History of Fashion
“เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” ทรงฉลองพระองค์ในชุดเครื่องแบบเต็มยศราชองครักษ์ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
“เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” ทรงฉลองพระองค์ในชุดเครื่องแบบเต็มยศราชองครักษ์ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มกุฎราชกุมารองค์แรกของไทย
ภาพต้นฉบับเป็นภาพขาวดำแบบครึ่งพระองค์ ซึ่งทรงฉลองพระองค์ในชุด เครื่องแบบเต็มยศราชองครักษ์ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง ประดับสายสะพายและดารามหาสุราภรณ์ — หรือซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย สำหรับฝ่ายหน้า — โดยดาราจะติดที่อกด้านซ้ายของฉลองพระองค์ตามแบบแผนราชสำนัก พร้อมกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า และเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
สำหรับคอลเล็กชันนี้ ได้รับการสร้างสรรค์ใหม่เป็นภาพเต็มพระองค์ โดยอาศัยความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่นช่วยกำหนดรูปแบบของฉลองพระองค์ให้สอดคล้องกับสมัยนิยมในช่วงรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง พร้อมโจงกระเบนสีกรมเชิงทอง ถุงเท้ายาว รองเท้าแบบพิธีการ หมวก และประดับด้วยพระแสงกระบี่จักรี
ฉลองพระองค์ลักษณะนี้นับเป็นการแต่งกายเต็มยศสำหรับงานพิธีการ หรืองานราตรีสโมสรในราชสำนักสยาม ซึ่งผสมผสานทั้งธรรมเนียมการแต่งกายแบบตะวันตกและเอกลักษณ์ไทยอย่างกลมกลืน
“เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” ทรงฉลองพระองค์ในชุด white tie evening dress
“เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” ทรงฉลองพระองค์ในชุด white tie evening dress
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระรูปของเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มกุฎราชกุมารองค์แรกของไทย
ภาพต้นฉบับเป็นภาพวาดสีน้ำมันแบบครึ่งพระองค์ ซึ่งทรงฉลองพระองค์ในชุด white tie evening dress ประดับสายสะพายและดารามหาสุราภรณ์ — หรือซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย สำหรับฝ่ายหน้า — โดยดาราจะติดที่อกด้านซ้ายของฉลองพระองค์ตามแบบแผนราชสำนัก
สำหรับคอลเล็กชันนี้ ได้รับการสร้างสรรค์ใหม่เป็นภาพเต็มพระองค์ โดยอาศัยความรู้ด้านประวัติศาสตร์แฟชั่นช่วยกำหนดรูปแบบของฉลองพระองค์ให้สอดคล้องกับสมัยนิยมในช่วงรัชกาลที่ ๕ ตอนกลาง ทรงฉลองพระองค์เสื้อสูทแบบ tailcoat ซึ่งเป็นเสื้อสูทครึ่งตัวที่มีหางยาวด้านหลัง พร้อมโจงกระเบน ถุงเท้ายาว และรองเท้าแบบพิธีการ
ฉลองพระองค์ลักษณะนี้นับเป็นการแต่งกายเต็มยศสำหรับงานเลี้ยงรับรองตอนเย็น (evening receptions) หรืองานราตรีสโมสรในราชสำนักสยาม ซึ่งผสมผสานทั้งธรรมเนียมการแต่งกายแบบตะวันตกและเอกลักษณ์ไทยอย่างกลมกลืน
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และจี้เพชรชิ้นใหญ่
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และจี้เพชรชิ้นใหญ่
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเล็คชั่นนี้คือพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และจี้เพชรชิ้นใหญ่
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี หรือที่ชาวบ้านเรียกพระนามว่า สมเด็จพระนางเรือล่ม (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423) มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์” เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา ประสูติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 เป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภายหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งในขณะนั้นมีพระชันษาเพียง ๘ ปี ได้เปลี่ยนฐานันดรศักดิ์จาก “พระเจ้าลูกเธอ” เป็น “พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์” และได้ถวายตัวเป็นพระภรรยาเจ้า เมื่อพระชนมายุประมาณ ๑๕-๑๖ พรรษา จึงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พร้อมด้วยพระขนิษฐาร่วมพระโสทรทั้ง ๒ พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง)
พระนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ทรงมีพระอุปนิสัยแข็งแกร่ง เด็ดขาด แต่ด้วยพระสิริโฉม รวมทั้งพระอัธยาศัยที่สุภาพ เรียบร้อย และสงบเสงี่ยม ทำให้พระองค์เป็นที่นับถือในพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร และทรงเป็นที่สนิทเสน่หาในพระราชสวามียิ่งนัก
พระนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ทิวงคตด้วยอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่ม ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ โสภางคทัศนิยลักษณ์ อรรควรราชกุมารี พระราชธิดา และพระราชบุตรในพระครรภ์ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาอีกด้วย ระหว่างการตามเสด็จฯ พระบรมราชสวามีแปรพระราชฐานไปประทับยังพระราชวังบางปะอิน ภายหลังการสิ้นพระชนม์ ทรงได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ดำรงพระฐานันดรศักดิ์พระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
บริบททางประวัติศาสตร์และแฟชั่น (La Belle Époque แห่งสยาม)
พระฉายาลักษณ์องค์นี้คาดว่าถ่ายราว พ.ศ. ๒๔๒๐-๒๓ (1877-1880) ซึ่งตรงกับยุค La Belle Époque ของยุโรป และ The Gilded Age ของสหรัฐอเมริกา—ยุคที่ศิลปะ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีกำลังเฟื่องฟู ขณะเดียวกันสยามในรัชกาลที่ ๕ อยู่ท่ามกลางกระบวนการปฏิรูปบ้านเมืองเพื่อรักษาเอกราชในยุคอาณานิคม
อิทธิพลจากแฟชั่นตะวันตกสมัยวิกตอเรีย
ในยุโรป ยุคนี้เป็นช่วงนิยม bustle gown หรือ “กระโปรงโครงหางกระรอก” เสริมด้านหลังและประดับลูกไม้หรูอย่างวิจิตร ความนิยมนี้มีอิทธิพลเข้าสู่ราชสำนักสยาม โดยเจ้านายฝ่ายในนำแรงบันดาลใจจากวิกตอเรียมาตัด เสื้อเข้ารูปแบบ Victorian bodice ตกแต่ง scalloped lace บริเวณคอและปลายแขน แต่ลดระดับการใช้คอร์เซ็ตให้สอดคล้องกับอากาศร้อนชื้นในกรุงเทพฯ
การผสมผสานแฟชั่นตะวันตกกับอัตลักษณ์ไทย
เสื้อเข้ารูปแบบวิกตอเรียถูกจับคู่กับ
โจงกระเบนผ้ายกไหม
สไบแพรอัดกลีบ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสตรีชั้นสูงในราชสำนักช่วงปลายรัชกาลที่ ๔–ต้นรัชกาลที่ ๕
สไบแพรอัดกลีบ ตัดเย็บจากผ้าแพรจีน อัดในรางไม้จนเป็นกลีบพับซ้อนคล้ายพัดจีน ทิ้งชายยาวด้านหลัง และนิยมอบร่ำด้วยกำยานในหีบไม้หรือหีบหนัง เพื่อให้ผ้ามีกลิ่นหอมเมื่อสวมใส่ เครื่องแต่งกายลักษณะนี้จึงเป็น “แฟชั่นผสมผสาน” ระหว่างสยามและยุโรปที่งดงามอย่างยิ่ง
จี้เพชรชิ้นใหญ่: เอกลักษณ์เครื่องประดับของพระองค์
ในพระฉายาลักษณ์องค์นี้ จะเห็นว่า พระองค์ทรงประดับจี้เพรชชิ้นใหญ่ ซึ่งห้อยกับสร้อยพระศอ เป็นเครื่องประดับที่พบในพระฉายาลักษณ์ช่วงต้นรัชกาล ในพระฉายาลักษณ์ของพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) สะท้อนว่าเป็นเครื่องประดับที่ทรงโปรดอย่างเด่นชัด และอาจจะเป็นเครื่องประดับที่ได้รับพระราชทานพร้อมกันทั้งสามพระองค์
“พระชฎาพระกลีบ” หนึ่งในเครื่องศิราภรณ์สำหรับพระมหากษัตริย์
“พระชฎาพระกลีบ” หนึ่งในเครื่องศิราภรณ์สำหรับพระมหากษัตริย์
พระชฎาพระกลีบเป็นเครื่องศิราภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ทำด้วยทองคำลงยาประดับเพชร มีลักษณะสูงเพรียว มีเกี้ยวประดับดอกไม้ไหว ปลายชฎาปัดไปด้านหลัง ประดับใบสนห้าแฉก มีพระกรรเจียกประดับพระกรรณ สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงและในบางโอกาสทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ได้ทรงในพระราชพิธีสำคัญ เป็นพระชฎาซึ่งมีลักษณะเดียวกับพระชฎาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก
“พระมหาชฎา” 3 ลำดับชั้น ราชศิราภรณ์ชั้นสูง ต่างจาก “มงกุฎ” อย่างไร?
“พระมหาชฎา” คือหนึ่งในราชศิราภรณ์หรือเครื่องประดับศีรษะของพระเจ้าแผ่นดิน มีศักดิ์สูงรองจากเครื่องราชศิราภรณ์ประเภทมงกุฎ อย่าง “พระมหาพิชัยมงกุฎ” บางครั้งจึงเรียกว่า “มงกุฎรอง”
แล้ว “ชฎา” ต่างจาก “มงกุฎ” อย่างไร?
คำว่า “ชฎา” สันนิษฐานว่ามาจากคำในภาษาสันสกฤต ว่า “ชฏ” (ชะ-ตะ) แปลว่า กลุ่มผมที่ขดบิดไปมา แบบมุ่นมวยผม (อันยุ่งเหยิง) ของฤษีหรือนักพรตในอินเดีย หรือมุ่นพระเกศาของพระศิวะ ที่รวบขึ้นรัดด้วยประคำ เรียก “ชฏามกุฏ”
แล้ว “ชฎา” ต่างจาก “มงกุฎ” อย่างไร?
คำว่า “ชฎา” สันนิษฐานว่ามาจากคำในภาษาสันสกฤต ว่า “ชฏ” (ชะ-ตะ) แปลว่า กลุ่มผมที่ขดบิดไปมา แบบมุ่นมวยผม (อันยุ่งเหยิง) ของฤษีหรือนักพรตในอินเดีย หรือมุ่นพระเกศาของพระศิวะ ที่รวบขึ้นรัดด้วยประคำ เรียก “ชฏามกุฏ”
สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของ พิทยา บุนนาค นักวิชาการประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ระบุว่า ลอมพอกคงมีที่มาจากศิราภรณ์ของบุรุษชั้นสูงในแถบอิหร่าน ซึ่งสวมผ้าโพกศีรษะพันไว้บนแกนผ้าแข็งทรงสูงมียอดแหลม และเปลี่ยนเป็นโลหะแทนผ้าเมื่อยามออกรบ แกนผ้าหรือโลหะยอดแหลมข้างในก็คือที่มาของลอมพอก
พัฒนาการของ “ชฎา” จึงมาจากลอมพอกและสัมพันธ์กับมุ่นมวยผม ส่วน “มงกุฎ” คือศิราภรณ์แสดงเกียรติยศหรือสถานะของผู้สวมใส่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมบนศีรษะโดยตรง
“พระชฎา” หรือชฎาชั้นสูงที่เป็นราชศิราภรณ์สำหรับพระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มสร้างกันมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ดังปรากฏนาม “พระมหาชฎา” ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2328 เรียงลำดับตามศักดิ์ของพระชฎา ได้แก่ พระชฎาห้ายอด พระชฎาพระกลีบ และ พระชฎาเดินหน
1. พระชฎาห้ายอด หรือ พระชฎามหากฐิน ปัจจุบันมี 4 องค์ คือ ของรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ทั้ง 4 องค์ทำด้วยทองคำลงยาประดับเพชร ประกอบด้วย มาลา เกี้ยว ยอด 5 แฉก (ที่มาของชื่อ) ยอดกลางสูง อีก 4 ยอดเล็กและต่ำกว่า ปลายสะบัดไปข้างหลัง ตรงกระหม่อมติดกระจังโดยรอบเป็นชั้น ๆ มีกรรเจียกจร ยอดส่วนล่างปักใบสน หรือขนนกวายุภักษ์ หรือขนนกการะเวก หรือดอกไม้ทองคำทำคล้ายขนนก ที่เรียกว่า “ยี่ก่า”
พระชฎาห้ายอดใช้สำหรับทรงในพระราชพิธีสำคัญ เช่น เสด็จพระราชดำเนินกระบวนพยุหยาตราเลียบพระนคร หรือเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานผ้าพระกฐิน
2. พระชฎากลีบ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ทำด้วยทองคำลงยาประดับเพชร ส่วนประกอบคือ มาลา (ไม่มีเกี้ยว) ส่วนยอดค่อนข้างแบน จำหลักเป็นกลีบ ปลายสะบัดไปข้างหลัง ตรงกระหม่อมติดกระจัง มีใบสนและกรรเจียกจร
3. พระชฎาเดินหน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ทำด้วยทองคำลงยาประดับเพชร ส่วนประกอบคือ มาลา เกี้ยว ส่วนยอดค่อนข้างแบน มีลวดลาย ปลายสะบัดไปข้างหลัง ตรงกระหม่อมไม่ติดกระจัง แต่มีสาแหรกแปดยึดมาลากับเกี้ยวให้ติดกัน มีใบสนและกรรเจียกจร เป็นพระชฎาที่เคยพระราชทานให้เจ้านายบางพระองค์ทรงด้วย
นอกจาก “พระชฎา” ยังมีชฎาประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เครื่องราชศิราภรณ์สำหรับพระมหากษัตริย์ ได้แก่ ชฎาพอก ทำด้วยผ้าหรือกระดาษ คล้ายลอมพอก แต่มีเกี้ยว ประดับดอกไม้ทองหรือเงิน ใช้สวมพระศพเจ้านายและขุนนางที่ได้รับเกียรติบรรจุโกศ ชฎาแปลง คล้ายพระชฎากลีบ แต่ไม่มีลวดลายจำหลักหรือลายเขียน
นอกจากนี้ ยังมี ชฎาดอกลำโพง ที่เหมือนมงกุฎยอดจีบ ชฎามนุษย์ ที่ยอดพันด้วยผ้า ใช้ในราชการ เหมือนลอมพอก และ ชฎายักษ์ คือชฎารูปทรงอื่น ๆ (นอกจากที่กล่าวไป) สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเรียกชฎากลุ่มนี้ว่า “ชฎาขอม”
“พระชฎา ๕ ยอด” เครื่องราชศิราภรณ์ที่ทรงแทน “พระมหาพิชัยมงกุฎ” ในบางวาระ
“พระชฎา ๕ ยอด” เครื่องราชศิราภรณ์ที่ทรงแทน “พระมหาพิชัยมงกุฎ” ในบางวาระ
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI คอลเล็คชั่นนี้คือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๔ ทรงพระชฎาห้ายอด หรือ “พระชฎามหากฐิน”
“พระชฎา ๕ ยอด” เป็นเครื่องราชศิราภรณ์สำหรับพระมหากษัตริย์ทรง และมักจะทรงในงานใหญ่ เช่น เวลาเสด็จพระราชดำเนินขบวนพยุหยาตราเลียบพระนคร หรือ เสด็จพระราชดำเนินขบวนพยุหยาตราไปถวายผ้าพระกฐิน จึงเป็นเหตุให้เรียกพระชฎาองค์นี้ว่า “พระชฎามหากฐิน” มีศักดิ์รองจากพระมหาพิชัยมงกุฎ บางคราวพระราชทานให้พระบรมวงศ์ทรงก็มี สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ส่วนที่เรียกพระชฎาว่า “พระชฎา ๕ ยอด” เนื่องจากมีพระยี่ก่า (เครื่องประดับที่มีลักษณะคล้ายขนนก ในที่นี้ทําด้วยทองคําประดับเพชร) สําหรับประดับราชศิราภรณ์ประกอบอยู่ที่เกี้ยว ชั้นบนสุดเบื้องซ้ายปลายแยกเป็น ๕ ช่อ
พระชฎาห้ายอด ทำด้วยทองคำลงยาประดับเพชร ปลายเป็น ๕ ยอด มีกรรเจียกและใบสัน หรือบักขนนกวายุภักษ์ สร้างในรัชกาลที่ ๑ องค์หนึ่ง มีน้ำหนักประมาณ ๓ กิโลกรัม ต่อมาสร้างเพิ่มในรัชกาลที่ ๕ องค์หนึ่ง รัชกาลที่ ๖ องค์หนึ่ง และรัชกาลที่ ๗ อีกองค์หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชาธิบายเรื่องพระชฎาห้ายอดในประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ว่า “พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ต้องทรงทำของพระองค์เองขึ้นใหม่, ซึ่งใช้ทรงตลอดพระชนมายุและเมื่อเสด็จสวรรคตก็ทรงพระบรมศพในพระโกศไป จนถึงกำหนดจะถวายพระเพลิงจึ่งเปลื้องออกไปยุบเอาทอง หล่อพระฉลองพระองค์.” ภายหลังก็ไม่ปรากฏว่าสร้างเพิ่มขึ้นอีก
อนึ่ง คำว่า ชฎา มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตว่า “ชฏา” (ชะ-ตา) ซึ่งแปลว่า ผมที่ขมวดเกล้าสูงขึ้น พระชฎาเป็นเครื่องราชศิราภรณ์อย่างหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเกี่ยวกับชฎาว่า ชฎา เกิดแต่ผ้าโพก ส่วนพระชฎามหากฐิน หมายถึง พระชฎาที่มักทรงเมื่อเสด็จไปถวายผ้าพระกฐิน
แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักไทย: แฟชั่นราตรีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖
แฟชั่นตะวันตกในราชสำนักไทย: แฟชั่นราตรีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖
ความงามของชุดราตรียุค 1920s และการเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกของสยาม
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ นำเสนอพระบรมฉายาลักษณ์อันทรงคุณค่าของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ในงานรื่นเริงช่วงฤดูหนาวราว พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยมีผู้ร่วมฉาย (แถวหลังจากซ้าย) ได้แก่ คุณหญิงเฉลา อนิรุทธเทวา, เจ้าพระยารามราฆพ, พระยาอนิรุทธเทวา, และ คุณหญิงประจวบ สุขุม ส่วนแถวหน้า ได้แก่ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ พระสุจริตสุดา ทรงฉลองพระองค์ราตรีสไตล์ตะวันตกอย่างงดงาม
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในภาพ คือ ชุดราตรีของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และ พระสุจริตสุดา ซึ่งสะท้อนความงามของแฟชั่นแบบตะวันตกยุค 1920s ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชุดที่ทั้งสองพระองค์ทรงเลือกฉลองพระองค์เป็น flapper dress โครงร่างเอวต่ำ กระโปรงพลีต และประดับด้วย ลูกปัด เลื่อม และลวดลายปักแบบแวววาว อันเป็นเอกลักษณ์ของยุคแจ๊ส (Jazz Age) นอกจากนี้ เครื่องประดับศีรษะแบบ bandeau ที่คาดเหนือพระนลาฏ ยังสะท้อนกระแสนิยมของสุภาพสตรีชั้นสูงในยุโรปช่วงทศวรรษ 1920 ได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ฝ่ายบุรุษแต่งกายด้วยชุด white tie evening dress อันเป็นมาตรฐานสากลของงานราตรีสโมสร ประกอบด้วย เสื้อเชิ้ตขาวปกแข็งแบบ wing collar, หูกระตายสีขาวแบบผูกเอง, เสื้อกั๊กทรงลึก, เสื้อสูท tailcoat สีดำ, และ กางเกงสีดำที่มีแถบผ้าซาตินด้านข้าง แสดงถึงความพิถีพิถันและความสง่างามตามขนบการแต่งกายของสุภาพบุรุษในราชสำนักยุคนั้น
ช่วงรัชสมัยของ รัชกาลที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๓–๒๔๖๘) เป็นห้วงเวลาสำคัญที่สยามเปิดรับรูปแบบวัฒนธรรมตะวันตกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นนำ การแต่งกายแบบตะวันตกจึงมิใช่เพียงเรื่องของแฟชั่น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ ความทันสมัย การศึกษา การเปิดรับโลกภายนอก และสถานะทางสังคม สตรีชนชั้นสูงของสยามได้ถ่ายทอดแฟชั่นตะวันตกผ่านบุคลิกและกิริยามารยาทแบบไทยได้อย่างนุ่มนวลและสง่างาม ทำให้ชุดราตรีแบบตะวันตกกลายเป็นภาพที่กลมกลืนในราชสำนักมากยิ่งขึ้น
คอลเลกชันนี้จึงเปรียบเสมือนหลักฐานทางสายตาที่สะท้อนช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย ซึ่งแฟชั่นไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นการประดับกาย แต่ยังเป็นกระจกสะท้อน อัตลักษณ์ วิสัยทัศน์ และความมั่นใจของสยามในยุคที่โลกเริ่มเชื่อมโยงกันมากขึ้น ความงดงามของการผสมผสานระหว่างรูปแบบตะวันตกและความละเมียดแบบไทยยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปิน นักออกแบบ และผู้รักแฟชั่นมายาวนานจนถึงปัจจุบัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี - “เสด็จอธิบดี”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี - “เสด็จอธิบดี”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี (อ่านว่า ทิบ-พะ-ยะ-รัด-กิ-ริด-กุ-ลิ-นี) (๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๗ - ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑) หรือที่เรียกกันว่า เสด็จอธิบดี ทรงเป็นอธิบดีหญิงพระองค์แรกของสยาม เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๗ เป็นพระขนิษฐาร่วมพระมารดาในสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๗ มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดาเดียวกัน ๔ พระองค์ ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าแดง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเขียว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน และสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
ในฐานะที่เป็นพระโสทรกนิษฐาของ "เสด็จพระนาง" (ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี) พระองค์เจ้านภาพรประภาจึงประทับอยู่ในตำหนักเดียวกัน พร้อมกับพระมารดาคือเจ้าคุณจอมมารดาสำลี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นอกจากนี้ยังทรงสนิทสนมกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถอีกด้วยในฐานะที่ทรงเป็น "พระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก" เช่นกัน โดยเฉพาะกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ นั้นนอกจากจะทรงวิสาสะกันในฐานะเจ้าพี่เจ้าน้องแล้ว ยังทรงรับผิดชอบบริหารงานราชการฝ่ายในร่วมกัน และได้ทรงเลี้ยงดูพระราชโอรสพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา (ซึ่งก็นับว่าเป็นพระราชภาติยะของพระองค์ทั้งสองฝ่าย) คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถึงขนาด "ทูลกระหม่อมเอียด" รับสั่งว่า "หากไม่ติดเกรงพระทัยทูลกระหม่อมชาย อยากจะทูลเชิญเสด็จน้ามาประทับอยู่ด้วยกัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี ทรงเป็นขัตติยราชนารีที่มากด้วยความสามารถในหลายด้าน มีพระนิสัยร่าเริง สนุกสนานเฮฮา มีพระอัธยาศัยที่งดงาม ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตลอดจนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในเรื่องใดๆ ก็ตามก็จะปฏิบัติได้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดีในทุกเรื่อง
ครั้งถึงปี ๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณขึ้นในพระบรมมหาราชวัง พระองค์ก็ทรงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอุปนายกหอพระสมุดตั้งแต่แรกเริ่ม นอกจากจะทรงอุทิศเวลาให้กับงานอย่างจริงจังแล้ว พระองค์ยังต้องนำเงินส่วนพระองค์มาใช้สอยในการเลี้ยงรับรองทั้งในเวลาปกติและโอกาสพิเศษต่างๆ ด้วยเพราะงานหอพระสมุดเป็นงานการกุศล แม้จะทรงประสบปัญหาในทางการเงินบ้างก็มิได้ทรงปริปากให้ผู้ใดเดือดร้อน จนภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้วางระเบียบใหม่ โดยให้เบิกเงินหลวงแทนเพื่อคลายความเดือดร้อนขององค์อุปนายกฯ หอพระสมุดนี้เป็นแนวความคิดของบรรดาพระราชโอรสพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบรมราชชนก ต่อมาในปี ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นหอพระสมุดสำหรับพระนคร แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “หอสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” เป็นที่มาของหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน
ในเดือน เม.ย. ๒๔๓๖ ได้มีการก่อตั้งสภาอุณาโลมแดงขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศสยาม โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งสภาชนนี พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (พระยศขณะนั้น) ทรงเป็นสภานายิกา ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เป็นเลขานุการิณี และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาฯ ทรงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการิณี วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสภาอุณาโลมแดงหรือสภากาชาดไทยในปัจจุบันนั้น ต้องการที่จะช่วยบรรเทาทุกข์แก่บรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับฝรั่งเศส อันเนื่องมาจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่ชายแดนไทยด้านแม่น้ำโขง ซึ่งคนไทยรู้จักกันดีในชื่อ “วิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒”
เมื่อวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๖–๒๔๓๗ ค่อยคลี่คลายลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริเห็นสมควรเสด็จพระราชดำเนินไปเจริญทางพระราชไมตรี และทำความรู้จักคุ้นเคยกับประมุขของประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปด้วยพระองค์เอง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ จึงเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งแรก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอรรครราชเทวี เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ส่วนราชการภายในพระบรมมหาราชวังนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระเจ้าน้องนางเธอสองพระองค์ คือ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา และพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ ให้ทรงช่วยดูแลราชการฝ่ายในทั้งหมดภายในพระราชวังหลวง เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณท้าววรจันทร์ด้วย
พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม กอปรด้วยเชาวน์ปฏิภาณ ทรงสามารถจัดการงานทั้งปวงได้เรียบร้อยสมกับเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสยุโรปแล้ว โปรดให้เพิ่มอำนาจหน้าที่การบังคับบัญชาราชการฝ่ายในมากขึ้น จนในที่สุดทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา ทรงดำรงตำแหน่ง "อธิบดีกรมโขลน ขึ้นอยู่ในสังกัดกระทรวงวัง เรียกกันเป็นสามัญว่า “อธิบดีฝ่ายใน” พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา จึงเป็นสตรีไทยพระองค์แรกที่ทรงรับราชการอย่างบุรุษจนได้เป็นอธิบดี และซึ่งชาววังทั่วไปในขณะนั้นต่างออกพระนามว่า “เสด็จอธิบดี” ด้วยความเคารพยำเกรง แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงยกย่องและตรัสเรียกเสด็จอธิบดีในบางครั้งเช่นกัน ร่ำลือกันว่าผู้คนเกรงกลัว "เสด็จอธิบดี" เสียยิ่งกว่า "สมเด็จที่บน” (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) เสียอีก
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี และแฟชั่นเอ็ดเวอร์เดียน–ล้านนา: การผสมผสานทางวัฒนธรรม
ความงามเหนือกาลเวลาของแฟชั่นเอ็ดเวอร์เดียน–ล้านนา: การผสมผสานทางวัฒนธรรม
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ คือพระรูปของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ในฉลองพระองค์สไตล์เอ็ดเวอร์เดียน–ล้านนา อันสะท้อนความงดงามของการผสมผสานวัฒนธรรมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อย่างโดดเด่น
ภายในภาพคอลเลกชันนี้ เราจะพบการหลอมรวมขององค์ประกอบแฟชั่นจากหลายแหล่งวัฒนธรรม—สยาม ล้านนา พม่า ญี่ปุ่น และยุโรป—ที่ปรากฏอย่างกลมกลืน ทั้งในรูปแบบของเสื้อเบลาส์ลูกไม้แบบตะวันตก ผ้าซิ่นตีนจกและลวดลายล้านนา รายละเอียดลุนตยาจากพม่า ทรงผมเกล้าทรงญี่ปุ่น ตลอดจนรสนิยมแบบเอ็ดเวอร์เดียนจากสยาม สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงโลกทัศน์อันกว้างไกลของเจ้าดารารัศมี ผู้ทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างราชสำนักสยามกับหัวเมืองล้านนาในยุคนั้น
เสื้อเบลาส์ลูกไม้สไตล์เอ็ดเวอร์เดียนที่จับคู่กับผ้าซิ่น เป็นหนึ่งในรูปแบบการแต่งกายที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของสตรีล้านนา ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อย่างเด่นชัด สไตล์นี้ได้รับการเผยแพร่ผ่านพระราชชายา เจ้าดารารัศมี และเหล่าข้าหลวงฝ่ายในของพระองค์ ซึ่งได้นำอิทธิพลจากแฟชั่นตะวันตกในยุคเอ็ดเวอร์เดียนมาผสมผสานกับความงดงามแบบล้านนาอย่างกลมกลืน แนวโน้มการแต่งกายนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างสยามและหัวเมืองล้านนาในช่วงเวลาที่สังคมกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ความทันสมัยตามแนวทางตะวันตก
ในบริบทของปลายยุคเอ็ดเวอร์เดียน (พ.ศ. 2443–2453) เจ้าดารารัศมีทรงเสด็จกลับเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2457 สี่ปีหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเสด็จครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และนับเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมล้านนาฟื้นคืนความรุ่งเรืองอีกครั้งในฐานะศูนย์กลางของประเพณีและงานหัตถกรรมพื้นเมือง ในช่วงนี้เราจึงพบภาพลักษณ์ของสุภาพสตรีล้านนาในเครื่องแต่งกายที่ผสมผสานองค์ประกอบตะวันตก เช่น เสื้อเบลาส์ผ้าลูกไม้คอสูงสีขาวนวลหรือครีม กับผ้าซิ่นตีนจกที่เป็นมรดกแห่งอัตลักษณ์ล้านนา ดิ้นไหมทองและไหมเงินที่ใช้ในผ้าตีนจกของสตรีสูงศักดิ์ไม่เพียงเพิ่มความหรูหรา แต่ยังสะท้อนความภาคภูมิใจของสตรีในรากเหง้าและวัฒนธรรมล้านนา
ลักษณะเฉพาะของฉลองพระองค์ของเจ้าดารารัศมีที่โดดเด่นอีกประการหนึ่ง คือการผสมผสานผ้าซิ่นตีนจกกับผ้าพม่าประเภทลุนตยา ซึ่งเป็นผ้าทอลายคลื่นนำ้ และเป็นลายทางขวางเช่นเดียวกับซิ่นต๋าของเชียงใหม่ การผสมสานนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งระหว่างล้านนาและพม่า ซึ่งเคยมีปฏิสัมพันธ์ด้านการค้า การทูต และการปกครองต่อเนื่องหลายศตวรรษ การเลือกฉลองพระองค์ด้วยผ้าที่เชื่อมโยงกับพม่าซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในเวลานั้น อาจตีความได้ว่าเป็นการย้ำถึงความสำคัญของรากเหง้าล้านนาและความสัมพันธ์ในภูมิภาค ซึ่งมีบทบาทอย่างมากต่อการค้าไม้สักกับอังกฤษในพื้นที่ภาคเหนือของสยาม
ความสัมพันธ์ล้านนา–พม่าในยุคนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการค้าหรือแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงด้านการศึกษาด้วย เชื้อสายเจ้านายเชียงใหม่จำนวนหนึ่ง เช่น เจ้าน้อยศุขเกษม ซึ่งเป็นพระญาติของเจ้าดารารัศมี ถูกส่งไปศึกษาที่พม่าซึ่งอยู่ภายใต้ระบบการศึกษาของอังกฤษ การเดินทางจากเชียงใหม่ไปยังเมืองพม่าในเวลานั้นสะดวกกว่าการเดินทางลงกรุงเทพฯ และมาตรฐานการศึกษาของอังกฤษก็เป็นที่ยอมรับว่านำสมัยกว่าในหลายด้าน การศึกษานอกภูมิลำเนานี้เปิดโลกทัศน์ให้เจ้านายล้านนาได้เห็นแบบแผนการบริหาร การค้า และสังคมที่เชื่อมโยงกับจักรวรรดิอังกฤษอันทรงอิทธิพล
อย่างไรก็ตาม การนุ่งผ้าลุนตยาอาจไม่ได้มีนัยทางการเมืองเสมอไป แต่ยังอาจสะท้อนเพียงความชื่นชอบส่วนพระองค์ต่อความงามของลวดลายและฝีมือการทอผ้า เช่นเดียวกับที่รูปแบบลายขวางของลุนตยาสอดคล้องกับสุนทรียะของซิ่นต๋าในเชียงใหม่ อีกทั้งเชียงใหม่ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ยังมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมพม่า และคนพม่าอาศัยอยู่ในหัวเมืองล้านนาเป็นจำนวนมาก อันเป็นผลจากการที่เมืองตกอยู่ใต้อำนาจพม่านานหลายร้อยปีก่อนยุทธการณ์กอบกู้เมืองเชียงใหม่ในสมัยเจ้ากาวิละ ดังนั้นอัตลักษณ์แบบพม่าจึงไม่ได้เป็นสิ่งแปลกปลอม แต่ผสานอยู่ในวิถีชีวิตของคนเมืองมาอย่างยาวนาน
อีกเอกลักษณ์ประจำราชสำนักของเจ้าดารารัศมี คือทรงผมแบบเกล้าทรงญี่ปุ่น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกระแส “Japonism” ที่กำลังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อศิลปะและแฟชั่นในยุคอิมเพรสชันนิสม์และอาร์ตนูโว ลักษณะการเกล้าผมสูงสไตล์นี้ปรากฏในภาพถ่ายของราชสำนักล้านนาในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 6 เป็นจำนวนมาก และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ความสง่างามที่โดดเด่นของสุภาพสตรีล้านนาในยุคนั้น
เสื้อเบลาส์ลูกไม้คอสูงมักประดับด้วยโช้คเกอร์ซึ่งเป็นเทรนด์ที่สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดราแห่งอังกฤษทรงทำให้เป็นที่นิยม พระองค์ทรงใช้โช้คเกอร์และปกคอสูงเพื่อปกปิดบาดแผลที่พระศอ แต่กลับกลายเป็นสไตล์ที่แพร่หลายในราชสำนักยุโรปและสยาม การนำโช้คเกอร์มาผสมผสานกับเสื้อเบลาส์แบบเอ็ดเวอร์เดียนช่วยเพิ่มความงดงามและความภูมิฐานให้แก่สตรีล้านนา รวมทั้งสอดคล้องกับรสนิยมที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความประณีตของแฟชั่นท้องถิ่น
อิทธิพลของเจ้าดารารัศมีที่มีต่อแฟชั่นล้านนาจึงไม่เพียงสะท้อนความงามของสไตล์เอ็ดเวอร์เดียนในบริบทท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักฐานของการผสมผสานวัฒนธรรมข้ามพรมแดนที่เปี่ยมด้วยความหมาย ทั้งในด้านการเมือง การค้า การศึกษาระหว่างภูมิภาค และการสร้างสรรค์อัตลักษณ์ใหม่ที่ยืนหยัดอยู่เหนือกาลเวลา ปัจจุบันสไตล์เอ็ดเวอร์เดียน–ล้านนาจึงยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามอันคลาสสิก และเป็นบทบันทึกสำคัญของประวัติศาสตร์แฟชั่นในสยามและล้านนาช่วงต้นศตวรรษที่ 20
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้แบบแขนกระดิ่ง (ruffled trumpet/bell sleeves)
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้แบบแขนกระดิ่ง (ruffled trumpet/bell sleeves)
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ คือพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งคาดว่าทรงฉายในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อรัชกาลที่ ๖ โดยมีลักษณะตรงกับแฟชั่นช่วงปลายยุคเอ็ดเวิร์ดเดียนถึงต้นยุคทีนส์ (ค.ศ. 1908–1914) อย่างชัดเจน ในช่วงเวลานี้แฟชั่นในราชสำนักสยามกำลังเคลื่อนผ่านยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนรูปแบบ จากสไตล์ตะวันตกที่สง่างามแบบเอ็ดเวิร์ดเดียน ไปสู่แนวโน้มใหม่ของความอ่อนช้อยตามธรรมชาติในยุคทีนส์ ทำให้ฉลองพระองค์ของพระองค์ท่านสะท้อนการผสมผสานระหว่างการตัดเย็บแบบยุโรปกับเครื่องแต่งกายแบบราชสำนักไทยได้อย่างงดงามและกลมกลืน
ฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้คอสูงที่ทรงสวม แสดงลักษณะสำคัญของแฟชั่นยุคเอ็ดเวิร์ดเดียนอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นคอเสื้อที่ตั้งสูง ช่วยขับลำคอให้ดูเรียวยาวและสง่างาม หรือเนื้อผ้าลูกไม้ที่ปักและฉลุด้วยเทคนิคชั้นสูงจากปารีส ซึ่งนิยมอย่างมากในหมู่สุภาพสตรีชนชั้นสูงยุคนั้น ส่วนแขนเสื้อสามส่วนที่บานออกเป็นระบาย หรือที่เรียกว่า “pagoda sleeves” / “bell sleeves” / “ruffled trumpet sleeves” ให้ความพลิ้วไหวทุกครั้งที่ขยับแขน และเป็นหนึ่งในรายละเอียดที่สะท้อนความประณีตอ่อนละมุนของแฟชั่นปลายยุคนั้นได้อย่างเด่นชัด เมื่อประกอบเข้ากับโจงกระเบนราชสำนักที่ทรงนุ่งตามแบบแผนของฝ่ายใน ทำให้พระฉายาลักษณ์นี้เป็นตัวอย่างอันงดงามของการผสมผสานระหว่างอัตลักษณ์ไทยและความร่วมสมัยแบบตะวันตกในระดับสูง
แขนเสื้อแบบ “แขนกระดิ่ง” (pagoda sleeves หรือ bell sleeves) เองนั้นมีประวัติยาวนานในโลกตะวันตก เริ่มต้นจากสมัยโรโคโคในศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งนิยมปลายแขนที่บานออกเป็นชั้น ๆ พร้อมลูกไม้และระบายเพื่อเน้นความพลิ้วไหว ก่อนจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในยุควิกตอเรียช่วงกลางศตวรรษที่ ๑๙ โดยสุภาพสตรีนิยมใส่คู่กับ engageantes หรือลูกไม้ปลายแขนที่ถอดเปลี่ยนได้ จนกระทั่งเข้าสู่ยุคเอ็ดเวิร์ดเดียนและต้นยุคทีนส์ แขนกระดิ่งได้รับการปรับให้เบาบางและอ่อนช้อยขึ้น เพื่อให้สอดรับกับสไตล์เสื้อผ้าที่เปลี่ยนจากทรวดทรง S-curve สู่เส้นสายตามธรรมชาติที่นุ่มนวลกว่าเดิม ในช่วง ค.ศ. 1908–1914 ห้องเสื้อระดับ Haute Couture เช่น House of Worth, Callot Soeurs และ Lucile ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้แขนเสื้อทรงนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความงามแบบสตรีสมัยใหม่
การที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงฉลองพระองค์ด้วยเสื้อลูกไม้แขนกระดิ่งในพระฉายาลักษณ์นี้ จึงไม่เพียงสะท้อนความสมัยนิยมของโลกแฟชั่นยุโรปเท่านั้น หากยังเป็นหลักฐานของการปรับตัวอย่างสง่างามของราชสำนักสยามในการรับอิทธิพลตะวันตก พร้อมทั้งธำรงรากเหง้าบรรทัดฐานไทยไว้ได้อย่างวิจิตรและมีเอกลักษณ์ ผลลัพธ์คือภาพลักษณ์แบบ “ไฮบริดแฟชั่น” ระหว่างโลกตะวันตกกับราชสำนักไทย ที่ทั้งร่วมสมัย งดงาม และลุ่มลึกด้วยความหมายทางวัฒนธรรม
____________________
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องประไพ พระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ‘ที่ไม่ทรงโปรด’
พระองค์เจ้าผ่องประไพ พระราชธิดาพระองค์แรก ของ ร. ๕
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องประไพ พระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องประไพ เป็นพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ‘ที่ไม่ทรงโปรด’ หรือ ทรงโปรดน้อยกันบ้าง ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับพระองค์มีน้อยมาก แม้จะเป็นพระราชธิดาพระองค์โต แต่ก็ไม่ได้รับการยกย่องอะไรนัก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องประไพ หรือ พระองค์เจ้าผ่อง เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ก่อนขึ้นครองราชย์) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์แข (มรว.แข พึ่งบุญ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2410 ขณะนั้นพระบิดาดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ส่วนพระมารดาเป็นพระพี่เลี้ยงของพระบิดา ขณะพระบิดามีพระชนมายุเพียง 14-15 พรรษา ส่วนพระมารดามีอายุมากกว่าพระบิดาประมาณ 3 ปี
ซึ่งความสัมพันธ์ในครั้งนั้น พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงทราบ จนเมื่อประสูติเป็นพระธิดา เจ้าจอมมารดาเที่ยง ซึ่งเป็นเจ้าจอมที่ทรงโปรดปราน ได้อุ้มพระกุมารีขึ้นให้ทอดพระเนตรเป็นการกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อตรัสถามว่าพระกุมารีนี้เป็นธิดาของใคร เจ้าจอมมารดาเที่ยงมิได้ทูลตอบทันที กลับกราบทูลเลี่ยง ๆ ให้ทอดพระเนตรเองว่า พระกุมารีนั้นพระพักตร์เหมือนผู้ใด จึงตรัสว่า “เหมือนแม่เพย” คือสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระอัครมเหสี พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง
'พระองค์เจ้าผ่องประไพ' ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงอาภัพมาก ๆ เพราะพระองค์อาศัยอยู่ในตำหนักเก่า ๆ ต่างจากตำหนักของเจ้าน้อง ๆ ที่มีขนาดใหญ่โตหรูหรา เล่ากันว่าพระองค์เป็นพระบรมวงศ์ศานุวงศ์เพียงพระองค์เดียวที่เก็บตัวอยู่แต่ในพระตำหนัก แทบจะไม่ได้ย่างก้าวออกจากประตูพระบรมมหาราชวังตั้งแต่วันประสูติจนถึงวันสิ้นพระชนม์เลย อย่าเพิ่งดราม่านะ!!! มาลองมาดูปัจจัยที่น่าจะทำให้ไม่ทรงโปรดกันก่อน
เริ่มจากการที่พระมารดาเจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์แข มีปัญหากับพระบิดาโดยสาเหตุมาจากเมื่อ พระองค์เจ้าผ่องฯ ขณะทรงพระเยาว์ประชวรหวัด พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จ ฯ เยี่ยมพระธิดา ตรัสถามเจ้าจอมมารดาแข ถึงพระอาการประชวรของพระธิดาถึง 3 ครั้ง เจ้าจอมมารดาแขก็มิได้ทูลตอบ จึงทรงพิโรธมิได้ตรัสด้วยอีกต่อไป และโปรดมอบพระองค์เจ้าผ่อง ฯให้ “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร” หรือ “ทูลกระหม่อมแก้ว” เป็นผู้ทรงอภิบาลพระราชธิดาแทน เมื่อไม่ทรงโปรดเจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์แข จึงน่าจะทำให้ไม่ได้ทรงมีความใกล้ชิดกับพระราชธิดาพระองค์นี้
เหตุต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าผ่องฯ มีพระชนมายุ 6 พรรษา รัชกาลที่ 5 ทรงลาผนวช ในวันที่เสด็จออกผนวชนั้นพระราชวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการก็ต่างพากันมาหมอบเข้าเฝ้าตามธรรมเนียมชาววัง แต่รัชกาลที่5 ทรงรับสั่งให้ทุกคนยืนเข้าเฝ้าได้ตามธรรมเนียมฝรั่ง ดังนั้นบรรดาพระราชวงศ์ ขุนนาง และข้าราชการจึงพากันยืนเข้าเฝ้า แต่ทว่า พระองค์เจ้าผ่องฯ ผู้เป็นเด็กที่ยึดมั่นตามโบราณประเพณีจึงไม่ยอมยืนขึ้น ยังคงหมอบกราบอยู่ รัชกาลที่ 5 เห็นดังนั้นก็ทรงกริ้ว ถึงกับเสด็จฯ ไปดึงพระเมาลี (จุกผม) ให้ยืน แต่พระองค์เจ้าผ่องฯ ก็มิทรงยืน เหตุนี้พระพุทธเจ้าหลวงจึงน่าจะไม่โปรดพระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้มากนัก ถึงแม้จะเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกก็ตาม อันนี้ว่ากันว่าคือการยึดมั่นของพระองค์ที่ทรงมีอยู่ตลอดพระชนม์ชีพ
นอกจากนี้ด้วยพระอัธยาศัยเงียบขรึมเก็บพระองค์ ไม่โปรดปรานการสังสรรค์กับผู้ใด เล่าลือกันว่าทรง “ดื้อเงียบ” หากทรงไม่พอพระทัยสิ่งใดแล้วจะไม่ทรงปฏิบัติเด็ดขาด แม้จะทรงถูกกริ้วหรือถูกลงโทษก็ทรงเงียบเฉย จึงทำให้ไม่ทรงสนิทชิดเชื้อกับผู้ใดรวมทั้งพระบรมราชชนก นอกจากพระอุปนิสัย ก็ว่ากันว่าพระองค์ไม่ได้ทรงฉลาดนัก อีกทั้งพระโฉมไม่ค่อยงาม
พระประวัติ พระนางเรือล่ม อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 โศกนาฏกรรมสู่ตำนานความศักดิ์สิทธิ์
พระประวัติ พระนางเรือล่ม อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 โศกนาฏกรรมสู่ตำนานความศักดิ์สิทธิ์
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ ในฉลองพระองค์แบบขัติยนารี แบบเต็มยศ
กรณีสิ้นพระชนม์ของ “สมเด็จพระนางเรือล่ม” หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 ในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยเรือพระประเทียบล่มขณะกำลังเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอิน
พระประวัติ “พระนางเรือล่ม” พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลำดับที่ 50 พระมารดาคือ สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ปีวอก พ.ศ. 2403 ณ พระบรมมหาราชวัง
ทรงถวายองค์เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 5 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 17 พรรษา ด้วยมีพระสิริโฉมงดงาม พระสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น “พระอัครมเหสี” และยังเป็นที่โปรดปรานสนิทเสน่หายิ่งกว่าพระอัครมเหสีองค์อื่น ๆ
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระราชธิดา พระองค์แรกเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ ขณะเสด็จฯ มายัง พระราชวังบางปะอินพระองค์ก็ทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน
เหตุสลดในวันนั้นเล่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้เรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ล่ม เนื่องเพราะเรือพระพันปีหลวง หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถบรมราชชนนี พันปีหลวงแล่นแซง ประกอบกับนายท้ายเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ เมาเหล้า ขาดสติในการควบคุมเรือ เรือจึงล่ม และทั้งที่พระองค์ก็ทรงว่ายน้ำได้ แต่เพราะความที่ทรงห่วงพระราชธิดา จึงต้องสิ้นพระชนม์ไปพร้อมกัน รวมทั้งพระพี่เลี้ยง รวมทั้งสิ้น 4 ศพ ที่จมอยู่ใต้ท้องเรือโดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย
อุบัติเหตุครั้งร้ายแรงนี้เกิดจากความประมาทในการเดินเรือเป็นสาเหตุสำคัญ แต่กระนั้นยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือ ความเคร่งครัดในกฎมณเฑียรบาลที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งตระกูล กฎมณเฑียรบาลข้อนี้ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการช่วยเหลือ จนทำให้สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์พร้อมกับพระราชธิดาในที่สุด
ก่อนการเสด็จพระราชวังบางปะอินใน พ.ศ. 2423 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงพระสุบิน (ฝัน) บอกเหตุในคืนก่อนวันสิ้นพระชนม์ว่า
“พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอได้เสด็จไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะทรงพระราชดำเนินข้ามสะพาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอบังเอิญพลาดพลัดตกลงไปในน้ำ พระองค์ได้ทรงคว้าพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็ลื่นหลุดพระหัตถ์ไปอีก ทรงตามไขว่คว้าจนพระองค์เองตกลงไปในน้ำด้วย ทรงหวั่นในพระทัยอยู่เหมือนกันว่าพระสุบินนี้จะเป็นลางร้าย แต่สุดท้ายก็ได้ตามเสด็จไปตามพระราชประสงค์”
อนุสรณ์แห่งความรักของในหลวงรัชกาลที่ 5
ความผูกพันที่รัชกาลที่ 5 ทรงมีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และพระราชธิดา นอกเหนือจากการเตรียมงานพระศพอย่างสมพระเกียรติแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสิ่งของถวายเป็นพระราชกุศลอย่างการหล่อพระพุทธรูปฉลองพระองค์ สร้างถาวรวัตถุ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงหลายแห่งที่ยังคงอยู่มาจนปัจจุบัน อาทิ โรงเรียนสุนันทาลัย อนุสาวรีย์ที่สวนสราญรมย์ อนุสาวรีย์ที่พระราชวังบางปะอิน อนุสาวรีย์ที่น้ำตกพลิ้ว จันทบุรี และพระเจดีย์ที่บางพูด นนทบุรี
เรื่องราวของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และรัชกาลที่ 5 สร้างความประทับใจแก่ราษฎร โดยเฉพาะเรื่องของความรักและการพลัดพราก ปัจจุบันศาลสมเด็จพระนางเจ้าฯ หลังใหม่ของวัดกู้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของพระองค์ ผู้คนที่มาสักการะยังศาลแห่งนี้มักมาด้วยความศรัทธาในสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่สามารถดลบันดาลให้สมความปรารถนาตามแต่ต้องการ พร้อมเสียงร่ำลือถึงอาถรรพ์ของดวงพระวิญญาณสตรีสูงศักดิ์ หรือ เด็กทารก โดยมักจะมีผู้นำดอกกุหลาบสีชมพูไปถวาย เพราะเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในความรัก
ประวัติ "วัดกู้"
วัดกู้ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบางพูด ในซอยปากเกร็ด 3 บริเวณริมน้ำหน้าวัดเป็นจุดที่เรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระมเหสีในรัชกาลที่ 5 ประสบอุบัติเหตุเรือล่มสิ้นพระชนม์ วัดนี้สร้างในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นศิลปะแบบมอญ
ภายในโบสถ์หลังเก่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบมอญ เป็นภาพเขียนสีน้ำมันเรื่องราวพุทธประวัติ วิหารประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่ ด้านข้างวิหารเป็นที่เก็บเรือพระที่นั่งของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ที่อับปางซึ่งชาวบ้านได้กู้ขึ้นมา มีพระตำหนักที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์สิ้นพระชนม์ และเมื่อคราวเรือล่มได้อัญเชิญพระศพมาไว้ที่วัดนี้ชั่วคราว มีศาลพระนางเรือล่มซึ่งจำลองแบบจากศาลาจตุรมุขของพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ที่พระราชวังบางปะอิน
อย่างไรก็ตาม วัดกู้ นนทบุรี ที่มีการกล่าวขานว่า เป็นสถานที่กู้เรือพระศพและเรือพระที่นั่ง ซึ่งทางวัดได้จัดแสดงเรือโบราณลำหนึ่งในศาลเป็นหลักฐาน (ปัจจุบันศาลหลังนี้ได้ถูกรื้อและบูรณะเป็นศาลหลังใหม่เรียบร้อยแล้ว) ขณะเดียวกันผู้รู้ในท้องถิ่น คุณพิศาล บุญผูก ได้ให้ข้อมูลว่า
“แท้จริงแล้วสถานที่เกิดเหตุอยู่ที่หน้าวัดเกาะพญาเจ่ง หรือวัดเกาะบางพูด เนื่องจากรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์ทรงระฆังภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสี่ทิศ ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง เพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ เจ้าฟ้าในพระครรภ์ และพระพี่เลี้ยงแก้ว”
อีกทั้ง คำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่สืบต่อมาและบันทึกพระราชกิจรายวันในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังระบุว่า เรือพระที่นั่งล่มลงบริเวณหน้าวัดเกาะพญาเจ่ง มีการอัญเชิญพระบรมศพและพลิกเรือให้หงายขึ้นในบริเวณนั้น รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์เป็นพระราชอนุสาวรีย์ขึ้นยังตำแหน่งที่เกิดเหตุ มิได้กู้เรือขึ้นไว้บนฝั่งแต่อย่างใด เพราะทำเลวัดอยู่ห่างชายฝั่งมาก ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง
แต่จากเอกสาร ข้อเขียน และป้ายแสดงพระประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ที่ปรากฏอยู่ในวัดกู้หลายแห่ง จึงทำให้มีแนวโน้มว่า มีการกู้ซากเรือขึ้นไว้บนบก รวมทั้งอัญเชิญพระศพขึ้นที่หน้าวัดกู้ แต่หากพิจารณาจากจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันแล้วจะพบว่า เรือพระประเทียบแค่เกยทรายจมลง สามารถกู้และนำกลับพระนครที่แห่งนั้นได้ทันที โดยไม่ต้องปล่อยให้เรือพระประเทียบล่องไปทางวัดกู้ที่อยู่เหนือขึ้นไป
________________________
The Life of “The Drowned Queen”: Tragedy, Devotion, and the Making of a Sacred Legend
The passing of “Somdet Phra Nang Ruea Lom” (สมเด็จพระนางเรือล่ม) – formally Queen Sunanda Kumariratana (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์), the Akkhara Mahaesi (อัครมเหสี, Principal Consort) of King Chulalongkorn (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama V) – remains one of the most poignant tragedies in Siamese history.
On 31 May 1880 (พ.ศ. 2423), Her Majesty and her daughter, Princess Kannabhorn Bejaratana (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์), perished when their royal barge capsized in the Chao Phraya River at Bang Phut (บางพูด), Pak Kret, Nonthaburi, while travelling to Bang Pa-In Palace (พระราชวังบางปะอิน).
Early Life of “The Drowned Queen”
Queen Sunanda Kumariratana (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์) was the 50th daughter of
King Mongkut (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, Rama IV).
Her mother was Somdet Phra Piyamavadi Sri Bajarindra Mata (สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา), born Chao Chom Manda Piam (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม).
She was born on Saturday, 10 November 1860 (พ.ศ. 2403) in the Grand Palace.
At the age of 17, she was offered as consort to King Chulalongkorn and, owing to her celebrated beauty, intelligence, and gentle composure, was elevated to the rank of Akkhara Mahaesi (อัครมเหสี) – the principal queen consort, deeply loved and favoured above all others.
At 19, she gave birth to her first child, Princess Kannabhorn Bejaratana (เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์).
At the time of the river journey to Bang Pa-In in 1880, the Queen was five months pregnant with her second child.
The Tragic Day on the Chao Phraya River
Contemporary accounts recount that the Queen’s barge capsized when the vessel of Queen Sri Bajarindra (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง, later Queen Sri Bajarindra, the Queen Mother) overtook it.
Compounding the disaster, the helmsman of the Queen’s barge was reportedly intoxicated, losing control and causing the craft to overturn.
Although the Queen could swim, she remained with her daughter, unwilling to abandon the Princess.
Both drowned beneath the overturned hull—along with their attendants—making four deaths in total.
A second, devastating reason for the tragedy was the long-standing Palace Law of Ayutthaya (กฎมณเฑียรบาล), which strictly forbade commoners from touching the body of a royal consort on pain of execution.
Thus, bystanders were paralysed with fear; no one dared to rescue Her Majesty or the Princess.
The Queen’s Final Dream
On the night before their departure, Queen Sunanda dreamt that:
She and her daughter were crossing a bridge when the Princess slipped into the water. The Queen grasped her hand, but it slipped away; reaching for her again, Her Majesty herself fell into the water. The dream troubled her deeply, yet she proceeded with the journey out of royal duty.
The premonition proved heartbreakingly true.
King Rama V’s Monumental Grief and Memorial Works
The sorrow of King Chulalongkorn was profound.
To honour the Queen and Princess, he arranged funerary rites of the highest dignity and commissioned multiple memorial projects, many of which still stand today:
Sunandalai School (โรงเรียนสุนันทาลัย)
Monument at Saranrom Park (สวนสราญรมย์)
Monuments at Bang Pa-In Palace (พระราชวังบางปะอิน)
Monument at Phlio Waterfall, Chanthaburi (น้ำตกพลิ้ว)
The commemorative chedi at Bang Phut, Nonthaburi
Their tale of love, loss, and eternal devotion profoundly moved the Siamese public, shaping the Queen’s memory into both historical legacy and sacred legend.
Today, the newly rebuilt Shrine of Queen Sunanda (ศาลสมเด็จพระนางเจ้าฯ) at Wat Ku (วัดกู้) serves as a focal point of veneration.
Visitors commonly bring pink roses, believed to grant blessings in love, a tradition tied to the Queen’s enduring aura of purity and grace.
History of Wat Ku (วัดกู้)
Wat Ku, located along the Chao Phraya River at Bang Phut in Pak Kret, is traditionally cited as the place where the Queen’s royal barge was retrieved after the accident.
The temple, founded during the Thonburi period (สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี), is built in the Mon style.
Key features include:
a Mon-style ordination hall with historic mural paintings,
a reclining Buddha in the old vihāra,
and, formerly, the hull of the royal barge believed by locals to be Queen Sunanda’s—displayed until its recent reconstruction into a new shrine.
A pavilion modelled after the four-gable sala of Aisawan Thiphya-Asana Pavilion (พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์) at Bang Pa-In once served as a memorial structure.
Debates About the True Location of the Accident
Local historian Pisan Boonphook (พิศาล บุญผูก) offers an alternative view:
The actual site of the capsizing was Wat Ko Phaya Jeng (วัดเกาะพญาเจ่ง), not Wat Ku.
King Chulalongkorn ordered the construction of a chedi there—a bell-shaped stupa housing a Buddha image facing the four directions—in dedication to the Queen, Princess Kannabhorn Bejaratana, the unborn royal child, and the royal nurse Kaew.
Accounts from eyewitnesses and entries from the Royal Daily Chronicle (จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน) during the reign of King Rama V affirm that the barge overturned in front of Wat Ko Phaya Jeng, where the royal remains were first brought ashore and the vessel righted.
The King then commanded the building of a commemorative stupa at the precise location of the tragedy, indicating that the boat was recovered there, without drifting upstream toward Wat Ku.
Nevertheless, due to inscriptions, signage, and long-held narratives displayed within Wat Ku, many still believe the salvage occurred at that temple.
However, the formal chronicles record that the barge merely ran aground and sank in shallow waters, enabling recovery directly at the scene.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ https://www.sanook.com/news/9114614/
อ่านเพิ่มเติมพร้อมทั้งบทความภาษาอังกฤษได้ที่ : https://www.aifashionlab.design/history-of-fashion/her-royal-highness-princess-malini-nobhadara-and-the-diamond-bow-shaped-brooch
เรียนเชิญกด Subscribe ได้ที่ลิงก์นี้ครับ เพื่อร่วมติดตามงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ งานวิจัยประวัติศาสตร์แฟชั่น และผลงานอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมด้วยเทคโนโลยี AI ของ AI Fashion Lab, London ซึ่งมุ่งตีความอดีตผ่านมิติใหม่ของการบูรณะภาพ การสร้างสรรค์ภาพ และการเล่าเรื่องด้วยศิลปะเชิงดิจิทัล 🔗 https://www.facebook.com/aifashionlab/subscribe/
#aifashionlab #AI #aiartist #aiart #aifashion #aifashiondesign #aifashionstyling #aifashiondesigner #fashion #fashionhistory #historyoffashion #fashionstyling #fashionphotography #digitalfashion #digitalfashiondesign #digitalcostumedesign #digitaldesign #digitalaiart #ThaiFashionHistory #ThaiFashionAI #thailand #UNESCO
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดาราฯ และเข็มกลัดเพชร รูปโบ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดาราฯ และเข็มกลัดเพรช รูปโบ
ภาพที่ได้รับการบูรณะด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระรูปของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา (๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ – ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗) พระราชธิดาพระองค์ที่ ๕๕ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา เมื่อแรกประสูติทรงมีพระนามว่า “พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้ามาลินีนภดารา”
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่พระอรรคชายาเธอขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ดังนั้น พระองค์จึงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา” ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระสุพรรณบัตรเฉลิมพระนามาภิไธย สถาปนาขึ้นเป็น “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี”
สิ่งที่น่าสนใจในภาพนี้คือ เข็มกลัดรูปโบประดับเพชรและอัญมณี ซึ่งผมสร้างสรรค์ให้เป็น “ทับทิม” โดยอิงจากการวิเคราะห์ค่า greyscale ของต้นฉบับขาวดำ เพื่อให้ได้เฉดสีที่สมเหตุสมผลและสอดคล้องกับแฟชั่นเครื่องประดับของยุคสมัยนั้น
________________________
ประวัติศาสตร์ “ลายโบ” ในเครื่องประดับยุโรป: จากความหรูหราแบบโรโคโค สู่ความอ่อนหวานแบบวิกตอเรีย
ลวดลาย “โบ” (bow motif) ถือเป็นหนึ่งในแบบเครื่องประดับที่มีความต่อเนื่องยาวนานที่สุดในยุโรป ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และความงามทางศิลปะ โดยสืบย้อนรากได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๗–๑๘ ในราชสำนักฝรั่งเศส ก่อนจะกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความอ่อนหวานและสตรีภาพของสุภาพสตรีชั้นสูงทั่วยุโรป ลวดลายนี้เริ่มปรากฏอย่างชัดเจนในรัชกาลพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ และหลุยส์ที่ ๑๕ แต่บุคคลที่ทำให้ “โบ” กลายเป็นแฟชั่นชั้นสูงอันเป็นเอกลักษณ์คือ มาดาม เดอ ปงปาดูร์ (Madame de Pompadour) พระสนมเอกผู้ทรงอิทธิพลของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ ผู้ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปินและแฟชั่นระดับสูงของยุโรปยุคโรโคโคอย่างแท้จริง
มาดามเดอปงปาดูร์ทรงนิยมประดับ “โบ” ทั้งในฉลองพระองค์ เครื่องประดับ ทรงผม และงานศิลป์ที่พระนางทรงอุปถัมภ์ ทำให้ลวดลายโบซึ่งมีความโค้งมน พริ้วไหวดังริบบิ้นจริง ๆ กลายเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะฝรั่งเศสยุคนั้น ช่างทองจึงเริ่มสร้างเข็มกลัดและเครื่องประดับรูปโบจำนวนมาก ซึ่งกลายเป็นต้นแบบสำคัญของเครื่องประดับ “bowknot” ในยุคต่อมา
เข้าสู่ศตวรรษที่ ๑๙ โดยเฉพาะในรัชสมัยพระราชินีวิกตอเรีย ลวดลายโบได้รับการตีความใหม่ในความหมายเชิงอารมณ์—สื่อถึงความรัก ความผูกพัน และความอ่อนหวาน—จนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องประดับที่สตรีผู้ดีอังกฤษใช้แพร่หลายมากที่สุด
________________________
Belle Époque: ยุคที่ “โบแพลทินัม” กลายเป็นผลงานศิลป์ระดับสูง
ช่วงเวลาที่ทำให้ลายโบกลายเป็นศิลปะชั้นสูงอย่างแท้จริงคือยุค Belle Époque (ค.ศ. 1890–1914) เมื่อช่างอัญมณีแห่งยุโรป—นำโดย Louis Cartier—ค้นพบศักยภาพของแพลทินัม วัสดุที่มีความแข็งแรง เบาบาง และสามารถขึ้นรูปละเอียดระดับเส้นลวดได้ดีกว่าเงินหรือทอง
Louis Cartier เจเนอเรชันที่ ๓ แห่งสำนัก Cartier คือผู้บุกเบิกการนำแพลทินัมมาใช้ในงานจิวเวลรีระดับสูงอย่างเป็นระบบ พระองค์เป็นผู้สร้างมาตรฐานใหม่ของเครื่องประดับที่ “โปร่ง เบา และพริ้ว” อย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะเข็มกลัดรูปโบ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือเส้นโค้งแบบ Garland Style ที่ดูเหมือนริบบิ้นผูกจริง ๆ และประดับเพชรเม็ดเล็ก (rose-cut และ old European cut) อย่างละเอียดลออ ผลงานเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างยิ่งทั้งในราชสำนักยุโรปและราชสำนักสยามในรัชกาลที่ ๕–๖
นอกจาก Cartier ยังมีสำนักจิวเวลรีระดับตำนานอีกหลายแห่งที่ร่วมสร้างยุคทองของ “โบแพลทินัม” ได้แก่
Boucheron — ผู้เชี่ยวชาญงานโครงสร้างแบบลูกไม้ (lacework) ที่ละเอียดประดุจผ้าปัก
Chaumet — ผู้บุกเบิกสไตล์ Neoclassical Ribbon และเส้นโค้งพริ้วแบบ naturalistic
Lacloche Frères — ผู้ผลิตเข็มกลัดโบปลายริบบิ้นคู่และด้ามยาว ซึ่งเป็นสไตล์โปรดของสุภาพสตรีชั้นสูง
Oscar Massin — ผู้คิดค้นเทคนิคการกระจายประกายเพชร (massin setting) ทำให้โบมีประกายละอองน้ำแข็งทั่วทั้งตัว
นวัตกรรมของช่างอัญมณีเหล่านี้ทำให้ “โบในยุค Belle Époque” แตกต่างจากโบในยุคก่อนหน้าอย่างชัดเจน—จากเดิมที่รูปทรงและแบบ จะมีหนำ้หนักมาก ดูแข็ง และเน้นมวลวัสดุ กลายเป็นโบที่เบาบางราวกับลอยอยู่บนผิวผ้า เส้นโครงแพลทินัมสามารถทำได้บางระดับเส้นลวด และเพชรสามารถเรียงแน่นได้โดยไม่ต้องใช้โครงหนาอีกต่อไป นี่คือสุนทรียภาพที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องประดับยุโรประดับสูงในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐
________________________
โบกับราชสำนักสยาม
ในราชสำนักสยามช่วงรัชกาลที่ ๕–๖ ลวดลายโบจากยุโรปแพร่เข้ามาพร้อมแฟชั่นตะวันตก สุภาพสตรีชั้นสูงและเจ้านายฝ่ายในมักประดับเข็มกลัดโบร่วมกับฉลองพระองค์แบบยุโรป โดยหลายชิ้นเป็นงานสั่งทำจากยุโรปหรือได้รับอิทธิพลจาก Cartier และ Boucheron โดยตรง แสดงให้เห็นว่าลวดลายนี้ไม่เพียงเป็นแฟชั่นสากล แต่เป็นสัญลักษณ์ของรสนิยมและสถานะทางสังคมในราชสำนักไทยด้วย
________________________
การสร้างสรรค์เข็มกลัดโบด้วย AI ในภาพของเจ้าฟ้ามาลินีนภดารา
เมื่อพิจารณางานที่ผมสร้างสรรค์ขึ้น—เข็มกลัดโบประดับทับทิมพร้อมปลายริบบิ้นคู่จากเพชรทรงเหลี่ยม—จะเห็นได้ชัดว่ามีรากฐานมาจาก Belle Époque โดยตรง ทั้งในเชิงโครงสร้าง การใช้แพลทินัมเป็นแรงบันดาลใจ การจัดวางอัญมณีแบบยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ และปลายริบบิ้นคู่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Cartier, Lacloche Frères และ Fabergé งานนี้จึงสะท้อนความงามของโบแพลทินัมยุคแรกเริ่มได้อย่างงดงามสมบูรณ์แบบ
ท้าววรจันทร์ และวัฒนธรรม “Monogram” ในราชสำนักสยาม
ท้าววรจันทร์ และวัฒนธรรม “Monogram” ในราชสำนักสยาม
ภาพที่ได้รับสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI ภาพนี้คือ ท้าววรจันทร บรมธรรมิกภักดี นารีวรคณานุรักษา หรือ เจ้าจอมมารดาวาด มีนามเดิมว่า แมว (11 มกราคม พ.ศ. 2384 – 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2483) มีสมญาการแสดงว่า “แมวอิเหนา” เป็นนางละครและพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อถวายตัวรับราชการฝ่ายในตำแหน่งบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เปลี่ยนนามเป็น วาด ท้าววรจันทร์ประสูติพระโอรสพระองค์หนึ่งคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา ต้นราชสกุลโสณกุล ณ อยุธยา ท่านได้เรียนภาษาอังกฤษกับแอนนา เลียวโนเวนส์ พร้อมกับพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอทั้งหลาย
ในคอลเลกชันนี้ เราจะเห็นจากภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ว่า ไม่เพียงแต่ท่านจะแต่งตัวในสไตล์ปลายยุควิกตอเรีย ซึ่งมักเป็น “เสือลูกไม้คอสูง” แบบช่วงปลายรัชกาลที่ 5 เท่านั้น แต่ยังประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และ เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 4 ชั้นที่ 2 พร้อมทั้ง เข็มกลัดพระนามย่อของ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ที่หาชมได้ยากยิ่งอีกด้วย
เข็มกลัดทองคำชิ้นนี้ เป็นอักษรพระนามย่อ “ส.ผ.” (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) ลงยาแดง–ชมพู ประดับใต้พระมหามงกุฎ หลังเป็นพรรณพฤกษา
สิ่งที่ทำให้ภาพนี้น่าสนใจเป็นพิเศษคือ เข็มกลัดทองคำอักษรพระนามย่อ “ส.ผ.” ชิ้นนี้ เพราะเป็น “การใช้ Monogram” ซึ่งพบได้อย่างแพร่หลายในเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบรมราชินีนาถและพระราชวงศ์ในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นเข็มกลัด ผ้า เครื่องประดับ หรือวัตถุต่างๆในราชสำนัก
การแพร่หลายของ Monogram และความเชื่อมโยงกับ Marie Antoinette
การใช้ monogram เพื่อประกาศอัตลักษณ์และสถานะส่วนบุคคลเริ่มแพร่หลายอย่างยิ่งในราชสำนักยุโรปช่วงศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของ พระนาง Marie Antoinette แห่งฝรั่งเศส ซึ่งทรงริเริ่มการใช้อักษรย่อ M และ A สำหรับประดับบนสิ่งของส่วนพระองค์ ตั้งแต่กระดาษ เครื่องเขียน ผ้าเช็ดหน้า กล่องเครื่องประดับ ไปจนถึงเครื่องเรือนในพระราชวังแวร์ซายส์ ทำให้ monogram กลายเป็นแนวคิดของ “personal style branding” ในราชสำนักยุโรปอย่างแท้จริง
Affair of the Diamond Necklace — และบทบาทของ Monogram
คดีอื้อฉาว “Affair of the Diamond Necklace” (คดีสร้อยพระศอเพชร) ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1785 ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ monogram M–A ถูกพูดถึงไปทั่วโลก เรื่องราวเกิดจากความพยายามของ Cardinal de Rohan ร่วมกับ Jeanne de la Motte ที่สร้างเรื่องใส่ร้ายว่าพระนาง Marie Antoinette ทรงต้องการซื้อสร้อยพระศอเพชรขนาดมหึมามูลค่ามหาศาล (2 ล้านฟรัง) จากช่างทองชื่อดัง Böhmer และ Bassenge
แบบของสร้อยเพชรเส้นนี้ ซึ่งประดับเพชรกว่า ๖๐๐ เม็ด ถูกออกแบบด้วยเส้นโค้งและการเรียงเพชรในลายที่คล้ายกับ “M” เชื่อม “A” อันเป็น monogram ของ Marie Antoinette
แม้พระองค์จะไม่เคยเห็นสร้อยนี้ แต่การที่ผู้หลอกลวงใช้ จดหมายปลอมพร้อมอักษรย่อ M–A ประกอบกับแบบสร้อยที่มีลวดลายคล้าย monogram อยู่แล้ว ทำให้คดีนี้ดู “สมจริง” และสร้างความเสียหายต่อพระเกียรติยศอย่างมหาศาล ผลลัพธ์คือ คดีนี้กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เร่งความเสื่อมศรัทธาต่อราชบัลลังก์ฝรั่งเศส และนำไปสู่ความวุ่นวายก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส
ดังนั้น monogram จึงมิใช่เพียงเครื่องหมายประดับสวยงาม แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มีพลังทางการเมือง วัฒนธรรม และภาพลักษณ์ส่วนพระองค์ ซึ่งแพร่หลายเข้าไปยังราชสำนักต่าง ๆ รวมถึงสยาม และเป็นที่นิยมแพร่หลายในสมัยรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา
Monogram ในราชสำนักสยาม: สัญลักษณ์ของความงามและพระเกียรติ
ราชสำนักไทยนำวัฒนธรรม monogram มาประยุกต์ในแบบสยาม เช่น
• พระนามย่อ “ส.ผ.”, “จ.ป.ร.”, “ส.ก.” บนเครื่องราชูปโภค
• กระดุมลงยาเป็นพระนามย่อ (ดังที่เห็นในภาพ)
• เข็มกลัดพระฉายาลักษณ์ในกรอบทองลงยา
• เครื่องประดับที่พระราชทานแก่เจ้านายและข้าราชสำนัก
ภาพที่นำเสนอ ทั้งกระดุมลงยาสีน้ำเงิน, ชุดกระดุมทองลายราชวงศ์, เข็มกลัดพระฉายาลักษณ์, และเข็มกลัดทองคำอักษรพระนามย่อ ล้วนเป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมของการผสมผสาน ศิลปะ Monogram แบบยุโรป กับ รสนิยมอันวิจิตรของราชสำนักไทย
ท้าววรจันทร์จึงเป็นตัวแทนของสตรีในราชสำนักผู้สวมใส่ “ภาษาแห่งอัตลักษณ์” นี้อย่างงดงาม ผ่านทั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเข็มกลัดทองคำอักษรพระนามย่อ “ส.ผ.” ที่ได้รับพระราชทาน
ลำปาง และแฟชั่นยุครัชกาลที่ ๖ ตอนต้น
ลำปาง และแฟชั่นยุคชัลกาลที่ ๖ ตอนต้น
คอลเลกชันภาพที่ได้รับสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คืvโลกทัศน์ของ “สยามเหนือ” หรือ “ล้านนา” โดยเฉพาะลำปาง ในปี พ.ศ. 2456 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังคงมีหลักฐานทางภาพถ่ายอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะด้านแฟชั่นของสตรีชนชั้นสูงในล้านนา แม้ยุคเอ็ดเวิร์เดียนจะสิ้นสุดลงในอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2453 หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แต่ความงามสง่างามแบบเอ็ดเวิร์เดียนยังคงมีอิทธิพลต่อแฟชั่นในช่วงต้นทศวรรษ 1910 และค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านสู่รูปทรงก่อนสงคราม
ในบริบทของสยาม ช่วงเวลานี้ตรงกับ ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ซึ่งเป็นยุคของความผสมผสานทางวัฒนธรรม ความทันสมัยชาตินิยม และการทูตระหว่างประเทศ จากมุมมองด้านประวัติศาสตร์แฟชั่น เราเรียกช่วงนี้ว่า "ยุค Teen Fashion " (1911–1919) ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย อาทิ:
โครงสร้างของเสื้อผ้าเริ่มอ่อนนุ่มลง: คอเสื้อสูงแบบเอ็ดเวิร์เดียนเริ่มลดความนิยมลง เปลี่ยนเป็นคอปกเหลี่ยมหรือคอปกกะลาสี แขนเสื้อเป็นแบบสามส่วน หรือมีการซ้อนชั้นด้วยลูกไม้
ทรงผมมีขนาดเล็กลง: แม้ยังนิยมเกล้ามวยสูง แต่กลับดูเล็กลงและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
แนวเอวสูงขึ้น: มักอยู่ใต้หน้าอกตามสไตล์ของนักออกแบบอย่าง Paul Poiret ที่เน้นเส้นสายอ่อนช้อยแบบโรแมนติก
กระโปรงแคบลง: รูปทรงเข้ารูป สวมคู่กับเสื้อแจ็กเก็ตทรงเป๊บลัม เสื้อผ้าลูกไม้ หรือแขนเสื้อแบบกิโมโน
สไตล์ “Lanna Early Teens”: นิยามใหม่แห่งล้านนา
ในการออกแบบโลกของ เอื้อง ผมได้เสนอแนวคิดใหม่ภายใต้ชื่อ “Lanna Early Teens Style” ซึ่งเป็นการตีความเชิงสร้างสรรค์ที่ผสานระหว่าง เครื่องแต่งกายล้านนาโบราณ กับวิวัฒนาการของแฟชั่นโลกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ขณะที่สตรีชั้นสูงในกรุงเทพฯ เริ่มหันมาสวมเสื้อฝรั่งจับคู่กับโจงกระเบนและลูกไม้แบบตะวันตก สตรีชั้นสูงแห่งล้านนา—โดยเฉพาะผู้ได้รับอิทธิพลจาก เจ้าดารารัศมี—ยังคงนิยมมวยผมแบบญี่ปุ่น (ทรงผมทรงญี่ปุ่น) และสวมเสื้อแบบฝรั่งคู่กับ ผ้าซิ่นตีนจก
ลักษณะสำคัญของ “Lanna Early Teens Style” ได้แก่:
เสื้อผ้าลูกไม้ละเอียด เสื้อคอตั้งแบบเอ็ดเวิร์เดียน ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม มีการจับจีบหรือเสริมเลเยอร์ลูกไม้ที่แขน และแขนยาวแบบสามส่วน
ผ้าซิ่นตีนจกทรงกระบอก ลวดลายแบบดั้งเดิม สีสันเข้าชุดกับเสื้อฝรั่งและเข็มขัดเส้นสูง
ทรงผมเกล้ามวยแบบผมเป็นล่อนอ่อน หรือปล่อยสยายเป็นลอนอ่อนในกลุ่มหญิงสาว เพื่อสะท้อนความเป็นธรรมชาติและอิทธิพลจากโลกตะวันตก
• 4. เครื่องประดับ เช่น ร่มงาช้าง เข็มกลัดคาเมโอ กระเป๋าผ้าปักลาย
รักแรกของ ร. ๕ ขณะพระชนมพรรษา ๑๔ พรรษา “คุณแพ” ฝันว่ามีงูใหญ่มาคาบกลางตัว
รักแรกของ ร. ๕ ขณะพระชนมายุ ๑๔ “คุณแพ”ฝันว่ามีงูใหญ่มาคาบกลางตัว
เผยแพร่: 26 ก.พ. 2559 10:13 โดย: โรม บุนนาค
ในราวเดือน ๕ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ได้เสด็จไปประทับที่วังหน้าชั่วคราว และนำละครจากวังหลวงไปแสดงให้ชาววังหน้าได้ชม คืนนั้นจึงเป็นความบันเทิงของทั้งชาววังหลวงและวังหน้าที่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นแสงสี นอกจากจะมีงาน
ในงานนี้พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ในวัย ๑๔ พรรษาได้เสด็จไปดูละครด้วย แต่การแสดงบนเวทีไม่ทำให้พระองค์สนพระทัยมากไปกว่าสาวหน้าตาคมขำในวัยไล่เลี่ยกัน ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับคนบอกบทหน้าพลับพลาที่ประทับ
ละครลาโรงไปแล้ว แต่เจ้าฟ้าชายยังคงเฝ้าครุ่นคิดคำนึงถึงสาวน้อยผู้นั้น ซึ่งรู้แต่ว่ามากับพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี พระพี่นางต่างพระมารดา รอจนรุ่งเช้าจึงตรัสถามพระองค์โสมก็ทรงทราบว่า กุลสตรีผู้นั้นเป็นธิดาของพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หลานปู่ของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เกิดที่เรือนแพริมคลองสะพานหัน จึงได้ชื่อว่า “แพ” บิดาส่งเข้ามาฝึกกิริยามารยาทในวัง และพักอยู่กับพระองค์โสม เจ้าฟ้าชายจึงขอให้พระพี่นางช่วยหาทางให้ได้ทอดพระเนตรอีกสักครั้ง ซึ่งพระองค์โสมก็รับจะนัดหมายให้
ฝ่ายคุณแพขณะนั้นอยู่ในวัย ๑๓ แม้เธอจะเห็นเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทอดพระเนตรมาทางเธอบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าเป้าหมายอยู่ที่ตัว เมื่อกลับไปพักบ้านในคืนนั้นก็เกิดนิมิตประหลาด ฝันว่ามีงูตัวใหญ่หัวเหมือนพระยานาค เกล็ดเหลืองทั้งตัว ตรงมาคาบที่กลางตัวเธอและพาไปทิ้งไว้ตรงหน้าเรือนเก่าที่เคยอยู่ รุ่งเช้าเมื่อไปเรือนพี่สาวคนโตที่เพิ่งแต่งงานจึงเล่าฝันให้ฟังตามซื่อ หลายคนที่ฟังต่างพากันหัวเราะครื้นเครง คุณแพก็ไม่เข้าใจ ฝันของเธอไม่เห็นมีเรื่องขำ แต่ทำไมเขาจึงพากันหัวเราะ
การที่คุณแพเข้าไปอยู่ในวังนั้น สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสืองานศพเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ หรือเด็กหญิงแพคนนั้นไว้ว่า เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ได้เล่าไว้เองที่เจ้าคุณปู่ได้ปรารภกับบิดาของท่านว่า ผู้ใหญ่ในตระกูลเคยถวายลูกหญิงทำราชการฝ่ายในมาทุกชั้นตั้งแต่เจ้าคุณพระอัยยิกานวลในรัชกาลที่ ๑ มาถึงท่านมีลูกสาวคนเดียวก็แต่งงานไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ แล้ว ไม่มีลูกจะถวายตามประเพณีตระกูล จึงขอตัวท่านถวายทำราชการฝ่ายในแทนลูกสักคนหนึ่ง บิดาของท่านไม่ขัดข้อง แต่เรียนเจ้าคุณปู่ว่า ตัวท่านนั้นตั้งแต่เกิดมาก็อยู่แต่ที่บ้าน กิริยามารยาทยังเป็นชาวนอกวัง จะส่งเข้าไปฝากเจ้าจอมมารดาเที่ยง พระสนมเอก ซึ่งชอบพอกันให้ฝึกอบรมก่อน เมื่อกิริยามารยาทเรียบร้อยแล้วจึงค่อยถวายตัว คุณปู่ก็เห็นชอบด้วย แต่ทว่าไม่มีใครบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ และฉลองพระองค์แบบ “เสื้อบะบ๋า”
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ และฉลองพระองค์แบบ “เสื้อบะบ๋า”
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพระยศ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตอนปลาย ขณะพระชันษา ๑๔ ปี (พ.ศ. ๒๔๑๐) ฉายก่อนเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑
วันพฤหัสบดีที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘ (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ. ๒๔๐๙) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้โสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แล้วผนวชเป็นสามเณร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๙ โดยมี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ถวายเทศนามหาชาติกัณฑ์สักรบรรพ ณ พระที่นั่งทรงธรรม เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ ตุลาคม
ภายหลังจากการผนวช โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพิธีเลื่อนสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานารถ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๑๐ (นับแบบปัจจุบันเป็น พ.ศ. ๒๔๑๑) โดยทรงกำกับราชการกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า
ในบรมฉายาลักษณ์องค์นี้ พระองค์ประดับฉลองพระองค์ด้วย ดาราแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ และทรงฉลองพระองค์แบบ “เสื้อบะบ๋า” หรือเสื้อแบบคอตั้งเล็กน้อย แขนกระบอก อาจจะเป็นไปได้ว่าสยามได้รับอิทธิพลจากเสื้อสมัยใหม่ที่มาจากจีนโพ้นทะเลในแขวงมลายู ปัตตาเวีย หรือชวา
หลักฐานหนึ่งที่ช่วยให้เห็นภาพคือหนังสือ อายะติวัฒน์ ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ เล่มที่ ๓ พิมพ์เมื่อ ร.ศ. ๑๓๐ ได้กล่าวว่า
“ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานให้ข้าราชการสวมเสื้อผ้าขาวเทศรูปกระบอก (แขนคับ ตัวตึง ชายสั้นเพียงบั้นเอว) เข้าเฝ้าฤดูร้อนฤดูฝน ๘ เดือน”
นับเป็นหลักฐานที่สอดคล้องกับข้อมูลว่าเสื้อรูปแบบ “กระบอก—บะบ๋า” ได้แพร่เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทำให้เสื้อดั้งเดิมของไทยปรับรูปแบบไปมาก ดังที่ปรากฏใน พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๔–๒๔๑๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ซึ่งระบุว่า
“เวลาวันหนึ่ง ข้าราชการเข้าเฝ้าที่พลับพลาโรงแสงพร้อมกัน ครั้งนั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะสวมเสื้อเข้าเฝ้า จึงดำรัสว่า ดูคนที่ไม่สวมเสื้อเหมือนเปลือยกาย ร่างกายจะเป็นเกลื้อนกลากก็ดี หรือเหงื่อออกมาก็ดี โสโครกนัก ประเทศอื่น ๆ ที่เป็นประเทศใหญ่เขาก็สวมเสื้อหมดทุกภาษา... ประเทศสยามนี้ก็เป็นประเทศใหญ่รู้ขนบธรรมเนียมมากอยู่แล้ว ไม่ควรจะถือเอาอย่างโบราณที่เป็นชาวป่ามาแต่ก่อน ขอท่านทั้งหลายจงสวมเสื้อเข้ามาในที่เฝ้าจงทุกคน
ตั้งแต่นั้นมาเข้าและขุนนางก็สวมเสื้ออย่างน้อยเข้าเฝ้าทุกคน ครั้นนานมาเห็นว่าเสื้ออย่างน้อยนั้นจะคาดผ้ากราบก็มิได้ จึงยักย้ายทำเป็นเสื้อกระบอกเหมือนเสื้อบ้าบ๋า ก็เป็นธรรมเนียมติดมาจนทุกวันนี้...”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และฉลองพระองค์แบบ morning coat
รัชกาลที่ ๕ และฉลองพระองค์แบบ morning coat
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และฉลองพระองค์แบบ morning coat
คอลเลกชันภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ชุดนี้ คือพระบรมฉายาลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอุ้ม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี พระราชธิดาพระองค์แรกที่ประสูติแต่ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (เจ้าคุณจอมมารดาแพ)
พระบรมฉายาลักษณ์นี้น่าจะถ่ายหลัง พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ไม่นานนัก ในเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖) ทรงมี พระชนมพรรษาประมาณ ๑๗–๑๘ พรรษา ส่วน กรมขุนสุพรรณภาควดี (ประสูติเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๑) น่าจะมี พระชันษาราว ๒–๓ ปี
__________________
ภาพกลับด้าน: เหตุผลทางแฟชั่นที่ทำให้เรารู้ว่าภาพใดคือด้านที่ถูกต้อง
ภาพต้นฉบับที่พบในเอกสารหลายแห่งมัก “กลับด้าน” อยู่เสมอ ภาพเหล่านั้น กรมขุนสุพรรณภาควดี นั่งทางด้ายซ้ายของภาพ ซึ่งทำให้ผู้ชมทั่วไปเข้าใจผิดว่าเป็นด้านจริง แต่เราสามารถตรวจสอบได้จาก รูปแบบการติดกระดุมของเสื้อสูทแบบปกไขว้ (double-breasted lapel)
ในเสื้อสูทของบุรุษแบบปกไขว้ (double-breasted lapel)
“ปกซ้าย” จะเป็นด้านที่อยู่ ทับด้านขวา เสมอเมื่อกระดุมติดเรียบร้อย
ดังนั้น เวลามองจากมุมของผู้ชมในภาพ ปกด้านขวา (ด้านที่เราเห็น) จะต้องอยู่ “ข้างบน” เสมอ
นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าภาพใดคือมุมที่ถูกต้อง ด้วยความรู้ด้านประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย
ดังนั้นภาพนี้ กรมขุนสุพรรณภาควดี ต้องนั่งทางด้านขวาของภาพ
__________________
ฉลองพระองค์: ผสมผสานแฟชั่นวิกตอเรียกับแบบแผนสยาม
ฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในภาพนี้สะท้อนการผสมผสานระหว่าง แฟชั่นบุรุษอังกฤษยุควิกตอเรียตอนกลาง (ค.ศ. 1870s) กับขนบธรรมเนียม การแต่งกายของราชสำนักสยาม
รายละเอียดแฟชั่นบุรุษแบบวิกตอเรียตอนกลาง (Victorian menswear, early 1870s)
พระองค์ทรงฉลองพระองค์แบบ morning coat รุ่นต้นรัชกาล ซึ่งตรงกับช่วงที่ frock coat เริ่มกลายเป็นชุดพิธีการในกลางวัน และเกิดเสื้อชนิดใหม่ที่ดูไม่เป็นทางการกว่า คือ morning coat
ลักษณะสำคัญของ morning coat ยุคต้นทศวรรษ 1870 (“University style”) ได้แก่
ชายเสื้อด้านหน้าโค้งตัดเฉียงขึ้นอย่างชัดเจน (cutaway front)
ตัวเสื้อค่อนข้างสั้น
รูปแบบ double-breasted
ปกเสื้อและ lapel กว้าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยุค 1870s
แขนเสื้อทรงหลวมแบบ early Victorian sleeve
แฟชั่นแบบผสมผสาม - แม้พระองค์จะทรงฉลองพระองค์แบบยุโรปช่วงบน แต่ยังทรง นุ่งโจงกระเบน และ สวมถุงน่องกับรองพระบาทหนัง ซึ่งสะท้อนรอยต่อสำคัญของแฟชั่นราชสำนักในช่วงที่กำลังรับการแต่งตัวแบบตะวันตกเข้าสู่สยาม
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และแฟชั่นยุค La Belle Époque
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และแฟชั่นยุค La Belle Époque
ภาพที่ได้รับการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ คือ พระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งคาดว่าทรงฉายก่อนปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) ไม่นานนัก—เป็นช่วงเวลา ก่อนการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
สไตล์การแต่งกายในพระฉายาลักษณ์นี้สะท้อนแฟชั่นยุคแรกของ La Belle Époque ซึ่งยังไม่เข้าสู่ความนิยมของแขนเสื้อทรงหมูแฮม (leg-of-mutton sleeves) อันโดดเด่นในภายหลัง อีกทั้งบนภาพต้นฉบับยังระบุชัดว่าเป็น “Her Majesty Queen of Siam”
ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสในพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ต่อไป และในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2438 จึงโปรดให้ออกพระนามพระราชชนนีแห่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชนั้นว่า สมเด็จพระนางเจ้า พระอรรคราชเทวี ในฐานะเป็นพระชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นพระยศพระอัครมเหสีเช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
บริบททางประวัติศาสตร์และแฟชั่น: La Belle Époque แห่งสยาม
พระฉายาลักษณ์องค์นี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทรงฉาย ในช่วงทศวรรษ 1880s–1890s (พ.ศ. ๒๔๒๓–๒๔๒๕) ซึ่งเป็นยุคเดียวกับความรุ่งเรืองของ La Belle Époque ในยุโรป และ The Gilded Age ในสหรัฐอเมริกา—ยุคที่ศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และเทคโนโลยีต่างเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ในขณะเดียวกัน สยามภายใต้รัชกาลที่ ๕ กำลังดำเนินการปฏิรูปบ้านเมืองครั้งใหญ่ ทั้งด้านการปกครอง การศึกษา การคมนาคม และวัฒนธรรม เพื่อธำรงรักษาเอกราชท่ามกลางกระแสล่าอาณานิคม การเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกในราชสำนักจึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญ
อิทธิพลแฟชั่นวิกตอเรียในราชสำนักสยาม
ในยุโรป ยุคนี้เป็นช่วงรุ่งเรืองของชุด bustle gown หรือ “กระโปรงโครงหางกระรอก” ที่ช่วยเสริมสัดส่วนช่วงหลัง พร้อมประดับด้วยผ้าลูกไม้ โบ และเครื่องตกแต่งอันวิจิตรบรรจง แฟชั่นเช่นนี้แพร่เข้ามาสู่ราชสำนักฝ่ายในของสยามผ่านการเสด็จประพาส การรับราชทูต และภาพสิ่งพิมพ์จากยุโรป
เจ้านายฝ่ายในจึงทรงนำ เสื้อเข้ารูปแบบ Victorian bodice มาปรับใช้ โดยตกแต่งด้วยลูกไม้ โบ และระบายบริเวณคอเสื้อและปลายแขน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของแฟชั่นวิกตอเรียตอนปลาย
แฟชั่นผสมผสานแบบสยาม–ตะวันตก
ความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของแฟชั่นสยามในยุครัชกาลที่ ๕ อยู่ที่การผสมผสานระหว่างตะวันตกและอัตลักษณ์ไทยอย่างลงตัว เสื้อเข้ารูปแบบวิกตอเรียถูกสวมคู่กับ โจงกระเบนผ้ายกไหม ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายดั้งเดิมของชนชั้นสูงในราชสำนัก
รูปแบบดังกล่าวก่อเกิดเป็น แฟชั่นแบบผสมผสาน (hybrid fashion) ที่งดงาม น่าศึกษา และสะท้อนการเปิดรับโลกสมัยใหม่ของสยามในขณะเดียวกันก็ยังรักษารากวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้อย่างสง่างาม
สมเด็จพระพันวัสสา ทรงมีพระนามมาก ถึงกับรับสั่งว่า “จนจะจำชื่อตัวเองไม่ได้”
สมเด็จพระพันวัสสา ทรงมีพระนามมาก ถึงกับรับสั่งว่า “จนจะจำชื่อตัวเองไม่ได้”
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเครื่องเต็มยศอย่างขัตติยนารี พร้อมด้วยสายสร้อยและตรามหาจักรี แห่งเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันทรงเกียรติแห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ รวมทั้งสายสะพายและดาราแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
“สมเด็จพระพันวัสสา” หรือ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๕ – ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘) ทรงเป็นเจ้านายผู้มี พระนามมากที่สุดพระองค์หนึ่ง โดยมีพระนามทางการถึง เจ็ด พระนาม และพระนามไม่เป็นทางการอีก สี่ พระนาม รวมเป็น สิบเอ็ดพระนาม จนถึงกับทรงมีรับสั่งด้วยพระสุรเสียงอันแฝงด้วยความเศร้าสลดว่า
“จนจะจำชื่อตัวเองไม่ได้”
ศัพท์ “พระพันวัสสา” ในพระนาม “สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” มีความหมายว่าอย่างไร?
ศัพท์ “พระพันวัสสา” ในพระนาม “สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” มีความหมายว่าอย่างไร?
ภาพที่ผ่านการบูรณะและสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี AI นี้ เป็นพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเครื่องเต็มยศอย่างขัตติยนารี พร้อมด้วยสายสร้อยและตรามหาจักรี แห่งเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
หนึ่งใน “พระภรรยาเจ้า” ผู้เป็นที่รักยิ่งในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า หรือ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระมารดาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก คำศัพท์ “อัยยิกา” ในพระนาม หลายคนคงทราบว่าหมายถึงย่าหรือยาย แล้วคำว่า “พันวัสสา” ใน “พระพันวัสสา” มีความหมายว่าอย่างไร?
รศ. ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เฉลยว่า ศัพท์ “พระพันวัสสา” และ “พระพันปี” มีความหมายตรงกันว่า อายุพันปี
คำว่า พระพันวัสสา ปรากฏเป็นนามของราชาในวรรณคดี ขุนช้างขุนแผน ส่วน คำให้การชาวกรุงเก่า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเอกสารบันทึกเรื่องราวของชาวอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปยังกรุงอังวะ ที่ราชสำนักราชวงศ์คองบองจดบันทึก ก็ปรากฏ “กษัตริย์” อยุธยาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า “พระพันวรรษา”
ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจสรุปได้ว่า “พระพันวรรษา” ในคำให้การชาวกรุงเก่า จะเป็นพระนามที่ปรากฏในพระสุพรรณบัฎ และพระนามกษัตริย์หลายพระนามในเอกสารดังกล่าวก็ไม่ตรงกับในพระราชพงศาวดารและศิลาจารึก
พอมาถึงหลักฐานสมัยต้นรัตนโกสินทร์ คำว่า “พระพันวรรษา” ไม่ได้ใช้กับกษัตริย์เสียแล้ว แต่มีความหมายถึงตำแหน่ง “พระอัครมเหสี” แทน
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศว่า “โปรดให้พระพันวรรษาใหญ่ เป็นกรมหลวงอภัยนุชิต โปรดให้พระพันวรรษาน้อยเป็นกรมหลวงพิพิธมนตรี”
ในพระราชพงศาวดารบอกด้วยว่า “พระพันวรรษาพระองค์ใหญ่” เป็นพระมารดาในเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ส่วน “พระพันวรรษาองค์น้อย” เป็นพระราชมารดาในพระเจ้าเอกทัศน์ ดังนั้นตำแหน่งที่พระพันวรรษาในพระราชพงศาวดาร ก็น่าจะหมายความถึงที่ตำแหน่งอัครมเหสี
หรือใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เมื่อกล่าวถึงครั้งสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อคราวสวรรคต ก็ระบุว่า “ครั้นมาถึง ณ วันอังคารเดือน 11 ขึ้น 8 ค่ำเวลาเช้า 4 โมง สมเด็จพระพันวัสสาประชวรพระโรคชราเสด็จสวรรคตในวันนั้น”
มาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว โปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ขึ้นเป็น “สมเด็จพระพันวัสสา” มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งเป็นพระราชนัดดาในพระองค์ ได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
รศ. ดร. รุ่งโรจน์ บอกว่า ในสมัยรัชกาลที่ 7 นี้เองที่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีการนำคำว่า ‘พระพันวัสสา’ มาประกอบพระนาม”