History of Fashion
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ: Diamond Jubilee of Queen Victoria
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ: Diamond Jubilee of Queen Victoria
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ในพระราชพิธีพัชราภิเษกสมโภชแห่งสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ในฉลองพระองค์ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ พระยศนายร้อยโท
พระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับ ฉายที่กรุงลอนดอน ขณะทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ พระชนมายุ ๑๖ พรรษา ในการเสด็จแทนพระองค์ร่วมกับกรมหมื่นมหิศรรราชหฤทัย เนื่องในโอกาสการเข้าร่วมงานพระราชพิธีพัชราภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Diamond Jubilee of Queen Victoria) จัดขึ้นในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๐ (1897) เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในวาระที่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียครองสิริราชสมบัติครบปีที่ ๖๐
ก่อนหน้านี้ในวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงดำรงพระชนมายุล้ำพระชนมายุของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ ๓ พระอัยกา ในฐานะที่ทรงเป็นองค์พระประมุขที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ สก็อตแลนด์ และสหราชอาณาจักร พระองค์มีพระประสงค์ให้เลื่อนการเฉลิมฉลองของสาธารณชนแบบพิเศษต่าง ๆ ออกไปถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พร้อมกับพระราชพิธีพัชราภิเษกของพระองค์ โจเซฟ แชมเบอร์เลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาณานิคม ได้เสนอให้จัดพระราชพิธีพัชราภิเษกเป็นการเฉลิมฉลองทั่วจักรวรรดิอังกฤษ
สิ่งที่น่าสนใจคือเหรียญที่ระลึกที่ประดับบนฉลองพระองค์
เหรียญทางซ้ายคือ เหรียญรัชดาภิเษกมาลา ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖ (1893)) (Silver Jubilee of King Chulalongkorn) ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ หรือวิกฤตการณ์ปากน้ำ ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางการทูตและการทหารระหว่างสยามกับฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส–สยาม) ที่นำไปสู่การเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ลาวส่วนใหญ่ในปัจจุบัน) ให้ฝรั่งเศส
เหรียญทางขวาคือ เหรียญพระราชพิธีพัชราภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (พ.ศ. ๒๔๔๐ (1897)) (Diamond Jubilee of Queen Victoria) ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับการเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก
ระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมชนกนาถจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สืบแทนสมเด็จพระเชษฐา มีพระนามาภิไธยว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ (1894)
สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในแฟชั่นแบบ Classic Preppy Look
สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในแฟชั่นแบบ Classic Preppy Look
แฟชั่น Classic Preppy Look ถือกำเนิดจากเครื่องแต่งกายของนักเรียนระดับ Preparatory School และมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐและสหราชอาณาจักรในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีรากฐานจาก British Menswear Tradition ซึ่งยึดถือความเนี้ยบของการตัดเย็บ สัดส่วนที่พอดีตัว และคู่สีคลาสสิกซึ่งสะท้อนทั้งสถาบันเก่าแก่และความสง่างามในแบบชนชั้นผู้ดีอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น Navy Blue, Beige, Khaki หรือ Ivory สไตล์นี้จึงสั่งสมภาพลักษณ์ของระเบียบ ความสุภาพ และความเรียบโก้ที่ไม่ต้องอาศัยความโดดเด่นฉูดฉาด แต่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความคลาสสิกเหนือกาลเวลา
องค์ประกอบสำคัญของ preppy menswear ประกอบด้วยเบลเซอร์เนวีตัดเนี้ยบแบบอังกฤษซึ่งมักประดับกระดุมทองหรือโลหะ กางเกงสีเบจหรือกากีซึ่งเข้าคู่กับเนวีอย่างเป็นธรรมชาติ เสื้อเชิ้ต Oxford สีขาว เนกไทสีดำหรือเนวีที่ให้ความเป็นระเบียบ และรองเท้าประเภท loafers หรือ sneakers ซึ่งในยุคใหม่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความผ่อนคลายแบบ preppy ร่วมสมัย คู่สี Navy + Beige จึงกลายเป็นสูตรสำเร็จที่ทั้งสากลและ timeless และยังสืบเนื่องจากสถาบันกีฬาและชีวิตนักเรียนในอังกฤษที่ให้คุณค่ากับวินัยและความสง่างามแบบ understated
สีทั้งสองยังมีพลังทางสัญลักษณ์ในประวัติศาสตร์แฟชั่นอย่างเด่นชัด สี Navy Blue มาจากเครื่องแบบทหารเรืออังกฤษตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 สื่อถึงวินัย เกียรติยศ และความน่าเชื่อถือ ขณะที่สี Beige หรือ Khaki มีรากมาจากเครื่องแบบของอังกฤษในอินเดียยุคจักรวรรดิ ซึ่งเป็นสีที่ทนทาน ปฏิบัติได้จริง และให้ความรู้สึกหรูอย่างสงบ เมื่อนำมาจับคู่กันจึงเกิดภาพลักษณ์ที่สะอาด เนี้ยบ และคลาสสิกอย่างผู้ดีอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นรากฐานของ preppy style ทั่วโลกนานนับศตวรรษ
ความงามแบบคลาสสิคเหล่านี้สะท้อนอย่างสง่างามในฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ณ พิธีเปิดการแข่งขันซีเกมส์ 2025 ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อพระองค์ทรงปรากฏด้วยเบลเซอร์สีน้ำเงินเข้มประดับตราทีมชาติไทย กางเกงสีเบจทรงพอดีพระวรกาย เสื้อเชิ้ตขาว เนกไทสีดำ และฉลองพระบาทสนีกเกอร์สีขาว อันเป็นการตีความ preppy–British tailoring ในแบบไทยสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม พระเกศาที่ทรงรวบอย่างงดงามเพิ่มความสุภาพและความคล่องแคล่วให้ฉลองพระองค์จนเกิดภาพลักษณ์ที่ลงตัวระหว่างความเป็นทางการและความร่วมสมัย
ฉลองพระองค์เช่นนี้มีความหมายสำคัญทั้งในเชิงแฟชั่นและวัฒนธรรมไทย ประการแรกคือการเน้นย้ำความเป็น preppy ที่สง่างามแบบผู้นำของชาติ ซึ่งถ่ายทอดผ่านความเนี้ยบ ความมีวินัย และบุคลิกแห่งความมั่นใจ ประการที่สองคือการยกระดับเครื่องแบบทีมชาติไทยให้กลายเป็น high fashion ด้วยโครงสร้างและสัดส่วนแบบ British tailoring ที่ผสานกันอย่างงดงามระหว่างความเป็นทางการ ความคล่องแคล่วเชิงกีฬา และภาวะผู้นำที่เด่นชัด และประการสุดท้ายคือการสะท้อนว่าแฟชั่นแบบไทยร่วมสมัยสามารถเชื่อมต่อกับ aesthetics สากลได้โดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ ซึ่งปรากฏชัดเมื่อพระองค์เสด็จเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในงานพิธีเปิดการแข่งขันซีเกมส์ และร่วมเฉลิมฉลองความพร้อมของประเทศไทยในเวทีโลก
ดังนั้น การปรากฏพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ในสไตล์ Classic Preppy British Menswear จึงมิได้เป็นเพียงการสวมใส่เครื่องแบบทีมชาติ แต่เป็นการประกาศภาพลักษณ์ใหม่ของ “ความสง่างามแบบไทยร่วมสมัย” ที่ผสานความเรียบโก้ ความเป็นผู้นำ ความเป็นหนึ่งเดียวกับนักกีฬาไทย และความคลาสสิกเหนือกาลเวลา คู่สี Navy + Beige ซึ่งเป็นรากเหง้าจาก British menswear จึงไม่เพียงเป็นแฟชั่น หากยังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของความพร้อม ความเป็นระเบียบ และภาพลักษณ์นานาชาติของประเทศไทยในยุคใหม่อย่างสมศักดิ์ศรี
การสร้างสรรค์แฟชั่นสไตล์ ล้านนา Early Teens
การสร้างสรรค์แฟชั่นสไตล์ Lanna Early Teens
ภาพที่ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือการถ่ายทอดแฟชั่นล้านนาในสไตล์ Early Teens ช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ สะท้อนแฟชั่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๔–๒๔๕๗ (ค.ศ. 1911–1914) ซึ่งเป็นยุคที่หลักฐานภาพถ่ายของแฟชั่นสตรีชั้นสูงล้านนาค่อนข้างหายาก แม้ยุคเอ็ดเวิร์เดียนจะสิ้นสุดลงในอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ หลังการสวรรคตของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ แต่ความงามแบบเอ็ดเวิร์เดียนยังคงมีอิทธิพลอย่างชัดเจนในช่วงต้นทศวรรษ 1910 ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านสู่รูปทรงแฟชั่นก่อนสงคราม
ภาพคอลเลกชันนี้เกิดจากการจินตนาการและการผสมผสาน โดยนำแบบเสื้อที่ผมเคยสร้างสรรค์ไว้เมื่อต้นปี ซึ่งในครั้งนั้นเป็นการแต่งกายแบบสยามด้วยการนุ่งโจงกระเบน มาประยุกต์ใหม่ให้เข้ากับบริบทล้านนาด้วยการจับคู่กับผ้าซิ่นตีนจก ทั้งแบบเชียงใหม่และแบบน่าน
สำหรับครั้งนี้ ผมใช้ Google Banana Pro ในการสร้างสรรค์ โดยนำภาพเสื้อและทรงผมที่ออกแบบไว้อย่างถูกต้องทางประวัติศาสตร์ มาผสมกับผ้าซิ่นตีนจกล้านนา และปรับฉากหลังให้เป็นวัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ (ผมเติบโตใกล้วัดพระสิงห์ บ้านของผมเองก็เป็นศรัทธาวัดพระสิงห์) พร้อมเพิ่มความเป็นล้านนาด้วยดอกไม้พื้นถิ่น ได้แก่ ดอกเฟื่องฟ้า ดอกพวงแสด และดอกพุทธรักษา และในภาพเสมือนเราจะได้ยินเสียงนกกระจอกบินวนอยู่เบื้องหลัง
ภาพชุดนี้จึงเป็นการนำเสนอแนวคิดการตีความแฟชั่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ ผ่านมุมมองของล้านนาในจินตนาการร่วมสมัย
__________________
ในสยาม ช่วงเวลานี้ตรงกับต้นรัชกาลที่ ๖ ยุคแห่งความทันสมัยและกระแสชาตินิยม จากมุมมองประวัติศาสตร์แฟชั่น เราเรียกช่วงนี้ว่า “ยุค Early Teens” (พ.ศ. ๒๔๕๔–๒๔๖๒ / ค.ศ. 1911–1919) ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อสำคัญ และมีลักษณะเด่น ได้แก่:
๑. โครงสร้างเสื้อผ้าอ่อนนุ่มขึ้น
ในแฟชั่นแบบตะวันตก คอเสื้อสูงแบบเอ็ดเวิร์เดียนเริ่มเสื่อมความนิยม แทนที่ด้วยคอปกเหลี่ยมหรือคอกะลาสี แขนสามส่วน หรือแขนประดับลูกไม้หลายชั้น พร้อมชายเสื้อที่ยาวระดับสะโพก
๒. ทรงผมเล็กลงและเป็นธรรมชาติ
แม้ยังนิยมเกล้ามวยสูง แต่รูปทรงเล็กลงและดูผ่อนคลายกว่าเดิม
๓. แนวเอวสูง
มักวางใต้หน้าอก ตามแนวโรแมนติกแบบ Paul Poiret ซึ่งเน้นเส้นสายอ่อนช้อย
๔. กระโปรงแคบลง
มีความเข้ารูปมากขึ้น นิยมจับคู่กับเสื้อแจ็กเก็ตชายยาว เสื้อผ้าลูกไม้ หรือแขนกิโมโน
__________________
“Lanna Early Teens Style”: อัตลักษณ์ใหม่แห่งแฟชั่นล้านนา
ในขณะที่สตรีชั้นสูงในกรุงเทพฯ เริ่มนิยมเสื้อฝรั่งคู่โจงกระเบนและผ้าลูกไม้แบบตะวันตก สตรีชนชั้นสูงในล้านนา—โดยเฉพาะผู้ได้รับอิทธิพลจากเจ้าดารารัศมี—ยังคงรักษาเอกลักษณ์ล้านนาควบคู่ไปกับแฟชั่นโลก เช่น มวยผมแบบญี่ปุ่น เสื้อฝรั่งผ้าลูกไม้ และผ้าซิ่นตีนจก
ลักษณะเด่นของ Lanna Early Teens Style ได้แก่:
๑. เสื้อลูกไม้หรือเสื้อคอต่ำ
ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม มีการจับจีบหรือเสริมลูกไม้บริเวณแขน แขนสามส่วน และชายเสื้อยาวระดับสะโพก
๒. ผ้าซิ่นลายนิยมของล้านนา
เช่น ผ้าซิ่นตีนจก สีสันเข้าชุดกับเสื้อฝรั่ง และใช้ร่วมกับเข็มขัดเอวสูง
๓. ทรงผมเกล้ามวยแบบลอนอ่อน
หรือการปล่อยลอนอ่อนในหญิงสาว สะท้อนทั้งอิทธิพลตะวันตกและความเป็นธรรมชาติ
๔. เครื่องประดับ
เช่น ร่มงาช้าง เข็มกลัดคาเมโอ หรือกระเป๋าผ้าปักลาย
๕. รองเท้า
รองเท้าหนังทรง Mary Jane หรือ T-bar คู่กับถุงน่องสีดำหรือสีขาว
กล่าวได้ว่า Lanna Early Teens Style คือแฟชั่นที่สร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้สตรีล้านนาในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน สะท้อนความงาม ความมั่นใจ และความสามารถในการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตก สยาม และล้านนาเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม
__________________
Lanna Early Teens Fashion Creation
This AI-generated collection presents Lanna fashion in the Early Teens style during the early reign of King Rama VI. It reflects the pre–World War I fashion era between พ.ศ. ๒๔๕๔–๒๔๕๗ (1911–1914), a period in which photographic evidence of elite Lanna women’s dress is relatively scarce. Although the Edwardian era officially ended in Britain in พ.ศ. ๒๔๕๓ (1910) with the death of King Edward VII, the Edwardian aesthetic continued to exert influence well into the early 1910s before gradually transitioning into the pre-war silhouette.
This collection is an imaginative reconstruction that blends the blouse designs I created earlier this year. Those earlier works depicted Siamese court dress paired with chong kraben. In this new series, I re-interpret those garments within a Lanna context by pairing the blouses with phaa sin teen chok, both from Chiang Mai and Nan.
For this project, I used Google Banana Pro, combining historically informed blouse patterns and hairstyles with Lanna teen chok textiles, and situating the scene at Wat Phra Singh in Chiang Mai—a place personally meaningful to me, as I grew up next to the temple and my family has long been its devotees. To enhance the Lanna atmosphere, I incorporated familiar local flowers such as bougainvillea, puang-saet (Pyrostegia venusta), and canna lilies. One can almost imagine hearing sparrows fluttering in the background of the scene.
This series embodies a creative interpretation of pre–World War I fashion, envisioned through a Lanna cultural lens.
In Siam, this period corresponds to the early reign of King Rama VI, a time marked by modernisation and rising nationalism. In fashion history, this era is known as the Early Teens (พ.ศ. ๒๔๕๔–๒๔๖๒ / 1911–1919), a transitional phase with distinctive characteristics:
๑. Softer garment structures
High Edwardian collars declined in popularity, replaced by square collars, sailor collars, three-quarter sleeves, and layered lace sleeves, with blouses often extending to hip length.
๒. Smaller and more natural hairstyles
Although high chignons were still worn, their shapes became smaller and more relaxed.
๓. High waistlines
Often placed just below the bust, following the romantic, fluid lines championed by Paul Poiret.
๔. Narrower skirts
Increasingly fitted silhouettes were frequently paired with long jackets, lace blouses, or kimono-style sleeves.
“Lanna Early Teens Style”: A New Sartorial Identity
While elite women in Bangkok were increasingly adopting Western lace blouses paired with chong kraben, elite women in Lanna—especially those influenced by Princess Dara Rasami—maintained a hybrid aesthetic that fused Lanna identity with global fashion trends. This included Japanese-inspired coiffures, Western lace blouses, and phaa sin teen chok.
Key Characteristics of the Lanna Early Teens Style
๑. Lace blouses or low-necked blouses
Made from cotton or silk, featuring pleats or lace trim at the sleeves, typically three-quarter length, with hip-length hems.
๒. Highly prized Lanna phaa sin
Especially sin teen chok in coordinated colours, worn with a high waist belt.
๓. Soft chignon hairstyles with loose waves
Young women often wore gentle curls, reflecting both Western influence and natural simplicity.
๔. Accessories
Such as ivory-handled parasols, cameo brooches, and embroidered purses.
๕. Footwear
Mary Jane or T-bar leather shoes worn with black or white stockings.
The Lanna Early Teens Style can be seen as a newly defined sartorial identity for Lanna women during a period of cultural transition. It expresses beauty, confidence, and an elegant interplay between Western, Siamese, and Lanna aesthetics.
อ่านเพิ่มเติมพร้อมทั้งบทความภาษาอังกฤษได้ที่ :
เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO
“4 สายราชสกุล-ราชินิกุล-สกุล: “กิติยากร-พิศลยบุตร-เทวกุล-สุจริตกุล” สายพระชนก ใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
4 ราชสกุล-ราชินิกุล-สกุล สายพระชนก ใน “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
”4 สายราชสกุล-ราชินิกุล-สกุล: “กิติยากร-พิศลยบุตร-เทวกุล-สุจริตกุล” สายพระชนก ใน สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ พระรูป และภาพ ของ 4 สายราชสกุล-ราชินิกุล-สกุล: “กิติยากร-พิศลยบุตร-เทวกุล-สุจริตกุล” สายพระชนก ใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระธิดาในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และหม่อมหลวงบัว (สนิทวงศ์) กิติยากร
เนื่องจากพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ พระชนกในพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระโอรสใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ และ หม่อมเจ้าหญิงอัปษรสมาน (เทวกุล) กิติยากร ราชสกุล-ราชินิกุล-สกุล สายพระชนก จึงเกี่ยวเนื่องด้วยราชสกุลกิติยากร, ราชสกุลเทวกุล, สกุลพิศลยบุตร และสกุลสุจริตกุล
__________________
“กิติยากร-พิศลยบุตร”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ต้นราชสกุล “กิติยากร” พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ประสูติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2417 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 12 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประสูติแต่ เจ้าจอมมารดาอ่วม จากสกุล “พิศลยบุตร”
เจ้าจอมมารดาอ่วม เป็นธิดาคนที่ 3 ของ พระยาพิสณฑสมบัติบริบูรณ์ (ยิ้ม พิศลยบุตร) หรือ “เจ้าสัวยิ้ม” กับขรัวยายปราง (สกุลเดิม “สมบัติศิริ”)
ต้นสกุลพิศลยบุตรคือ หลวงบรรจงวาณิช (เหล่าบุ่นโข่ย) ซึ่งมีบรรพบุรุษเป็นชาวจีนฮกเกี้ยน เดินทางมาสยามโดยเรืออั้งจุ๋น (สำเภาแดง) จากเมืองอ้วงเก่ฉู่ มณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ชุบเลี้ยงนายเหล่าบุ่นโข่ยอย่างสนิทเสน่หา และพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงบรรจงวานิช ท่านมีบุตรและธิดากับท่านจาดและภริยาคนอื่น ๆ หลายคน แต่ไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง หนึ่งในนั้นก็คือ ยิ้ม พิศลยบุตร
สมัยรัชกาลที่ 4 พระยาพิสณฑสมบัติบริบูรณ์ (ยิ้ม พิศลยบุตร) ซึ่งขณะนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นพระภาษีสมบัติบริบูรณ์ เจ้าภาษีฝิ่น ตัดสินใจซื้อโรงงานน้ำตาลเมืองนครชัยศรีจากชาวยุโรป เพื่อตัดปัญหาเจ้าของโรงงานโกงเงินค่าอ้อยชาวไร่ จากนั้นขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตขุดคลองขนส่งน้ำตาลมากรุงเทพฯ และเป็นเส้นทางคมนาคมของประชาชน เชื่อมคลองบางกอกใหญ่กับแม่น้ำเมืองนครชัยศรี พระราชทานนามคลองว่า “คลองภาษีเจริญ” ตามราชทินนามผู้ขุด
เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งรัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค แล้วทอดพระเนตรเห็น “คุณอ่วม” บุตรีพระยาพิสณฑสมบัติบริบูรณ์ ซึ่งยืนชื่นชมพระบารมีจากหน้าต่างบ้าน ทำให้พระองค์ต้องพระราชหฤทัยและส่งคุณท้าวไปสู่ขอจากบิดา แม้พระยาพิสณฑสมบัติบริบูรณ์จะไม่ยินยอมในทีแรก เพราะได้หมั้นหมายคุณอ่วมกับชายอื่นไปแล้ว แต่หลังจากผู้ใหญ่ในวังมาเจรจาก็เป็นอันเข้าใจกัน และยอมน้อมเกล้าฯ ถวายธิดาเป็นบาทบริจาในรัชกาลที่ 5
เจ้าจอมมารดาอ่วมประสูติพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ต้นราชสกุลกิติยากร ทั้งทรงเป็นพระราชโอรสรุ่นแรกในรัชกาลที่ 5 ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อต่างประเทศ ณ ทวีปยุโรป ก่อนจะกลับมารับราชการในสยามเมื่อ พ.ศ. 2437
หลังกลับสยาม ทรงได้รับสถาปนาขึ้นทรงกรม เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ แล้วเลื่อนพระอิสริยยศขึ้นเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก่อนทรงได้รับแต่งตั้งเป็นนายพลตรี และเป็นอภิรัฐมนตรี ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
ในบั้นปลายพระชนมชีพ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เสด็จไปรักษาอาการประชวรที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และสิ้นพระชนม์ที่นั่นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 พระชันษา 57 ปี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงเสกสมรสกับ “หม่อมเจ้าหญิงอัปษรสมาน เทวกุล” ธิดามหาอำมาตย์นายก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ประสูติแต่หม่อมใหญ่ เทวกุล
__________________
“เทวกุล-สุจริตกุล”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ต้นราชสกุล “เทวกุล” พระนามเดิมคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ ประสูติเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2401 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 42 ในรัชกาลที่ 4 ประสูติแต่ เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม หรือสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา
เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยมประสูติพระราชโอรสและธิดา 6 พระองค์ ประกอบด้วย
1. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย
2. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ
3. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน หรือต่อมาคือสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน พระบรมราชเทวี
4. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา หรือต่อมาคือ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
5. พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงเสาวภาผ่องศรี หรือต่อมาคือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และ
6. พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ หรือต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์
ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ ทรงเริ่มงานราชการด้วยการเป็นพนักงานตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบผลประโยชน์ของแผ่นดิน และการจัดเก็บภาษีอากรของกระทรวงต่าง ๆ ก่อนจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น กรมหมื่นเทวะวงษวโรปการ เมื่อ พ.ศ. 2424 จากนั้นทรงรับราชการหลายตำแหน่ง จนได้เลื่อนยศเป็น “กรมหลวง” ใน พ.ศ. 2429 และเลื่อนขึ้นเป็น “สมเด็จกรมพระยา” ในสมัยรัชกาลที่ 6
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2466
กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเสกสมรสกับ “หม่อมใหญ่ เทวกุล ณ อยุธยา” สกุลเดิมของท่านคือ “สุจริตกุล”
หลวงอาสาสำแดง (แตง) และท้าวสุจริตธำรง (นาค) คือต้นสกุลสุจริตกุล หลวงอาสาสำแดง (แตง) เกิด พ.ศ. 2326 รับราชการเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เป็นสมุห์บาญชีกรมหมาดเล็กเวรฤทธิ์ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอาสาสำแดง ตำแหน่งเจ้ากรมเรือต้นซ้าย ในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2395 อายุ 71 ปี
ส่วนท้าวสุจริตธำรง (นาค) เกิด พ.ศ. 2355 แล้วรับราชการฝ่ายในมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นท้าวทองพยศ ตำแหน่งนายวิเสทกลางสำรับหวาน เมื่อท่านถึงอนิจกรรมใน พ.ศ. 2434 อายุ 79 ปี รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นท้าวสุจริตธำรง
ทั้งคู่มีบุตรธิดารวม 9 คน (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยมในรัชกาลที่ 4 เป็นคนที่ 5) ซึ่งบุตรคนที่ 3 คือ เจ้าพระยาศิริรัตนมนตรี (หงส์ สุจริตกุล) คือบิดาของหม่อมใหญ่ เทวกุล ณ อยุธยา นั่นเอง
หม่อมใหญ่ เทวกุล ณ อยุธยา เป็นธิดาคนที่ 2 ของเจ้าพระยาศิริรัตนมนตรี (หงส์ สุจริตกุล) และคุณหญิงตาด ธิดาพระยาราชสงคราม (ทองอิน ธรรมสโรช) ที่สำคัญคือท่านเป็น “สหชาติ” คือเกิดและประสูติวันเดียวกันกับสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2401) ด้วย
หม่อมใหญ่ เทวกุล ณ อยุธยา ถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2479 สิริอายุ 78 ปี ประสูติโอรสธิดา 11 องค์ ธิดาองค์โตคือ “หม่อมเจ้าหญิงอัปษรสมาน” ชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ นั่นเอง
ผู้เขียน กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2568
__________________
Four Royal and Noble Lineages on the Paternal Side of Her Majesty Queen Sirikit, The Queen Mother:
Kitiyakara – Phisonlayabutr – Devakula – Sucharitkul
The images restored and artistically recreated by AI here present royal portraits and photographs representing the four royal and noble lineages on the paternal side of Her Majesty Queen Sirikit, The Queen Mother (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง):
the Kitiyakara, Phisonlayabutr, Devakula, and Sucharitkul families.
Her Majesty Queen Sirikit is the daughter of Prince Chandaburi Suranath (พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) and Mom Luang Bua Kitiyakara (หม่อมหลวงบัว กิติยากร; née Snidvongs).
Because Prince Chandaburi Suranath was the son of Prince Chandaburi Naruenat (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ) and Princess Apsornsaman Kitiyakara (หม่อมเจ้าหญิงอัปษรสมาน กิติยากร; née Devakula), the paternal ancestry of Her Majesty is therefore linked to the Royal House of Kitiyakara, the Royal House of Devakula, and the noble families of Phisonlayabutr and Sucharitkul.
__________________
“Kitiyakara – Phisonlayabutr”
Prince Chandaburi Naruenat (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ), founder of the Kitiyakara royal house, was born as Prince Kittiyakara Voralaksana (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์) on 8 June 1874. He was the 12th son of King Chulalongkorn (Rama V) (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) and Chao Chom Manda Uam(เจ้าจอมมารดาอ่วม), who came from the Phisonlayabutr family (สกุลพิศลยบุตร).
Chao Chom Manda Uam (เจ้าจอมมารดาอ่วม) was the third daughter of Phraya Phisonlayabutr Buri Rom (ยิ้ม พิศลยบุตร), widely known as “Chao Sua Yim”, and Lady Prang (ขรัวยายปราง; née Sombatsiri — สมบัติศิริ).
The founder of the Phisonlayabutr family was Luang Banchong Vanich (หลวงบรรจงวาณิช; Chinese name: Lao Bun Khoei), whose ancestors migrated from Fujian aboard the Ang Chun (“Red Junk”).
King Mongkut (Rama IV) (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) took him under royal patronage and granted him noble rank.
His son Yim Phisonlayabutr, who became Phraya Phisonlayabutr Buri Rom, was a prominent opium tax farmer. During King Mongkut’s reign he purchased a sugar factory from Europeans in Nakhon Chaisi, and later petitioned to excavate a canal connecting Nakhon Chaisi to Bangkok. This canal was named Khlong Phasi Charoen (คลองภาษีเจริญ) after his noble title.
A well-known account recounts that King Chulalongkorn once travelled by barge and caught sight of Uam (อ่วม) looking out from a window. The King was taken by her beauty and asked his attendants to negotiate with her father, who had arranged her marriage elsewhere. After discussions, he consented to offering his daughter as a royal consort.
Chao Chom Manda Uam bore one son:
Prince Kittiyakara Voralaksana, founder of the Kitiyakara royal house. He was also among the first royal sons sent to study in Europe during the reign of King Chulalongkorn.
Upon returning to Siam in 1894, he entered government service and was later elevated to:
– Prince Chandaburi Suranath (กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ)
– Prince Chandaburi Naruenat (กรมพระจันทบุรีนฤนาถ) under King Vajiravudh (Rama VI),
eventually becoming a Lieutenant-General and Aphiratcha Montri (อภิรัฐมนตรี) under King Prajadhipok (Rama VII).
He passed away in Paris on 27 May 1931, aged 57.
Prince Chandaburi Naruenat married Princess Apsornsaman Devakula (หม่อมเจ้าหญิงอัปษรสมาน เทวกุล), daughter of Prince Devawongse Varopakarn and Mom Yai Devakul na Ayudhya.
__________________
“Devakula – Sucharitkul”
Prince Devawongse Varopakarn (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ), founder of the Devakularoyal house, was born Prince Thewan Uthai Wong (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ) on 27 November 1858.
He was the 42nd son of King Mongkut (Rama IV), born to Chao Khun Chom Manda Piam (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม; later Somdet Phiyamawadi Sri Patcharinthramata – สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา).
Chao Khun Chom Manda Piam had six children:
Prince Unakan Anantanorachai (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย)
Prince Thewan Uthai Wong (พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงษ)
Princess Sunandha Kumariratana (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี)
Princess Savang Vadhana (สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า)
Princess Saovabha Phongsri (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง)
Prince Sawatdisophon (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์)
Prince Devawongse began his service during the reign of King Chulalongkorn, working in finance and taxation. In 1881, he was appointed Prince Devawongse Varopakarn (กรมหมื่นเทวะวงษวโรปการ).
In 1886, he was elevated to Krom Luang, and under Rama VI he became Somdet Krom Phraya. He died on 28 June 1923.
He married Mom Yai Devakul na Ayudhya (หม่อมใหญ่ เทวกุล ณ อยุธยา; née Sucharitkul).
The Sucharitkul Line
The Sucharitkul family descends from:
– Luang Asa Samdaeng (Taeng) (หลวงอาสาสำแดง (แตง)), born 1783, a royal page and officer of the Royal Barge Department under Kings Rama III and IV
– Tao Sucharit Thamrong (Nak) (ท้าวสุจริตธำรง (นาค)), born 1812, an inner-court official who later held the rank Tao Sucharit Thamrong under Rama V.
Together they had nine children.
Their third son, Chao Phraya Siriratana Montri (Hongs Sucharitkul) (เจ้าพระยาศิริรัตนมนตรี (หงส์ สุจริตกุล)), was the father of Mom Yai Devakul na Ayudhya, the consort of Prince Devawongse Varopakarn.
Mom Yai, born 27 November 1858—the same day as Prince Devawongse, making them sahachat (สหชาติ)—passed away on 26 June 1936, aged 78.
She bore eleven children; the eldest daughter was Princess Apsornsaman Devakula, who became the consort of Prince Chandaburi Naruenat.
Author: Silpa Wattanatham Editorial Team
Published: Tuesday, 28 October 2025
__________________
เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO
วิธีที่ผมใช้บูรณะภาพถ่ายขาวดำโบราณ โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญตรา
⭐️ วิธีที่ผมใช้บูรณะภาพถ่ายขาวดำโบราณ โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญตรา
(ตอบคำถามหลายท่านที่สงสัยว่าผมทำอย่างไรให้สีและรายละเอียดตรงตามประวัติศาสตร์ขนาดนี้)
ช่วงหลังมีหลายท่านถามผมบ่อยมากครับว่า เวลาบูรณะภาพถ่ายเก่า ๆ ด้วยเทคโนโลยี AI—โดยเฉพาะภาพที่เต็มไปด้วยเหรียญตรา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ลวดลายดิ้นทอง และเครื่องแบบราชสำนักที่มีความซับซ้อน—ผมทำอย่างไรให้ สีถูกต้อง ลำดับเหรียญไม่ผิด และผิวสัมผัสของผ้า–โลหะ–เครื่องประดับดูสมจริง ทั้งที่ตัว AI เองก็ไม่ได้ “รู้” อยู่แล้วว่าสีจริงควรเป็นอย่างไร หรือแม้แต่การสะท้อนแสงของดิ้นทองแบบสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕–๖ มีลักษณะเฉพาะอย่างไร
ความจริงคือ มันไม่ได้ยากเลยครับ แต่ต้องละเอียดและใจเย็นมาก
และต้องใช้ “ความรู้ทางประวัติศาสตร์แฟชั่น” ร่วมกับ “การคุมทิศทางของ AI” อย่างใกล้ชิด
วันนี้ผมเลยอยากแบ่ง “กระบวนการที่ผมใช้จริง ๆ” ซึ่งหลายคนอาจนำไปประยุกต์ได้ ไม่ว่าจะทำงานบูรณะภาพครอบครัว ภาพโบราณ หรือใช้เพื่อทำงานเชิงวิชาชีพก็ได้เช่นกัน
และต้องบอกไว้ก่อนว่า กระบวนการนี้เป็นวิธีที่ผมนำไปใช้ ในงานอาชีพจริงของผมที่ลอนดอน
ในฐานะ นักออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับภาพยนตร์ ผมใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในการสร้างแบบร่างเสื้อผ้าจากภาพขาวดำเก่า ๆ เพื่อศึกษาผิวสัมผัสของผ้า เทคนิคการทอ ลวดลายดิ้นทอง และโครงสร้างเครื่องแบบโบราณในระดับที่ละเอียดแบบงานภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ดังนั้นจึงขอเล่า “วิธีที่ผมทำจริง ๆ” ให้ฟัง เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากลองบูรณะภาพคุณภาพสูง โดยกระบวนการเหล่านี้สามารถใช้ได้กับ Google Nano Banana Pro หรือเอ็นจินอื่นที่ออกแบบมาเป็น editing suite แนวเดียวกันครับ
๙ ธันวา ไหว้สาบาทเจ้า: “วันพระราชชายาเจ้าดารารัศมี”
๙ ธันวา ไหว้สาบาทเจ้า
“วันพระราชชายาเจ้าดารารัศมี”
“วันพระราชชายาเจ้าดารารัศมี” ตรงกับวันที่ ๙ ธันวาคมของทุกปี อันเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ เจ้าดารารัศมี พระราชชายา แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร นครเชียงใหม่ ผู้ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการวางรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและสยามในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙
พระราชชายาฯ ทรงถวายตัวเป็นบาทจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นหลักประกันทางการเมืองและวัฒนธรรมให้แก่ล้านนาในยามที่กระแสอำนาจจากชาติตะวันตกกำลังรุมเร้าแผ่นดินสยาม บทบาทของพระองค์จึงเป็นมากกว่าพระสนมฝ่ายใน หากแต่เป็น “ผู้แทนล้านนา” ที่ทรงช่วยสถาปนาความมั่นคงและความเป็นเอกภาพของราชอาณาจักรผ่านพระอัจฉริยภาพ ความสุขุม และพระราชหฤทัยอันแน่วแน่
ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าดารารัศมี พระราชชายา ยังทรงเป็นผู้ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมล้านนาอย่างกว้างขวาง—ตั้งแต่ การฟ้อนล้านนา เครื่องแต่งกาย ขนบธรรมเนียม การทอผ้า ดนตรีพื้นเมือง ตลอดจนรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปประดิษฐ์—ให้กลับมารุ่งเรืองและได้รับการยอมรับในระดับราชสำนักสยาม หลายสิ่งที่พระองค์ทรงบำรุงรักษายังคงเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ล้านนาที่เห็นได้จนถึงทุกวันนี้
คุณูปการทั้งหมดของพระราชชายาฯ จึงไม่เพียงเป็นประวัติศาสตร์ หากยังเป็นมรดกที่ชาวเชียงใหม่และชาวเหนือพึงภาคภูมิใจอย่างลึกซึ้ง ในวันที่ ๙ ธันวาคมของทุกปี เราจึงร่วมกัน “ไหว้สาบาทเจ้า” เพื่อรำลึกในพระเมตตาและพระกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ยังคงส่องสว่างอยู่ในวิถีชีวิต วัฒนธรรม และหัวใจของชาวล้านนาจวบจนปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และ หม่อมใหญ่ เทวกุล ณ อยุธยา (สกุลเดิม สุจริตกุล)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา พระปัยยกา (ทวด) ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศและองคมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งดำรงตำแหน่งสมุหนายกและองคมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ผู้เป็นต้นราชสกุลกิติยากร
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ผู้เป็นต้นราชสกุลกิติยากร (ตอนที่ ๒)
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงฉลองพระองค์เต็มยศพลเรือน พร้อมกับ เหม่อมเจ้าอับศรสมาน (เทวกุล) กิติยากร
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 12 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาอ่วม ประสูติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2417 ซึ่งเป็นปีจอ และพระองค์ก็มีเชื้อสายจีนสืบมาจากเจ้าจอมมารดาอ่วม
ในช่วงต้นพระชนม์ชีพพระองค์ได้รับการศึกษาเบื้องต้นจาก พระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) ก่อนจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะจัดพระราชพิธีโสกันต์ให้กับพระองค์ในปี พ.ศ.2428 หลังจากทำพิธีโสกันต์เสร็จ ก็ได้ผนวชเป็นสามเณรประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศน์ราชวรมหาวิหาร เป็นระยะเวลา 15 วันก็ลาสิกขาบทออกมาเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ ตามที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งมา โดยเป็นพระเจ้าลูกยาเธอรุ่นแรกที่ได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
พระเจ้าลูกยาเธอรุ่นแรกที่รัชกาลที่ 5 ท่านส่งไปเรียนยังเมืองนอกนั้นมีด้วยกัน 4 คน ได้แก่
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช
โดยพระองค์ได้ไปศึกษาในระดับมัธยมที่ Rockvill School หลังจากศึกษาระดับมัธยมจบ พระองค์ก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดสาขาบูรพคดีศึกษา สาขาวิชาภาษาบาลีและสันสกฤต เมื่อ พ.ศ. 2437 และกลับยังสยามในปีเดียวกัน โดยหลังจากที่พระองค์กลับมายังสยาม ก็ช่วยพระราชบิดาของพระองค์หลายอย่าง เริ่มรับราชการและดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ แถมยังเป็นองคมนตรีด้วย นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระตุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็โปรดเกล้าฯ ทรงพระนามกรม ขึ้นเป็น กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ และยังสร้างวังพระราชทานใหกับพระองค์ วังนี้จึงเป็นสิทธิ์ขาดของพระองค์และราชสกุลกิติยากร ซึ่งโดยทั่วไปขนานนามว่า วังปากคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งการพระราชทานที่ดินและพระตำหนักริมน้ำนี้ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของพระองค์ เพราะวังแห่งนี้เป็นวังที่ตั้งอยู่ติดริมน้ำเจ้าพระยา เช่นเดียวกับวังที่พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี หนึ่งในพระมเหสีของพระจุลจอมเกล้าอีกด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เลื่อนยศของพระองค์จาก กรมหมื่นจันทบุรีนฤนาถ ขึ้นเป็นกรมหลวงและกรมพระ ตามลำดับ ด้วยทรงมีพระราชดำริว่า พระเจ้าพี่ยาเธอฯทรงรับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติด้วยพระปรีชาสามารถ ได้ทรงจัดราชการในกระทรวงพระคลังให้เจริญมาโดยลำดับ เมื่อได้รับพระบรมราโชบายไปประการใดก็ทรงราชการนั้นๆให้สำเร็จไปด้วยพระราชประสงค์
ต่อมาในสมัยของรัชกาลที่ 7 ก็ทรงตั้งเป็นอภิรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังทรงเป็นนายกกรรมการพิจารณาวางระเบียบข้าราชการพลเรือน และนายกกรรมการรักษาพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ก.ร.พ.) ด้วย ซึ่งในส่วนของคณะรัฐมนตรี ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งขึ้นนั้น พระองค์ทรงคัดเลือกจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในราชการสำคัญๆมาแล้วทั้งสิ้น โดยสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ และการคลัง และทรงเป็นเอกอัครบัณฑิตทางด้านภาษาศาสตร์ นอกจากนี้ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์ก็ได้แปลงเรื่องจันทกุมารชาดก จาก ภาษาบาลี เป็นไทย จนทรงได้รับพระราชทานพัดเปรียญ 5 ประโยคจาก รัชกาลที่ 7 ทั้งที่ทรงเป็นฆราวาสก็ตาม ซึ่งพระองค์ได้เป็นกรณีพิเศษ นอกจากนี้ยังทรงพระนิพนธ์ ปทานุกรม บาลี-ไทย-อังกฤษ-สันสกฤต โดยอาศัยพจนานุกรมบาลีของอาร์.ซี. ชิลเดอรส์ (R.C.Childers) ที่ สมาคมบาลีปกรณ์ดำเนินการจัดพิมพ์มาก่อนหน้านี้แล้วเป็นหลัก โดยแปลออกไป 4 ภาษาได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต แต่ต้นฉบับที่ทรงจัดทำไม่เรียบร้อยดีทุกส่วน ทำให้ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหาร ร่วมกับ ศาสตราจารย์ ม.ล.จิรายุ นพวงศ์ องคมนตรี ตรวจชำระต้นฉบับที่พระองค์ทรงร่างขึ้นแล้วโปรดให้มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย จัดพิมพ์ปทานุกรมดังกล่าวเพื่อเผยแผ่ นับแต่นั้น ปทานุกรมเล่มนี้จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระองค์เป็นต้นราชสกุลกิติยากร พระองค์เสกสมรส (สมรส พ.ศ. 2438) กับหม่อมเจ้าหม่อมเจ้าอับศรสมาน กิติยากร (ราชสกุลเดิม เทวกุล; 21 ตุลาคม พ.ศ. 2420 – 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2482) ผู้เป็นพระราชธิดาของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ มีพระโอรสและธิดารวมกับ 12 องค์ได้แก่
1. หม่อมเจ้าเกียรติกำจร กิติยากร
2. หม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ กิติยากร
3. หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ( พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ )
4. หม่อมเจ้าหญิงกมลปราโมทย์ (กิติยากร) เทวกุล
5. หม่อมเจ้ามาโนทย์มานพ กิติยากร
6. หม่อมเจ้าขจรจบกิตติคุณ กิติยากร
7. หม่อมเจ้าหญิงพิบูลย์เบญจางค์ (กิติยากร) วรวรรณ
8. หม่อมเจ้าหญิงกัลยางค์สมบัติ (กิติยากร) โสณกุล
9. หม่อมเจ้าหญิงจิตรบรรจง (กิติยากร) ลดาวัลย์
10. หม่อมเจ้าหญิงทรงอัปษร (กิติยากร) รพีพัฒน์
11. หม่อมเจ้าหญิงสรัทจันทร์ กิติยากร
12. หม่อมเจ้าพุฒ กิติยากร
นอกจากนี้ยังมีพระราชบุตรจากหม่อมคนอื่นอีก 11 องค์ ทำให้พระองค์มีพระโอรสและธิดารวมกันทั้งหมด 23 องค์
ในปีพ.ศ. 2473 พระองค์เริ่มมีอาการประชวรที่พระศอ จึงเสด้จไปประทับการรักษาที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในตอนแรกที่ทำการรักษาพระอาการเหมือนจะดีขึ้น แต่หลังจากนั้นอาการก็ทรุดลงจนพระองค์สิ้นพระชนม์ไปในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 สิริอายุ 58 พรรษา
เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 (สกุลเดิม ไกรฤกษ์)
เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 (สกุลเดิม ไกรฤกษ์)
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของ เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ 5 ในแฟชั่นแบบตะวันตกช่วง ค.ศ. 1890s ตามแบบฉบับชุดราตรีสมัยปลายยุควิกตอเรียน ภาพนี้สร้างสรรค์จากต้นฉบับขาวดำ เพื่อถ่ายทอดบุคลิกของสตรีฝ่ายในผู้มีบทบาทสำคัญในยุคเปลี่ยนผ่านของสยาม
เจ้าจอมมารดาชุ่ม ไกรฤกษ์ — สตรีฝ่ายในที่ได้รับการยกย่องว่า “แต่งชุดฝรั่งขึ้น” และเป็นคนแรกที่ได้รับตำแหน่ง นางสนองพระโอษฐ์ แห่งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ร่วมขบวนเสด็จประพาสชวา ตามธรรมเนียมยุโรป หรือเทียบได้กับ Lady-in-Waiting ของราชสำนักตะวันตก
เจ้าจอมมารดาชุ่ม เป็นบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของพระมงคลรัตนราชมนตรี (ช่วง ไกรฤกษ์) และเป็นสตรีที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนางสนองพระโอษฐ์คนแรกของราชสำนักไทย
เจ้าจอมมารดาชุ่ม เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2412 ณ บ้านปากคลองโอ่งอ่าง จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือบริเวณเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งพระนคร) เป็นธิดาคนที่เจ็ดจากทั้งหมดสิบคนของพระมงคลรัตนราชมนตรี (ช่วง ไกรฤกษ์) กับภรรยาชื่อไข่ บุตรีเจ้ากรมไม้สูงฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อบุตรีจำเริญวัยขึ้น เจ้าจอมอิ่มย่าหรัน ในรัชกาลที่ 3 พี่สาวต่างมารดาของพระมงคลรัตนราชมนตรี แนะนำให้นำบุตรสาวนี้ถวายตัวแก่สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร ด้วยเหตุนี้เจ้าจอมมารดาชุ่มจึงได้รับการอบรมเลี้ยงดูเป็นหญิงชาววังโดยแท้มาแต่นั้น
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าจอมอิ่มย่าหรันซึ่งเป็นป้าของท่านก็ถึงแก่อนิจกรรม แต่เจ้าจอมอิ่มได้มอบมรดกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้หลานน้อยไว้ดูต่างหน้า คือหีบหมากหินทรายขลิบทองแก่เจ้าจอมมารดาชุ่ม
ครั้นเข้าสู่วัยสาว เจ้าจอมมารดาชุ่มคอยถวายงานแก่สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร และมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่เนือง ๆ ด้วยความที่เจ้าจอมมารดาชุ่มเป็นคนรูปพรรณดี บุคลิกงามสง่า มีดวงหน้ายาว คางหักเหลี่ยม และมีความมั่นใจในตัวเองสูง จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นบาทบริจาริกาในตำแหน่ง เจ้าจอม เมื่ออายุได้ 19 ปี ปีถัดมาท่านมีบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าจอมมารดา เพราะให้ประสูติกาลพระราชธิดาสองพระองค์คือ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา (21 เมษายน พ.ศ. 2432 – 23 มีนาคม พ.ศ. 2501) ชาววังออกพระนามว่า "เสด็จพระองค์ใหญ่"
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุจิตราภรณี (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2433 – 26 ตุลาคม พ.ศ. 2461) ชาววังออกพระนามว่า "เสด็จพระองค์เล็ก"
เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวรใน พ.ศ. 2439 แพทย์กราบบังคมทูลถวายคำแนะนำให้แปรพระราชฐานไปประทับสถานที่อากาศดีสักแห่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกเสด็จประพาสชวาเป็นการส่วนพระองค์ เพราะเคยเสด็จอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2413 มาก่อน พระองค์โปรดอัธยาศัยของชาวฮอลันดาและชนพื้นเมือง ภูมิประเทศที่สวยงาม และกิจการของฮอลันดาที่ปกครองชวา
ทรงใช้เวลาประพาสนานถึงสองเดือน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงแต่งตั้งเจ้าจอมมารดาชุ่มเป็นนางสนองพระโอษฐ์ตามธรรมเนียมยุโรปคนแรก และโปรดเกล้าให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเจ้าจอมมารดาชุ่มแต่งกายอย่างสตรียุโรป ประกอบด้วยกระโปรงแบบสุ่ม เสื้อแขนหมูแฮม และสวมหมวก นอกจากนี้เจ้าจอมมารดาชุ่มยังมีโอกาสร่วมโต๊ะเสวยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งไม่เคยปฏิบัติมาก่อนในสยาม
บันทึกในสมัยนั้นระบุอย่างชัดเจนว่า เจ้าจอมมารดาชุ่มได้รับความไว้วางใจเป็นพิเศษด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกคือท่านมีความรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งหาได้ยากอย่างยิ่งในหมู่สตรีฝ่ายในยุคนั้น อีกทั้งยังมีบุคลิกภาพอันสง่างาม เป็นที่ยอมรับทั้งในราชสำนักและหมู่ชาววัง นอกจากนี้ท่านยังสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามธรรมเนียมสากลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในช่วงเวลาที่สยามกำลังสื่อสารกับนานาอารยประเทศ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้ท่านโดดเด่นกว่าสตรีฝ่ายในจำนวนมาก คือความสามารถในการ “แต่งชุดฝรั่งขึ้น” และดูดีเป็นพิเศษในเครื่องแต่งกายตะวันตก
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ได้ทำหน้าที่เพียงถวายงานใกล้ชิดตามธรรมเนียมโบราณ หากแต่กลายเป็น “ตัวแทนวัฒนธรรม” ของสยามในเวทีระหว่างประเทศ การร่วมโต๊ะเสวยตามธรรมเนียมยุโรป การปรากฏพระองค์เคียงข้างพระอัครมเหสีและเจ้านายฝ่ายใน ในพิธีการที่รับอิทธิพลตะวันตก—ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในราชสำนักไทย และเจ้าจอมมารดาชุ่มก็เป็นหนึ่งในผู้เปิดประตูให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างสง่างามในประวัติศาสตร์สยาม.
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแปรพระราชฐานไปประทับพระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต และพระราชทานพระตำหนักต่าง ๆ ให้พระราชธิดาประทับร่วมกับพระมารดา เจ้าจอมมารดาชุ่มและพระราชธิดาทั้งสองพระองค์อาศัยในพระตำหนักสวนภาพผู้หญิง ติดกับพระตำหนักของเจ้าจอมมารดาอ่อน
เจ้าจอมมารดาชุ่มเริ่มกระเสาะกระแสะ และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2454 เวลา 23.30 น. สิริอายุ 41 ปี วันต่อมา วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2454 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสนาบดีกระทรวงวัง เสด็จแทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
Thank you เพจ สาระ - บรรณ
แฟชั่นในภาพถ่ายนางละครคณะกรมพระนราฯ
แฟชั่นในภาพถ่ายนางละครคณะกรมพระนราฯ
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คาดว่าคือภาพนางละครคณะกรมพระนราฯ ซึ่งเป็นหลักฐานอันทรงคุณค่าในประวัติศาสตร์นาฏศิลป์ไทย
สะท้อนโลกของศิลปะการละครในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คณะละครชั้นสูงและราชสำนักต่าง ๆแข่งขันกันด้านความวิจิตรของเครื่องแต่งกายและการแสดงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ยังสะท้อนกระแสศิลปะอินเดีย–อาหรับที่เริ่มปรากฏในสังคมชั้นสูงช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ตลอดจนความนิยมเครื่องแต่งกายสไตล์บาหลีที่แพร่หลายในรัชกาลที่ ๗ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้แฟชั่นละครไทยในยุคนั้นมีความหลากหลาย เปิดรับอิทธิพลจากต่างวัฒนธรรมมากขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัยของสยามระหว่าง พ.ศ. 2420–2470 (ค.ศ. 1877–1927)
แม้จะมีข้อสันนิษฐานหลากหลาย เช่น การเชื่อมโยงภาพนี้กับละครเรื่อง อาบูหะซัน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือแฟชั่นละคร อิเหนาแบบบาหลีในสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบแฟชั่น ท่วงท่าทาง และความเห็นจากครูผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ เช่น ผศ.ดร.สุรัตน์ จงดา ยิ่งทำให้เห็นความเป็นไปได้สูงว่าภาพนี้มาจากคณะละครกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ หรืออาจเป็นการแต่งองค์เพื่อถ่ายภาพของศิลปินในคณะ ซึ่งมีตัวละครหลักสองคนที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ได้แก่ ตัวนาง—หม่อมแก้ว วรวรรณ และ ตัวพระ—หม่อมช้อย วรวรรณ คู่ขวัญที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมและวงการละครหลวงอย่างมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙
ความเชื่อมโยงระหว่างแฟชั่นในภาพกับคณะละครกรมพระนราฯมีรากฐานลึกซึ้งย้อนไปถึงพระประวัติของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์เอง พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๕๖ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861) โดยเจ้าจอมมารดาเขียน ผู้เป็นนางละครสาย “อิเหนา” อย่างแท้จริง จึงทรงได้รับพระราชทานพระแสงกริชวางในกระด้งตั้งแต่แรกประสูติ เป็นสัญลักษณ์ว่าทรงเป็น “ลูกอิเหนา” สื่อถึงชะตาที่จะผูกพันกับศิลปะการละครตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อทรงเจริญพระชันษา พระองค์ทรงมีหม่อมผู้เชี่ยวชาญการละครสองท่านเป็นกำลังสำคัญ คือ หม่อมต่วน วรวรรณ ผู้สืบท่ารำอิเหนาสายกรมหลวงพิทักษ์มนตรีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ และ หม่อมผัน วรวรรณ สายพระเจ้าตากสิน ผู้ดูแลการฝึกซ้อมและสรรค์สร้างลีลาการรำรูปแบบใหม่ ความร่วมมือของทั้งสองทำให้รูปแบบการรำของคณะละครกรมพระนราฯมีเอกลักษณ์พิเศษกว่าคณะอื่น และกลายเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การแสดงไทยยุคใหม่
ภาพลักษณ์ของคณะละครจึงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการแสดงภายในวังเพื่อความบันเทิงในหมู่งานราชสำนัก ต่อมาในยุครัชกาลที่ ๕ ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบนกับต้นลิ้นจี่ หากออกผลจะให้ละครหม่อมต่วนมาแสดงถวาย เมื่อต้นลิ้นจี่ออกผลจริง จึงมีการแสดงขึ้นในพระราชสำนัก และการแสดงครั้งนั้นได้สร้างความตื่นเต้นและเป็นที่ชื่นชมอย่างยิ่ง นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คณะละครของกรมพระนราฯเป็นที่รู้จักกว้างขวางยิ่งขึ้น จากนั้นจึงมีการดัดแปลง ลิลิตพระลอ ให้เป็น ละครพันทางเรื่องพระลอ โดยใช้ทำนองเพลงลาวและออกแบบท่ารำใหม่ที่ผสมผสานความอ่อนช้อยแบบโบราณกับรูปแบบร่วมสมัยในปลายศตวรรษที่ ๑๙ จนกลายเป็นผลงานคลาสสิกของยุคนั้น
ด้วยความสำเร็จอย่างสูง กรมพระนราฯจึงทรงตั้ง โรงละครหลวงนฤมิตร บริเวณวังวรวรรณขึ้นในช่วงทศวรรษ 2430 ปลาย–2440 ต้น (ประมาณค.ศ. 1890s) โรงละครแห่งนี้มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีที่นั่งเป็นตอน ๆ แบ่งตามสถานะทางสังคม ห้องรับแขกสำหรับเจ้านาย และรูปแบบการจำหน่ายบัตรเข้าชมเหมือนโรงโอเปราในยุโรป ทำให้ที่นี่กลายเป็น “โรงมหรสพสมัยใหม่แห่งแรกของสยาม” ในความหมายเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการทางวัฒนธรรม หลังเกิดเหตุไฟไหม้ โรงละครถูกสร้างขึ้นใหม่ในชื่อ โรงละครปรีดาลัย ซึ่งเจริญรุ่งเรืองที่สุดในช่วง พ.ศ. 2440–2460 ช่วงเวลาเดียวกับการปฏิรูปสังคมและเมืองสมัยรัชกาลที่ ๕–๖ เมื่อพระนครกำลังกลายเป็นมหานครสมัยใหม่ของภูมิภาค
โรงละครปรีดาลัยมีบทบาทสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์นาฏศิลป์ไทยเพราะเป็นสถานที่กำเนิดของ “ละครร้อง” หรือ musical theatre แบบไทย โดยเริ่มจากละครร้องเรื่อง สาวเครือฟ้า ระหว่าง พ.ศ. 2448–2450 ดัดแปลงจากเรื่อง Madame Butterfly ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลามและเป็นต้นแบบของละครเพลงไทยในเวลาต่อมา ละครร้องที่ตามมามีทั้ง ขวดแก้วเจียระไน, ตุ๊กตายอดรัก, อีนากพระโขนง, และ สีป่อมินทร์ ล้วนเป็นการแสดงที่รวมการร้องสดกับการพูด ท่ารำสามัญ และเครื่องแต่งกายที่ออกแบบให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องแบบละครสมัยใหม่ จนทำให้คณะปรีดาลัยกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คณะละครยุคหลัง เช่น ปราโมทัย ไฉวเวียง และเฟื้องนคร ก่อนที่แนวทางนี้จะพัฒนาเป็นละครดนตรีสากลในต้นรัชกาลที่ ๙
ในบริบทเช่นนี้ ภาพถ่ายของหม่อมแก้วและหม่อมช้อยจึงเป็นมากกว่าเพียงภาพบุคคลในอากัปกิริยาอ่อนช้อย หากแต่เป็นภาพที่จับความเปลี่ยนแปลงของแฟชั่นละครในยุคที่สยามกำลังเปิดรับศิลปวัฒนธรรมจากหลายภูมิภาคทั่วเอเชีย ทั้งความอ่อนช้อยของนาฏศิลป์ไทยแบบชาววัง ความระยิบระยับของผ้าสไตล์อินเดีย กลิ่นอายโลกอาหรับจากวรรณกรรม อาหรับราตรี ไปจนถึงอิทธิพลเครื่องแต่งกายแบบบาหลีที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ ๗ องค์ประกอบเหล่านี้ปรากฏอยู่ในเครื่องแต่งกายของทั้งคู่—ตั้งแต่ผ้าคลุมศีรษะ ศิราภรณ์ ตกแต่งด้วยดอกไม้สด ไปจนถึงลวดลายอัญมณีที่ประดับอยู่บนผืนผ้า—ล้วนสะท้อนความวิจิตรของแฟชั่นละครชั้นสูงในช่วงระหว่างปลายศตวรรษที่ ๑๙ ถึงต้นศตวรรษที่ ๒๐ อย่างโดดเด่น
ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพถ่ายใบนี้มิใช่เพียงภาพนางละคร แต่เป็นภาพที่ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่ง “ยุคทองของแฟชั่นละครไทย” ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเอกสารภาพที่บอกเล่าความรุ่มรวยของสุนทรียะ ความกล้าในการทดลองรูปแบบใหม่ และความประณีตของศิลปินในคณะละครกรมพระนราฯ ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อพัฒนาการนาฏศิลป์ไทยและวงการแฟชั่นการแสดงของสยามอย่างยาวนาน
ขอขอบพระคุณ
ครูไก่ ผศ.ดร.สุรัตน์ จงดา ผู้ช่วยอธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
เป็นอย่างสูงสำหรับข้อมูลอันทรงคุณค่าในงานชิ้นนี้
“สนิทวงศ์-บางช้าง” 2 ราชสกุลและราชินิกุล สายพระชนนี ใน “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
สายสกุล “สนิทวงศ์–บางช้าง” แห่งสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
“สนิทวงศ์-บางช้าง” 2 ราชสกุลและราชินิกุล สายพระชนนี ใน “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระธิดาในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และหม่อมหลวงบัว (สนิทวงศ์) กิติยากร
เนื่องจากหม่อมหลวงบัว กิติยากร เป็นธิดาของนายพลเอก มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ หรือหม่อมราชวงศ์สะท้าน (กลาง) สนิทวงศ์ และท้าววนิดาพิจาริณี (บาง) สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ราชสกุล-ราชินิกุล-สกุล สายพระชนนี จึงเกี่ยวเนื่องด้วยราชสกุลสนิทวงศ์ และราชินิกุลบางช้าง
สนิทวงศ์-บางช้าง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท พระนามเดิมคือ “หม่อมเจ้านวม” ทรงเป็นต้นราชสกุล “สนิทวงศ์” เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 49 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ประสูติแต่ เจ้าจอมมารดาปราง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2351 ซึ่งขณะนั้นสมเด็จพระบรมชนกาธิราชทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ท้าววนิดาพิจาริณี (บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา)
ท้าววนิดาพิจาริณี (บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา)
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของท้าววนิดาพิจาริณี มีนามเดิมว่า บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
ท้าววนิดาพิจาริณี มีนามเดิมว่า บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม บุญธร; ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ (ค.ศ. 1886) – ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ (ค.ศ. 1970)) บ้างเรียกว่าหม่อมบาง เป็นอนุภรรยาของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) เป็นพระอัยยิกาฝ่ายพระชนนีของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเป็นพระปัยยิกาฝ่ายพระราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ท้าววนิดาพิจาริณีเกิดเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ (ค.ศ. 1886) เป็นบุตรคนที่สามจากทั้งหมดห้าคนของนายรวย บุญธร กับนางแหว (สกุลเดิม ณ บางช้าง) มารดาของนายรวยเป็นสตรีจากสกุลบุณยรัตพันธุ์ ซึ่งมีบรรพชนเป็นพราหมณ์พฤฒิบาศ รับราชการในกรมวังมาแต่ครั้งกรุงเก่า ในวัยเยาว์ นายรวยเคยสนองพระเดชพระคุณเป็นจางวางในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย ซึ่งมีเจ้าจอมมารดามาจากสกุลบุณยรัตพันธุ์ และทรงรับนายรวยไว้เป็นบุตรบุญธรรม ส่วนนางแหวเป็นราชินิกุล ณ บางช้าง เป็นบุตรีของนายทัด หลานสาวของจางวางด้วงในกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร โดยนายทัดเป็นน้องชายของหม่อมแย้มในกรมหลวงวงศาธิราชสนิท สืบเชื้อสายจากท่านยายเจ้ามุข พี่สาวของพระชนกทอง พระราชชนกของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
ท้าววนิดาพิจาริณีมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ได้แก่ ไหว หวั่น เชียงเมี่ยง และม่อย โดยหวั่น เศวตะทัต ผู้เป็นพี่สาว สมรสกับขุนญาณอักษรนิติ (ผล เศวตะทัต) มีบุตรสาวหนึ่งคนชื่ออุบะ ซึ่งต่อมาเข้าเป็นอนุภรรยาของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์อีกคนหนึ่ง ท้าววนิดาพิจาริณีมีอุปนิสัยสงบเสงี่ยมตามแบบกุลสตรีไทยโบราณ และมีความสามารถด้านการปรุงอาหารอย่างดี
ท้าววนิดาพิจาริณีเข้าเป็นภรรยาของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ซึ่งท้าววนิดาพิจาริณีมีศักดิ์เป็นลูกผู้น้องของสามี ทั้งสองมีบุตรธิดารวมสี่คน ได้แก่ หม่อมหลวงสงบ สนิทวงศ์ ซึ่งถึงแก่กรรมตั้งแต่วัยเยาว์, หม่อมหลวงบัว กิติยากร (๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. 1909) – ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ. 1999)) ผู้เป็นพระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง, พลโท นายแพทย์ หม่อมหลวงจินดา สนิทวงศ์ (๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ (ค.ศ. 1916) – ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ (ค.ศ. 1987)), และท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค (๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๕ (ค.ศ. 1922) – ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๓ (ค.ศ. 2000))
ท้าววนิดาพิจาริณีและเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์เป็น ผู้ดูแลอภิบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อทรงมีพระชันษาเพียง ๓ เดือน ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕–๒๔๗๗ (ค.ศ. 1932–1934) ขณะที่หม่อมหลวงบัว กิติยากร ต้องติดตามหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งเลขานุการเอก ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา หลังเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ถึงแก่อสัญกรรม ท้าววนิดาพิจาริณีอาศัยอยู่ที่บ้านถนนพระราม ๖ ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้ย้ายไปวังเทเวศร์ ก่อนย้ายไปอาศัยกับหม่อมหลวงจินดาที่บางซ่อน แต่เมื่อบ้านถูกระเบิดจากภัยสงครามจึงกลับมายังวังเทเวศร์อีกครั้ง และในช่วงบั้นปลายชีวิตได้ไปพักอาศัยกับครอบครัวของท่านผู้หญิงมณีรัตน์ที่ตำบลหลักสี่ อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร
หม่อมหลวงบัว กิติยากร
หม่อมหลวงบัว กิติยากร
หม่อมหลวงบัว กิติยากร (ราชสกุลเดิม สนิทวงศ์; ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ − ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๒)
หรือชื่อในการแสดงว่า ประทุม ชิดเชื้อ เป็นธิดาของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) กับท้าววนิดาพิจาริณี (บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) เป็นหม่อมในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และเป็นพระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระอัยยิกาฝ่ายพระชนนีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ชีวิตช่วงต้น
หม่อมหลวงบัว กิติยากร มีนามเดิมว่า หม่อมหลวงบัว สนิทวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ เป็นธิดาของพลเอก เจ้าพระยาวงานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) กับท้าววนิดาพิจาริณี (บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาได้แก่ พลโท หม่อมหลวงจินดา สนิทวงศ์ และท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ทั้งยังมีพี่น้องร่วมบิดาแต่ต่างมารดาอีก ๑๒ คน
หม่อมหลวงบัวเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนสายปัญญา และโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ภายหลังได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ เข้าถวายงาน เป็นนางพระกำนัลในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑
ในปีนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างภาพยนตร์เงียบขาวดำชื่อ แหวนวิเศษ และทรงให้หม่อมหลวงบัวรับบทเป็น “นางพรายน้ำ” นางเอกของเรื่อง หม่อมหลวงบัวเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ความว่า
“ขณะที่แสดงเรื่องนี้อายุประมาณ ๑๗–๑๘ ปี ดำน้ำแต่ละครั้งไม่นาน แต่ดำหลายครั้งกว่าจะถ่ายเสร็จ”
ท้าวสุจริตธำรง (นาค)
ท้าวสุจริตธำรง (นาค)
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของท้าวสุจริตธำรง (นาค) (10 กันยายน พ.ศ. 2355 - 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2434) กับหลวงอาสาสำแดง (แตง) ต้นสกุลสุจริตกุล มารดาและบิดาของสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยมในรัชกาลที่ 4)
ท้าวสุจริตธำรง (นาค) เป็นขรัวยายของพระมเหสีในรัชกาลที่ 5 ทั้งสามพระองค์คือ สม เด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี, สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชิ นีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ท้าวสุจริตธำรง (นาค) เป็นธิดาของบิดาเป็นคหบดีเชื้อสายจีนแห่งปากน้ำโพ นครสวรรค์ สมรสกับหลวงอาสาสำแดง (แตง) และได้ตั้งนิวาสสถานบนถนนตีทอง ข้างวัดสุทัศน์เทพวราราม
สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา : เจ้าจอมมารดาเปี่ยม ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา : เจ้าจอมมารดาเปี่ยม ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม สุจริตกุล)
สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ธิดาหลวงอาสาสำแดง กับท้าวสุจริตธำรง (นาค สุจริตกุล) ประสูติเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๘๑ ทรงเป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และทรงเป็นพระมารดาของพระอัครมเหสีไทยถึงสามพระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี, สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า, และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงเป็นพระสัสสุ หรือพระแม่ยาย ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
สายพระโลหิตของสมเด็จพระปิยมาวดีได้แผ่ขยายสู่หลายรัชกาล พระองค์ทรงเป็นพระอัยยิกา (ยาย) ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖, และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ อีกทั้งยังมีหลานย่าเป็นพระบรมราชินี คือสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเป็นพระปัยยิกา (ย่าทวด) ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘, และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ อีกทั้งยังทรงมีโหลนเป็นพระบรมราชินีนาถ คือสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และทรงเป็น “ย่าเทียด” ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
เจ้าจอมมารดาเปี่ยมได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศตามลำดับ ได้แก่ เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม, และเจ้าคุณพระอัยยิกาเปี่ยม และหลังจากพิราลัยได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้า ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา โดยสร้อยพระนาม "ศรีพัชรินทรมาตา" มีความหมายว่า เป็นพระมารดาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๘
วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๘
วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า
AI Fashion Lab, London
_______________
วันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี คือ วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ ของไทย อีกทั้งยังเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ท่านทรงมอบไว้ให้แก่ประเทศไทยและชาวโลก ผมได้สร้างสรรค์คอลเลกชันพระบรมฉายาลักษณ์ที่บูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อเป็นการถวายความอาลัย
แทนที่จะเพียงแค่ลงสีภาพถ่ายขาวดำแบบพื้นฐาน ผมเลือกใช้แนวคิดจากประวัติศาสตร์แฟชั่นและการออกแบบเครื่องแต่งกายในการบูรณะและสร้างสรรค์ เพราะการบูรณะทั่วไป แม้จะให้ภาพที่คมชัด แต่ยังขาดความลุ่มลึกและความเที่ยงตรงในด้านแฟชั่น ซึ่งเป็นหัวใจในการถ่ายทอดความงดงามของฉลองพระองค์ตามแบบฉบับของยุคสมัยนั้น
จากพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับ ผมสังเกตได้ว่าพระองค์ทรงฉลองพระองค์ เสื้อทักซิโด้ปกแหลม (peak lapel) แบบที่นิยมในทศวรรษ 1930–1940 ซึ่งกลายมาเป็นรูปทรงแบบคลาสสิคของแฟชั่นบุรุษในหลายทศวรรษต่อมา ผมจึงได้สร้างสรรค์ให้ถูกต้องตามรูปแบบดั้งเดิม เพื่อสะท้อนพระอิริยาบถอันสง่างามของพระองค์
ในภาพที่บูรณะและสร้างสรรค์ชุดนี้ พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วย
1. หูกระต่ายผูกเองผ้าแพรซาตินสีดำ
เชิ้ตขาวแบบพิธีการ
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวพับเรียบในกระเป๋าอก
เสื้อทักซิโด้ผ้ากำมะหยี่ปกซาติน
กางเกงทักซิโด้ผ้าวูลพร้อมแถบซาตินด้านข้าง
การสร้างสรรค์ครั้งนี้ใช้ Nano Banana Pro โดยกำหนดรายละเอียดเนื้อผ้า พื้นผิว เงา และรูปแบบแสงอย่างละเอียด เพราะ AI ไม่สามารถตีความความซับซ้อนของแฟชั่นได้หากไม่ระบุอย่างชัดเจน จึงต้องใช้ความรู้ด้านแฟชั่นเป็นตัวนำในการกำกับผลลัพธ์
ในส่วนของเทคนิค ภาพถูกบูรณะสู่ความละเอียดระดับ 8K พร้อมความลึกแบบ 3 มิติ แสงสตูดิโอแบบ volumetric แสง rim light อ่อน ๆ และการจัดไฟสามทิศทางเพื่อเพิ่มมิติให้พระบรมฉายาลักษณ์ พื้นหลังเป็นผนังลงรักปิดทอง และพื้นด้านล่างเป็น หินอ่อนประดับลาย Art Nouveau ซึ่งช่วยเสริมบรรยากาศให้ภาพมีความละเมียดและงดงามในเชิงศิลป์
คอลเลกชันนี้จึงมิใช่เพียงภาพบูรณะ แต่เป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยความตั้งใจ
ตัวอย่าง Prompt ที่ใช้ในการสร้างสรรค์คอลเลกชันนี้
“Restore and colourise this photograph @img1 with full removal of marks, dust, and scratches. Produce a hyper-realistic 3D colour portrait with refined depth of field, accurate textile rendering, and lifelike surface clarity. Output in true 8K photographic quality, as if captured with a modern Sony Alpha 6400 APS-C mirrorless camera (16–50mm lens), delivering crisp, luminous, magazine-level realism. Reconstruct all fabrics and materials with precision, revealing the authentic textures of silk satin, velvet pile, worsted wool, enamel, and fine metalwork.
The subject is dressed in a white dress shirt, a black satin self-tie bow tie, a black velvet tuxedo jacket with silk satin peak lapels, and black worsted wool tuxedo trousers featuring a black satin side-seam stripe. A white pocket handkerchief sits neatly in the breast pocket. The subject wears glasses and is seated on a dark brown leather chair. Preserve all original facial structure, hairstyle, expression, and proportions with absolute accuracy.
Create a softly blurred depth-of-field background depicting a gold-lacquered wall with subtle decorative patterning. The floor should be rendered as inlaid marble with an Art Nouveau floral and foliage motif, harmonising with the portrait’s refined atmosphere. Add controlled studio lighting: a gentle rim light, soft volumetric fill, and three-directional illumination to define contour and realism. Maintain a clean, timeless presentation with no logos or intrusive marks.”
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และฉลองพระองค์ frogging
สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ฉลองพระองค์ frogging
พระบรมฉายาลักษณ์ที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ คือภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในขณะที่ทรงพระยศ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ในสมัยต้นรัชกาล ซึ่งสะท้อนภาพรวมของการแต่งกายของราชสำนักสยามในทศวรรษ 1870 ได้อย่างงดงาม
หนึ่งในองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดของแฟชั่นสตรีสยามในยุคนี้ ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนในฉลองพระองค์ของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า คือ “เสื้อแบบทหารตะวันตก” ที่ประดับลวดลายบนตัวเสื้อด้วยเชือกหรือ frogging อันมีที่มาจากงานประดับบนเครื่องแบบทหารยุโรป โดยเฉพาะเสื้อทหารม้าแบบฮูซาร์และลานเซอร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเดิมออกแบบมาเป็นระบบกลัดเสื้อให้แน่นและพอดีตัว แต่ค่อย ๆ พัฒนาเป็นงานตกแต่งเชิงศิลป์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในวัฒนธรรมวิกตอเรีย ช่วงทศวรรษ 1840–1850
ลวดลายแบบ frogging เหล่านี้ได้แพร่เข้าสู่ชุดขี่ม้าของสตรี จากนั้นในช่วงทศวรรษ 1860–ต้นทศวรรษ 1870 รายละเอียดการตกแต่งแบบทหารนี้ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในแฟชั่นสตรีทั่วไป โดยปรากฏบนเสื้อเข้ารูปที่เสริมสัดส่วนและตกแต่งชายแขนด้วยลายถักเส้นเล็กแบบทหาร ซึ่งสะท้อนความโรแมนติกของโลกทหารในจักรวรรดิยุโรปสมัยนั้น
เมื่อสยามเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูและปรับตัวสู่ความทันสมัยในต้นรัชกาลที่ 5 ราชสำนักฝ่ายในจึงได้รับแฟชั่นกระแสนี้จากโลกวิกตอเรียเข้าสู่สยาม โดยผสมผสานเสื้อแบบทหารตะวันตกเข้ากับวัฒนธรรมไทย เช่น โจงกระเบนและสไบ จนเกิดเป็นเอกลักษณ์การแต่งกายที่งามสง่าและร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของสยามยุคใหม่ที่มุ่งเชื่อมโยงกับโลกสากลโดยยังรักษารากวัฒนธรรมของตนไว้อย่างประณีตงดงาม
เจ้าหญิงแห่งตระกูล ณ ลำพูน และแฟชั่นสไตล์ Lanna Early Teens
เจ้าหญิงแห่งตระกูล ณ ลำพูน และแฟชั่นสไตล์ Lanna Early Teens
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือภาพของเจ้าหญิงแห่งตระกูล ณ ลำพูน ในช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ สะท้อนแฟชั่น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ ระหว่างปี พ.ศ. 2454–2457 (ค.ศ. 1911–1914) ซึ่งเป็นยุคที่หลักฐานภาพถ่ายของแฟชั่นสตรีชั้นสูงล้านนาค่อนข้างหายาก แม้ยุคเอ็ดเวิร์เดียนจะสิ้นสุดลงในอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2453 หลังการสวรรคตของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แต่ความงามแบบเอ็ดเวิร์เดียนยังคงมีอิทธิพลในช่วงต้นทศวรรษ 1910 และค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านสู่รูปทรงก่อนสงคราม
ภาพชุดนี้จึงนับเป็นหลักฐานล้ำค่า เพราะแฟชั่นรูปแบบนี้แทบไม่ถูกบันทึกไว้ในบริบทของล้านนาเลย
ในสยาม ช่วงเวลานี้ตรงกับต้นรัชกาลที่ ๖ ยุคแห่งความทันสมัยและกระแสชาตินิยม จากมุมมองประวัติศาสตร์แฟชั่น เราเรียกช่วงนี้ว่า ยุค Early Teens (พ.ศ. 2454–2462 / ค.ศ. 1911–1919) ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อสำคัญ มีลักษณะเด่น ได้แก่:
โครงสร้างเสื้อผ้าอ่อนนุ่มขึ้น: คอเสื้อสูงแบบเอ็ดเวิร์เดียนเริ่มลดความนิยม แทนที่ด้วยคอปกเหลี่ยมหรือคอกะลาสี แขนสามส่วน หรือแขนประดับลูกไม้หลายชั้น ชายเสื้อยาวระดับสะโพก
ทรงผมเล็กลงและเป็นธรรมชาติ: แม้ยังนิยมเกล้ามวยสูง แต่รูปทรงเล็กลงและดูผ่อนคลาย
แนวเอวสูง: มักวางใต้หน้าอก ตามสไตล์ของ Paul Poiret ที่เน้นเส้นสายโรแมนติกอ่อนช้อย
กระโปรงแคบลง: เข้ารูปมากขึ้น มักจับคู่กับเสื้อแจ็กเก็ตชายยาว เสื้อผ้าลูกไม้ หรือแขนกิโมโน
“Lanna Early Teens Style”: อัตลักษณ์ใหม่แห่งแฟชั่นล้านนา
ในขณะที่สตรีชั้นสูงในกรุงเทพฯ เริ่มนิยมเสื้อฝรั่งคู่โจงกระเบนและผ้าลูกไม้แบบตะวันตก สตรีชนชั้นสูงในล้านนา—โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจาก เจ้าดารารัศมี—ยังคงรักษาเอกลักษณ์ล้านนาผสมผสานกับแฟชั่นโลก เช่น มวยผมแบบญี่ปุ่น เสื้อฝรั่งผ้าลูกไม้ และผ้าซิ่นตีนจก
จุดเด่นของ Lanna Early Teens Style ประกอบด้วย:
เสื้อลูกไม้หรือเสื้อคอต่ำ ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม มีการจับจีบหรือเสริมลูกไม้บริเวณแขน แขนสามส่วน ชายเสื้อยาวระดับสะโพก
ผ้าซิ่นลายนิยมของล้านนา เช่น ผ้าซิ่นตีนจก สีสันเข้าชุดกับเสื้อฝรั่งและเข็มขัดเอวสูง
ทรงผมเกล้ามวยแบบลอนอ่อน หรือปล่อยลอนอ่อนในหญิงสาว สะท้อนอิทธิพลตะวันตกและความเป็นธรรมชาติ
เครื่องประดับ เช่น ร่มงาช้าง เข็มกลัดคาเมโอ กระเป๋าผ้าปักลาย
รองเท้าหนังทรง Mary Jane หรือ T-bar คู่กับถุงน่องสีดำหรือสีขาว
กล่าวได้ว่า Lanna Early Teens Style คือแฟชั่นที่สร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้สตรีล้านนาในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน สะท้อนทั้งความงาม ความมั่นใจ และการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตก สยาม และล้านนาอย่างงดงาม
ภาพเหล่านี้มาจากหนังสือของ เจ้าวรเทวี ณ ลำพูน ประกอบด้วย:
เจ้าหญิงวรรณรา ณ ลำพูน
เจ้าหญิงลำเจียก ณ ลำพูน
เจ้าหญิงส่วนบุญ ชายาเจ้าหลวงจักรคำ
เจ้าหญิงส่วนบุญ ณ ลำพูน
เจ้าหญิงภัทรา ณ ลำพูน (ณ เชียงใหม่)
• 6. เด็ก: เจ้าวรทัศน์ ณ ลำพูน และบุตรชายของเจ้าหญิงคำหล้า และเจ้าสัมพันธวงศ์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ “เสื้อราชปะแตน”: ภาพสะท้อนความทันสมัยของสุภาพบุรุษสยาม (ตอนที่ ๒)
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ “เสื้อราชปะแตน”: ภาพสะท้อนความทันสมัยของสุภาพบุรุษสยาม (ตอนที่ ๒)
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๑ – ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๘) (27 June 1878 – 4 January 1895) เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสที่พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และทรงเป็นพระเชษฐภาดาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก อีกทั้งทรงเป็นสมเด็จพระปิตุลาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระองค์ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของประเทศไทย แม้จะดำรงตำแหน่งเพียง ๘ ปี ก่อนเสด็จสวรรคตเมื่อมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา แต่พระรูปของพระองค์กลับกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของยุคสมัยที่สยามกำลังเคลื่อนตัวสู่ความเป็นสากลอย่างจริงจัง
ภาพถ่ายชุดที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งสันนิษฐานว่าถ่ายขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๔–๒๔๓๘ นั้น เผยให้เห็นพระองค์ทรงฉลองพระองค์ “เสื้อราชปะแตน” ซึ่งเป็นรูปแบบเครื่องแต่งกายที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์การแต่งกายของสุภาพบุรุษไทยในยุครัชกาลที่ ๕
เสื้อราชปะแตน ถูกออกแบบและตัดเย็บตามแบบเสื้อสากลของอังกฤษ และต้องสวมคู่กับ เสื้อรองพื้นสีขาว หรือที่เรียกว่า เสื้อรองข้างในซึ่งเป็นเสื้อปกคอแข็งทรงสูงแบบ imperial collar หรือ detachable stiff collar ออกแบบมาให้รองรับการสวมเสื้อราชปะแตนที่มีคอเสื้อสูงเช่นเดียวกัน จึงเป็นระบบเสื้อชั้นใน–เสื้อนอกที่คล้ายกับการสวมเสื้อเชิ้ตกับเสื้อสูทในปัจจุบัน เสื้อแบบนี้ต้องตัดที่ร้านฝรั่ง หรือร้านคนจีน ในสมัยนั้น
เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดในพระรูป จะเห็นว่าที่ ปลายแขนเสื้อ มีทั้งแบบที่ใช้ กระดุมติดแขนเสื้อ และแบบที่ใช้ กระดุมข้อมือ (cufflinks) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความประณีตของแบบแผนการแต่งกายตะวันตกที่เริ่มถูกนำมาใช้ในราชสำนักสยาม
ภาพเหล่านี้จึงมิได้เป็นเพียงพระรูปในเชิงพิธีการเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักฐานเชิงวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ—เวลาที่ระเบียบการแต่งกายแบบสยามดั้งเดิมกำลังเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบสากล ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานของการแต่งกายของสุภาพบุรุษไทยในอีกหลายทศวรรษถัดมา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ “เสื้อราชปะแตน”: ภาพสะท้อนความทันสมัยของสุภาพบุรุษสยาม
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ “เสื้อราชปะแตน”: ภาพสะท้อนความทันสมัยของสุภาพบุรุษสยาม
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๑ – ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๘) (27 June 1878 – 4 January 1895) เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และทรงเป็นพระเชษฐภาดาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก อีกทั้งทรงเป็นสมเด็จพระปิตุลาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระองค์ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของประเทศไทย แม้จะดำรงตำแหน่งเพียง ๘ ปี ก่อนเสด็จสวรรคตเมื่อมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา แต่พระสิริโฉมและภาพลักษณ์ของพระองค์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งยุคสมัยที่สยามกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นสากล ภาพถ่ายชุดที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งสันนิษฐานว่าถ่ายขึ้นในช่วงพ.ศ. ๒๔๓๔–๓๘ นั้น นำเสนอภาพของ พระบรมวงศานุวงศ์ หลายพระองค์ เมื่อยังทรงพระเยาว์ ทุกพระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วย “เสื้อราชปะแตน” อันเป็นรูปแบบเครื่องแต่งกายที่มีความหมายเชิงประวัติศาสตร์อย่างยิ่งต่อสุภาพบุรุษไทย