็นเจ้าคุณพระประยูรวงศ์
มีพระบรมราชโองการ ในพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเหนือเกล้าฯ
สั่งว่า เจ้าคุณจอมมารดาแพเป็นผู้ที่ได้มีความดีความชอบมาเป็นอันมาก เริ่มต้นแต่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชได้ดำรัสขอมา พระราชทานเป็นบริจาริก ในสมเด็จพระบรมชนกนาถ เมื่อดำรงอยู่ในพระอิสริยศสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพินิตประชานาถ ได้เป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขตลอดมาแต่ในรัชกาลที่ ๔ ครั้นเมื่อได้เถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ชุบเลี้ยงไว้ในตำแหน่งพระสนมเอกเป็นเจ้าจอมมารดารผู้ใหญ่ ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณด้วยความซื่อตรงจงรักภักดีสุจริต เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งยั่งยืนตลอดมา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้มียศบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าคุณจอมมารดาเมื่อวัน ที่ ๒๑ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๔๗ มีข้อความดีความชอบแจ้งอยู่ในกระแสร์พระบรมราชโองการนั้นแล้ว เจ้าคุณจอมมารดาแพเป็นผู้มีหฤทัยสัตย์ซื่อมั่นคงอยู่ในความกตัญญูกะตะเวทีต่อพระ บาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสมอมาตลอดจนสิ้นรัชกาลที่ ๕
แต่ส่วนความดีความชอบของเจ้าคุณจอมมารดาแพ ซึ่งได้มี มาแล้วเฉภาะในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท เริ่มแต่พระบรมราชสมภพ ได้เป็นผู้เบิกพระโอษฐ์ปฐมฤกษ์แห่งความเจริญ พระราชชศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลเป็นเบื้องต้นสืบมา แลทั้งเจ้าคุณจอมมารดาแพ มีความจงรักภัคดีเฉภาะใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท ตั้งแต่ทรงพระเยาว์มาเป็นอย่างยิ่ง จนได้ทรงคุ้นเคยสนิทแต่ดั้งเดิมมา ครั้นได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ทรงประจักษ์แก่พระราชหฤทัยว่า เจ้าคุณจอมมารดาแพมีความจงรักสวามิภักดิ์ต่อ ต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทยั่งยืนเสมอ มีกระมลจิตรซื่อสัตย์สุจริต นับถือพระบรมราชวงศ์ แลโอบอ้อมอารีแก่ญาติวงศ์ตลอดจนข้าทูลลอองธุลีพระบาททั่วไป ประกอบทั้งมีอัธยาศัยแลมารยาทเรียบร้อยเป็นอันดี สมกับที่เป็นผู้ได้เนื่องอยู่ในราชินิกุลอันมีศักดิ์ เป็นผู้ที่ทรงเคารพนับถือนัก สมควรจะเลื่อนยศบรรดาศักดิ์เพิ่มเกียรติยศให้ยิ่งขึ้น
จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่ง ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เจ้าคุณจอมมารดาแพขึ้นเป็น “เจ้าคุณพระประยุรวงศ์” จงเจริญชนมายุ พรรณสุขพลสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล ธนสารสมบัติ บริวารสมบูรณ์ ทุกประการเทอญ
พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำรัสสั่งวันที่ ๒๖ กันยายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชกาลปัจจุบันนี้
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นภาพของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้คือภาพของ เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยแฟชั่นที่ปรากฏเป็นสไตล์วิกตอเรียช่วงปลายยุค ซึ่งโดดเด่นด้วยแขนเสื้อทรงหมูแฮม (leg-of-mutton sleeves) ราว พ.ศ. ๒๔๓๐–๒๔๔๐ (ค.ศ. 1890s) อันสอดคล้องกับช่วงปลายรัชกาลที่ ๕
การแต่งกายประกอบด้วย เสื้อแขนหมูแฮม แบบตะวันตก แพรสะพาย สายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (Most Illustrious Order of Chula Chom Klao) ริบบิ้นลายสกอตช์ (Scottish tartan ribbon) ที่นิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๙ และโจงกระเบน ตามแบบการแต่งกายฝ่ายในของสยาม
เครื่องแต่งกายของเจ้าคุณพระประยุรวงศ์สะท้อนให้เห็นถึง การผสมผสานระหว่างระเบียบการแต่งกายของราชสำนักสยามกับรูปแบบการตัดเย็บแบบวิกตอเรียนยุโรป ในช่วงที่สังคมไทยเข้าสู่กระบวนการปรับตัวและเปิดรับความทันสมัยอย่างจริงจังในปลายรัชกาลที่ ๕
เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ นามเดิม แพ (5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2397 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2486) เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทำหน้าที่เป็นผู้เบิกพระโอษฐ์พระราชโอรสและพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคุณจอมมารดาแพ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเกียรติยศขึ้นเป็นเจ้าคุณชั้นพิเศษให้ออกนามว่า เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ และได้รับเกียรติให้ใช้คำว่า "ถึงแก่พิราลัย" เทียบเจ้าประเทศราชและสมเด็จเจ้าพระยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสยกย่องท่านว่า "ท่านสมบูรณ์ด้วยเกียรติยศ และเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งหลายมิรู้เสื่อมทรามจนตลอดอายุ"
เจ้าจอมมารดาโหมด พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เจ้าจอมมารดาโหมด
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือรูปของ เจ้าจอมมารดาโหมด ผู้เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เจ้าจอมมารดาโหมด ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นบุตรีคนที่ ๖ ของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ที่เกิดแต่ท่านผู้หญิงสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (อิ่ม) และยังเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดากับเจ้าคุณพระประยูรวงศ์อีกด้วย ท่านเป็นพระมารดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือเสด็จเตี่ย
เจ้าจอมมารดาโหมด เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๕ เป็นธิดาคนที่ ๖ ของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือเจ้าคุณทหาร กับท่านผู้หญิงอิ่ม และเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาของเจ้าคุณจอมมารดาแพ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสขอมาเป็นสะใภ้หลวง พระราชทานสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ นับเป็นพระสนมเอกผู้ใหญ่ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกย่องเป็นหัวหน้าพระสนมทั้งปวง ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาเกียรติยศ ขึ้นเป็นเจ้าคุณชั้นพิเศษ โปรดเกล้าฯ ให้ออกนามว่า “เจ้าคุณพระประยูรวงศ์”
โดยฝากฝังกับผู้ที่คุ้นเคยให้ช่วยถวายตัวเป็นข้าหลวงของเจ้านายพระบรมวงศ์ พระมเหสี หรือเจ้าจอมชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งจะแยกเป็นสังกัดกันไป เช่น สํานักของ "สมเด็จที่บน" หรือสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ สํานักของพระบรมราชินี "สำนักพระตำหนัก" หรือสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี" สำนักพระนางเจ้าพระราชเทวี" ของพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีพระราชเทวี เป็นต้น เพื่อฝึกฝนขนบธรรมเนียม กิริยามารยาท และวิชาการชั้นสูงสําหรับกุลสตรีจากในวัง และหากมีโอกาส ก็จะได้ถวายตัวรับราชการเป็นข้าหลวงพนักงานหรืออาจจะได้รับการโปรดเกล้าฯ รับไว้เป็นเข้าบาทบริจาริกา ตั้งแต่แรกเข้าวัง
เจ้าจอมมารดาโหมดก็อยู่ในความดูแลของท่านเจ้าคุณ พระประยูรวงศ์ หรือสํานัก "คุณจอมแพ" หรือ "ท่านที่ตําหนัก" ซึ่งภายในสํานักของ ท่านจะมีสตรีจากสายสกุลบุนนาคท่านอื่นๆ พำนักอยู่ด้วย เช่น เจ้าจอมมารดาอ่อน เจ้าจอมเอียม เจ้าจอมเอิบ เจ้าจอมอาบ เจ้าจอมเอื้อม เป็นต้น ต่อมาภายหลัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นเจ้าจอม และได้ประสูติ พระโอรส พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๓ พระองค์
๑. พระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ต่อมาทรงเป็นพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ต้นราชสกุล "อาภากร"
๒. พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา ประสูติเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๔ และสิ้นพระชนม์ตังแต่ยังทรงพระเยาว์
๓. พระองค์เจ้าชายสุริยงประยูรพันธุ์ ประสูติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๗ ต่อมาทรงเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส ต้นราชสกุล "สุริยง"
ทั้งสามพระองค์ได้รับพระราชทานพระนามตามราชทินนามในสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งหมายถึงดวงอาทิตย์และมีศักดิ์เป็นตาทวดของทุกพระองค์
เจ้าจอมมารดาโหมด พำนักในพระบรมมหาราชวังมาตลอดในรัชกาลที่ ๕ เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว จึงได้กราบบังคมทูลลาออกมาพำนักกับพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ (กรมหลวงชุมพรเขตอดุมศักดิ์) ณ วังนางเลิ้งตลอดมา มีความสุขอยู่กับการเลี้ยงดูพระราชนัดดา ในราชสกุล "อาภากร" และ "สุริยง" จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ ณ วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ รวมอายุ ๗๐ ปี
เจ้าจอมมารดา โหมด เคยได้รับพระราชทาน รางวัล เครื่องเสวย จาก ข้าวหุง (ข้าวมันหุงกะทิ) ตามที่ข้าหลวง ลมุน นุตาคม ได้ช่วยเสนอให้ท่านเจ้าจอมมารดาโหมด ได้หุงจนได้รับรางวัล เป็นเงินถึง ๕ ชั่ง หรือ ๔๐๐ บาท มีวิธีการหุงคือ นำดอกอัญชัน มาแช่กะทิ คั้นน้ำออกกรองให้ดี และนำน้ำนี้ไปใข้หุงข้าว จะได้ข้าวมันสีม่วงอ่อน ซึ่งเป็นที่พอพระราชหฤทัยรัชกาลที่๕ เป็นอย่างมาก
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และจี้เพรชชิ้นใหญ่
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และจี้เพรชชิ้นใหญ่
(พร้อมพระฉายาลักษณ์เดี่ยว ๒ ภาพ และพระฉายาลักษณ์หมู่ ๑ ภาพ)
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ ประกอบด้วย พระฉายาลักษณ์สามภาพได้แก่
๑) พระฉายาลักษณ์เดี่ยวของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประดับจี้เพรชชิ้นใหญ่
๒) พระฉายาลักษณ์เดี่ยวอีกชุดหนึ่ง ทรงประดับจี้เพรชชิ้นใหญ่ ชิ้นเดียวกัน
๓) พระฉายาลักษณ์หมู่ร่วมกับ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระองค์ประดับจี้เพรชชิ้นใหญ่ ชิ้นเดียวกัน
ภาพทั้งสามชุดสะท้อนยุคสมัยที่สยามกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัย และสะท้อนรสนิยมทางแฟชั่นชั้นสูงของราชสำนักฝ่ายในช่วงรัชกาลที่ ๕ อย่างชัดเจน